ความเดิมตอนที่แล้ว จบลงตรงที่ราชาปายาสิ ผู้เป็นมิจฉาทิฐิ ไม่เชื่อว่า โลกหน้าไม่มี ผลบุญผลบาปไม่มี ตายแล้วไม่เกิดอีก ไม่ว่าพระกุมารกัสสปะจะอธิบายอย่างไร ยกธรรมาธิษฐานให้ฟังก็แล้ว ยกบุคลาธิษฐานให้เห็นก็แล้ว
ราชาปายาสิก็ยังพลิกแพลง ตะบี้ตะบัน ดันทุรังยืนกรานที่จะไม่เชื่อจนกระทั่งพระกุมารกัสสปะเถระต้องหยิบยกเอา เรื่องที่เกิดมาแล้วในอดีตมาเล่าให้ราชาปายาสิได้ทรงสดับ ด้วยการกล่าวดักคอไว้ก่อนว่า
หากพระองค์เป็นวิญญูชนผู้มีปัญญา เมื่อได้สดับเรื่องต่อไปนี้แล้ว ย่อมเข้าใจโดยแจ่มชัด โดยมิต้องอธิบายซ้ำ
ในอดีตมีพราหมณ์มหาศาลผู้หนึ่งมีภรรยา ๒ คน
คนแรก มีบุตรชายอายุได้ ๑๒ ปี
คนที่สอง กำลังตั้งครรภ์ ยังไม่ถึงกำหนดคลอด
กาลต่อมาพราหมณ์นั้นได้ตายลง หลังจากทำศพพราหมณ์นั้นเรียบร้อยแล้ว ภรรยาหลวงและลูกชายจึงได้กล่าวแก่ภรรยาน้อยที่กำลังท้องอยู่ว่า
แม่เอ้ย สมบัติทั้งหมดที่มีต้องเป็นของลูกชายคนโต
นางภรรยาน้อยก็ตอบไปว่า ขอให้เราได้คลอดบุตรเสียก่อน หากเป็นบุตรชาย เขาก็จะมีสิทธิ์ที่จะได้รับมรดกของพ่อเขาด้วยเหมือนกัน
แต่หากเราคลอดบุตรออกมาเป็นหญิง เราจะยกบุตรหญิงนั้นให้เป็นข้าบาทจาริกาแก่เจ้า
ภรรยาหลวงและลูกชายก็เพียงกล่าวคำรุกไล่บีบคั้นให้ภรรยาน้อยได้รับรู้ว่า สมบัติทั้งหมดของพราหมณ์นี้เป็นของบุตรชายคนโตเท่านั้น
เหตุการณ์ดำเนินไปเช่นนี้อยู่หลายครั้ง จนภรรยาน้อยผู้ตั้งท้องที่ยังไม่ถึงกำหนดคลอด จึงรู้สึกอึดอัด คับแค้นใจ
ด้วยความโง่เขลา จึงเข้าไปในห้องแล้วหยิบมีดมาผ่าท้องตนเอง เพื่อพิสูจน์ให้รู้ว่า บุตรในท้องของตนจักเป็นหญิงหรือชาย
หากเป็นชายจักได้นำไปอ้างสิทธิ์ในกองสมบัติของบิดาเด็กได้
แต่นางลืมคิดไปว่า การที่นางใช้มีดผ่าท้องตนเอง มันจะทำให้นางและลูกต้องตาย
และแล้วเมื่องนางลงมือผ่าท้อง เพื่อพิสูจน์ว่า บุตรของนางเป็นหญิงหรือชาย
เมื่อเด็กถูกแม่ผ่าออกมาเป็นชาย แต่สุดท้ายก็ต้องตายทั้งแม่และลูก
พระกุมารกัสสปะจึงได้สรุปเรื่องนี้ให้แก่ราชาปายาสิได้ทรงทราบว่า
นางพราหมณ์ผู้เป็นภรรยาน้อยเป็นคนพาล ไม่ฉลาด กระทำการด้วยอารมณ์จนสุดท้ายก็แพ้ภัยตนเอง จนถึงความพินาศฉันใด
มหาบพิตรก็ฉันนั้น เป็นคนพาลไม่ฉลาด แสวงหาโลกหน้า โดยไม่แยบคาย จนถึงความพินาศเหมือนนางพราหมณ์ผู้เป็นคนพาล ไม่ฉลาด แสวงหามรดกโดยไม่แยบคาย
ชีวิตตนและบุตรจึงถึงความพินาศ
ดูกรบพิตร สมณพราหมณ์ผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม ย่อมจะไม่บ่มผลที่ยังไม่สุกให้รีบสุก และผู้เป็นบัณฑิตย่อมรอผลอันสุกเอง อันชีวิตของสมณพราหมณ์ผู้มีศีล มีกัลยาณธรรม แปลกกว่าคนอื่นๆ คือ สมณพราหมณ์ผู้มีศีล มีกัลยาณธรรมดำรงอยู่สิ้นกาลนานเท่าใด ท่านย่อมประสพบุญมากเท่านั้น และปฏิบัติเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่คนเป็นอันมาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุข แก่เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย
ดูกรบพิตร ด้วยเหตุนี้แล โลกหน้ามีอยู่ เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นมีอยู่ ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมีอยู่
ราชาปายาสิตรัสว่า ท่านกัสสปะกล่าวอย่างนั้นก็จริง
แต่ถึงอย่างไร ข้าพเจ้าก็ยังคงมีความเห็นอยู่อย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี
พระกุมารกัสสปะ ตรัสว่า ดูกรบพิตร ก็อะไรเล่า ซึ่งเป็นเหตุให้บพิตรยังคงมีความเห็นอยู่ว่า โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มีมีอยู่หรือ
ราชาปายาสิตรัสว่า มีอยู่ ท่านกัสสปะ
ราชบุรุษของข้าพเจ้าในที่นี้ จับโจรผู้ประพฤติชั่วหยาบมาแสดงแก่ข้าพเจ้า แล้วทูลว่า ข้าแต่พระองค์ โจรผู้นี้ประพฤติชั่วหยาบต่อพระองค์ พระองค์ทรงปรารถนาจะลงอาชญาอย่างใดแก่โจรผู้นี้ บอกโทษนั้นแก่ข้าพระองค์มาเถิด
ข้าพเจ้าบอกราชบุรุษพวกนั้นอย่างนี้ว่า พวกท่านจงนำตัวบุรุษผู้นี้ ใส่ลงไปในหม้อแล้วปิดปากหม้อเสีย เอาหนังที่ยังสดรัด แล้วเอาดินเหนียวพอกเข้าให้หนายกขึ้นสู่เตาแล้วติดไฟ
ราชบุรุษพวกนั้นรับคำข้าพเจ้าแล้ว จึงนำบุรุษนั้นซึ่งยังมีชีวิตอยู่เข้าในหม้อ แล้วปิดปากหม้อ เอาหนังที่ยังสดรัด แล้วเอาดินเหนียวพอกเข้าให้หนา ยกขึ้นสู่เตาแล้วติดไฟ
เมื่อข้าพเจ้าทราบว่าบุรุษนั้นทำกาละแล้ว จึงให้ยกหม้อนั้นลง กะเทาะดินออกแล้วเปิดปากหม้อค่อยๆ ตรวจดูว่า บางทีจะได้เห็นชีวะของบุรุษนั้นออกมาบ้าง พวกเราก็ไม่ได้เห็นชีวะของเขาออกมาเลย
ดูกรท่านกัสสปะ ด้วยเหตุนี้แล ทำให้ข้าพเจ้ายังคงมีความเห็นอยู่ว่า โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี
พระกุมารกัสสปะ ตรัสว่า ดูกรบพิตร ถ้าเช่นนั้น อาตมภาพจะขอย้อนถามบพิตรในข้อนี้
บพิตรบรรทมกลางวัน ทรงเคยรู้สึกฝันเห็นสวนอันน่ารื่นรมย์ ป่าอันน่ารื่นรมย์ พื้นที่อันมีรมณียสถานอันสวยงาม สระโบกขรณีอันน่ารื่นรมย์บ้างหรือไม่
ราชาปายาสิตรัสตอบว่า เคยฝัน ท่านกัสสปะ
พระกุมารกัสสปถามต่อว่า ในที่นั้น มีหญิงค่อม หญิงเตี้ย ชาวพนักงานภูษามาลา หรือกุมาริกาคอยรักษารับใช้บพิตรมีอยู่หรือไม่
ราชาปายาสิตรัสตอบว่าว่า มีอยู่ท่านกัสสปะ
พระกุมารกัสสปะ ตรัสถามว่า คนเหล่านั้นเห็นชีวะของบพิตรเข้าหรือออกจากพระวรกายไปเที่ยวชมสวนอันน่ารื่นรมย์นั้นบ้างหรือเปล่า
ราชาปายาสิตรัสตอบว่า หามิได้ ท่านกัสสปะ
พระกุมารกัสสปะตรัสว่า ดูกรบพิตร ก็คนเหล่านั้น มีชีวิตอยู่ ยังมิได้เห็นชีวะของบพิตรผู้ยังทรงพระชนม์อยู่ ว่าเข้าหรือออกจากกาย
แล้วไฉนบพิตรจักได้ทอดพระเนตรชีวะของผู้ที่ทำกาละไปแล้ว ที่จักเข้าหรือออกจากหม้อต้มเล่า ดูกรบพิตร โดยเหตุนี้ โลกหน้ามีอยู่ เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นมีอยู่ ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมีอยู่
ดูก่อนบพิตร การที่ตามนุษย์มองไม่เห็น ก็มิได้แปลว่า สิ่งนั้นๆ จักไม่มีอยู่
ราชาปายาสิตรัสตอบว่า ท่านกัสสปะกล่าวอย่างนั้นก็จริง แต่ถึงอย่างนั้น ข้าพเจ้าก็ยังคงมีความเห็นอยู่อย่างนี้ว่า โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี
พระกุมารกัสสปะตรัสว่า ดูกรบพิตร ก็อะไรเล่าเป็นเหตุให้บพิตรยังคงมีความเห็นว่า โลกหน้าไม่มี เหล่าสัตว์ผู้ผุดเกิดขึ้นไม่มี ผลวิบากของกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วไม่มี ความเห็นเช่นนี้ของพระองค์ยังมีอยู่อีกหรือ
ราชาปายาสิตรัสว่า มีอยู่ท่านกัสสปะ
(ความเห็นของพุทธะอิสระ ราชาปายาสิผู้นี้คือตัวอย่างของคนที่ยึดมั่น ถือมั่นในมิจฉาทิฐิของตนเองอย่างชนิดที่ความคิด ความเห็นของกูต้องถูกเสมอ เหมือนๆ กับผู้คนในสังคมหลายๆ คนในปัจจุบัน โดยเฉพาะนักการเมือง)
พุทธะอิสระ