อรรถกถา สุวรรณสามชาดก
ว่าด้วย สุวรรณสามบำเพ็ญเมตตาบารมี (ต่อช่วงที่ ๓)
พระมหาสัตว์ได้สดับดังนั้นแล้ว ดำริว่า ถ้าเราบอกว่า เราเป็นเทวดา นาค ยักษ์ กินนร หรือเป็นกษัตริย์เป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่ง. พระราชานี้ย่อมเชื่อคำของเรา เราควรกล่าวความจริงเท่านั้น ดำริฉะนี้แล้วจึงทูลว่า
ขอจงทรงพระเจริญ ข้าพระองค์เป็นบุตรฤาษี ผู้เป็นบุตรของนายพราน ญาติทั้งหลายเรียกข้าพระองค์เมื่อยังมีชีวิตอยู่ว่า สามะ. วันนี้ข้าพระองค์ถึงปากมรณะนอนอยู่อย่างนี้. ข้าพระองค์ถูกพระองค์ยิงด้วยลูกศรใหญ่อาบยาพิษ เหมือนมฤคที่ถูกพรานป่ายิงแล้ว ฉะนั้น.
ข้าแต่พระราชา ขอพระองค์จงทอดพระเนตร ซึ่งข้าพระองค์ผู้นอนจมอยู่ในโลหิตของตน. เชิญทอดพระเนตรลูกศรอันแล่นเข้าข้างขวาทะลุออกข้างซ้าย. ข้าพระองค์บ้วนโลหิตอยู่ เป็นผู้กระสับกระส่าย. ขอทูลถามพระองค์ว่า พระองค์ยิงข้าพระองค์แล้ว จะซ่อนพระองค์อยู่ทำไม.
เสือเหลืองถูกฆ่าเพราะหนัง ช้างถูกฆ่าเพราะงา. เมื่อเป็นเช่นนี้ พระองค์เข้าพระทัยว่า ข้าพระองค์เป็นผู้ควรยิง ด้วยเหตุอะไรหนอ.
พระราชาทรงสดับคำของพระมหาสัตว์แล้ว ไม่ตรัสบอกตามจริง เมื่อจะตรัสคำเท็จจึงตรัสว่า
ดูก่อนสามะ มฤคปรากฏแล้ว มาสู่ระยะลูกศรเห็นท่านเข้าก็หนีไป เพราะเหตุนั้น เราจึงเกิดความโกรธ.
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ทูลพระราชาว่า ข้าแต่พระราชาผู้ใหญ่ พระองค์ตรัสอะไร ขึ้นชื่อว่า มฤคที่เห็นข้าพระองค์แล้วหนีไป ไม่มีในหิมวันตประเทศนี้ แล้วทูลว่า
จำเดิมแต่ข้าพระองค์จำความได้ รู้จักถูกและผิด. ฝูงมฤคในป่าแม้ดุร้าย ก็ไม่สะดุ้งกลัวข้าพระองค์. จำเดิมแต่ข้าพระองค์นุ่งผ้าเปลือกไม้ ตั้งอยู่ในปฐมวัย ฝูงมฤคในป่าแม้ดุร้าย ก็ไม่สะดุ้งกลัวข้าพระองค์. ข้าแต่พระราชา ฝูงกินนรผู้ขลาดอยู่ภูเขาคันธมาทน์ เห็นข้าพระองค์ย่อมไม่สะดุ้งกลัว. เราทั้งหลายต่างชื่นชมต่อกันไปสู่ภูเขาและป่า. เมื่อเป็นเช่นนี้ มฤคทั้งหลายจะสะดุ้งกลัวข้าพระองค์ด้วยเหตุไร.
พระราชาได้สดับดังนั้นแล้ว ทรงดำริว่า เรายิงสุวรรณสาม ผู้ไร้ความผิดนี้แล้ว ยังกล่าวมุสาวาทอีก เราจักกล่าวคำจริงเท่านั้น ดังนี้แล้ว จึงตรัสว่า
ดูก่อนสามะ เนื้อเห็นท่านแล้ว หาได้ตกใจไม่. เรากล่าวเท็จแก่ท่านดอก เราถูกความโกรธและความโลภครอบงำแล้ว จึงยิงท่านด้วยลูกศรนั้น.
ก็แลครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว พระราชาทรงดำริว่า สุวรรณสามนี้จะ มิได้อยู่อาศัยในป่านี้แต่ผู้เดียวเท่านั้น ญาติทั้งหลายของเขาพึงมีแน่ จักถามเขาดู จึงตรัสคาถาอีกว่า
ดูก่อนสามะ ท่านมาแต่ไหน หรือใครใช้ท่านมา. ท่านผู้จะตักน้ำจึงไปสู่แม่น้ำมิคสัมมตา แล้วกลับมา.
พระโพธิสัตว์ได้สดับพระดำรัสของพระราชาแล้ว กลั้นทุกขเวทนาเป็นอันมาก บ้วนโลหิตแล้วกล่าวคาถาว่า
บิดามารดาของข้าพระองค์ตาบอด ข้าพระองค์เลี้ยงท่านเหล่านั้นอยู่ในป่าใหญ่. ข้าพระองค์นำน้ำมาเพื่อท่านทั้งสองนั้น จึงมาแม่น้ำมิคสัมมตา.
ก็แลครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ก็บ่นรำพันปรารภบิดามารดา กล่าวว่า
อาหารของบิดามารดานั้นยังพอมีอยู่ เมื่อเป็นเช่นนี้ ชีวิตของท่านทั้งสองนั้นจักดำรงอยู่ราวหกวัน. ท่านทั้งสองนั้นตามืด เกรงจักตายเสียเพราะไม่ได้ดื่มน้ำ.
ความทุกข์เพราะถูกพระองค์ยิงด้วยลูกศรนี้ หาเป็นความทุกข์ของข้าพระองค์นักไม่ เพราะความทุกข์นี้อันบุรุษจะต้องได้ประสบ.
ความทุกข์ที่ข้าพระองค์ไม่ได้เห็นบิดามารดา เป็นความทุกข์ของข้าพระองค์ ยิ่งกว่าความทุกข์ เพราะถูกพระองค์ยิงด้วยลูกศรนี้เสียอีก.
ความทุกข์เพราะถูกพระองค์ยิงด้วยลูกศรนี้ หาเป็นความทุกข์ของข้าพระองค์นักไม่เพราะความทุกข์นี้อันบุรุษจะต้องได้ประสบ.
บิดามารดาทั้งสองนั้นเป็นกำพร้าเข็ญใจ จะร้องไห้อยู่ตลอดราตรีนาน จักเหือดแห้งไปในกึ่งราตรีหรือในที่สุดราตรี ดุจแม่น้ำน้อยในคิมหฤดูจักเหือดแห้งไป.
ข้าพระองค์เคยหมั่นบำรุงบำเรอนวดมือเท้าของท่านทั้งสองนั้น. บัดนี้ไม่เห็นข้าพระองค์ ท่านทั้งสองจักบ่นเรียกหาว่า พ่อสามๆ เที่ยวอยู่ในป่าใหญ่.
ลูกศร คือความโศก ที่สองนี้แหละ ยังหัวใจของข้าพระองค์ให้หวั่นไหว เพราะข้าพระองค์ไม่ได้เห็นท่านทั้งสอง ผู้จักษุบอด ข้าพระองค์เห็นจักละเสียซึ่งชีวิต.
พระราชาทรงฟังความคร่ำครวญของพระโพธิสัตว์ ทรงคิดว่า บุรุษนี้เป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์ตั้งอยู่ในธรรม ปฏิบัติบิดามารดาเยี่ยมยอด. บัดนี้ ได้ความทุกข์ถึงเพียงนี้ ยังคร่ำครวญถึงบิดามารดา เราได้ทำความผิดในบุรุษ ผู้สมบูรณ์ด้วยคุณธรรมอย่างนี้. เราควรเล้าโลมเอาใจบุรุษนี้อย่างไรดีหนอ. แล้วทรงสันนิษฐานว่า ในเวลาที่เราตกนรก ราชสมบัติจักทำอะไรได้ เราจักปฏิบัติบิดามารดาของบุรุษนี้ โดยทำนองที่บุรุษนี้ปฏิบัติแล้ว. การตายของบุรุษนี้จักเป็นเหมือนไม่ตาย ด้วยประการฉะนี้ จึงตรัสว่า
ดูก่อนสามะผู้งดงามน่าดู ท่านอย่าปริเทวะมากเลย เราเป็นผู้ฉลาดในธนูศิลป์ ปรากฏในชมพูทวีปทั้งสิ้นว่าเป็นผู้แม่นยำนัก จักฆ่ามฤคและแสวงหามูลผลาหารป่ามา ทำการงานเลี้ยงบิดามารดาของท่านในป่าใหญ่. ดูก่อนสามะ ป่าที่บิดามารดาของท่านอยู่ อยู่ที่ไหน. เราจักเลี้ยงบิดามารดาของท่าน ให้เหมือนท่านเลี้ยง.
ลำดับนั้น พระมหาสัตว์ได้สดับพระวาจาของพระราชานั้นแล้วจึงทูลว่า ดีแล้ว พระเจ้าข้า. ถ้าอย่างนั้น ขอพระองค์โปรดเลี้ยงดูบิดามารดาของข้าพระองค์เถิด เมื่อจะชี้ทางให้ทรงทราบ จึงทูลว่า
ข้าแต่พระราชา หนทางที่เดินเฉพาะคนเดียว ซึ่งอยู่ทางหัวนอนของข้าพระองค์นี้ เสด็จดำเนินไปแต่ที่นี้ระหว่างกึ่งเสียงกู่ จะถึงสถานที่อยู่แห่งบิดามารดาของข้าพระองค์ ขอเสด็จดำเนินแต่ที่นี้ไป เลี้ยงดูท่านทั้งสองในสถานที่นั้นเถิด.
พระมหาสัตว์ทูลชี้ทางแด่พระราชาอย่างนี้แล้ว กลั้นเวทนาเห็นปานนั้นไว้ ด้วยความสิเนหาในบิดามารดาเป็นกำลัง ประคองอัญชลีทูลวิงวอนเพื่อต้องการให้เลี้ยงดูบิดามารดา ได้ทูลอย่างนี้อีกว่า
ข้าแต่พระเจ้ากาสิราช ข้าพระบาทขอน้อมกราบพระองค์ ข้าแต่พระองค์ผู้ยังชาวกาสีให้เจริญ. ข้าพระบาทขอน้อมกราบพระองค์ ขอพระองค์ทรงบำรุงเลี้ยงบิดามารดาตามืดของข้าพระองค์ในป่าใหญ่. ข้าพระองค์ขอประคองอัญชลีถวายบังคมพระองค์. ขอพระองค์มีพระดำรัสกะบิดามารดาของข้าพระองค์ให้ทราบว่า ข้าพระองค์ไหว้นบท่านด้วย.
พระราชาทรงรับคำพระมหาสัตว์ส่งการไหว้บิดามารดาแล้ว ก็ถึงวิสัญญีสลบนิ่งไป.
พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศความข้อนั้น จึงตรัสว่า
หนุ่มสามะผู้งดงามน่าดูนั้น ครั้นกล่าวคำนี้แล้ว ถูกกำลังแห่งพิษซาบซ่าน เป็นผู้วิสัญญีสลบไป.