พุทธิจริต เป็นผู้ที่มีปกติในการใช้จิตคิด จิตรู้เสียส่วนใหญ่ หรือหากจะอธิบายในวิถีโลกก็ต้องบอกว่า ผู้ที่มีพุทธิจริตจะเป็นคนฉลาด มีปัญญา แต่หาความสงบไม่ค่อยได้
มักจะมีปกติคิดใคร่ครวญอยู่ตลอดเวลา จะดูเหมือนคนไฮเปอร์ เรียกอีกอย่างก็คล้ายคลึงกับคนฟุ้งซ่าน แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นนั้นเพราะยังมีสติปัญญา หยุดยั้งความฟุ้งซ่านนั้นได้
คนมีพุทธิจริตมักจะมีปกติที่ไม่อยู่เฉย ไม่เฉื่อยชา มีความกระตือรือร้นอยู่ตลอดเวลา ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่ามากไปด้วยความเพียรก็ว่าได้
แต่ถ้ามันมากไป ไม่อยู่ในสายกลางจะกลายเป็นผู้ที่ทั้งชีวิตจะหาความสงบสุขมิได้
เช่นนี้แหละพระบรมศาสดาจึงทรงแนะนำให้พวกพุทธิจริตมีจิตตั้งมั่นอยู่ในบทภาวนาที่ว่า
อะธุวัง ชีวิตัง
ชีวิตเป็นของไม่ยั่งยืน
ธุวัง มะระณัง
ความตายเป็นของยั่งยืน
อะวัสสัง มะยา มะริตัพพัง
อันเราจะพึงตายเป็นแท้
มะระณะปะริโยสานัง เม ชีวิตัง
ชีวิตของเรามีความตายเป็นที่สุดรอบ
ชีวิตัง เม อะนิยะตัง
ชีวิตของเรา เป็นของไม่เที่ยง
มะระณัง เม นิยะตัง
ความตายของเรา เป็นของเที่ยง
หรือไม่ก็มีจิตตั้งอยู่ในความว่าง ดับ เย็น อยู่เป็นนิจ
และเมื่อขยันคิด ขยันรู้มากนักก็ให้พิจารณาธาตุทั้ง ๔ ว่ามีเหตุปัจจัยอะไรเป็นองค์ประกอบ เกิดขึ้นได้อย่างไร ตั้งอยู่เพราะอะไร ทำหน้าที่แบบไหน แตกสลายดับไปด้วยเพราะเหตุอันใด
หากยังไม่หนำใจก็ให้พิจารณาปฏิกูล สิ่งสกปรกทั้งภายในภายนอกกาย ทั้งในตนและคนอื่น สัตว์อื่นสิ่งอื่นๆ จนจิตเกิดนิพพิทาญาณ ความเบื่อหน่าย
ขนาดนี้แล้วจิตยังไม่ผ่องแผ้ว แจ่มใสทั้งยังมีตัวกูยิ่งใหญ่ พระบรมศาสดาก็ทรงสอนให้พิจารณาภาวนาว่า
สัพเพ สังขารา อะนิจจา
สังขารคือร่างกาย จิตใจ และรูปธรรม นามธรรม ทั้งหมดทั้งสิ้น มันไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วดับไปมีแล้วหายไป.
สัพเพ สังขารา ทุกขา
สังขารคือร่างกาย จิตใจ แลรูปธรรม นามธรรม ทั้งหมดทั้งสิ้น มันเป็นทุกข์ทนยาก เพราะเกิดขึ้นแล้ว แก่ เจ็บ ตายไป.
สัพเพ ธัมมา อะนัตตา
สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ทั้งที่เป็นสังขาร แลมิใช่สังขารทั้งหมดทั้งสิ้น ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่ควรถือว่าเรา ว่าของเรา ว่าตัวว่าตนของเรา.
สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ
แม้ธรรมทั้งหลายก็ไม่มีอยู่จริง
พวกพุทธิจริตมักจะได้เปรียบกว่าจริตอื่นๆ ตรงที่มียาหรือกรรมฐานรักษาโรคตนเองได้หลากหลายมากกว่าจริตอื่นๆ
ทั้งยังมีตัวเลือกได้มากกว่าในเรื่องทำดี พูดดี คิดดี หรือจะเลือกทำชั่ว พูดชั่ว คิดชั่ว
ด้วยเพราะมีปัญญา ความเฉลียวฉลาดเป็นพลังสนับสนุน
หากจะเลือกทำ พูด คิด ดีก็จะได้ดีมากกว่าจริตอื่นๆ
แต่หากจะเลือกทำ พูด คิด ชั่วก็จะชั่วจนสุดกู่ จนไม่น่าเชื่อว่าชีวิตของคนๆ หนึ่งมันจะชั่วได้ขนาดนี้
แต่ก็ไม่ต้องกลัว วิตกกังวลไป เพราะเผ่าพันธุ์พุทธิจริตที่มาเกิดในชาตินี้ ภพนี้มีไม่มากนัก ด้วยเพราะกว่าจะมาเป็นนายหรือนางพุทธิจริตได้ มันต้องสั่งสมอบรม เจริญสติปัญญามาจนภพชาติแทบนับไม่ถ้วนทีเดียวหละ
คนพันธุ์พุทธิจริตจึงมีมาเกิดน้อย
วิสัชนาเรื่องพุทธิจริตเอาไว้แค่นี้พอเป็นกระสาย หากจะพูดมากไปเดี๋ยวจะเข้าตัว วันหน้าจะนำบุคคลที่ตกอยู่ในอำนาจพุทธิจริตมาเล่าสู่กันฟังต่อไป
พุทธะอิสระ