วันนี้วันพระ อย่าลืมอยู่ให้เป็น เย็นให้ได้ เมื่อถึงเวลาตาย จักได้เป็นสุข

อธิบายความ

คำว่า อยู่ให้เป็น หมายความว่า

ต้องมีปัญญาพิจารณาแยกแยะสมมุติกับปรมัติ บัญญัติกับสัจจะ
สมมุติ หมายถึง โลกที่เราอยู่เหยียบยืน รวมทั้งสรรพชีวิต สรรพวัตถุ สรรพธาตุ สรรพธรรมชาติ ทั้งหลายเหล่านี้เรียกว่าสมมุติทั้งนั้น

ปรมัติ หมายถึง ความจริงอันประเสริฐ อันประกอบด้วยเรื่องจิต ที่มีหน้าที่ รับ จำ คิด รู้

เจตสิก อารมณ์เครื่องปรุงจิต

รูป คือสภาพที่ธาตุทั้ง ๔ ประกอบกันจนเป็นรูป เป็นสิ่งที่จะต้องสลายไปเพราะปัจจัยต่างๆ อันขัดแย้งกัน

นิพพาน การดับกิเลสและกองทุกข์ เป็นโลกุตตรธรรม และเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนา

แม้ที่สุด อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อริยสัจสี่ ปฏิจจสมุปบาท ล้วนจัดอยู่ในธรรมฝ่ายปรมัติทั้งนั้น

บัญญัติ หมายถึง สรรพชีวิต สรรพธาตุ สรรพวัตถุ สรรพธรรมชาติ ถูกตั้งชื่อสมมุติให้เรียกขานตามลักษณะ สี กลิ่น รสสัมผัส และประโยชน์ใช้สอย

เหล่านี้เรียก บุคคลบัญญัติ

สัจจะ คือ ความจริงอันประเสริฐ ที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง อันได้แก่กฎของกรรม สามัญลักษณะ อริยสัจสี่ ปฏิจจสมุปบาท นิพพาน

ประโยชน์ของการทำความเข้าใจให้แจ่มชัดในสมมุติและปรมัติ บัญญัติและสัจจะ คือ

จักได้เข้าใจมายาของโลกสมมุติได้แจ่มชัด

มีปัญญารู้ชัดในวิธีเปลื้องพันธนาการของสมมุติและบัญญัติ ความอิสรเสรีภาพของจิตอันเป็นที่มุ่งหวังได้

เอาเป็นว่า วันพระนี้ท่านทั้งหลายควรจักหยุดซ่องเสพอารมณ์อกุศลสักวัน หาอารมณ์กุศลมาเสพกันบ้าง ก็พอจะเป็นคุณูปการแก่การฝึกจิตในอนาคต

หากจะให้ดียิ่ง ก็ไม่ควรเสพอารมณ์ใดๆ เลย ดังพระพุทธพจน์ที่ทรงตรัสว่า

อะนะวัสสุตะจิตตัสสะ อะนันวาหะตะเจตะโส
ปุญญะปาปะปะหีนัสสะ นัตถิ ชาคะระโต ภะยัง

ผู้มีจิตอันไม่ชุ่มด้วยราคะ มีจิตอันโทสะมิอาจกระทบได้ ละได้แล้วทั้งบุญและบาป

เป็นผู้รู้ตื่นอยู่พร้อมเฉพาะในปัจจุบัน ย่อมไม่มีเวรภัยใดๆ มากล้ำกราย

พุทธะอิสระ