ข่าวคราวคนห่มเหลืองกระทำการทุศีล ละเมิดพระธรรมวินัยเป็นอาบัติ มีให้เห็นกันทุกวี่วัน
สิ่งเหล่านี้มันทำร้ายศรัทธาแก่ผู้พบเห็น จนบางคนถึงขนาดประกาศว่า ไม่อยากนับถือศาสนาแล้ว
พุทธะอิสระ จึงอยากจะบอกท่านทั้งหลายว่า ใจเย็นไว้โยม สิ่งที่ท่านเห็น สิ่งที่ท่านได้ยิน คนห่มเหลืองทุศีล มันเกิดขึ้นมาตั้งสองพันกว่าปีแล้ว
แต่ที่ไม่มี คือ สื่อสารมวลชน ที่ทำหน้าที่กระพือข่าว และไม่มีเฟซบุ๊ก ยูทูป อินสตาแกรม ติ๊กต็อก และอื่นๆ
ที่จ้องจะหยิบฉวยเอาเรื่องชั่วร้ายของคนห่มเหลือง ออกมาเผยแพร่
หากมองอย่างสร้างสรรค์ก็อาจมองได้ว่า การโพทนาเช่นนั้น จะทำให้สังคมได้รับรู้ถึงความผิดของคนห่มเหลือง เขาจะได้ระมัดระวังพฤติกรรม และเปลี่ยนแปลงนิสัย
ทั้งยังเป็นการกระตุ้นให้สังคมตื่นรู้ถึงพิษภัย และอันตรายที่เกิดจากคนห่มเหลืองผู้ทุศีล จะได้ช่วยกันระมัดระวัง รุกไล่ เหลืองทุศีลให้ออกไปจากสังฆมณฑล
แต่ถ้ามองในมุมถนอม รักษา ภาพลักษณ์ของพระพุทธศาสนา ก็มองได้ว่า การโพทนา ข่าวร้ายที่เหลืองทุศีลกระทำ มันเป็นการซ้ำเติมสังฆมณฑลให้ตกต่ำ เสียหาย ทำร้ายศรัทธา
ซึ่งมุมนี้บรรดาสมมุติสงฆ์ผู้ปกครองต่างรู้สึกวิตกกังวล และกลัวกันนักหนา
แต่ถ้าเราท่านทั้งหลายมามองในมุมของพระบรมศาสดาทรงบัญญัติข้อห้ามเอาไว้ว่า ภิกษุใดปกปิดอาบัติชั่วหยาบของภิกษุอื่น ต้องอาบัติปาจิตตีย์
และถือว่า ไม่เอื้อเฟื้อต่อพระธรรมวินัย ต้องอาบัติปาจิตตีย์
ทีนี้เรามาดูกันในประเด็นที่โพสต์ว่า คนห่มเหลืองทุศีลมีมาแล้วตั้งแต่สองพันกว่าปีที่แล้ว หาใช้ของแปลกใหม่ไม่ มีใครบ้าง ก็ต้องยกเอาวีรกรรมของโลลุทายี ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของอาบัติมากหลาย
ท่านผู้เดียวก็ละเมิดพระวินัยจนต้องอาบัติจนนับไม่ถ้วย เช่น
สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๒ ห้ามจับต้องกายหญิง
สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๓ ห้ามพูดเกี้ยวหญิง
สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๔ ห้ามพูดล่อหญิงให้บำเรอตนด้วยกาม
สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๕ ห้ามชักสื่อ
อาบัติสังฆาทิเสสทุกข้อต้องอยู่กรรมจึงจะพ้นได้
แม้ในอนิยต ๒ พระโลลุทายี ยังละเมิดไปถึง ๒ สิกขาบท คือ
๑. นั่งในที่ลับตากับหญิงสองต่อสอง ต้องอาบัติ
๒. นั่งในที่ลับหูกับหญิงสองต่อสอง ต้องอาบัติ
อาบัติในอนิยตทั้ง ๒ สิกขาบทเกิดขึ้นตามการโจทของผู้มีคุณธรรม
อีกทั้งพระโลลุทายี ยังละเมิดอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ที่ว่าด้วย
- ห้ามใช้นางภิกษุณีซักผ้า
- ห้ามรับจีวรจากมือของนางภิกษุณี
ทั้งสองสิกขาบทนี้ต้องอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ จะต้องทิ้งของนั้นเสียก่อนจึงจะปลงอาบัติตก
พระโลลุทายี ยังละเมิดข้อห้ามจนต้องอาบัติปาจิตตีย์ถึง ๔ สิกขาบท (๔ ข้อ)
- ห้ามแสดงธรรมสองต่อสองกับผู้หญิง
- ห้ามเย็บจีวรให้นางภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ (ข้อนี้หมายรวมถึง สิ่งของต่างๆ ที่ให้ด้วยความสิเนหา)
- ห้ามนั่งในที่ลับสองต่อสองกับนางภิกษุณีหรือผู้หญิง
- ห้ามฆ่าสัตว์
นี่แค่พระโลลุทายี ผู้เดียวยังเหมาอาบัติเกือบทุกสิกขาบทไปตั้งมากมาย แต่ที่พระโลลุทายี อยู่ในพระธรรมวินัยได้ ก็เพราะไม่มีสื่อโพทนาจนกลายเป็นโลกวัชชะ โลกติเตียน เหมือนปัจจุบัน
อีกทั้งพระบรมศาสดายังทรงแสดงสันดานของโลลุทายีไว้ว่า เป็นผู้เลอะเทอะมาตั้งแต่อดีตชาติ เมื่อองค์พระบรมศาสดาทรงตรัสชี้ให้พระโลลุทายี ได้เห็นถึงบุพกรรมในอดีต พร้อมแสดงธรรมภาษิตจนฟอกจิตโลลุทายี ให้คลายจากความกำหนัด คลายจากความยึดมั่นในขันธ์ทั้ง ๕ ได้บรรลุพระอริยบุคคลในที่สุด
นี่คือตัวอย่างของต้นร้ายปลายดี
อย่าคิดอะไรมากเลยโยม เดียวก็เช้าแล้ว
ผู้มีจิตศรัทธาต่อพระพุทธธรรมอย่างตั้งมั่น
เรื่องเลวร้ายของสมมุติสงฆ์ที่เกิดขึ้น หาได้ทำให้ศรัทธานั้นเสียความไม่
 
พุทธะอิสระ