ธัมมชโย :
“เมื่อมารเข้ามาผจญขณะที่ยังไม่ได้ตรัสรู้ พระมหาโพธิสัตว์นั่งเฉยๆ แต่หลังจากที่ท่านบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว
ท่านไปอยู่ใต้ต้นอชปาลนิโครธ หรือต้นไทรที่เราคุ้นเคย
นี่ล่ะจ๊ะ เจอมารนี่ท่านสะดุ้งมาร เจอที่โคนปรกโพธิ์นั้นมารสะดุ้ง
เรียกว่ามารสะดุ้งตอนที่ท่านยังไม่บรรลุ ท่านนั่งเฉยๆ ถูกไหมจ๊ะ
มาสะดุ้งต่อมารตอนบรรลุแล้ว ตามทันไหมจ๊ะ
คือชื่อมารเหมือนกัน แต่คนละไซต์ คนละรุ่นนะ
กายสุดท้ายนี่แหละพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบรรลุกายนี้
และเมื่อท่านไปอยู่ใต้ต้นอชปาลนิโครธ สงบนิ่ง พญามารเนี่ย
ที่หลวงปู่ท่านเล่าให้ฟังว่า มารใหญ่ทีเดียวนะ ใหญ่ในระดับที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาสนสะดุ้ง เอ๊ะ อะไรมาจากไหนเนี่ย มีลักษณะเหมือนกันเลย แต่ว่าคนละสี
เหมือนกับกายข้างในที่ท่านเห็นกับที่เห็นตรงนั้น แต่สีต่างกัน
นั่นดำสนิทแต่มีรัศมี ท่านมีลักษณะมหาบุรุษด้วย
และก็ปรารภมาถามกัน
------------------------------------
อลัชชีพยายามอธิบายให้เชื่อว่ามารที่มาผจญพระโพธิสัตว์ก่อนการตรัสรู้ ณ โคนต้นศรีมหาโพธิ์ กับมารที่มาผจญกับพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าหลังจากตรัสรู้แล้ว และทรงเสด็จประทับ ณ ต้น อชปาลนิโครธ เป็นมารคนละตน เป็นมารที่มีเดชมีศักดิ์ดามากกว่า
ถึงขนาดทำให้พระพุทธเจ้าทรงสะดุ้ง
ทั้งที่แท้จริงแล้วเป็นกิริยาที่พระมหาบุรุษโพธิสัตว์ทรงชี้ไปที่ภาคพื้นปฐพีเพื่อให้เป็นพยานในการบำเพ็ญทานบารมีในสมัยที่พระองค์ทรงเสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดร ที่บริจาคสัตตสดกมหาทาน อันได้แก่
ช้าง ๗๐๐ เชือก
ม้า ๗๐๐ ตัว
รถ ๗๐๐ คัน
สตรี ๗๐๐ คน
โคนม ๗๐๐ ตัว
ทาสี ๗๐๐ คน
ทาส ๗๐๐ คน
ซึ่งถ้าท่านได้อ่านตอนแรกก็จะเข้าใจที่มาของคำว่าสะดุ้งมารได้ดี
=================================
ทีนี้เรามาดูเนื้อหาในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๒ (พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๒๔)
อรรถกถา ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑ เถราปทาน ๑. พุทธวรรค
๑. พุทธาปทาน สันติเกนิทานกถา
ในสัปดาห์ที่ ๕ หลังจากที่ทรงตรัสรู้แล้วทรงเสด็จจากโคนไม้โพธิ์ ทรงดำเนินไปยังไม้อชปาลนิโครธ ทรงประทับนั่งพิจารณาพระธรรมและเสวยวิมุติสุข ณ ต้นอชปาลนิโครธนั้น
สมัยนั้น มารผู้มีบาปคิดว่า เราติดตามอยู่ตลอดกาลมีประมาณเท่านี้ แม้จะเพ่งมองหาช่องอยู่ ก็ไม่ได้เห็นความพลั้งพลาดอะไรๆ ของสิทธัตถะนี้ บัดนี้ สิทธัตถะนี้ก้าวล่วงพ้นอำนาจของเราเสียแล้ว จึงถึงความโทมนัส นั่งอยู่ในหนทางใหญ่ เมื่อคิดถึงเหตุ ๑๖ ประการจึงขีดเส้น ๑๖ เส้นลงบนแผ่นดิน แล้วคิดว่า เราไม่ได้บำเพ็ญทานบารมีเหมือนสิทธัตถะนี้ เพราะเหตุนั้น เราจึงไม่เป็นเหมือนสิทธัตถะนี้ ดังนี้ แล้วขีดลงไปเส้นหนึ่ง.
อนึ่ง คิดว่า เราไม่ได้บำเพ็ญศีลบารมี ฯลฯ เนกขัมบารมี ปัญญาบารมี วิริยบารมี ขันติบารมี สัจบารมี อธิษฐานบารมี เมตตาบารมี อุเบกขาบารมี เหมือนสิทธัตถะนี้
เพราะเหตุนั้น เราจึงไม่เป็นเหมือนสิทธัตถะนี้ ดังนี้แล้วขีดเส้น (ที่ ๒ ถึงเส้น) ที่ ๑๐.
อนึ่ง คิดว่า เราไม่ได้บำเพ็ญบารมี ๑๐ อันเป็นอุปนิสัยแก่การแทงตลอดอินทริยปโรปริยัตติญาณอันไม่ทั่วไปแก่คนอื่น เหมือนสิทธัตถะนี้
เพราะเหตุนั้น เราจึงไม่ได้เป็นเช่นกับสิทธัตถะนี้ ดังนี้แล้วขีดเส้นที่ ๑๑.
อนึ่ง คิดว่า เราไม่ได้บำเพ็ญบารมี ๑๐ อันเป็นอุปนิสัยแก่การแทงตลอดอาสยานุสยญาณ ฯลฯ มหากรุณาสมาปัตติญาณ ยมกปาฏิหาริยญาณ อนาวรณญาณและสัพพัญญุตญานอันไม่ทั่วไปแก่คนอื่น เหมือนดังสิทธัตถะนี้
เพราะเหตุนั้น เราจึงไม่เป็นเช่นกับสิทธัตถะนี้ ดังนี้แล้ว ขีดเส้นที่ ๑๒ ถึงเส้นที่ ๑๖.
มารนั่งขีดเส้น ๑๖ เส้นอยู่ที่หนทางใหญ่ เพราะเหตุดังกล่าวมานี้ ด้วยประการฉะนี้.
ก็สมัยนั้นธิดาของมาร ๓ นาง คือ นางตัณหา นางราคาและนางอรดี คิดว่า บิดาของพวกเราไม่ปรากฏ บัดนี้หายหน้าไป อยู่ที่ไหนหนอ จึงพากันมองหา
ได้เห็นบิดาผู้มีความโทมนัสนั่งขีดแผ่นดินอยู่
จึงพากันไปยังสำนักของบิดาแล้วถามว่า ท่านพ่อ เพราะเหตุไร ท่านพ่อจึงเป็นทุกข์ หม่นหมองใจ.
มารกล่าวว่า ลูกเอ๋ย มหาสมณะนี้ ล่วงพ้นอำนาจของเราเสียแล้ว
พ่อคอยดูอยู่ตลอดเวลาประมาณเท่านี้
ไม่อาจได้เห็นช่องคือโทษของมหาสมณะนี้
เพราะเหตุนั้น พ่อจึงเป็นทุกข์หม่นหมองใจ.
ธิดามารกล่าวว่า ถ้าเมื่อเป็นอย่างนั้น ท่านพ่ออย่าเสียใจเลย
ลูกๆ จักทำมหาสมณะนั่นให้ตกอยู่ในอำนาจของพวกลูกๆ แล้วพามาหาพ่อ.
มารกล่าวว่า ลูกเอ๋ย มหาสมณะนี้ ใครๆ ไม่อาจทำไว้ในอำนาจได้
บุรุษผู้นี้ตั้งอยู่ในศรัทธาอันไม่หวั่นไหว.
ธิดามารกล่าวว่า ท่านพ่อ พวกลูกชื่อว่าเป็นสตรี
ลูกๆ จักเอาบ่วงคือราคะเป็นต้น ผูกมหาสมณะนั้น นำมาเดี๋ยวนี้แหละ
ท่านพ่ออย่าคิดมากไปเลย ครั้นกล่าวแล้วจึงเข้าไปหาพระผู้มีพระภาคเจ้าทูลว่า
ข้าแต่พระสมณะ พวกข้าพระบาทจะบำเรอพระองค์.
พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ทรงใส่ใจถึงคำของพวกนาง ทั้งไม่ทรงแม้จะลืมพระเนตรแลดู
ทรงนั่งเสวยสุขอันเกิดแต่วิเวกอย่างเดียว
เพราะทรงน้อมพระทัยไปในธรรมเป็นเครื่องสิ้นไปแห่งอุปธิอันยอดเยี่ยม
ธิดามารคิดกันอีกว่า
ความประสงค์ของพวกผู้ชายเอาแน่ไม่ได้
บางพวกมีความรักหญิงเด็กๆ
บางพวกรักหญิงผู้อยู่ในปฐมวัย
บางพวกรักหญิงผู้อยู่ในมัชฌิมวัย
บางพวกรักหญิงผู้อยู่ในปัจฉิมวัย
ถ้ากระไร พวกเราควรเอารูปต่างอย่างเข้าไปล่อแล้วยึดเอา
จึงนางหนึ่งๆ นิรมิตอัตภาพของตนๆ โดยเป็นรูปหญิงวัยรุ่นเป็นต้น
คือเป็นหญิงวัยรุ่น เป็นหญิงยังไม่คลอด
เป็นหญิงคลอดคราวเดียว
เป็นหญิงคลอดสองคราว
เป็นหญิงกลางคนและเป็นหญิงผู้ใหญ่
เข้าไปหาพระผู้มีพระภาคเจ้าถึง ๖ ครั้งแล้วทูลว่า
ข้าแต่พระสมณะ ข้าพระบาททั้งหลายจะบำเรอบาทของพระองค์
แม้ดังนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าก็มิได้ทรงใส่พระทัย โดยประการที่ทรงน้อมพระทัยไปในธรรมเครื่องสิ้นไปแห่งอุปธิอันยอดเยี่ยม
ส่วนอาจารย์บางพวกกล่าวว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นธิดามารเหล่านั้นเข้าไปหา โดยเป็นหญิงผู้ใหญ่ จึงทรงอธิษฐานว่า
หญิงเหล่านี้จงเป็นคนฟันหักมีผมหงอก
คำของเกจิอาจารย์นั้นไม่ควรเชื่อถือ
เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าจะได้ทรงกระทำอธิษฐานเห็นปานนั้นก็หามิได้
แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า พวกเธอจงหลีกไป
พวกเธอเห็นประโยชน์อันใดจึงพยายามอย่างนี้
ควรทำกรรมชื่อเห็นปานนี้ เบื้องหน้าของคนผู้ยังไม่ปราศจากราคะเป็นต้น ก็ตถาคตละราคะ โทสะ โมหะแล้ว
จึงทรงปรารภถึงการละกิเลสของพระองค์ ทรงแสดงธรรมตรัสคาถา ๒ คาถาในพุทธวรรค ธรรมบท ดังนี้ว่า
ความชนะอันผู้ใดชนะแล้วไม่กลับแพ้
ใครๆ จะนำความชนะของผู้นั้นไปไม่ได้ในโลก
ท่านทั้งหลายจักนำพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ผู้มีอารมณ์ไม่มีที่สุด ผู้ไม่มีร่องรอย ไปด้วยร่องรอยอะไร
พระพุทธเจ้าพระองค์ใด ไม่มีตัณหาดุจข่าย ส่ายไปในอารมณ์ต่างๆ เพื่อจะนำไปในที่ไหน
ท่านทั้งหลายจักนำพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ผู้มีอารมณ์ไม่มีที่สุด ผู้ไม่มีร่องรอยไปด้วยร่องรอยอะไร ดังนี้
ธิดามารเหล่านั้นพากันกล่าวคำมีอาทิว่า
นับว่าเป็นความจริงที่บิดาของพวกเราได้กล่าวไว้ว่า
พระอรหันต์สุคตเจ้าในโลก ใครๆ จะนำไปง่ายๆ ด้วยราคะ หาได้ไม่ ดังนี้แล้วพากันกลับมายังสำนักของบิดา
องค์พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยับยั้งอยู่ที่อชปาลนิโครธ พิจารณาพระธรรมและเสวยวิมุติสุขนั้นอยู่ตลอดสัปดาห์
เวลาต่อมาได้เสด็จไปยังโคนไม้มุจลินท์
ณ ที่นั้นเกิดฝนพรำอยู่ตลอด ๗ วัน เพื่อจะป้องกันความหนาวเป็นต้น
พญานาคชื่อมุจลินท์ เอาขนดวง ๗ รอบ ทรงเสวยวิมุตติสุขอยู่เหมือนประทับอยู่ในพระคันธกุฎีอันไม่คับแคบ
ทรงยับยั้งอยู่ตลอดสัปดาห์ แล้วเสด็จเข้าไปยังต้นราชายตนะ แม้ ณ ที่นั้นก็ทรงยับยั้งเสวยวิมุตติสุขอยู่ตลอดสัปดาห์
โดยลำดับกาลเพียงเท่านี้ก็ครบ ๗ สัปดาห์บริบูรณ์
ในระหว่างนี้ไม่มีการสรงพระพักตร์
ไม่มีการปฏิบัติพระสรีระ
ไม่มีกิจด้วยพระกระยาหาร
แต่ทรงยับยั้งอยู่ด้วยฌานสุขและผลสุขเท่านั้น.
ครั้นในวันที่ ๔๙ อันเป็นที่สุดของ ๗ สัปดาห์นั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งอยู่ที่ต้นราชายตนะนั้น
เกิดพระดำริขึ้นว่าจักสรงพระพักตร์
ท้าวสักกะจอมเทพได้ทรงนำผลสมออันเป็นยาสมุนไพรมาถวาย
พระศาสดาเสวยผลสมอนั้น
ด้วยเหตุนั้น พระองค์จึงได้มีการถ่ายพระบังคนหนัก
ลำดับนั้น ท้าวสักกะนั่นแลได้ถวายไม้ชำระพระทนต์ชื่อนาคลดา และน้ำบ้วนพระโอษฐ์ น้ำสรงพระพักตร์แก่พระองค์
พระศาสดาทรงเคี้ยวไม้ชำระพระทนต์นั้น แล้วบ้วนพระโอษฐ์ สรงพระพักตร์ด้วยน้ำจากสระอโนดาต
เสร็จแล้วยังคงประทับนั่งอยู่ที่โคนไม้ราชายตนะนั้นนั่นแหละ
=======================================
ทีนี้มาพิจารณาดูคำที่อลัชชีจาบจ้วงพระพุทธเจ้า
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสะดุ้งมารดังคำกล่าวอ้างของเจ้าอลัชชีจริงหรือ ?
ตอบ ไม่มีในพระไตรปิฎก
มารมีลักษณะมหาบุรุษและบารมี ๑๐ ทัศ เหมือนกับพระพุทธเจ้าดังคำกล่าวอ้างของเจ้าอลัชชีจริงหรือ ?
ตอบ หากมารมีบารมีและมีลักษณะมหาบุรุษจริงดังที่อลัชชีตัวพ่อกล่าวอ้าง
ทำไมต้องมานั่งอยู่กลางทางใช้นิ้วขีดพื้นด้วยความท้อแท้ที่ไม่สามารถครอบงำพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ดังปรากฎในพระสุตตันตปิฎก
มารมาผจญก่อนตรัสรู้หรือหลังตรัสรู้ ?
ตอบ มีมาทั้งก่อนตรัสรู้และหลังตรัสรู้
มารที่มาผจญต่อพระมหาโพธิสัตว์เป็นพญามารหรือเทวบุตรมาร ?
ตอบ หัวหน้ามารที่มาผจญก่อนตรัสรู้ ในพระไตรปิฎกใช้คำว่าเทวบุตรมาร
แต่มารที่มาหลังตรัสรู้ ในพระไตรปิฎกใช้คำว่า มารผู้มีบาป
เป็นไปได้หรือที่พระมหาบุรุษ เมื่อบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ แล้วจะยังไม่รู้จักมารเหมือนดังอลัชชีตัวพ่อกล่าวอ้าง ?
ตอบ เป็นไปไม่ได้ เพราะพระพุทธองค์ทรงบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ คือ ญาณเป็นเครื่องตรัสรู้เองโดยชอบ ไม่มีญาณอื่นยิ่งกว่า
ที่อลัชชีบอกแก่สาวกว่าหลวงพ่อสดเล่าให้มันฟัง
ทั้งที่โดยความจริงหลวงพ่อสดมรณภาพเมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๒
แต่ธัมมชโยบวชเมื่อวันที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๑๒
ท่านทั้งหลายก็คิดเอาเองก็แล้วกันว่าหลวงพ่อสดเล่าอะไรให้มันฟังตอนไหน
พุทธะอิสระ
[ขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต]
ที่มา: https://www.facebook.com/buddha.isara/posts/10154113402803446