เห็นบรรดาลูกหลานนั่งลุ้นตัวแข็ง เพื่อรอให้ตนได้ถูกจับสลากในวันไหว้ครู
ทำให้นึกถึงพระโกณฑธานเถระ ท่านเป็นผู้ได้รับการยกย่องจากองค์พระบรมศาสดาว่าเป็นเลิศทางด้านจับสลากเป็นรูปแรก
ทีนี้เรามาตามดูประวัติของพระมหาเถระโกณฑธานกันต่อไป
พระโกณฑธานเถระ นามเดิม ธานะ ต่อมามีภาพลวงตาเป็นสตรีติดตามท่านเพราะผลบาปในชาติก่อนภิกษุและสามเณรทั้งหลายเห็นภาพนั้นเป็นประจำจึงตั้งชื่อท่านเพิ่มว่า กุณฑธานะ คำว่ากุณฑะ แปลว่า ชั่วช้า บิดาและมารดาไม่ปรากฏนาม เป็นคนวรรณะพราหมณ์ ชาวเมืองสาวัตถี
ธานมานพ ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีจากบิดาและมารดา ต่อมาครั้นเติบโตควรแก่การศึกษา จึงได้ศึกษาตามลัทธิพราหมณ์ เรียนจบไตรเพท หลังจากเรียนจบแล้วก็ไม่ได้ตั้งตัวเป็นอาจารย์สอนใคร
วันหนึ่ง ได้มีโอกาสฟังพระธรรมเทศนาจากพระบรมศาสดาแล้วเกิดศรัทธาเลื่อมใส กราบทูลขออุปสมบทในพระพุทธศาสนา พระบรมศาสดาทรงประทานการอุปสมบทให้ตามประสงค์
เมื่อท่านได้อุปสมบทแล้วปรากฏว่าไม่ว่าท่านจะอยู่ในกุฏิที่พักของตน หรือไปในที่อื่น ๆ แม้แต่เวลาที่ท่านออกบิณฑบาตตามหมู่บ้านก็ตามที จะมีหญิงสาวรูปร่างสวยงามเดินตามเป็นเงาตามตัวท่านอยู่ตลอดเวลา สำหรับท่านเองนั้นมองไม่เห็น แต่คนอื่น ๆ ทั่วไปจะเห็นกันอย่างชัดเจน
เมื่อท่านเข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน ประชาชนที่ใส่บาตรก็จะพากันพูดว่า “ส่วนนี้เป็นของท่าน อีกส่วนหนึ่งนี้เป็นของหญิงสหายที่ติดตามท่าน”
เวลาที่ท่านอยู่ในวัดก็จะถูกเพื่อนสหายธรรมิกพูดจาเสียดสีท่านว่า “คนกุณฑะ” ซึ่งหมายถึงคนชั่วช้า ดังนั้น ท่านจึงได้ชื่อว่า “กุณฑธานะ"
เรื่องราวของท่านนั้นทราบไปถึงพระเจ้าปเสนทิโกศล ผู้เป็นองค์พุทธศาสนูปถัมภ์ ทรงมีพระดำริที่จะกำจัดมลทินพุทธศาสนาให้สิ้นไป จึงเสด็จไปยังที่อยู่ของพระกุณฑธานเถระ
ขณะนั้น พระกุณฑธานเถระอยู่ในห้อง เมื่อทราบว่าพระราชาเสด็จมาจึงออกไปรับเสด็จข้างนอก ภาพที่พระเจ้าปเสนทิโกศได้ทอดพระเนตรเห็นก็คือภาพหญิงสาวยืนอยู่ข้างหลังพระกุณฑธานเถระสมจริงดังข่าวลือ
จึงเสด็จเข้าไปใกล้ ๆ เพื่อทอดพระเนตรให้เห็นชัด แต่ภาพนั้นกลับหายไป จึงขออนุญาตท่านเข้าไปตรวจดูภายในห้อง ทรงตรวจดูด้วยพระองค์เองอย่างละเอียด แต่ก็ไม่พบหญิงสาวคนนั้น จึงเสด็จออกมาข้างนอก ประทับยืนที่เดิม ก็ทอดพระเนตรเห็นภาพหญิงสาวนั้นเหมือนเดิมอีก
พระองค์ทรงทดลองเสด็จพระดำเนินเข้า ๆ ออก ๆ หลายครั้งจนแน่พระทัยว่า รูปหญิงสาวนั้นไม่ใช่ของจริง คงเป็นรูปที่เกิดขึ้นจากกรรมเก่าของท่านกุณฑธานนั้นเอง
ทรงแน่พระทัยว่ามิใช่ความประพฤติผิดลามก ชั่วช้าอย่างที่เป็นข่าวลือกัน ทรงพระดำริว่า “พระเถระคงจะลำบากด้วยอาหารบิณฑบาตอันเนื่องจากประชาชนรังเกียจท่าน”
จึงกราบนมัสการนิมนต์ให้ท่านเข้าไปบิณฑบาตในพระราชวังทุกวัน ทรงให้ความอุปถัมภ์บำรุงท่านด้วยปัจจัย ๔ มิให้ท่านต้องวิตกกังวลใด ๆ อีกต่อไป
ฝ่ายพวกภิกษุผู้เป็นโจทก์รู้สึกไม่พอใจในการกระทำของพระราชาที่ได้ตรัสอาราธนาพระกุณฑธานเถระให้ไปรับบิณฑบาตในพระราชวัง ซึ่งเป็นการผิดความประสงค์ของพระภิกษุผู้เป็นโจทก์เหล่านั้น
พระภิกษุผู้เป็นโจทก์เหล่านั้นจึงได้พากันกล่าวติเตียนพระราชว่า
“จงดูการกระทำของพระราชาเถิด พวกเราบอกให้ไปขับไล่พระกุณฑธานะออกไปเสียจากวิหาร ดันกลับมานิมนต์เพื่อจะถวายปัจจัย ๔ เป็นการช่วยให้ท่าน และนางหญิงชั่วนั้นได้รับความสุขสมบูรณ์เสียอีก”
ฝ่ายพระกุณฑธานเถระในตอนก่อนนั้น ท่านเคยถูกภิกษุทั้งหลายว่ากล่าวอย่างเสีย ๆ หาย ๆ ท่านก็ตั้งมั่นอยู่ในพรหมวิหารธรรมนิ่งเฉยเสีย
แต่มาในตอนหลังนี้ เมื่อท่านได้รับการพิสูจน์จากพระราชาแล้วว่า ท่านเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ แต่พระภิกษุทั้งหลายก็ยังไม่ยอมรับการทรงตัดสินของพระราชานั้นทั้ง ๆ ที่พระราชาก็เป็นผู้ที่พระภิกษุทั้งหลายถวายพระพรเชิญมาตรวจสอบท่านจึงเกิดความน้อยเนื้อต่ำใจในการกระทำของพระภิกษุเหล่านั้น ที่ยังเที่ยวพูดกล่าวหาท่านเป็นพระลามก เป็นผู้ทุศีล ไม่หยุดหย่อน
ท่านจึงกล่าวโต้ตอบขึ้นบ้างว่า
“พวกท่านสิ เป็นผู้ทุศีล พวกท่านสิ เป็นคนชั่ว พวกท่านสิ พาหญิงเที่ยวไป”
พวกพระภิกษุผู้เป็นโจทก์ได้เที่ยวพูดให้ร้ายแก่พระกุณฑธานเถระมาเป็นเวลานาน โดยไม่เคยคิดที่จะเอาใจเขามาใส่ใจเราบ้างว่า ผู้ที่ถูกนินทาว่าร้ายจะเกิดความรู้สึกเจ็บปวดใจสักแค่ไหน
ครั้นมาถูกพระกุณฑธานเถระพูดตำหนิ ติว่าเอาให้บ้าง ก็รู้สึกเจ็บใจทนไม่ไหว พากันไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า กราบทูลฟ้องว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระกุณฑธานะได้ด่าว่าพวกข้าพระองค์ว่า เป็นผู้ทุศีลพระเจ้าข้า”
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพระประสงค์จะทรงทราบความจริงในเรื่องนี้ จึงทรงรับสั่งให้หาพระโกณฑธานเถระมาเข้าเฝ้า และตรัสถามว่า “ภิกษุ ข่าวว่า เธอกล่าวว่าร้ายแก่หมู่ภิกษุว่า ทุศีลจริงหรือ?”
พระเถระกราบทูลว่า “จริง พระเจ้าข้า”
พระศาสดา: “เพราะเหตุไร ? เธอจึงกล่าวอย่างนั้น”
พระเถระ: “เพราะเหตุที่ภิกษุเหล่านั้นกล่าวว่าร้ายแก่ข้าพระองค์ก่อนพระพุทธเจ้าข้า”
พระศาสดาจึงทรงตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า “เพราะเหตุไร ? พวกท่านจึงกล่าวใส่ร้ายกะภิกษุรูปนี้อย่างนั้น”
พวกภิกษุ: “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์เห็นหญิงสาวอยู่ข้างกายภิกษุนี้ตลอดเวลา จึงกล่าวอย่างนั้น”
พระศาสดาตรัสกับพระเถระว่า “ภิกษุเหล่านี้เห็นหญิงอยู่ข้างกายเที่ยวไปกับเธอตลอดเวลา พวกเขาจึงกล่าวเช่นนั้น แล้วตัวเธอไม่ได้เห็นเลยหรือ เหตุไฉนท่านจึงกลับมากล่าวใส่ร้ายแก่ภิกษุอื่นเหล่านี้ อย่างนั้นเล่า ?
สิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นเพราะอาศัยผลกรรมอันเลวร้ายของเธอในชาติก่อนมิใช่หรือ ?
เหตุไร ในบัดนี้ เธอจึงกระทำกรรมที่ไม่ดีเพิ่มพูนให้มากขึ้น มากล่าวหาใส่ร้ายภิกษุอื่นอีกเล่า ?
พวกภิกษุทูลถามว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ภิกษุนี้ได้ทำกรรม อะไรในปางก่อนหรือพระเจ้าข้า ?”
พระศาสดา จึงตรัสแสดงบุรพกรรมของท่านกุณฑธานะในอดีตที่ท่านได้เกิดเป็นภุมเทวดาในสมัยพระกัสสปพุทธเจ้า แก่ภิกษุเหล่านั้น
วันนี้ขอจบแค่นี้ไว้ก่อนนะจ๊ะ
พุทธะอิสระ