ฉันเกิดมา ๖๐ กว่าปีแล้ว เห็นอะไรๆ มาก็มาก เรื่องราวต่างๆ ทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ ศิลปวัฒนธรรม การเมือง พลังงาน ทรัพยากร การศึกษา และความมั่นคง
ไม่มีเรื่องใดในภูมิภาคนี้ จะไม่ถูกพวกประเทศล่าอาณานิคมเข้าแทรกแซง
ตัวอย่างทางสังคมไทยในอดีต พวกฝรั่งมันส่งขี้ยาพี้กัญชาที่เรียกตนเองว่า บุปผาชน หรือชาวไทยเรียกว่า ฮิปปี้ ไว้ผมยาวแต่งตัวตามสบาย ไม่ว่าจะเข้าสังคมอย่างไร คนพวกนี้มันไม่สนใจ แต่งตัวโป๊วอม ๆ แวม ๆ มาสมสู่กันในโบราณสถาน แถมทำตัวเป็นมาเฟีย วางอำนาจเอากับคนไทย
โชคดีที่ตอนนั้น สังคมไทยยังแข็งแรงรวมตัวกันอย่างเหนียวแน่น ปกป้องรักษาวัฒนธรรมไทยและเยาวชนไทยเอาไว้ได้ เลยรอดพ้นจากการเข้ามาบ่อนทำลายของพวกไอ้กัน
ในเรื่องเศรษฐกิจ นักลงทุนต่างชาติก็ใช้อำนาจทางทหาร และการเป็นประเทศใหญ่เข้ามาบีบไทยให้ยอมจำนน อนุมัติสัมปทานสินแร่ ป่าไม้ พลังงาน ให้กับมันโดยที่ไทยได้กลับมาแค่เศษเงินเล็กน้อย
ยิ่งในเรื่องศิลปวัฒนธรรม คนไทยที่เกิดทันคงจำกันได้ ถึงขนาดคาราบาวต้องแต่งเพลงทวงคืนทับหลัง พระนารายณ์สมบัติชาติคืน ซึ่งมีเนื้อเพลงท่อนหนึ่งว่า “เอาไมเคิ๊ล แจ็คสัน คืนไป ( เอาพระ นารายณ์ คืนมา )”
 
"ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์" ได้กลับคืนสู่ประเทศไทยเมื่อ พ.ศ.2531 หลังจากที่รัฐและประชาชนคนไทยได้ร่วมกันเรียกร้องต่อสถาบันศิลปะแห่งชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อขอคืนทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ที่ถูกลักลอบขโมยจากปราสาทพนมรุ้ง จ.บุรีรัมย์ ไปขายให้กับชาวอเมริกัน ตั้งแต่ พ.ศ.2504
ในการเรียกร้องครั้งนั้นมีหลักฐานที่สำคัญคือภาพถ่ายที่ถ่ายไว้ครั้งสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสด็จประพาสปราสาทพนมรุ้งเมื่อ พ.ศ.2472 และภาพถ่ายของอาจารย์มานิต วัลลิโภดม ได้ถ่ายไว้เมื่อ พ.ศ.2503 แต่การเรียกร้องขอคืนก็มีอุปสรรคต่างๆ ไม่น้อย โดยได้ดำเนินการมาตั้งแต่ พ.ศ.2516 เรื่อยมา
จนกระทั่ง พ.ศ.2531 เมื่อการบูรณะปราสาทพนมรุ้งด้วยวิธีอนัสติโลซีสเกือบจะเสร็จสมบูรณ์ และเปิดเป็นอุทยานประวัติศาสตร์พนมรุ้งได้ การดำเนินการทวงทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์จึงเข้มข้นมากขึ้น และเพลง "ทับหลัง" ของวงคาราบาว ที่มีท่อนฮุคโดนใจว่า "...เอาไมเคิลแจ็คสันคืนไป เอาพระนารายณ์คืนมา..." ก็ได้กลายเป็นเพลงฮิตติดหูขึ้นมาในช่วงนั้น
ก็ทำให้สถาบันศิลปะแห่งชิคาโกส่งมอบทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์คืนให้แก่รัฐบาลไทยในที่สุดเมื่อวันที่ 10 พ.ย. 2531 และได้นำเอาทับหลังชิ้นนี้กลับไปติดตั้งยังที่เดิม ณ องค์ปราสาทประธานพนมรุ้งในวันที่ 7 ธ.ค. ปีเดียวกัน

ในยุคนั้นสังคมไทยตื่นรู้กับพิษภัยของฝรั่งตาน้ำข้าว จึงรวมตัวกันขับไล่ ประท้วง ไล่ไอ้กันถอนกำลังออกจากสนามบินอู่ตะเภา

17 พฤษภาคม พ.ศ. 2518 ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย ได้นำนักศึกษาและประชาชนจำนวนมากเดินขบวนไปประท้วงหน้าสถานเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา เพื่อต่อต้านกองทัพสหรัฐอเมริกาที่ใช้สนามบินอู่ตะเภาเป็นฐานปฏิบัติการทางทหารตามอำเภอใจ การกดดันของนิสิตนักศึกษาและประชาชนครั้งนั้น ได้ส่งผลทำให้รัฐบาลไทยต้องขอให้สหรัฐอเมริกาทำหนังสือขอโทษประเทศไทยอย่างเป็นทางการ เพราะเป็นการกระทำที่ไม่มีการแจ้งให้ฝ่ายไทยได้รับรู้
พล.ต.ชาติชาย ชุณหะวัณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในขณะนั้น ได้เรียกตัวนายอานันท์ ปันยารชุน เอกอัครราชทูตไทยประจำสหรัฐอเมริกา เดินทางกลับประเทศไทยอันเป็นการประท้วงในระหว่างที่รอให้สหรัฐอเมริกาขอโทษประเทศไทย
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2555 นายอานันท์ ปันยารชุน ได้ร่วมบรรยายในงานสัมมนา “ปราชญ์สยาม นามคึกฤทธิ์” โดยได้กล่าวความตอนหนึ่งถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า:
“มีเหตุการณ์หนึ่ง ตอนนั้นผมเป็นทูตอยู่ที่วอชิงตัน สหรัฐอเมริกาในช่วงนั้นมีการสู้กันของเขมรหลายฝ่าย ไทยและอเมริกาสนับสนุนเขมรฝ่ายหนึ่งตอนนั้นมีกรณีที่เรือรบขนาดใหญ่ของอเมริกาใช้น่านน้ำไทยผ่านไปสู่น่านน้ำเขมรและแผ่นดินเขมรเมื่อมีการใช้ไทยเป็นฐาน รัฐบาลของ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ประกาศนโยบายว่าต่อไปถ้าอเมริกาใช้น่านน้ำไทยหรือแผ่นดินไทยผ่านจะต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาลก่อนรวมทั้งได้เรียกทูตกลับประเทศ เพื่อเป็นการแสดงความไม่พอใจ”
ในที่สุดสหรัฐอเมริกาจึงได้ส่งสาสน์แสดงความเสียใจอย่างเป็นทางการ แต่นิสิตนักศึกษาและประชาชนในยุคนั้นก็ยังชุมนุมต่อเพื่อให้สหรัฐอเมริกาย้ายฐานทัพออกจากประเทศไทย
ด้วยเหตุนี้รัฐบาลไทยจึงได้ขีดเส้นตายให้สหรัฐอเมริกาถอนทหารให้หมดจากประเทศไทย และเดือนธันวาคม พ.ศ. 2518 เครื่องบินลำสุดท้ายก็บินออกจากประเทศไทย และเป็นการยุติการใช้ฐานทัพในประเทศไทยนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ด้านการศึกษา สหรัฐและองค์กรการกุศลได้เล็งเห็นว่า สังคมไทยรวมตัวกันอย่างเหนียวแน่น เข้มแข็ง โดยเฉพาะเยาวชนคนรุ่นใหม่ในสมัยนั้น
จึงเข้าแทรกแซงในรูปแบบของการสนับสนุนทุนการศึกษาให้กับสถาบันการศึกษาต่างๆ ทั่วประเทศ
แต่สิ่งหนึ่งที่แผ่นดินไทยได้กลับมา คือ เยาวชนคนของชาติไทยกลายเป็นคนของอเมริกา ไปอย่างไม่น่าเชื่อ
คนรุ่นใหม่เหล่านี้ กลายมาเป็นปากเป็นเสียงให้กับลัทธิล่าอาณานิคม ต่อสู้กับคนไทยด้วยกันเอง
แม้แต่ในด้านศิลปะการแสดง นักล่าอาณานิคมก็ใช้ภาพยนตร์ วีดีทัศน์ หนังสือการ์ตูน และดาราฮอลลีวูด เป็นเครื่องมือในการโฆษณาชวนเชื่อ ให้ผู้รับชมรู้สึกว่าอเมริกาเป็นฮีโร่ของโลกใบนี้ จีน รัสเซีย และประเทศที่ไม่เป็นมิตรกับอเมริกาต่างหากเล่าที่เป็นผู้ร้าย
เด็กไทยดูหนัง ดูซีรีย์เหล่านี้ทุกๆ วัน จนกลายเป็นพวกคลั่งอเมริกา
ทั้งที่แท้จริงแล้วนั่นคือ การล้างสมองผู้ชมให้ตกเป็นทาสของลัทธิล่าอาณานิคมโดยไม่รู้ตัว
ท่านทั้งหลายหากสังเกตจะเห็นว่า ภาพยนตร์หลายๆ เรื่องที่ได้รับความนิยมต้องมีจีน รัสเซีย อิหร่าน ปากีสถาน เกาหลีเหนือ กลายเป็นผู้ร้ายในหนังหรือซีรีย์ เรื่องนั้นไปโดยเราไม่มีโอกาสจะปฏิเสธ
นี่คือตัวอย่างของการแทรกแซงทางด้านศิลปวัฒนธรรม
แม้ในวงการสื่อทั้งไทยและต่างประเทศ ชาติล่าอาณานิคมก็สามารถชี้นำการเสนอข่าวสารได้ดังใจปรารถนา
เขาต้องการจะให้ข่าวในแต่ละเรื่องไปในทิศทางใดโดยเฉพาะข่าวสารการทหาร และการเมืองระหว่างประเทศ สื่อทั้งหลายก็พากันประโคมข่าวในเรื่องนั้นๆ จากเรื่องที่เท็จก็กลายเป็นเรื่องจริงไปในทันที
โดยไม่เว้นแม้แต่สื่อไทย อเมริกาก็สามารถเข้ามาแทรกแซงสั่งการได้ เช่น กรณี ที่เกิดขึ้นกับสื่อช่อง ๕ มาไม่นานนี้เอง
ในเรื่องของทรัพยากรก็เช่นเดียวกัน การที่บริษัทอเมริกาจะมาได้สัมปทานขุดเจาะ ดูดพลังงานของไทยได้ ก็ด้วยอิทธิพลของชาติมหาอำนาจ เข้ามาบีบบังคับให้ไทยต้องอนุมัติให้สัมปทานด้วยมูลค่าที่ถูกแสนถูก
โดยมีนักการเมืองขายชาติ บางคน บางพรรค ให้ความช่วยเหลือ สนับสนุน จนคนไทยต้องตกเป็นเบี้ยล่างของฝรั่งนักล่าอาณานิคมไปโดยปริยาย
ฉะนั้น ไอ้คำที่พวกนักล่าอาณานิคมพ่นพูดปฏิเสธว่า ไม่เคยแทรกแซงประเทศไหนเลย นั่นคือ ฝรั่งโกหก
 
พุทธะอิสระ