พระบรมศาสดาอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสสอนว่า ต่อให้นำบิดามารดา แบกไว้บนบ่าทั้งสองข้าง พร้อมให้บิดามารดาอุจจาระ ปัสสาวะ ลงบนบ่านั้น ป้อนข้าวป้อนน้ำ กินนอนบนบ่า ของบุตรอยู่เป็น ๑๐๐ ปี ก็ยังไม่ชื่อว่าแทนคุณท่านได้หมด
เพราะสิ่งที่บิดามารดา ควรอบรมสั่งสอนบุตรตั้งแต่เริ่มอยู่ในอุทร คือ คุณประโยชน์ที่ส่งผลให้บุตรมีความผาสุก ความเจริญ ทั้งโลกนี้และโลกหน้า ด้วยหลักคำสอนแก่บุตร ๕ ประการ ดังนี้
๑. ห้ามเสียจากบาป ชี้นำบอกกล่าวในสิ่งที่เป็นโทษ แก่บุตรได้เรียนรู้
๒. ให้ตั้งอยู่ในความดี แนะนำให้บุตรประพฤติปฏิบัติในสิ่งที่ดีงาม
๓. ให้ศึกษาศิลปะ ให้มีสติปัญญาความรู้ พรั่งพร้อมที่จะดำรงชีวิต
๔. ให้มีคู่ครองที่สมควร ให้มีคู่คิด คู่ใจ ที่สามารถชักนำชีวิตครอบครัวมั่นคงเจริญได้
๕. มอบมรดกให้ตามเวลา ที่บิดามารดาเห็นว่า บุตรจะสามารถปกครอง บริหาร ทรัพย์มรดกนั้นๆ ให้เจริญมั่นคงยิ่งๆ ขึ้นไปได้
อธิบายความคำว่า เลี้ยงดู หมายถึง เลี้ยงดูทางกาย และการเลี้ยงดูทางจิตใจ
นักปราชญ์ บัณฑิตแต่โบราณ ท่านให้คำนิยาม ในการตอบแทนคุณบิดา มารดาเอาไว้ ๕ ลำดับ ดังนี้
๑. ท่านเลี้ยงเรามา เราเลี้ยงท่านตอบ คอยปรนนิบัติดูแลใส่ใจ เมื่อยามท่านป่วยไข้ไม่สบาย
๒. ทำกิจของท่านให้ลุล่วงสำเร็จ ด้วยจิตใจที่คิดจะช่วยแบ่งเบาภาระ
๓. ดำรง วงศ์ตระกูล ให้ตั้งมั่น เจริญ ด้วยจิตสำนึกในการที่จะเกรงว่า พ่อแม่ตระกูลวงศ์ จักเสื่อมเสียชื่อเสียง เกียรติภูมิ หากเราทำผิด ทำพลาด
๔. ประพฤติตนให้อยู่ในโอวาท เหมาะสมที่จะรับมรดก ทำให้พ่อแม่เบาใจ สบายใจ เชื่อมั่น
๕. เมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว ทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ท่าน บุญกุศลอื่นใดๆ ที่ลูกจะให้แก่พ่อแม่ ไม่ยิ่งใหญ่เท่ากับ การได้รู้ได้เห็นลูกเป็นคนดี
เหล่านี้เรียกว่า เลี้ยงดูพ่อแม่ทางกาย
และหากจะต้องการเลี้ยงดูพ่อแม่ทางจิตใจ คือ การทำให้พ่อแม่เบาใจ สบายใจ เย็นใจ ชุ่มฉ่ำ ปิติ อิ่มเอิบในใจ ทั้งยังต้องนำพาท่านขึ้นสวรรค์ หลังจากตายแล้ว
ตัวอย่างเช่น พระสารีบุตร ก่อนที่ท่านจะปรินิพพาน ท่านเดินทางไกลไปแสดงธรรมโปรดนางสารีมารดา ที่เป็นผู้มีมิจฉาทิฐิ ด้วยนางคิดว่า พระสมณโคดมพุทธเจ้า เป็นผู้มาพรากลูกชาย ของนางไปเสียจากอกนาง
พระสารีบุตร จึงนำเอาพระธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้า มาแสดงให้มารดาของท่านได้สดับจนบรรลุพระอริยบุคคล
เมื่อท่านเห็นว่า มารดาได้บรรลุพระโสดาบัน หลุดพ้นจากภัยแห่งทุกข์แล้ว ท่านจึงลามารดาเข้าสู่นิพพาน เช่นนี้พระสารีบุตร จึงได้ชื่อว่าเป็นลูก ยอดกตัญญู
เพราะท่านมิได้แค่หล่อเลี้ยงมารดาเพื่อชาติเดียว ท่านเลี้ยงมารดาของท่านด้วยอมฤตธรรม ทุกภพทุกชาติ ตราบจนเข้าสู่นิพพาน เช่นนี้จึงได้ชื่อว่า เลี้ยงดูบิดามารดา ทางจิตใจ
ลูกๆ ของพ่อแม่แบ่งออกเป็น ๓ จำพวก คือ
๑. อภิชาตบุตร บุตรที่มีคุณธรรมยิ่งกว่า เจริญกว่า พ่อแม่
๒. อนุชาตบุตร บุตรที่มีคุณธรรมเสมอกับพ่อแม่
๓. อวชาตบุตร บุตรที่ชั่วร้าย คอยแต่จะบ่อนทำลายตระกูลวงศ์
ลูกหลานท่านใด หากหล่อเลี้ยงบิดามารดา ได้ทั้งทางกายและใจ ย่อมเป็นผู้มีเกียรติยศขจรขจายไกล เป็นที่นับน่าถือตาของมหาชนทั้งหลาย เป็นศักดิ์เป็นศรีของตระกูลวงศ์พงศ์เผ่า
มีความเจริญ รุ่งเรือง ทั้งทางโลก และทางธรรม
จักได้สมบัติในโลกทั้งสามอย่างสมบูรณ์ สมดังพุทธภาษิตที่ว่า นิมิตตัง สาธุรูปานัง กตัญญูรู้คุณ กตเวทิตา ตอบแทนคุณ เป็นเครื่องหมายของคนดี คนเจริญ
เอตัมมังคะละมุตตะมัง ข้อนี้เป็นมงคลอันสูงสุด
พุทธะอิสระ
--------------------------------------------------