อารมณ์นำพาจิตนี้ไปเป็น พระ ก็ได้
อารมณ์นำพาจิตนี้ไปเป็น โจร ก็ได้
อารมณ์นำพาจิตนี้ไปเป็น พรหม ก็ได้
อารมณ์นำพาจิตนี้ไปเป็น เทวดา ก็ได้
อารมณ์นำพาจิตนี้ไปเป็น มาร ก็ได้
อารมณ์นำพาจิตนี้ไปเป็น มหาเศรษฐี ก็ได้
อารมณ์นำพาจิตนี้ไปเป็น ยาจก ก็ได้
อารมณ์นำพาจิตนี้ไปเป็น มนุษย์ ก็ได้
อารมณ์นำพาจิตนี้ไปเป็น สัตว์เดรัจฉาน ก็ได้
อารมณ์นำพาจิตนี้ไปเป็น สัตว์นรก ก็ได้
อารมณ์นำพาจิตนี้ไปเป็น ผู้สร้าง ก็ได้
อารมณ์นำพาจิตนี้ไปเป็น ผู้ทำลาย ก็ได้
อารมณ์นำพาจิตนี้ไปเป็น ผู้สง่างาม ก็ได้
อารมณ์นำพาจิตนี้ไปเป็น ผู้เสื่อมทราม ก็ได้
อารมณ์ยังรังสรรค์ภพและชาติให้จิตนี้ได้ไปเกิด
อีกทั้งอารมณ์ทั้งหลายยังทำให้จิตนี้เฉื่อยชา ขุ่นมัว เศร้าหมอง
อารมณ์อีกนั่นแหละ เป็นผู้สร้างสุคติภพ
และอารมณ์อีกนั่นแหละ เป็นผู้สร้างทุคติภพ
เหตุแห่งอารมณ์ทั้งหลายล้วนมาจากความไม่รู้ ความโง่เขลาทั้งนั้น
จิตนี้จึงเป็นไปตามการชักจูงของอารมณ์ถึงเพียงนี้
เหนื่อยไหม เหนื่อยจิตเหนื่อยใจกันบ้างหรือยัง
อยู่กับสมมุติบัญญัติ ปุคคลบัญญัติ มานานแสนนาน มันก็ต้องเหนื่อยหนักหนาสาหัสอย่างนี้แหละ
ลองทำจิตใจให้ว่างๆ แล้วปล่อยวางอารมณ์ดูบ้าง
หันมาศึกษาปรมัตถธรรมกันเสียบ้าง จักได้แยกดี แยกชั่ว แยกถูก แยกผิด แยกอารมณ์ออกจากจิตได้ชัดเจน
แล้วจิตนี้ถ้าไม่มีอารมณ์ใดๆ เข้ามาครอบงำจักมีผลอย่างไร
ดังปรากฏในปฐมพุทธภาษิต ตอนหนึ่งว่า
“วิสังขาระคะตัง จิตตัง ตัณหานัง ขะยะมัชฌะคา”
จิตของเราถึงแล้วซึ่งสภาพที่อะไรปรุงแต่งไม่ได้อีกต่อไป
มันได้ถึงแล้วซึ่งความสิ้นไปแห่งตัณหา
นั่นคือความดับและเย็นนั่นเอง
พุทธะอิสระ