หลังจากอธิบายความหมายของคุณศีล คุณทาน คุณธรรม กันไปแล้ว วันนี้เรามาทำความเข้าใจให้แจ่มชัดถึงคุณแห่งปัญญา ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน ๒ ชนิด คือ
โลกิยปัญญา หมายถึง ปัญญาอันเป็นเครื่องอยู่ เครื่องอาศัยในโลกสมมุติ หรือ โลกิยโลก เพื่อให้ดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างเจริญ รุ่งเรือง หรือเรียกอีกนัยหนึ่งว่า ปัญญาในการหาอยู่หากิน และปัญญาในการแก้ปัญหา
รู้จักแยกแยะว่าสิ่งใดเป็นประโยชน์ สิ่งใดมิใช่ประโยชน์
ทั้งยังรู้จักแยกแยะว่าอะไรเป็นบุญ อะไรเป็นบาป และมีปัญญามองโลกตามความเป็นจริงในระดับขั้นแห่งการเป็นสมมุติ
โลกุตรปัญญา ปัญญารู้ชัดแจ่มแจ้งในมายาการของโลก
ปัญญาที่นำพาสัตว์ให้หลุดพ้นจากการครอบงำของมายาการแห่งโลก
โลกุตรปัญญา ยังหมายความถึงการหลุดพ้นด้วยอำนาจของปัญญา ทั้งยังเป็นปัญญา ที่เกิดจากภาวนาอันบริสุทธิ์
โลกิยปัญญาและโลกุตรปัญญา ล้วนมีวิถีแห่งการเกิดมาจาก
สุตตมยปัญญา ฟังด้วยดี อย่างมีสติตั้งมั่น
จินตามยปัญญา คิดวิเคราะห์ ใคร่ครวญ พินิจพิจารณาในทุกสิ่งที่รับฟังมา
ภาวนามยปัญญา คือ การลงไม้ลงมือทำให้ดียิ่งขึ้น ให้เจริญมากขึ้น ด้วยสติปัญญาอันยิ่งยวด ที่สมบูรณ์
อีกทั้งยังหมายถึง การทำให้ปัญญาที่รู้ชัดตามความเป็นจริงเจริญยิ่งๆ ขึ้น
ทั้งโลกิยปัญญาและโลกุตรปัญญา ยังเป็นสิ่งที่สามารถติดตามตนไปได้ข้ามภพข้ามชาติ ที่เรียกว่า สหชาติปัญญา
โลกิยปัญญา มีอานิสงส์ส่งให้ ทำ พูด คิด ไม่ผิดพลาด
- ช่วยบรรเทาความทุกข์ยากลำยาก ให้เบาบาง น้อยลง
- ช่วยบริหารจัดการชีวิตและปัญหาได้อย่างหมดจด ละเอียด รอบคอบ
- ช่วยเพิ่มพูนคุณค่าของความเป็นมนุษย์ให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น
- ทำให้สุคติภพเป็นที่มุ่งหวังได้ สำหรับคนมีสติปัญญา ทั้งยังเป็นที่รักของมนุษย์ พรหม มาร
โลกุตรปัญญา มีอานิสงส์ดังนี้ คือ
- ทำให้อยู่ในโลกสมมุติและปรมัติได้อย่างมีอิสระ
- รุ่งเรือง เจริญ ขณะอยู่ในโลกทั้งสอง
- เข้านิโรธสมาบัติ และมรรคผลได้ง่าย
- เป็นต้นแบบของหมู่มนุษย์และเทวดาทั้งหลาย
อันที่จริงแล้วคุณแห่งพระธรรมยิ่งใหญ่ กว้างขวาง ใหญ่โตมาจนสุดจะหยิบยกมาบรรยายได้หมด
แต่ให้เข้าใจเอาไว้ว่า ผู้ประพฤติธรรม ย่อมอยู่เป็นสุขทั้งโลกนี้และโลกหน้า
 
พุทธะอิสระ