คืนวันศุกร์ที่ ๓ มีนาคม ๒๕๖๖ ก่อนรุ่งสาง แม่มาหาฉันพร้อมบอกว่า อยากไปแล้ว เงินที่เก็บเอาไว้ที่หัวนอน ๓,๖๐๐ บาท ช่วยนำไปหล่อพระนาคปรกให้ด้วย
เช้าวันเสาร์ที่ ๔ มีนาคม ๒๕๖๖ เจ้าเมฆโทรมาบอกว่า แม่หัวใจหยุดเต้น เขากับเจ้าศรนำร่างแม่ไปส่งที่โรงพยาบาลแม่วาง
หมอปั๊มหัวใจและฉีดยากระตุ้นให้หัวใจกลับมาเต้น ฉันคุยกับหมอว่า
ที่โรงพยาบาลแม่วาง มีอุปกรณ์และแพทย์เฉพาะทางที่ดูแลแม่ได้ไหม ?
คุณหมอตอบว่า อยากให้ส่งตัวคุณยายไปโรงพยาบาลใหญ่ดีกว่า เพราะเขามีทั้งแพทย์และอุปกรณ์กู้ชีพเพรียบพร้อม
ฉันจึงขอให้เขาแนะนำโรงพยาบาลมา
ผลปรากฏ คือ ได้ โรงพยาบาลเชียงใหม่ราม
แม่ไปอยู่ที่ โรงพยาบาลเชียงใหม่ราม ๒ คืน พอถึงวันมาฆบูชาฉันจึงปรึกษากับคุณหมอวิศิษฎ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราช ที่เขามาทำบุญที่วัด ขอให้เขาช่วยประสานโรงพยาบาล จองห้องไอซียูเพื่อรับตัวแม่มาอยู่รักษา
คุณหมอวิศิษฎ์ ก็กรุณาขอดูประวัติคนไข้ และรับปากว่าจะจัดหาโรงพยาบาลที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยโคม่าให้
ฉันจึงสั่งให้เจ้าป็อปช่วยประสานไปยังโรงพยาบาลเชียงใหม่ราม ที่เชียงใหม่เพื่อขอประวัติผู้ป่วย แล้วส่งให้คุณหมอวิศิษฎ์ ส่งต่อให้แก่หมอและโรงพยาบาลที่แม่จะเข้าไปรักษา
วันอังคารที่ ๗ มีนาคม ๒๕๖๖ เจ้าป็อปแจ้งว่า คุณหมอวิศิษฎ์หาโรงพยาบาลให้ได้แล้ว คือ ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ด้วยเหตุผลที่ไม่ไกลจากวัด และมีแพทย์เฉพาะทางที่เป็นระดับอาจารย์คอยดูแล
เพื่อให้ง่ายต่อการที่ฉันต้องเดินทางไปเยี่ยม
วันพุธที่ ๘ มีนาคม ๒๕๖๖ รถโรงพยาบาลเชียงใหม่ราม นำแม่มาจากเชียงใหม่มาถึงศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เวลา ๖ โมงเย็น มีเจ้าป็อป เจ้าเสถียร และบรรดาลูกสาว ลูกชายของแม่รอรับ
ฉันได้เห็นหน้าแม่ นอนอยู่ในห้องไอซียู สีหน้าแม่ดูงดงามอิ่มเอิบ ปากเป็นสีชมพู แต่ประตูวิญญาณยังไม่เปิด แม่นอนหลับตา โดยมีเครื่องช่วยหายใจใส่เข้าไปในปาก ชีพจรและหัวใจแม่เต้นปกติ คงมาจากเหตุที่ทางโรงพยาบาลที่เชียงใหม่ เขาฉีดยากระตุ้นหัวใจเอาไว้ก่อนมา
ฉันได้ดูหน้าแม่แล้วก็ออกมา เพราะยังมีคนรอคิวที่จะเข้าเยี่ยมอีกหลายคน (เขาให้เข้าเยี่ยมได้ครั้งละ ๒ คน)
ระหว่างทางกลับวัด ก็จัดคลับเฮาส์ไปด้วย
เช้าวันพฤหัสบดีที่ ๙ มีนาคม ๒๕๖๖ เจ้าเสถียรโทรมาหาเจ้าทร๊อค ขณะที่ฉันกำลังสวดมนต์เจริญภาวนาอยู่
๑๐ โมงเช้า จึงให้เจ้าทร๊อคโทรกลับไปถามว่ามีอะไร
เขาแจ้งว่า คุณหมอบอกว่า จะย้ายแม่ออกจากห้องไอซียู ไปอยู่ห้องพิเศษ เพื่อให้ญาติๆ ได้เข้าเยี่ยมได้สะดวก อีกทั้งเจ้าเสถียรแจ้งว่า หมอบอกว่าแกนสมองของแม่ตายหมดแล้ว
ฉันจึงสั่งให้เจ้าศรไปอยู่รอเฝ้า เพื่อดูว่าเขาย้ายแม่ไปอยู่ห้องไหน โดยมีลุงชินตามไปด้วย
พร้อมทั้งกำชับว่า ตอนเย็นหลังจากทำวัตรสวดมนต์แล้ว จะเข้าไปเยี่ยมแม่
๖ โมงเศษๆ ฉันสรงน้ำแล้วรีบแต่งตัวให้เจ้านัทออกรถมารับไปเยี่ยมแม่ ที่ศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษก คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ถึงโรงพยาบาลเกือบ ๑ ทุ่ม เสถียร ชูใจ เจ้าศร มารอรับอยู่ที่อาคารหลังใหม่ชั้น ๑
พอเข้าไปในอาคารที่จะขึ้นลิฟท์ เจ้าป็อปเดินทางมาถึงพอดี
ฉันเข้าไปถึงห้องพักที่คุณหมอให้แม่ไปอยู่ ดูโอโถงใหญ่โตมาก คิดอยู่ในใจว่า คงต้องมีราคาค่าใช้จ่ายที่แพงมาก ยิ่งจะเป็นภาระให้ลูกหลานชาวธรรมอิสระที่เขาช่วยกันจ่าย ทำให้ฉันรู้สึกไม่สบายใจเลย
พอเข้ามาในห้องที่แม่พัก เห็นลุงชินรออยู่
เข้าไปดูหน้าแม่ พร้อมใช้มือลูบที่แก้มเบาๆ จับที่หู ตามนิสัยเก่าที่ฉันเคยเอยกับแม่พร้อมพูดว่า แม่จ้า หนูมาเยี่ยมแล้ว เหมือนแม่จะรู้ตัวตอบสนองเลิกคิ้วขยับศีรษะ
ตอนแม่ยังแข็งแรงทุกครั้งที่อยู่กับแม่ ฉันต้องใช้มือจับแก้ม จับหูแม่เล่นเป็นประจำ
เห็นแม่นอนหลับตา โดยมีเครื่องช่วยหายใจ ใส่เข้าไปทางปากทำให้แม่หายใจแรงมาก หน้าออกขึ้นลงชัดเจน มาดูแขนขาแม่เย็นมาก เนื้อและผิวเริ่มมีสีดำเป็นจ้ำๆ
โดยเฉพาะแข้งข้างขวา คุณหมอต้องนำผ้าก๊อซมาห่อ
ฉันเปิดดูเห็นที่แข้งมีแผลปริแตก เริ่มมีน้ำเหลืองไหลออกมา ฉันเลื่อนมาจับที่เท้าแม่บีบๆ ขาแม่ดูไม่มีเลือดผ่านใดๆ เลย ฉันจึงพูดกับแม่ว่า
แม่จ้า บ้านหลังนี้ของแม่ เริ่มจะเน่าแล้วนะ มือเท้า แขนขา เริ่มเน่ามีน้ำเหลืองซึมออกมาแล้ว แม่จะมาทนอยู่ในร่างกายนี้ต่อไปทำไม
สิ่งที่ทุกคนได้เห็นขณะนั้น แม่ขยับขา ยกเข่าแล้วพลิกศีรษะ
ฉันก็พูดต่อว่า แม่มีบ้านใหม่ที่สวยกว่านี้ รออยู่แล้ว หากแม่ย้ายออกจากบ้านเก่า ที่เน่าผุพังหลังนี้ แม่ก็จะสบายไม่ต้องมาเหนื่อยแบกภาระบ้านเน่าๆ หลังนี้อีกต่อไป
เห็นตาแม่มีน้ำตาซึมออกมา ฉันจึงให้เจ้าศรหากระดาษทิชชูมาให้ แต่เจ้าศรกลับยังยืนงง มองหากระดาษทิชชู ฉันเลยชี้ไปที่หัวเตียง แล้วบอกว่า
มึงมาอยู่ตั้งนานยังไม่รู้อีกหรือว่า บนหัวนอนมีอะไรวางอยู่
พอได้มาแล้ว ฉันจึงนำกระดาษทิชชูไปซับน้ำตาแม่ พร้อมกับพูดขึ้นอีกว่า
หากแม่ยังอยู่กับบ้านเน่าๆ หลังนี้อีก จะยิ่งเพิ่มความทุกข์ยากให้แก่แม่ และลูกหลาน แม่ออกไปอยู่บ้านใหม่ของแม่เถิดนะ ไม่ต้องห่วงร่างกายนี้แล้ว
ส่วนเรื่องตากับยายเดียวลูกไปพูดจาให้ ขอให้อโหสิกรรมให้แม่ แม่จะได้ไปสบาย
ขณะที่พูดฉันก็สังเกตเห็นประตูวิญญาณของแม่ยังไม่เปิด จึงใช้ฝามือขวาไปลูบที่ผมแม่แล้วพูดว่า แม่สุดสวยไปอยู่ที่บ้านหลังใหม่เถิดนะจ๊ะ พร้อมทั้งใช้นิ้วโป้งจี้ไปที่หวางคิ้วของแม่แล้วลูบขึ้นช้าๆ เพื่อเปิดประตูวิญญาณให้แก่แม่
ทุกคนในห้องสังเกตเห็นแม่ขยับขาขยับเข่า
ฉันเห็นแม่มีน้ำตาซึมออกมาอีก จึงขอกระดาษทิชชูมาจากเจ้าศร เป็นครั้งที่สอง แล้วนำไปซับน้ำตาของแม่ พร้อมกับหันมาสั่งเจ้าเสถียร เจ้าป็อปว่า ไปบอกหมอหรือพยาบาลว่า พรุ่งนี้เช้าให้ถอดเครื่องช่วยหายใจให้แม่ที
แล้วก็พูดกับแม่ว่า หนูสั่งให้เขาถอดเครื่องช่วยหายใจให้แม่แล้ว หากแม่ยังอยากอยู่ในร่างนี้ แม่ก็ต้องหายใจเอง ไม่ต้องอาศัยเครื่องช่วยหายใจ
แต่ถ้าแม่เห็นว่าบ้านหลังนี้มันเน่า ผุ กร่อนแล้ว แม่ก็ไปอยู่บ้านหลังใหม่ หนูจะพาแม่ไป หนูสวดมนต์ให้แม่ทุกวันเลย แม่ได้รับรู้ไหม
เห็นริมฝีปากแม่ขยับเล็กน้อย คล้ายจะพูด แก้มก็กระตุก
ฉันใช้มือลูบจับที่แก้มและหน้าผาก เส้นผมของแม่อีกครั้งหนึ่ง พร้อมพูดว่า พรุ่งนี้เช้าแม่ต้องหายใจเอง เพราะเจ้าเสถียรและเจ้าป๊อป ชูใจไปบอกหมอแล้วว่า จะถอนเครื่องช่วยหายใจให้แก่แม่ แม่จะได้ไม่ต้องมาทนทุกข์อยู่กับร่างกายเน่าๆ แบบนี้อีก
เห็นแม่ขยับขา ขยับเข่า เป็นครั้งที่ ๓
แล้วพูดบอกแก่แม่ว่า จิตใจของแม่สงบเย็นดีอยู่ไหม รักษาจิตไว้อย่างให้เศร้าหมอง ทำจิตให้สงบเย็น ผ่อนคลายแล้วแม่จะได้สบาย แม่จะได้ไปอยู่บ้านหลังใหม่ของแม่ได้อย่างสบายๆ
พอดีเจ้าป๊อป เสถียร ชูใจ กลับมารายงานว่าแจ้งให้พยาบาลประจำวอร์ดทราบแล้วว่า เขาจะแจ้งคุณหมอเวรให้ได้ทราบ แต่หลังจากถอดเครื่องช่วยหายใจแล้วต้องรอดูอาการอีกสองชั่วโมง เพื่อให้แน่ใจว่า หัวใจหยุดเต้นจริง เขาจึงพาตัวเข้าไปอยู่ห้องดับจิต
เขาถามว่า ต้องฉีดยาฟอร์มาลีนไหม
ฉันบอกว่า ไม่ต้องฉีด ให้เตรียมใบชาเอาไว้มากๆ เพื่อดับกลิ่น
ชูใจแจ้งว่า ใบชาได้เตรียมเอาไว้แล้ว ๘ กิโล
ฉันบอกว่า แค่นั้นก็พอแล้ว สั่งต่อไปว่า ให้แจ้งสมภารและพระวิปัสสนาจารย์พรุ่งนี้นิมนต์ท่านช่วยมารับร่างแม่ด้วย ให้เตรียมตะเกียงและกระถางธูป พร้อมรูปมาด้วย
ฉันถามว่า แล้วจะนำรถอะไรไปส่งแม่
ชูใจแจ้งว่า มีรถของโมบาย (พี่น้องเวทีแจ้งวัฒนะ) เขามารอสแตนบายอยู่แล้ว
เสถียรถามมาว่า จะนำร่างคุณย่าออกจากโรงพยาบาลซักกี่โมง
ฉันตอบว่า ประมาณ ๑๒ โมง
เจ้าเสถียรพูดว่า เที่ยงตรงพอดีใช่ไหม
ฉันตอบกลับว่า ใช่
พร้อมทั้งหันมาก้มลงไปพูดกับแม่ว่า พรุ่งนี้จะพาแม่กลับวัดแล้วนะ พร้อมทั้งเดินมาที่เท้าแม่แล้วคุกเข่ากราบไปที่เท้าแม่ ๓ ครั้ง อย่างที่เคยทำ
แล้วสั่งคนที่อยู่เฝ้าแม่ว่า พรุ่งนี้ให้เตรียมเสื้อผ้า เครื่องแต่งตัวมาเปลี่ยนให้แม่ด้วย
เดินมาก้มดูที่หน้าแม่ ดูแม่นอนสงบ สีหน้าผ่อนคลาย เป็นอย่างมาก มองดูนาฬิกาเห็นว่า สองทุ่มกว่าแล้ว เดียวเจ้าพลขับจะง่วงนอนหลับ
เพราะพลขับของฉันวางใจไม่ได้ เขาอยากหลับเขาก็หลับ
จึงกลับวัด ขณะลงลิฟท์มาได้พูดกับเจ้าเสถียรและเจ้าป๊อปไปว่า คงต้องไปขอขมาตาให้กับแม่แล้ว
ส่วนในใจก็ตรึกอยู่ว่า เป็นเรื่องที่ยากมากที่จะไปพูดกับตา เพราะนิสัยท่านเป็นคนตรงฉิน พูดคำไหนคำนั้น ตลอดมาก็คิดอยู่ พยายามที่จะเข้าไปพูดกับตา ขอขมาแทนแม่
จบไว้แค่นี้ก่อนนะ มันดึกแล้ว จะไปสรงน้ำแล้วภาวนาเดินทางไปหาตา
พุทธะอิสระ