ตอนที่แล้วจบลงตรงที่อลัชชีตัวพ่อมันจาบจ้วงพระพุทธเจ้าว่า

“หากพระพุทธเจ้าต้องการจะตอบคำถามมาร ต้องเข้าฌานวิชาธรรมกายไปถามอดีตพุทธที่รวมกันอยู่ในอายตนะนิพพาน”

ฉันได้วิสัชนาในประเด็นที่พระพุทธเจ้าปรินิพานโดยหยิบยกเอานิพพาน ๒ คือ

สอุปาทิเสสนิพพาน ดับกิเลสแต่ยังมีชีวิต (มีเบญจขันธ์)

อนุปาทิเสสนิพพาน ดับกิเลสและดับเบญจขันธ์ (คือสิ้นชีวิต)

โดยยกพระพุทธดำรัสในพรหมชาลสูตรมายืนยันว่า

พระพุทธเจ้าทรงยืนยันรับรองว่า เมื่อดับตัณหาผู้สร้างภพเสียได้แล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักเห็นตถาคต แต่เฉพาะในเวลากายของตถาคตยังดำรงอยู่เท่านั้น

***เมื่อกายแตกสิ้นชีพแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต***

เปรียบเหมือนพวงมะม่วงที่ขาดจากขั้วแล้ว
ฉะนั้นการที่อลัชชีชั่วจาบจ้วงว่ามีพระพุทธเจ้าองค์ก่อน ๆ รวมกันอยู่ในอายตนะนิพพานจึงเป็นการกล่าวเท็จ ใช้อัตโนมติของตัวเองโดยไม่ใส่ใจคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า

พร้อมทั้งพิธีพิจารณาว่าการปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงชี้ว่าเป็นวิปลาสผิดเพี้ยนเพราะเห็นผิดจากหลักธรรมได้แก่

- เห็นสิ่งไม่เที่ยงว่าเที่ยง
- เห็นในสิ่งที่เป็นทุกข์ว่าเป็นสุข
- เห็นในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนว่าเป็นตัวตน
- เห็นไม่งามว่างาม

เหล่านี้คือความวิปลาสของลัทธิอลัชชีต้นธาตุต้นธรรม

สรุปตอนท้ายด้วยพุทธภาษิตว่า

ดูกร ภิกษุทั้งหลาย คน ๒ จำพวกนี้ ย่อมกล่าวตู่ตถาคต คือ

๑. คนที่แสดงสิ่งที่ตถาคต มิได้ภาษิตไว้ มิได้ตรัสไว้

แต่กลับกล่าวว่าตถาคตได้ ภาษิตไว้ ได้ตรัสไว้

๒. คนที่แสดงสิ่งที่ตถาคตภาษิตไว้ ตรัสไว้

แต่กลับกล่าวว่าตถาคต มิได้ภาษิตไว้ มิได้ตรัสไว้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย คน ๒ จำพวกนี้แล คือผู้กล่าวตู่ตถาคต

(มาจากคัมภีร์ อังคุตตรนิกาย เอก-ทุก-ติกนิบาตร สุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๒)

ท่านทั้งหลายอ่านมาถึงตรงนี้ คงจะรู้แจ่มชัดกันบ้างแล้วว่า

ทำไมพุทธะอิสระต้องเพียรพยายามอธิบาย ยกเอาพระไตรปิฎกมาเปรียบเทียบกับคำสอนของพวกอลัชชี

ด้วยมุ่งหวังว่า

ผู้ที่มืดบอด งมงาย จะได้หูตาสว่างกันขึ้นมาบ้าง
แต่ดูจะไร้ผล เพราะยิ่งอธิบาย ยิ่งชี้แจง เหมือนกับยิ่งราดน้ำลงไปในกองขี้เถ้า

กลับทำให้พวกสาวกทาสผู้มืดบอดยิ่งหลงผิดถือผิด เพราะเชื่อคนผิดมากขึ้น

แต่ไม่ว่าจะยังไง พุทธะอิสระก็จะไม่หยุดอธิบาย ไม่หยุดนำความจริงจากพระไตรปิฎกมาเผยแพร่ เพื่อชี้ให้สังคมเห็นว่า อลัชชีชั่วตัวนี้มันมาเกาะกินพระธรรมวินัย และบ่อนทำลายพระพุทธธรรมอันบริสุทธิ์บริบูรณ์มานานขนาดไหน

แต่สิ่งที่น่าฉงนคือทำไมพวกมหาเถร ทั้งเจ้าคณะปกครองผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องถึงไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลย กับการย่ำยีกล่าวตู่พระพุทธเจ้าที่ไอ้อลัชชีต้นธาตุต้นธรรมมันกระทำ

วันนี้เรามาดูความเลวระยำของอลัชชีตัวนี้ต่อ

มันหลอกสาวกมันว่า

“พระพุทธเจ้าต้องถอดกายเพื่อไปพบอดีตพุทธ ผู้มีธรรมกายทั้งหมดเลย เยอะแยะมากมายนับพระองค์ไม่ถ้วนอยู่ในอายตนะนิพพาน”

ประเด็นก็คือ พระพุทธเจ้าต้องถึงกับถอดกายทิพย์จริงหรือ

ประเด็นต่อมา พระพุทธเจ้าในอดีตยังคงมีอัตภาพปรากฎในภพภูมิใดภพภูมิหนึ่งอยู่อีกหรือ

-----------------------------------------------------

ธัมมชโย:
ถอดกายเนี่ยนะจ๊ะ มีธรรมกายทั้งหมดเลย เยอะแยะมากมายนับพระองค์ไม่ถ้วน

งี้วิธีการที่จะเข้าไปกราบได้ท่านก็จะต้องหยุดนิ่งไปเลย

เข้านิโรธนี่แหละ ตกศูนย์สู่สอุปาทิเสสนิพพาน
เป็นในกายมนุษย์ของท่าน กายหยาบของท่านก่อน

แล้วจึงจะเข้าไปนิพพานที่พระพุทธเจ้าดับขันธปรินิพพานไปแล้ว

ฟังดูชื่อเดียวกันแต่แตกต่างกันหน่อย ตามทันไหม

เข้านิพพานในตัวก่อน แล้วจึงไปเข้านิพพานที่มีพระนิพพานท่านอยู่ ตามทันไหม

-----------------------------------------------------

ดูอลัชชีตนนี้พยายามจะอวดรู้มากกว่าพระพุทธเจ้า ทั้งที่ในพระไตรปิฎกก็แสดงเอาไว้ชัดเจนถึงวิธีการตรัสรู้ขององค์พระผู้มีพระภาคเจ้า

มาดูลีลาการตรัสรู้และลีลาการปรินิพพานของพระพุทธเจ้า ว่าเหมือนที่อลัชชีต้นธาตุต้นธรรมมันจาบจ้วงพระพุทธองค์หรือไม่

-----------------------------------------------------

คืนวันตรัสรู้ทรงบรรลุ วิชชา ๓
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๑
มหาวิภังค์ ภาค ๑

๑. บุพเพนิวาสานุสสติญาณ

เรานั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผุดผ่อง ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่นไม่หวั่นไหว อย่างนี้แล้ว ได้น้อมจิตไปเพื่อบุพเพนิวาสานุสสติญาณ

เรานั้นย่อมระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก

คือระลึกชาติได้หนึ่งชาติบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง ตลอดสังวัฏฏกัลป์เป็นอันมากบ้าง ตลอดวิวัฏฏกัลป์เป็นอันมากบ้าง ตลอดสังวัฏฏวิวัฏฏกัลป์เป็นอันมากบ้าง

ว่าในภพโน้นเราได้มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้ไปเกิดในภพโน้น

แม้ในภพโน้นนั้น เราก็ได้มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น

ครั้นจุติจากภพโน้นนั้นแล้ว ได้มาเกิดในภพนี้

เราย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอุเทส พร้อมทั้งอาการ ด้วยประการฉะนี้

พราหมณ์ วิชชาที่หนึ่งนี่แล เราได้บรรลุแล้วในปฐมยามแห่งราตรี

อวิชชา เรากำจัดได้แล้ว วิชชาเกิดแก่เราแล้ว ความมืดเรากำจัดได้แล้ว

แสงสว่างเกิดแก่เราแล้ว

เหมือนที่เกิดแก่บุคคลผู้ไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลส ส่งจิตไปแล้วอยู่ฉะนั้น

ความชำแรกออกครั้งที่หนึ่งของเรานี้แล ได้เป็นเหมือนการทำลายออกจากกระเปาะฟองแห่งลูกไก่ฉะนั้น.

๒. จุตูปปาตญาณ

เรานั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผุดผ่อง ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้แล้ว

ได้น้อมจิตไปเพื่อญาณเครื่องรู้จุติและอุปบัติของสัตว์ทั้งหลาย

เรานั้นย่อมเล็งเห็นหมู่สัตว์ผู้กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์

ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เข้าถึงตามกรรมว่า

หมู่สัตว์ผู้เกิดเป็นอยู่เหล่านี้ ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นมิจฉาทิฏฐิ

ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ

หมู่สัตว์ผู้เกิดเป็นอยู่เหล่านั้น เบื้องหน้าแต่แตกกายตายไป

เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก หรือว่าหมู่สัตว์ผู้เกิดเป็นอยู่เหล่านี้ ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นสัมมาทิฏฐิ

ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ

หมู่สัตว์ผู้เกิดเป็นอยู่เหล่านั้น เบื้องหน้าแต่แตกกายตายไป เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์

เราย่อมเล็งเห็นหมู่สัตว์ผู้กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์

ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เข้าถึงตามกรรมด้วยประการดังนี้

พราหมณ์ วิชชาที่สองนี้แล เราได้บรรลุแล้วในมัชฌิมยามแห่งราตรี

อวิชชา เรากำจัดได้แล้ว
วิชชาเกิดแก่เราแล้ว
ความมืดเรากำจัดได้แล้ว
แสงสว่างเกิดแก่เราแล้ว

เหมือนที่เกิดแก่บุคคลผู้ไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลส ส่งจิตไปแล้วอยู่ฉะนั้น

ความชำแรกออกครั้งที่สองของเรานี้แล

ได้เป็นเหมือนการทำลายออกจากกระเปาะฟองแห่งลูกไก่ ฉะนั้น.

๓. อาสวักขยญาณ

เรานั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้แล้ว

ได้น้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ เรานั้นได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ทุกข์

ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้เหตุให้เกิดทุกข์
ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ความดับทุกข์
ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์
ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า เหล่านี้อาสวะ
ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้เหตุให้เกิดอาสวะ
ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ความดับอาสวะ
ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับอาสวะ

เมื่อเรานั้นรู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้
จิตได้หลุดพ้นแล้วแม้จากกามาสวะ
ได้หลุดพ้นแล้วแม้จากภวาสวะ
ได้หลุดพ้นแล้วแม้จากอวิชชาสวะ

เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ได้มีญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว
ได้รู้ด้วยปัญญาอันยิ่งว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว

กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว
กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี
พราหมณ์วิชชาที่สามนี้แล
เราได้บรรลุแล้วในปัจฉิมยามแห่งราตรี
อวิชชา เรากำจัดได้แล้ว
วิชชาเกิดแก่เราแล้ว
ความมืดเรากำจัดได้แล้ว
แสงสว่างเกิดแก่เราแล้ว
เหมือนที่เกิดแก่บุคคลผู้ไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลสส่งจิตไปแล้วอยู่ ฉะนั้น
ความชำแรกออกครั้งที่สามของเรานี้แล
ได้เป็นเหมือนการทำลายออกจากกระเปาะฟองแห่งลูกไก่ ฉะนั้น.
------------------------------------

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒
ทีฆนิกาย มหาวรรค

[๑๔๓] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ เราขอเตือนพวกเธอว่า สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
พวกเธอจงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อมเถิด ฯ

นี้เป็นพระปัจฉิมวาจาของพระตถาคต ฯ

[๑๔๔] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงเข้าปฐมฌานออกจากปฐมฌานแล้ว
ทรงเข้าทุติยฌาน ออกจากทุติยฌานแล้ว
ทรงเข้าตติยฌาน ออกจากตติยฌานแล้ว
ทรงเข้าจตุตถฌาน ออกจากจตุตถฌานแล้ว
ทรงเข้าอากาสนัญจายตนะ ออกจากอากาสนัญจายตนสมาบัติแล้ว
ทรงเข้าวิญญาณัญจายตนะ ออกจากวิญญาณัญจายตนสมาบัติแล้ว
ทรงเข้าอากิญจัญญายตนะ ออกจากอากิญจัญญายตนสมาบัติแล้ว
ทรงเข้าเนวสัญญานาสัญญายตนะ ออกจากเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติแล้ว
ทรงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ ฯ

ครั้งนั้น ท่านพระอานนท์ได้กล่าวถามท่านพระอนุรุทธะว่าพระผู้มีพระภาค

เสด็จปรินิพพานแล้วหรือ ท่านพระอนุรุทธะตอบว่าอานนท์ผู้มีอายุ พระผู้มีพระภาคยังไม่เสด็จปรินิพพาน ทรงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ ฯ

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติแล้ว
ทรงเข้าเนวสัญญานาสัญญายตนะ ออกจากเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติแล้ว
ทรงเข้าอากิญจัญญายตนะ ออกจากอากิญจัญญายตนสมาบัติแล้ว
ทรงเข้าวิญญาณัญจายตนะ ออกจากวิญญาณัญจายตนสมาบัติแล้ว
ทรงเข้าอากาสานัญจายตนะ ออกจากอากาสนัญจายตนสมาบัติแล้ว
ทรงเข้าจตุตถฌาน ออกจากจตุตถฌานแล้ว
ทรงเข้าตติยฌาน ออกจากตติยฌานแล้ว
ทรงเข้าทุติยฌาน ออกจากทุติยฌานแล้ว
ทรงเข้าปฐมฌาน ออกจากปฐมฌานแล้ว
ทรงเข้าทุติยฌาน ออกจากทุติยฌานแล้ว
ทรงเข้าตติยฌาน ออกจากตติยฌานแล้ว
ทรงเข้าจตุตถฌาน พระผู้มีพระภาคออกจากจตุตถฌานแล้ว
เสด็จปรินิพพานในลำดับ (แห่งการพิจารณาองค์จตุตถฌานนั้น) ฯ
------------------------------------

ส่วนประเด็นที่ว่ายังมีอดีตพุทธปรากฏอยู่ในภพใดภูมิใดอยู่อีกหรือ

ตอบว่า หากถือตามพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ที่ทรงตรัสว่า

“เมื่อตัณหาดับ ภพก็ดับ เมื่อเรากายแตกสิ้นชีพไปแล้ว

เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคต

เปรียบดุจพวงมะม่วงที่หลุดขาดจากขั้วแล้วฉะนั้น”

เห็นความวิปริตจิตป่วยของเจ้าลัทธิอลัชชีตัวนี้ไหมว่า มันบ้าได้ใจจริงๆ

ไอ้คนวิปริตแบบนี้แหละ พุทธบริษัทต้องช่วยกันเร่งรีบกำจัดให้พ้นไปจากพระธรรมวินัย

ขืนปล่อยเอาไว้มันบิดเบือนบ่อนทำลายพระธรรมวินัยอันบริสุทธิ์บริบูรณ์ไม่เหลือดีแน่

พุทธะอิสระ

[ขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต]

ที่มา: https://www.facebook.com/buddha.isara/posts/10154127776338446:0