มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา มโนเสฏฺฐา มโนมยา
มนสา เจ ปทุฏฺเฐน ภาสติ วา กโรติ วา
ตโต นํ ทุกฺขมเนฺวติ จกฺกํว วหโต ปทํ.
“ธรรมทั้งหลาย มีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่ สำเร็จแล้วด้วยใจ,
ถ้าบุคคลมีใจไม่ดี พูดอยู่ก็ดี ทำอยู่ก็ดี,
ทุกข์ย่อมไปตามเขา เพราะเหตุนั้น
ดุจล้อหมุนไปตามรอยเท้าโค ผู้นำแอกไปอยู่ฉะนั้น.”
สุขก็เพราะจิต
ทุกข์ก็เพราะจิต
บุญก็ด้วยจิต
บาปก็เกิดจากจิต
กุศล อกุศล ล้วนแต่เกิดจากเจตสิกเครื่องครอบเครื่องปรุงแก่จิตนี้ทั้งนั้น
ซึ่งโดยธรรมชาติแท้จริงของจิตนี้หาได้มีสุข มีทุกข์ บุญ บาป กุศล อกุศลไม่
จิตนี้มีหน้าที่แค่รับอารมณ์ รู้อารมณ์ คิดในอารมณ์ จดจำอารมณ์
แต่เพราะตาเห็นรูป
หูฟังเสียง
จมูกดมกลิ่น
ลิ้นรับรส
กายถูกต้องสัมผัส
ที่เข้ามาครอบงำปรุงแต่งกับจิตที่รับ จิตที่รู้ จิตที่คิด จิตที่จำ
จึงนำพาจิตนี้ให้เป็นไปตามเครื่องครองเครื่องปรุง
แม้กับคนตาบอด หูหนวก จมูกบี้ ลิ้นขาด กายพิการ
จิตจำ จิตคิด จิตรับ จิตรู้ ก็จักสับส่ายย้อนอดีตไปขุดคุ้ยอารมณ์อะไรๆ ที่มีมาแล้วแต่อดีตนำมาทำอะไรๆ ให้เกิดอาลัยๆ ให้แก่จิตนี้
และจิตที่ทำหน้าที่คิดก็เพ้อเจ้อ เพ้อฝัน หาได้อยู่ในปัจจุบันขณะของจิตหนึ่งไม่ จึงกลายเป็นการทำร้ายจิตนี้อย่างไม่รู้ตัว
สรุปความว่า โดยธรรมชาติของจิตไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ ไม่มีบุญ ไม่มีบาป กุศล หรืออกุศล
แต่เพราะมีแขกแปลกหน้าเข้ามาครอบงำทำให้จิตนี้เปลี่ยนสภาพไปตามลักษณะของแขก ที่เข้ามาครอบงำจิตนี้ จนไม่มีอิสระ ไม่มีเสรีภาพ จิตนี้ต้องตกเป็นทาสของเจตสิกเครื่องครอบเครื่องปรุงไม่จบไม่สิ้น ตราบเท่าที่ยังมีความเห็นผิด ไม่มีปัญญาเข้าใจรู้จัก แยกแยะไม่ได้ว่าอะไรคือจิต อะไรคือมายาขจิต
จนนำพาให้เราต้องสุขต้องทุกข์ ต้องทำบาปทำบุญ ทำกุศล ทำอกุศล ไปตามเหตุปัจจัยของเครื่องปรุง
เหนื่อยไหมจ๊ะคนดี
เมื่อไหร่จะเบื่อ
เมื่อไหร่จะรู้สึกตัว
เมื่อไหร่จะสำรอกกำจัดขยะที่เข้ามาหมักหมมในจิตนี้ออกไปเสียที
ไม่หนัก ไม่เหม็น ไม่ขยะแขยงกันบ้างหรือไง
พุทธะอิสระ