พระสารีบุตร และพระโมคคัลลานะ ในอดีตชาติ นับย้อนหลังไป ๑อสงไขย และอีกแสนกัป ท่านพระสารีบุตร บังเกิดในครอบครัวพราหมณมหาศาล ชื่อสรทมาณพ. ท่านพระโมคคัลลานะเกิดในครอบครัวคฤหบดีมหาศาล ชื่อสิริวัฑฒกุฏมพี.
ทั้ง ๒ คนเป็นเพื่อนเล่นกันมา เมื่อบิดาล่วงลับไปสรทมาณพ ก็ได้ทรัพย์เป็นอันมาก ซึ่งเป็นสมบัติของสกุล วันหนึ่ง จึงเกิดความคิดขึ้นว่า เราไม่รู้อัตภาพในโลกนี้ ไม่รู้อัตภาพในโลกหน้า ขึ้นชื่อว่าความตายเป็นของแน่ สำหรับเหล่าสัตว์ที่เกิดมาแล้ว.
ควรที่เรา จะถือบวชสักอย่างหนึ่ง แสวงหาโมกขธรรม.
สรทมาณพนั้นไปหาสหายกล่าวว่า เพื่อนสิริวัฑฒ์ เราจักบวชแสวงหาโมกขธรรม เจ้าจักบวชพร้อมกับเราได้ไหม.
สิริวัฑฒกุฏมพีตอบว่า ไม่ได้ดอกเพื่อน เจ้าบวชคนเดียวเถิด.
สรทมาณพคิดว่า คนเมื่อไปปรโลก จะพาสหายหรือญาติมิตรไปด้วยหามีไม่ กรรมที่ตนทำก็เป็นของตนผู้เดียว ต่อจากนั้นก็สั่งให้เปิดเรือนคลังสมบัตินำมาแจกมหาทานแก่คนกำพร้า คนเดินทางไกล วณิพกและยาจกทั้งหลาย แล้วออกบวชเป็นฤษี.
มีคนทยอยตามสรทมาณพออกบวชจาก ๑ คน ๒ คน ๓ คน กลายเป็นจำนวนถึง ๗๔,๐๐๐ รูป สรทฤษีนั้น ทำอภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ ให้บังเกิดแล้ว ก็สอนกสิณบริกรรมแก่บริวารฤษีของตนทั้ง ๗๔,๐๐๐ รูป ฤษีเหล่านั้น ก็ทำอภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ ให้บังเกิดทุกรูป.
ในขณะนั้น พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า อโนมทัสสีทรงตรัสรู้ขึ้น ในโลก.
ณ พระนครชื่อว่า จันทวดี. พระพุทธบิดาเป็นกษัตริย์พระนามว่า ยศวันตะ. พระพุทธมารดา เป็นพระเทวีพระนามว่า ยโสธรา. ต้นไม้ที่ตรัสรู้ ชื่อว่าอัชชุนพฤกษ์ ต้นกุ่ม (ต้นรกฟ้าขาวก็ว่า). พระอัครสาวกทั้ง ๒ ชื่อว่า พระนิสภเถระ และพระอโนมเถระ. พระพุทธอุปฐาก ชื่อพระวรุณเถระ พระอัครสาวิการทั้ง ๒ ชื่อ สุนทรา และ สมุนา. ทรงมีพระชนมายุยืนยาวถึง ๑๐๐,๐๐๐ พรรษา. พระวรกายสูง ๕๘ ศอก. รัศมีพระวรกายแผ่ไป ๑๒ โยชน์. มีภิกษุเป็นบริวาร ๑๐๐,๐๐๐ รูป.
ต่อมาวันหนึ่ง พระอโนมทัสสีพุทธเจ้า เสด็จออกจากพระมหากรุณาสมาบัติ ทรงตรวจดูโลก เวลาใกล้รุ่ง ทรงเห็นสรทดาบส ทรงพระดำริว่า วันนี้ เพราะเราไปหาสรทดาบสเป็นปัจจัย จักมีธรรมเทศนากัณฑ์ใหญ่ และสรทดาบสนั้น จักปรารถนาตำแหน่งอัครสาวก สิริวัฑฒกุฏมพีสหายของเขา จักปรารถนาตำแหน่งอัครสาวกที่๒ จบเทศนาชฏิล ๗๔,๐๐๐ รูป บริวารของเขา จักบรรลุพระอรหัต ควรที่เราจะไปที่นั้น.
ดังนี้แล้ว ทรงถือบาตรและจีวรของพระองค์ เสด็จโดยลำพังพระองค์ เมื่อเหล่าอันเตวาสิก ศิษย์ของสรทดาบส ออกไปแสวงหามูลผลาผล พระพุทธเจ้าทรงเสด็จเหาะมาบนอากาศแล้วทรงอธิษฐานให้สรทดาบสได้เห็นและรู้ว่า พระองค์เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเสด็จลงมาจากอากาศมาประทับยืนอยู่ตรงหน้า
สรทดาบส เห็นพระพุทธานุภาพและพระสรีรสมบัติของพระองค์จึงพิจารณาลักษณมนต์ ก็รู้ว่า ธรรมดาผู้ประกอบด้วยลักษณะ เหล่านี้ เมื่ออยู่ครองเรือน ก็ต้องเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ เมื่อบวช ก็ต้องเป็นพระสัพพัญญูพุทธะ ผู้ทรงเปิดกิเลสดุจหลังคาเสียแล้ว ในโลก มหาบุรุษผู้นี้ต้องเป็นพระพุทธเจ้าโดยไม่ต้องสงสัย จึงเข้าไปต้อนรับ ถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ปูอาสนะถวาย.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ประทับนั่งเหนืออาสนะที่ปูแล้ว.
แม้สรทดาบสก็ถือเอาอาสนะที่สมควรแก่ตน นั่ง ณ ที่สมควรส่วนหนึ่ง.
สมัยนั้น ชฎิล ๗๔,๐๐๐ รูป ก็ถือเอามูลผลาหารอันโอชะอันประณีตมาถึงสำนักของอาจารย์ มองดูอาสนะที่พระพุทธเจ้า และอาจารย์นั่งแล้วกล่าวว่า
ท่านอาจารย์ พวกเราเที่ยวไปด้วยเข้าใจว่า ไม่มีใครเป็นใหญ่กว่า ท่านในโลกนี้ แต่บุรุษผู้นี้เห็นทีจะใหญ่กว่าท่านแน่.
สรทดาบสกล่าวว่า พ่อเอ๋ย พูดอะไร พวกเจ้าประสงค์จะเปรียบขุนเขาสิเนรุ ซึ่งสูง ๖,๐๐๐,๐๐๐ โยชน์ ทำให้เท่ากับเมล็ดพันธุ์ผักกาดกระนั้นหรือ
ลูกเอ๋ยพวกเจ้าอย่าเปรียบเรากับพระสัพพัญญูพุทธเจ้าเลย.
ครั้งนั้น ชฏิลเหล่านั้นคิดว่า ถ้าบุรุษผู้นี้ จักเป็นสัตว์ต่ำช้าแล้วไซร้ อาจารย์ของเราคงไม่นำมาเปรียบเช่นนี้ ที่แท้บุรุษผู้นี้ต้องเป็นใหญ่หนอ ทุกรูปจึงหมอบแทบเบื้องพระยุคลบาท ไหว้ด้วยเศียรเกล้า.
ลำดับนั้นสรทดาบส จึงกล่าวกะดาบสบริวารของตนว่า พ่อเอ๋ย ไทยธรรมของเราที่คู่ควรแก่พระพุทธเจ้าไม่มีเลย. ในเวลาภิกษาจาร พระศาสดา ก็เสด็จมาแล้วในที่นี้ พวกเราจักถวายไทยธรรมตามกำลัง พวกเจ้า จงนำมูลผลาผลของเราที่ประณีตๆ มาแล้วให้นำมาล้างมือแล้ว ก็วางไว้ในบาตรของพระตถาคตด้วยตนเอง. พอพระศาสดาทรง รับผลาผล เทวดาทั้งหลายก็ใส่ทิพโอชะลง.
สรทดาบสก็กรองน้ำถวาย ด้วยตนเอง.
ลำดับนั้น เมื่อพระศาสดาประทับนั่งเสวยเสร็จแล้ว สรทดาบสก็เรียกบริวารมาทุกคน นั่งพูดแต่ถ้อยคำที่เป็นสาราณียกถา ในสำนักพระศาสดา.
พระศาสดาทรงดำริว่า พระอัครสาวกทั้งสอง จงมา พร้อมกับภิกษุสงฆ์ พระอัครสาวกเหล่านั้นรู้ด้วยพระญาณ จึงพากันเหาะมากลางอากาศตามพระดำริของพระศาสดามีพระอรหันต์ขีณาสพแสนองค์เป็นบริวาร มาถวายบังคมพระศาสดาแล้วยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ลำดับนั้น สรทดาบสเรียกพวกบริวารมาพูดว่า พ่อทั้งหลายอาสนะที่พระพุทธเจ้าประทับนั่งนั้นดูจะต่ำนัก อาสนะที่พระสมณะแสนองค์ นั่งก็ไม่มี วันนี้ ควรที่ท่านทั้งหลายจะกระทำพุทธสักการะให้โอฬารท่านทั้งหลายจงนำดอกไม้ที่สมบูรณ์ด้วยสีและกลิ่นจากเชิงบรรพตมาสร้างเป็นอาสนะบัวล้า เพื่อน้อมถวายเป็นพุทธบูชากันเถิด
เวลาที่กล่าวย่อมเป็นเหมือนเนิ่นนานแต่วิสัยของผู้มีฤทธิ์เป็นอจินไตย เพราะเหตุนั้น ดาบสเหล่านั้นจึงนำดอกไม้ที่สมบูรณ์ด้วยสีและกลิ่น มา โดยกาลชั่วลัดนิ้วมือเดียวเท่านั้น ตกแต่งอาสนะดอกไม้ประมาณโยชน์หนึ่งสำหรับพระพุทธเจ้า สำหรับพระอัครสาวกทั้งหลาย ๓ คาวุต (๑ คาวุต =๒,๐๐๐ วา) สำหรับภิกษุที่เหลือต่างกันกึ่งโยชน์ เป็นต้น สำหรับ ภิกษุผู้ใหม่ในสงฆ์ประมาณอุสภะเดียว (๑ อุสภะ = ๒๕ วา)
เมื่อตกแต่งอาสนะเสร็จ เรียบร้อยแล้วสรทดาบสยืนประคองอัญชลีตรงพระพักตร์พระตถาคตแล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอจงเสด็จขึ้นอาสนะดอกไม้นี้ เพื่อประโยชน์และความสุขแก่ข้าพระองค์ตลอดกาลนานเถิด.
พระพุทธเจ้าได้ประทับนั่งบนอาสนะดอกไม้ตลอดเจ็ดวันเจ็ดคืนทำจิต สรทดาบสและบริวารให้ผ่องใส ทำโลกพร้อมทั้งเทวดาให้ร่าเริง.
เมื่อพระศาสดาประทับนั่งอย่างนี้แล้ว พระอัครสาวกทั้งสองกับเหล่าภิกษุที่เหลือ ก็นั่งบนอาสนะอันถึงแล้วแก่ตน ๆ สรทดาบสถือฉัตรดอกไม้ใหญ่ยืนกั้นเหนือพระเศียรพระตถาคต.
พระศาสดาทรงเข้านิโรธสมาบัติด้วยพระดำริว่า สักการะนี้ จงมีผลมากแก่ดาบสทั้งหลาย. พระอัครสาวกทั้งสองก็ดี ภิกษุที่เหลือก็ดี รู้ว่าพระศาสดาทรงเข้าสมาบัติ ก็พากันเข้าสมาบัติ.
เมื่อพระตถาคตนั่งเข้านิโรธสมาบัติตลอด ๗ วัน พวกอันเตวาสิก เมื่อถึงเวลาภิกขาจาร ก็บริโภคมูลผลาหารของป่า ในเวลาที่เหลือก็ยืนประคองอัญชลีแด่พระพุทธเจ้า.
ส่วนสรทดาบส แม้ภิกขาจารก็ไม่ไป ยับยั้งยืนถวายงานอยู่ด้วยปีติและสุขทั้ง ๗ วัน โดยที่ถือฉัตรดอกไม้กางกั้นลมและแสงแดด
พระศาสดาทรงออกจากนิโรธสมาบัติแล้วตรัสเรียกพระ นิสภเถระอัครสาวกผู้นั่งอยู่ ณ เบื้องขวาทรงตรัสว่า นิสภะเธอจงทำบุบผาสนานุโมทนาแก่ดาบสทั้งหลายผู้กระทำสักการะ.
พระเถระดีใจเหมือนทหารใหญ่ได้ลาภมากจากสำนักของพระเจ้าจักรพรรดิ ตั้งอยู่ในสาวกบารมีญาณเริ่มอนุโมทนาเกี่ยวกับการถวายอาสนะดอกไม้. ในเวลาจบเทศนาของพระอัครสาวกนั้น จึงตรัสเรียกทุติยสาวกว่า ภิกษุ แม้เธอก็จงแสดงธรรม.
ฝ่ายพระอโนมเถระพิจารณาพระไตรปิฎกพุทธวจนะมากล่าวธรรมกถา.
ด้วยเทศนาของพระ อัครสาวกทั้งสอง แม้ดาบสสักรูปหนึ่งก็ไม่ได้ตรัสรู้.
ลำดับนั้น พระศาสดาทรงดำรงอยู่ในพุทธวิสัยอันหาประมาณไม่ได้ ทรงเริ่มพระธรรมเทศนา.
ในเวลาจบเทศนา เว้นสรทดาบส ดาบสแม้ทั้งหมดจำนวน ๗๔,๐๐๐ รูป บรรลุพระอรหัต.
พระศาสดาทรงเหยียดพระหัตถ์ตรัสว่า จงเป็นภิกษุมาเถิด.
ในขณะนั้นเอง ผมและหนวดของดาบส เหล่านั้นก็หายไป บริขาร ๘ ก็ได้สรวมสอดเข้าในกายทันที.
ถามว่า เพราะเหตุไร สรทดาบสจึงไม่บรรลุพระอรหัต.
ตอบว่า เพราะมีจิตฟุ้งซ่าน. ได้ยินว่า. จำเดิมตั้งแต่เริ่มฟังเทศนาของพระอัครสาวกผู้นั่งบนอาสนะที่สองของพระพุทธเจ้า ผู้ตั้งอยู่ในสาวกบารมีญาณแสดงธรรมอยู่ สรทดาบสนั้นเกิดความคิดขึ้นว่า โอหนอ แม้เราก็ควรได้หน้าที่ที่พระอัครสาวกเบื้องขวานี้ได้ ในศาสนาของพระพุทธเจ้าผู้จะเสด็จอุบัติขึ้นในอนาคต.
สรทดาบสนั้นไม่อาจทำให้แจ้งมรรคผล ก็เพราะความปริวิตกนั้น จึงถวายบังคมพระตถาคต แล้วยืนตรงพระพักตร์กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภิกษุ ผู้นั่งบนอาสนะติดกับพระองค์ชื่อไร ในศาสนาของพระองค์.
พระศาสดาตรัสว่า ภิกษุนี้ผู้ประกาศตามพระธรรมจักรที่เราประกาศ แล้ว ถึงที่สุดแห่งสาวกบารมีญาณ แทงตลอดโสฬสปัญหา ชื่อว่านิสภเถระอัครสาวกในศาสนาของเรา.
สรทดาบส (ได้ฟังแล้ว) จึงได้ทำความปรารถนาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์กั้นฉัตรดอกไม้ตลอด ๗ วัน กระทำสักการะนี้ใด ด้วยผลของสักการะนี้
นั้น ข้าพระองค์มิได้ปรารถนาเป็นท้าวสักกะหรือเป็นพรหมสักอย่างหนึ่ง แต่ในอนาคต ขอให้ข้าพระองค์พึงเป็นพระอัครสาวกของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง เหมือนพระนิสภเถระนี้.
พระศาสดาทรงส่งอนาคตังสญาณไปตรวจดูว่า ความปรารถนาของดาบสนี้ จักสำเร็จไหมหนอ ก็ได้ทรงเห็นว่าล่วงไปหนึ่งอสงไขยยิ่งด้วยแสนกัปจะสำเร็จ ก็แหละครั้นทรงเห็นแล้วจึงตรัสกะสรทดาบสว่า ความปรารถนาอันนี้ของท่านจักไม่เป็นของเปล่า แต่ในอนาคต ล่วงไปหนึ่งอสังไขยยิ่งด้วยแสนกัป พระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า โคดม จักอุบัติขึ้นในโลก จักมีพระพุทธมารดานามว่า มหามายาเทวี จักมีพระพุทธบิดานามว่า สุทโธทนมหาราช จักมีพระโอรสนามว่าราหุล จักมีพระอุปัฎฐากนามว่า อานนท์ จักมีพระทุติยสาวกนามว่า โมคคัลลานะ
ส่วนตัวท่านจักเป็นพระอัครสาวกของพระโคดมนั้น นามว่าพระธรรมเสนาบดีสารีบุตร ครั้นทรงพยากรณ์ดาบสนั้น อย่างนี้แล้วตรัสธรรมกถา มีภิกษุสงฆ์เป็นบริวารเสด็จเหาะไป ทางอากาศ.
ฝ่ายสรทดาบสไปยังสำนักของพระเถระผู้เคยเป็นอันเตวาสิก แล้วให้ส่งข่าวแก่สิริวัฑฒกุฎมพีผู้เป็นสหายว่า ท่านผู้เจริญ ท่านจงบอกสหายของข้าพเจ้าว่า สรทดาบสผู้สหายของท่าน ปรารถนาตำแหน่งอัครสาวกในศาสนาของพระโคดมพุทธเจ้า ผู้จะเสด็จอุบัติในอนาคต ณ ที่ใกล้บาทมูลของพระอโนมทัสสีพุทธเจ้า ส่วนท่านจงปรารถนาตำแหน่งทุติยสาวกเถิด ก็แหละครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ก็ไปโดยครู่เดียวก่อนหน้าพระเถระทั้งหลาย ได้ยืนอยู่ที่ประตูนิเวศน์ของสิริวัฑฒกุฏมพี
สิริวัฑฒกุฎมพีปราศัยว่า นานหนอ พระผู้เป็นเจ้าจะได้มา แล้วให้นั่งบนอาสนะ ส่วนตนนั่งบนอาสนะตัวที่ต่ำกว่าถามว่า ก็อันเตวาสิกบริษัทของท่านไม่ปรากฎหรือขอรับ สรทดาบสกล่าวว่าเจริญพร สหาย พระอโนมทัสสีพุทธเจ้าเสด็จมาในอาศรมของพวกอาตมภาพ ๆ ได้กระทำสักการะแด่พระองค์ท่านตามกำลังของตน ๆ พระศาสดาทรงแสดงธรรมแก่ดาบสทั้งหมด ในเวลาจบเทศนาดาบสที่เหลือบรรลุพระอรหัต เว้นอาตมภาพ.
สิริวัฑฒกุฏมพีถามว่า เพราะเหตุไรท่านจึงไม่บวช.
สรทดาบสกล่าวว่า อาตมภาพเห็นพระนิสภเถระอัครสาวกของพระศาสดาแล้ว จึงได้ปรารถนาตำแหน่งอัครสาวกในศาสนาของพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่าโคดม ผู้จะเสด็จอุบัติในอนาคต.
แม้ตัวท่านก็จงปรารถนาตำแหน่งทุติยสาวกในศาสนาของพระโคดมพุทธเจ้าพระองค์นั้นเถิด. สิริวัฑฒกุฏมพีกล่าวว่า ท่านขอรับกระผมไม่มีความคุ้นเคยกับพระพุทธเจ้า. สรทดาบสกล่าวว่าการกราบทูลกับพระพุทธเจ้า จงเป็นภาระของอาตมภาพ ท่านจงตระเตรียมอธิการ (สักการะอันยิ่งยวด) ไว้เถิด.
สิริวัฑฒกุฏมพี ฟังคำของสรทดาบสแล้ว จึงให้ปรับสถานที่ประมาณ ๘ กรีส ด้วยไม้วัดหลวง ให้มีพื้นที่เสมอกัน ณ สถานที่ในนิเวศน์ของตนแล้วให้เกลี่ยทรายโปรยดอกไม้มีข้าวตอกเป็นที่ ๕ ให้สร้างมณฑปมุงด้วยดอกอุบลขาบ ตกแต่งพุทธอาสน์ จัดอาสนะสำหรับพระภิกษุแม้ที่เหลือ เตรียมเครื่องสักการะสัมมานะใหญ่โต แล้วให้สัญญาณแก่สรทดาบสเพื่อทูลนิมนต์พระพุทธเจ้า.
ดาบสได้ฟังคำของสิริวัฑฒกุฏมพีนั้นแล้ว จึงพาภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ไปยังนิเวศน์ของสิริวัฑฒกุฏมพีนั้น.
สิริวัฑฒกุฏมพีกระทำการรับเสด็จ รับบาตรจากพระหัตถ์ของพระตถาคตนิมนต์ให้เสด็จเข้าไปยังมณฑป ถวายน้ำทักษิโณทกแด่ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ผู้นั่ง ณ อาสนะที่ตกแต่งไว้แล้ว เลี้ยง ดูด้วยโภชนะอันประณีต ในเวลาเสร็จภัตกิจ ให้ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขครองผ้าอันควรค่ามากแล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ความดำรินี้ เพื่อต้องการฐานะอันมีประมาณเล็กน้อยก็หามิได้ ขอพระองค์ทรงกระทำความอนุเคราะห์แก่ข้าพระองค์ตลอด ๗ วัน ด้วยเถิดพระพุทธเจ้าข้า
พระศาสดาทรงรับนิมนต์แล้ว.
สิริวัฑฒกุฏมพีนั้นยังมหาทานให้เป็นไปไม่ขาดสายตลอด ๗ วันโดยทำนองนั้นนั่นแหละ แล้วถวายบังคมพระผู้พระภาคาเจ้ายืนประคองอัญชลีกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญสรทดาบสสหาย ของข้าพระองค์ได้ตั้งความปรารถนาว่า ขอให้เป็นอัครสาวกของพระศาสดาองค์ใดองค์หนึ่งในอนาคต ข้าพระองค์ขอเป็นทุติยสาวกของพระศาสดาองค์นั้นเหมือนกัน.
พระศาสดาทรงตรวจดูอนาคตทรงเห็นว่า ความปรารถนาของเขาสำเร็จ จึงทรงพยากรณ์ว่า ล่วงไปหนึ่งอสงไขยยิ่งด้วยแสนกัปจากภัทรกัปนี้ไป ท่านจักเป็นทุติยสาวกของพระโคดมพุทธเจ้า สิริวัฑฒกุฏมพีได้ฟังคำพยากรณ์ของพระพุทธเจ้าแล้ว ยินดีร่าเริงเป็นอย่างยิ่ง
ฝ่ายพระศาสดาทรงทำภัตตานุโมทนาแล้ว พร้อมทั้งบริวารเสด็จกลับไปยังพระวิหาร.
จำเดิมแต่นั้นมา สิริวัฑฒกุฏมพีกระทำกุศลกรรมตลอดชีวิตแล้วบังเกิดในเทวโลกชั้นกามาวจร และเจริญพรหมวิหาร ๔ จนได้บังเกิดในพรหมโลก เมื่อหมดบุญจากพรหมโลกแล้วก็เวียนเกิดอยู่ในสุคติอยู่หลายแสนชาติ
พุทธะอิสระ