ดีแล้ว เจริญแล้ว ประเสริฐแล้ว เหมาะสมแล้ว
หากมองโลกอย่างไม่มีอคติ เปิดหู เปิดตาให้กว้าง เปิดการรับรู้ สัมผัส ให้รอบตัว กว้างไกล มอง รับรู้ สัมผัสเหตุการณ์และบุคคลรอบๆ ตัวทั้งใกล้และไกล โดยปราศจากอคติ
แล้วใช้สติปัญญาใคร่ครวญพิจารณา โดยปราศจากอคติ
คุณและท่านทั้งหลายก็จักรับรู้ความจริงที่ซ่อนเร้นอยู่ในความเท็จ เห็นความเท็จที่ซ่อนอยู่ในความจริง
ขยายความต่อคำที่ว่า ความจริงที่ซ่อนอยู่ในความเท็จ นั่นหมายถึง สรรพสิ่ง สรรพวัตถุ สรรพสัตว์ สรรพบุคคลที่ถูกครอบงำด้วยมิจฉาทิฐิแล้วพยายามประดับประดา ตกแต่ง เสแสร้ง สร้างภาพ สร้างมายาการให้ผู้คน สังคม สิ่งแวดล้อม และตัวเรา ได้เห็นว่าเป็นเรื่องดี สิ่งดี ชนิดที่ดี และเป็นคนดี
ทั้งที่แท้จริงแล้วสิ่งที่เขามี และเป็นความมีอยู่ในสรรพสิ่ง สรรพวัตถุ สรรพสัตว์ สรรพบุคคล ล้วนหมักหมม ซกมก โสโครก สกปรก รกรุงรัง เน่าใน แต่ก็ยังพยายามทำให้ดูดีมีราคา เช่นนี้จึงชื่อว่า ความจริงซ่อนอยู่ในความเท็จ
ส่วนที่ว่า ความเท็จที่ซ่อนอยู่ในความจริง นั่นหมายความว่า เรื่องจริงๆ ก็คือ สะอาด หมดจด แจ่มใส ผ่องแผ้ว งดงาม นี้มีอยู่ในสรรพสิ่ง สรรพวัตถุ สรรพสัตว์ สรรพบุคคล แต่สรรพสิ่ง สรรพวัตถุ สรรพสัตว์ สรรพบุคคลที่ถูกครอบงำด้วยมิจฉาทิฐิพยายามจะสร้างภาพ สร้างมายาการ หลอกลวงทั้งยังสร้างความเกลียดชังให้แก่ความจริงจนนำพาให้เกิดความเกลียดชังในความจริง เป็นเหตุให้เกิดมิจฉาทิฐิ เห็นผิดเป็นชอบ เห็นถูกเป็นผิด เห็นดีเป็นชั่ว เห็นชั่วเป็นเรื่องดี
ซึ่งสิ่งดังกล่าวมานี้กำลังเกิดขึ้นอยู่ในสังคม
นี่ซิต้องระวัง นี่มันอันตราย เรากำลังก้าวเข้าใกล้กับความล่มสลายของศีลธรรมและคุณธรรม แล้วสังคมมนุษย์มันจะอยู่ร่วมกันอย่างไรในท่ามกลางความหลากหลาย ซึ่งมีทั้งดีและชั่ว ถูกและผิด เห็นผิดและเห็นถูก สองสิ่งนี้ต่อสู้กันมาอย่างยาวนาน ผลัดกันแพ้ ผลัดกันชนะ จนกลายเป็นตำนานเล่าขาน
หากเวลาใดสัมมาทิฐิชนะ โลกก็สงบสุขร่มเย็น แต่ถ้าวันใดมิจฉาทิฐิชนะ โลกก็เร่าร้อน สัตว์ผู้อาศัยโลกก็ทุกข์ระทม ทรมาน จมอยู่ในปลักแห่งมิจฉาทิฐิอย่างถอนตัวไม่ขึ้น
พุทธะอิสระจึงใคร่เตือนว่า
หากเราท่านทั้งหลายปล่อยตัว ปล่อยใจ ให้มิจฉาทิฐิเข้าครอบงำได้ นั่นคือความอันตรายของชาติภพ
พุทธะอิสระ