เมื่อพราหมณ์ทั้ง ๘ แห่งนครกาลิงคะ ได้ทูลถวายพระราชสาส์นของพระเจ้ากาลิงคราช เพื่อขอช้างมงคลที่องค์ราชากุรุได้ทรงขี่มา
ด้วยมุ่งหวังว่า พญาช้างอัญชนาสภะ จักไปทำให้ฝนฟ้าตกลงมายังนครกาลิงคะ และช่วยขจัดปัดเป่าโรคภัยพิบัติ ที่กำลังเกิดขึ้นแก่นครกาลิงคะ
ครั้นองค์ราชากุรุราชโพธิสัตว์ พอได้สดับว่า บัดนี้มหาชนเป็นจำนวนมากของนครกาลิงคะ กำลังประสบทุกขภัยอย่างแสนสาหัส มาเป็นเวลาเนิ่นนานจากภัยทั้ง ๓ คือ ภัยแล้ง ภัยโรคระบาด และภัยแห่งความอดอยาก
จึงทรงดำริว่า
โอ้หนอ เภทภัยอันใหญ่หลวงที่เกิดในแว่นแคว้นแดนกาลิงคะ ในครานี้คงจะมาจากเหตุที่องค์ราชาและมหาชนตั้งตนอยู่ในความมัวเมา ประมาท ไม่สะดุ้ง ขยาดต่อภัยพิบัติที่เกิดจากความมัวเมาประมาท
บัดนี้ภัยมาถึงตัวแล้ว แทนที่จะนึกระลึกรู้ได้ว่า ควรจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเช่นไร กลับไปโทษฟ้า โทษดิน โทษลางร้าย
แต่หากว่าเราจักไม่ช่วย มหาชนชาวเมืองกาลิงคะ คงมอดม้วยล้มตายกันทั้งเมืองเป็นแน่
ทรงดำริเช่นนั้นแล้ว จึงทรงเอื้อมพระหัตถ์ไปลูบเศียรของพญาช้างมงคลแล้วกล่าวว่า
พ่อเอ๋ย พ่อมหาจำเริญ บัดนี้มนุษย์ชาวเมืองกาลิงคะ กำลังจะย่อยยับด้วยภัยแห่งความมัวเมาประมาท แผ่นดินแห้งแล้ง ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล ผู้คนอดอยาก ทุกข์ยากเดือดร้อน ทั้งโรคภัยก็ตามมาระบาด เพิ่มพูนความทุกข์ยาก ให้แก่มนุษย์และสัตว์
พ่อจงไปสร้างบุญกุศลช่วยหมู่มนุษย์และสัตว์ในเมืองกาลิงคะ ให้รอดพ้นจากทุกขภัยในครานี้เถิด
บุญกุศลครั้งนี้จักส่งผลให้พ่อมหาจำเริญ ได้หลุดพ้นจากอัตภาพแห่งเดรัจฉานในชาตินี้
พญาช้างอัญชนาสภะ พอได้สดับพระดำรัสขององค์ราชากุรุราชโพธิสัตว์ตรัสเช่นนั้น จึงชูงวง สะบัดงา หูตั้ง ยกสองขาหน้า ส่งเสียงร้องโกญจนาทขึ้นกึกก้องดังสนั่นสะเทือนลือลั่นไปทั่วทั้งแว่นแคว้น
ทำให้หมู่สรรพสัตว์น้อยใหญ่ ส่งเสียงร้องขานรับกันให้สนั่นหวั่นไหวไปทั่วภาคพื้นปฐพี แม้แต่หมู่เมฆเมฆาก็ปั่นป่วนสะเทือนลือลั่นเคลื่อนตัวมาบดบังแสงสุริยะฉาย ประดุจดังว่าจะบังเกิดฝนตกลงมาห่าใหญ่
บัดเดี๋ยวก็บังเกิดลมพัดปัดเมฆนั้นไปยังทิศที่ตั้งแห่งนครกาลิงคะฉะนั้น
ส่วนผู้คนที่เฝ้ารอคอยรับเสด็จ เมื่อได้รู้ได้เห็นว่า ชายเร่รอนที่มาขอข้าวขอน้ำกินในโรงมหาทานอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน บัดนี้ยังบังอาจมาทูลขอช้างมงคลของแผ่นดินกุรุ จากองค์ราชา ก็เกิดอาการโกธร ไม่พอใจ แต่พอเห็นอำนาจความอัศจรรย์ของมหาทานอันยิ่งใหญ่ ที่องค์ราชาทรงประทานให้แก่ชาวนครกาลิงคะ ผู้กำลังจะอดตาย
มหาชนชาวกุรุราช ผู้ตั้งมั่นอยู่ในคุณธรรม ทาน และศีลอยู่เป็นนิจ จึงได้สติ กลับมาเมตตา สงสารต่อชาวเมืองกาลิงคะ จึงได้พร้อมกันส่งเสียงสาธุการ ดังกึงก้องไปทั่วทั้งเมือง
ฝ่ายองค์พระมหาโพธิสัตว์กุรุราช จึงทรงตรัสว่า
นี่แนะพราหมณ์
หมู่สัตว์ที่กินข้าวเป็นอาหาร
ดื่มน้ำเพื่อประทังชีวิต
หากยังมีลมหายใจอยู่ แล้วตั้งใจมหาหาเราเพื่อให้ช่วยสัตว์เหล่านั้นทั้งหมด เรายินดีต้อนรับเสมอ
ดูก่อนพราหมณ์ เราจะยกช้างมงคลนี้แก่ชาวนครกาลิงคะ เพื่อไปดับทุกข์เข็ญ ขจัดปัดเป่าเสนียดจัญไรแก่พวกท่าน
แต่จักมาอาศัยช้างมงคลอย่างเดียวคงจะไม่สัมฤทธิ์ผล มวลหมู่ผู้คนในแว่นแคว้นแดนกาลิงคะ ต้องตั้งมั่นอยู่ในศีล ในธรรม ในทานด้วย
ความประสงค์ของพวกท่านจึงจะสำเร็จประโยชน์
แล้วทรงให้สัญญาณแก่พญาช้างมงคลว่า จักทรงเสด็จลงจากหลัง พญาช้างนั้นจึงคุกเข่าหมอบลง
องค์ราชาเมื่อเสด็จลงจากพญาช้างแล้ว จึงได้เสด็จพระดำเนินไปยังหน้าพญาช้าง พร้อมทั้งใช้พระหัตถ์ทั้งสองข้าง ประคองจับงวงของพญาช้าง ส่งให้แก่พราหมณ์แห่งนครกาลิงคะทั้ง ๘ นายในทันที
พราหมณ์ทั้ง ๘ ครั้นได้รับพระราชทานพญาช้างมงคลมาแล้ว จึงพากันรีบนำช้างกลับไปยังนครกาลิงคะ
ครั้งถึงแล้ว จึงนำช้างมงคลนั้นไปทูลถวาย
องค์ราชากาลิงคะ ทรงตรัสสั่งให้จัดงานพิธีรับมิ่งขวัญสมโภชพญาช้างมงคลนั้นอยู่ตลอด ๗ วัน
เมื่อเวลาล่วงเลยมาจนถึงวันที่ ๑๐ ฝนก็ยังไม่ตกลงมาสักที
องค์ราชากาลิงคะ จึงตรัสเรียกพราหมณ์ทั้ง ๘ มาถามว่า เหตุใดบัดนี้ ได้ช้างมา ๑๐ วันแล้วทำไมฝนยังไม่ตกลงมาสักที
พราหมณ์ทั้ง ๘ จึงทูลว่า ข้าแต่องค์มหาราช นอกจากช้างมงคลแล้ว องค์ราชากุรุราช ทรงตรัสกำชับว่า องค์มหาราชและชาวเมืองจักต้องปฏิบัติตน ตั้งอยู่ในธรรมกุรุ
องค์ราชากาลิงคะ จึงได้ทรงตรัสถามพราหมณ์ทั้ง ๘ ไปว่าอะไรชื่อว่า กุรุธรรม
พราหมณ์ทั้ง ๘ ก็จนปัญญาที่จะตอบแก่องค์ราชากาลิงคะ
พระองค์จึงทรงตรัสสั่งให้พราหมณ์ทั้ง ๘ นำเอาแผ่นทองไปยังนครกุรุ เพื่อทูลถามเนื้อความของกุรุธรรมจากองค์ราชากุรุราชมาแล้วจดบันทึกลงในแผ่นทองคำมาถวาย
 
พอแค่นี้ก่อนนะจ๊ะ วันหน้าค่อยมาอ่านกันใหม่
 
พุทธะอิสระ