รู้แล้วล่ะ ว่าทำไมเราถึงทำอาหารไม่เพียงพอต่อความต้องการของพี่น้องประชาชน ที่มากราบถวายบังคมพระบรมศพ

ฉันสู้อุตส่าห์สัตตาหะมานอนที่เต็นท์หมายเลข ๙

ซึ่งก่อนหน้านี้ตั้งแต่วันพฤหัสที่ ๑๔ จนถึงวันอาทิตย์ที่ ๑๗ ฉันไปที่เต็นท์ทำอาหารทุกวัน

จึงได้เห็นว่าผู้คนต่างพากันหลั่งไหลเดินทางมากราบพระบรมศพเป็นครั้งสุดท้ายกันอย่างล้นหลาม ขนาดตี ๑ เศษๆ ก็มีผู้คนมายืนเข้าแถวอยู่รอบบริเวณท้องสนามหลวงแล้ว หนำซ้ำหางแถวยังยืดยาวมาจนเกือบถึงอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย มิใยที่ฝนจะตก แดดจะออก ผู้คนก็มิได้ถอยหนี แถมยังทยอยกันมาทั้งวันจนถึงตี ๑ ของอีกวัน

พวกเราช่วยกันทำอาหารตั้งแต่ตี ๔ มื้อแรกเข้าไปแจกในวังคือกาแฟ โอวัลติน แซนวิช คุกกี้ ๕,๐๐๐ ชุด พอตี ๕ ตามด้วยข้าวผัด ก๋วยเตี๋ยวผัด และข้าวราดแกงเมนูต่างๆ

ของทุกอย่างที่ส่งให้ เจ้าหน้าที่วังแจกหมดภายใน ๑๕ นาที แต่พวกเราใช้เวลาประกอบอาหารกระทะละครึ่งชั่วโมง หนึ่งกระทะสามารถเลี้ยงคนได้ประมาณ ๑,๕๐๐-๑,๖๐๐ คน แม้จะมีถึง ๓ กระทะ ก็ยังไม่เพียงพออยู่ดี

ทราบว่า หัวหน้าเจ้าหน้าที่ราชสำนักแจกอาหารให้ประชาชนในเวลา ๖ โมงเย็น แล้วพูดกับประชาชนว่า เชิญรับอาหารมื้อเย็นไปทานก่อนกลับบ้านครับ แต่พี่น้องที่มากราบพระบรมศพกลับบอกว่า ไม่ใช่มื้อเย็นค่ะ แต่เป็นมื้อเช้า

แม้มีคนล้นหลามสนามหลวง ซึ่งเดินทางมาตั้งแต่ตี ๑ ตี ๒ และยังไม่ได้กินข้าวกินน้ำ แต่ผู้ที่ดูแลเรียนว่า กองอำนวยการร่วมกลับไม่ยอมให้เขาแจกข้าว อนุญาตแจกเฉพาะน้ำกับขนม

บางครั้งพวกเราก็แอบเอาข้าวผัด ก๋วยเตี๋ยวผัดไปให้เด็กนักเรียนที่เดินทางมาจากสุรินทร์

พวกเจ้าหน้าที่ทหารยังเข้ามาห้าม บอกว่านายสั่งห้ามแจก ทั้งที่เด็กๆ พวกนั้นยังไมได้กินข้าวตั้งแต่เช้า จนถึงบ่าย ๓ โมง เหตุการณ์วิกฤตทางอาหาร ที่ประชาชนไม่สามารถเข้าถึงได้เช่นนี้ ประมวลสรุปได้ว่า

- คนมากันมากเกินขีดจำกัดของผู้ประกอบอาหารเลี้ยงตามจุดที่เจ้าหน้าที่กำหนดให้แจก

- อาหารที่แจกไม่เพียงพอและไม่ทันต่อความต้องการของประชาชน

- กฎระเบียบที่หวังว่าจักทำให้เกิดความงดงาม ออกโดยพวกที่นั่งกินข้าวอยู่ในห้องแอร์วันละ ๓ มื้อ แต่ไม่ได้ยืนอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง จึงกลายเป็นการสร้างความทุกข์ยาก อดอยาก เดือดร้อนให้แก่ประชาชนอย่างที่เห็น

พุทธะอิสระ