พระสารีบุตร เมื่อได้ทูลตอบปัญหาแด่พระบรมศาสดาในเรื่องดูอุปนิสัยของปุถุชนและอริยชนไปแล้ว
พระบรมศาสดาทรงยกย่องท่านว่า เป็นผู้เลิศทางปัญญา ทั้งยังได้รับยกย่องว่า เป็นบุคคลยอดกตัญญู
ด้วยวัตรปฏิบัติประจำวันของท่าน เมื่อท่านรู้ว่า พระอัสสชิอาจารย์ท่านอยู่ในทิศใด เวลาจำวัตรท่านจะหันหัวไปทางทิศที่อาจารย์ท่านอยู่ จนเป็นที่โจษจันในหมู่ภิกษุว่า ท่านยังยึดถือความเป็นมงคลตื่นข่าว
พระบรมศาสดาเมื่อทรงเห็นว่า ภิกษุผู้เป็นปุถุชนต่างพากันโจษจันพระสารีบุตรไปในทางถือมงคล
พระบรมศาสดาจึงทรงตรัสประชุมหมู่สงฆ์พร้อมเรียกพระสารีบุตรมาถามว่า ท่านยังถือว่าทิศเป็นมงคลอยู่หรือ
พระสารีบุตรจึงได้ทูลตอบพระบรมศาสดาไปว่าเป็นเช่นนั้นพระพุทธเจ้าข้า ด้วยเพราะพระอัสสชิเถระผู้มีคุณของข้าพระองค์อยู่ในทิศไหน ข้าพระองค์ก็จักหันศีรษะไปทางทิศนั้น เพื่อบูชาคุณแห่งครูพระเจ้าข้า
นอกจากนี้สมัยหนึ่ง ราธะพราหมณ์เฒ่าผู้มีร่างกายไม่แข็งแรง ทุพพลภาพเดินเหินไม่สะดวก แต่ก็มีจิตศรัทธาในพระรัตนไตรมาขอบวชแก่ภิกษุทั้งหลาย แต่ภิกษุทั้งหลายเห็นว่าพราหมณ์เฒ่าชราภาพมากแล้ว เกรงว่าจะมาก่อปัญหา เป็นภาระให้แก่ผู้ให้บวช จึงไม่มีใครบวชให้
พราหมณ์เฒ่านั้นจึงมาขอเข้าเฝ้าองค์พระบรมศาสดา
พระบรมศาสดาจึงตรัสให้ประชุมสงฆ์ แล้วทรงตรัสถามว่า ภิกษุรูปใดเคยได้รับอุปการะจากพราหมณ์เฒ่าผู้นี้บ้าง
ภิกษุทั้งหลายต่างระลึกไม่ได้ ทั้งที่พราหมณ์เฒ่าก็เคยใส่บาตรด้วยอาหารอยู่เนื่องๆ แต่ภิกษุเหล่านั้นต่างพากันคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ด้วยเพราะพราหมณ์เฒ่าผู้นี้เป็นคนยากจน การใส่บาตรด้วยของไม่ปราณีตของพราหมณ์จึงดูว่า เป็นเรื่องเล็กน้อย พระเณรทั้งหมดดูจะไม่สนใจจดจำ
มีแต่พระสารีบุตรองค์เดียวที่ทูลถวายแด่พระบรมศาสดาว่า ข้าพระองค์เคยได้รับอาหารบิณฑบาตจากพราหมณ์เฒ่าผู้นี้ ๑ ทัพพีพระพุทธเจ้าข้า
พระบรมศาสดาจึงทรงตรัสยกย่องพระสารีบุตรว่า เป็นภิกษุยอดกตัญญู แล้วทรงตรัสว่า เช่นนั้นเธอจงบวชให้แก่พราหมณ์เฒ่าผู้นี้เองเทอญ
ในบั้นปลายของชีวิต พระสารีบุตรเถระพิจารณาเห็นว่า ชีวิตของท่านเหลือเวลาอีกไม่เกิน ๗ วัน มารดาของเรานางสารี แม้จักมีลูกชายหญิงบรรลุอรหันต์ถึง ๗ คน แต่มารดายังเป็นมิจฉาทิฐิ
ท่านจึงใช้เวลาที่เหลือเดินทางไปโปรดมารดายังบ้านเกิดของท่าน
ประวัติโดยละเอียดจะนำมาเล่าสู่กันฟังในโอกาสต่อไป
พุทธะอิสระ