อธิกรณสมถะ หมายความว่าธรรมเป็นเครื่องระงับอธิกรณ์ หรือวิธีการดำเนินการเพื่อระงับอธิกรณ์ที่เกิดขึ้นให้สำเร็จลงอย่างเรียบร้อยด้วยดี มี ๗ ประการดังนี้
๑. สัมมุขาวินัย หมายถึง วิธีระงับหรือตัดสินในที่พร้อมหน้า ได้แก่ พร้อมหน้าโจทก์ พร้อมหน้าพยาน พร้อมหน้าผู้เสียหาย พร้อมหน้าวัตถุ และพร้อมหน้าพระธรรมวินัย โดยมีดังต่อไปนี้
๑.๑ สังฆสัมมุขตา คือ ระงับอธิกรณ์(คดีสงฆ์)ในที่พร้อมหน้าสงฆ์ คือมีสงฆ์เข้าร่วมประชุมครบองค์สงฆ์ตามกิจนั้นๆ เรียกว่าวิธีระงับต่อหน้าสงฆ์
๑.๒ บุคคลสัมมุขตา คือ ระงับอธิกรณ์(คดีสงฆ์)ในที่พร้อมหน้าบุคคล คือมีบุคคลผู้เกี่ยวข้องกับอธิกรณ์อยู่พร้อมหน้ากันในขนะนั้นด้วย เรียกว่า วิธีระงับต่อหน้าบุคคล
๑.๓ วัตถุสัมมุขตา คือ ระงับอธิกรณ์(คดีสงฆ์)ในที่พร้อมหน้าวัตถุ คือ ยกเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นๆ มาวินิจฉัยตรงตามเรื่องนั้น เรียกว่าวิธีระงับต่อหน้าวัตถุ
๑.๔ ธัมมสัมมุขตา คือ ระงับอธิกรณ์(คดีสงฆ์)ในที่พร้อมหน้าธรรม คือ นำเอาหลักเกณฑ์ของธรรมมาวินิจฉัยว่าถูกต้องตามธรรมนั้นๆ หรือไม่ เรียกว่า วิธีระงับต่อหน้าธรรม
๑.๕ วินัยสัมมุขตา คือ ระงับอธิกรณ์(คดีสงฆ์) ในที่พร้อมหน้าวินัย คือนำเอาวินัยมาวินิจฉัยว่า ถูกต้องตามพระวินัยหรือไม่ เรียกว่า วิธีระงับต่อหน้าวินัย
อนึ่งสัมมุขขาวินัยนี้ใช้ระงับอธิกรณ์ได้ทุกเรื่อง
 
๒. สติวินัย วิธีระงับคดีหรือตัดสินอธิกรณ์(คดีสงฆ์) ด้วยการยกเอาสติขึ้นเป็นหลักวินิจฉัย ได้แก่ วิธีการระงับอนุวาทาธิกรณ์ที่เกิดขึ้นแก่พระอรหันต์ คือเมื่อมีผู้โจทพระอรหันต์ด้วยศีลวิบัติสงฆ์เห็นว่าจำเลยเป็นพระอรหันต์ไม่อยู่ในฐานะที่จะต้องอาบัติตามที่โจทก์ฟ้องร้องได้ จึงสวดประกาศให้สติวินัยนี้ไว้แก่พระอรหันต์รูปนั้น แล้วยกฟ้องเสีย ภายหลังเมื่อจำเลยถูกผู้อื่นโจทด้วยอาบัติเช่นนั้นอีก ก็ไม่ต้องพิจารณาคดีให้อธิกรณ์(คดีสงฆ์)ระงับด้วยสติวินัยนี้เลย แม้ที่สุดอธิกรณ์ที่เกิดแก่ภิกษุผู้มีสติวิปลาส ก็ใช้หลักพิจารณาในลักษณะเดียวกัน
 
๓. อมูฬหวินัย วิธีระงับอธิกรณ์(คดีสงฆ์) แก่ภิกษุที่หายเป็นบ้าแล้ว ได้แก่ วิธีระงับอนุวาทาธิกรณ์ที่เกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้เป็นบ้า คือภิกษุผู้เป็นจำเลยทำการล่วงละเมิดอาบัติในขณะเป็นบ้า แม้จะได้รับการยกเว้นว่าไม่เป็นอาบัติ(อนาบัติ)ก็จริง เมื่อเธอหายบ้าแล้วมีผู้โจทเธอด้วยอาบัติที่เธอทำล่วงในระหว่างเป็นบ้านั้นแล้ว ๆ เล่าๆ ไม่มีจบสิ้น สงฆ์พึงสวดกรรมวาจาประกาศความข้อนี้ไว้เรียกว่า ให้อนูฬหวินัยแก่ภิกษุผู้หายเป็นบ้าแล้ว จึงยกฟ้องคำร้องของโจทก์เสีย ภายหลังมีผู้มาโจทเธอด้วยอาบัติเช่นนั้นอีก ก็ไม่ต้องวินิจฉัยให้อธิกรณ์ระงับไว้เลย
 
๔. ปฏิญญาตกรณะ วิธีระงับอธิกรณ์(คดีสงฆ์) ตามคำรับสารภาพของภิกษุผู้เป็นจำเลย คือ มีผู้โจทภิกษุด้วยอาบัติ เมื่อสงฆ์ประชุมวินิจฉัยคดี สอบถามภิกษุผู้เป็นจำเลยนั้นแล้ว และภิกษุจำเลยนั้นก็ยอมรับอาบัติใดตามความสัตย์จริง สงฆ์ก็พึงปรับอาบัติตามที่เธอยอมรับสารภาพนั้น รวมทั้งการปลงอาบัติที่เธอต้องด้วยก็ชื่อว่าปฏิญญาตกรณะนี้ด้วย
 
๕. ตัสสปาปิยสิกา วิธีระงับอธิกรณ์(คดีสงฆ์) แก่ภิกษุผู้เลวทรามที่ไม่ยอมรับอาบัติ คือ วิธีระงับอนุวาทาธิกรณ์ที่สงฆ์พึงลงโทษแก่ภิกษุผู้ต้องอธิกรณ์แล้ว เมื่อสงฆ์ประชุมกันพิจารณาคดีกลับให้การกลับไปกลับมา ปฏิเสธบ้าง รับสารภาพบ้าง พูดเถลไถลกลบเกลื่อนข้อที่ถูกซักถามบ้าง และพูดมุสาซึ่งหน้าบ้าง ดังนี้เป็นต้น สงฆ์พึงลงโทษตามความผิด แม้ว่าเธอจะไม่ยอมรับก็ตาม หรือเพิ่มโทษแก่เธอจากอาบัติที่ต้องก็ได้
 
๖. เยภุยยสิกา วิธีระงับอธิกรณ์(คดีสงฆ์) ด้วยการถือเอาตามเสียงข้างมาก ได้แก่ วิธีการตัดสินอธิกรณ์ในกรณีที่มีความไม่ลงรอยกันของสงฆ์ผู้พิจารณาคดีแตกออกเป็นสองฝ่าย ให้ตัดสินโดยถือเอาเสียงข้างมากเป็นเกณฑ์ เช่น วิธีจับสลากลงคะแนน(ชี้ข้อถูกผิด)ข้างใดมีภิกษุผู้พิจารณาลงความเห็นมากกว่า ก็ถือว่าฝ่ายนั้นเป็นฝ่ายชนะ แล้วถือเอาตามนั้น ใช้สำหรับวิธีพิจารณาวิวาทธิกรณ์อย่างเดียว
 
๗. ติณวัตถารกวินัย วิธีระงับอธิกรณ์ด้วยการประนีประนอมกันทั้งสองฝ่าย ได้แก่ วิธีระงับอาปัตตาธิกรณ์ที่เกี่ยวกับลหุกาบัติ ซึ่งเกี่ยวข้องกับภิกษุจำนวนมาก ต่างฝ่ายต่างก็ประพฤติไม่เหมาะสมด้วยกัน และซัดทอดกันไปมาจนเรื่องสับสนนุงนังไปหมด ซึ่งจะเป็นชนวนให้เกิดการทะเลาะวิวาทกันหนักขึ้น ถ้าจะระงับด้วยวิธีอื่นยิ่งจะทำให้อธิกรณ์(คดีสงฆ์)ลุกลามใหญ่โตมากขึ้นยากที่จะสอบสวนให้มีการปรับอาบัติและแสดงอาบัติแก่อีกฝ่ายหนึ่งได้ ดังนั้น จึงให้ระงับเสียด้วยการประนีประนอมกัน ยกเลิกอธิกรณ์เสียไม่ต้องสะสางหาความหลังกันอีก (ติณวัตถารกวินัยตามศัพท์แปลว่า วิธีแบบเอาหญ้ากลบไว้ คือพอให้เรื่องต่างๆ แล้วๆ กันไป ไม่เรียบร้อยสมบูรณ์ดีนัก)
 
อธิกรณสมถะทั้ง ๗ นี้แม้พระบรมศาสดาทรงประทานให้ไว้เป็นหลักในการระงับคดีความ เรื่องราวที่เกิดขึ้นในการอยู่ร่วมกันของหมู่สงฆ์ก็ตาม
แต่วิธีทั้ง ๗ นี้ต้องกระทำโดยจิตที่หวังดี และเอ็นดู ปรารถนาให้โจทก์และผู้ถูกโจทก์ รวมทั้งผู้เสียหาย เจริญตั้งมั่นอยู่ในกุศลอย่างไม่เสื่อมคลาย
ทั้งต้องไม่ระงับอธิกรณ์หรืออัตถะคดีต่างๆ ด้วยอคติ ๔
๑. ลำเอียงเพราะรัก
๒. ลำเอียงเพราะโกธร
๓. ลำเอียงเพราะกลัวหรือเกรงใจ
๔. ลำเอียงเพราะหลง
 
แต่ดูเหมือนว่าอธิกรณสมถะทั้ง ๗ นี้จะถูกคณะสงฆ์ในปัจจุบันลืมเลือนไปเสียแล้ว ความเสื่อมศรัทธาในหมู่สงฆ์จึงค่อยๆ เกิดขึ้นดังที่เห็นๆ กันอยู่
ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ จะมีคุณพระเอกที่หยิบฉวยเอาสิ่งที่พระบรมศาสดาทรงบัญญัติไว้มาใช้ให้เกิดประโยชน์แก่สังฆมณฑลกันเสียที
 
พุทธะอิสระ