buddha1

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๒ (พระสุตตันตปิฎก เล่ม ๒๔)

อรรถกถา ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑ เถราปทาน ๑. พุทธวรรค

๑. พุทธาปทาน อวิทูเรนิทานกถา
พระโพธิสัตว์ทรงกระทำลำต้นโพธิ์ไว้เบื้องปฤษฎางค์ หันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออก ทรงมีพระหฤทัยมั่นคง

ทรงนั่งคู้อปราชิตบัลลังก์ ซึ่งแม้ฟ้าจะผ่าลงมาถึงร้อยครั้งก็ไม่แตกทำลาย โดยทรงอธิษฐานว่า
เนื้อและเลือดในสรีระจะแห้งเหือดไปหมดสิ้น
จะเหลือแต่หนัง เอ็น และกระดูก ก็ตามที
เรายังไม่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ
จักไม่ทำลายบัลลังก์นี้.

สมัยนั้น มารผู้มีบาปคิดว่า สิทธัตถกุมารต้องการจะล่วงพ้นอำนาจของเรา

บัดนี้ เราจักไม่ให้สิทธัตถกุมารนั้นล่วงพ้นไปได้
จึงไปยังสำนักของพลมาร บอกเนื้อความนั้นแล้ว ให้ทำการประกาศชื่อมารโฆษณาแล้วพาพลมารออกไป.

เสนามารนั้นได้มีอยู่ข้างหน้าของมาร ๑๒ โยชน์
ข้างขวาและข้างซ้ายข้างละ ๑๒ โยชน์
ข้างหลังตั้งอยู่จรดชายขอบเขตจักรวาลสูงขึ้นเบื้องบน ๙ โยชน์

ซึ่งเมื่อโห่ร้อง เสียงโห่ร้องจะได้ยินเหมือน เสียงแผ่นดินทรุดตั้งแต่พันโยชน์ไป.

ครั้งนั้น เทวบุตรมารขี่ช้างคิริเมขล์ สูงร้อยห้าสิบโยชน์

นิรมิตแขนหนึ่งพันถืออาวุธนานาชนิด

บริษัทมารแม้ที่เหลือต่างมีสองมือที่ถืออาวุธแตกต่างไม่ซ้ำกัน

ต่างมีรูปร่างต่างๆ กัน มีหน้าคนละอย่างกัน
พากันมาจู่โจมพระโพธิสัตว์.

ในเวลานั้น เทวดาในหมื่นจักรวาลกำลังยืนกล่าวสดุดีพระมหาสัตว์อยู่.

ท้าวสักกเทวราชยืนเป่าสังข์วิชยุตร ได้ยินว่าสังข์นั้นมีขนาดประมาณ ๑๒๐ ศอก

เมื่อเป่าให้กินลมไว้คราวเดียว จะมีเสียงอยู่ตลอด ๔ เดือนไม่หมดเสียง

พญามหากาฬนาคยืนพรรณนาพระคุณของพระมหาสัตว์นั้นเกินกว่าร้อยบท

ท้าวมหาพรหมยืนกั้นเศวตฉัตรถวาย.

ก็เมื่อพลมารเข้าไปใกล้โพธิบัลลังก์
บรรดาเทพเหล่านั้นแม้องค์หนึ่ง ก็ไม่อาจดำรงอยู่ได้

ต่างพากันหนีหน้าไปจากที่นั้น

แม้พญากาฬนาคราชก็ดำดินไปมัญเชริกนาคพิภพซึ่งมีขนาด ๕๐๐ โยชน์ นอนเอามือทั้งสองปิดหน้า

แม้ท้าวสักกเทวราชก็ลากสังข์วิชยุตรไปยืนที่ขอบปากจักรวาล.

ท้าวมหาพรหมจับยอดเศวตฉัตรเสด็จไปยังพรหมโลกทันที.

ไม่มีแม้เทวดาซักองค์หนึ่งจักเป็นผู้สามารถยืนอยู่ได้

มีแต่พระมหาบุรุษพระองค์เดียวเท่านั้นที่ทรงประทับอยู่.

ฝ่ายมารกล่าวกะบริวารของตนว่า

ดูก่อนพ่อทั้งหลาย ชื่อว่าบุรุษอื่นผู้จะเสมอเหมือนพระสิทธัตถะโอรสของพระเจ้าสุทโธทนะ ย่อมไม่มี

พวกเราจักไม่อาจทำการรบต่อหน้า พวกเราจักทำการรบทางด้านหลัง.

ฝ่ายพระโพธิสัตว์ทรงมองทั้งสามด้านได้เห็นแต่ความว่างเปล่า

เพราะเทวดาทั้งปวงพากันหนีไปหมด.

พระองค์ทรงเห็นพลมารจู่โจมเข้ามาทางด้านเหนืออีก

จึงทรงดำริว่า เวลานี้เหลือเพียงเราแต่ผู้เดียวที่มีความเพียร เพราะมุ่งหมายประโยชน์ใหญ่

ในที่นี้เราไม่มีบิดามารดา พี่น้องหรือญาติไรๆ อื่น
มีแต่บารมี ๑๐ นี้เท่านั้นเป็นเสมือนบริวารชนที่เราชุบเลี้ยงไว้ตลอดกาลนาน

เพราะฉะนั้น เราควรทำบารมีเท่านั้นให้เป็นยอดของหมู่พล

เอาศาสตราคือบารมีนั่นแหละเป็นเครื่องประหาร กำจัดหมู่พลมารนี้เสีย

ดังนี้แล้ว จึงทรงนั่งรำพึงถึงบารมีทั้ง ๑๐ ประการ.
ลำดับนั้น เทวบุตรมารคิดว่าจักบันดาลให้พระสิทธัตถกุมารหนีไปเฉพาะด้วยลม จึงบันดาลมณฑลของลมให้ตั้งขึ้น

ขณะนั้นเอง ลมทั้งหลายอันต่างด้วยลมด้านทิศตะวันออกเป็นต้นก็ตั้งขึ้นมา

แม้สามารถจะทำลายยอดภูเขาซึ่งมีประมาณกึ่งโยชน์ หนึ่งโยชน์ สองโยชน์ สามโยชน์ กระทำป่า กอไม้และต้นไม้เป็นต้นให้มีรากขึ้นข้างบน แล้วทำคามนิคมรอบๆ ให้ละเอียดเป็นจุณวิจุณ
แต่อานุภาพแห่งบุญของพระมหาบุรุษกำจัดเสียแล้ว

พอมาถึงพระโพธิสัตว์ก็ไม่สามารถที่จะทำแม้แต่ว่าชายจีวรของพระโพธิสัตว์ให้ไหวได้.

ลำดับนั้น เทวบุตรมารจึงคิดว่า จักเอาน้ำมาท่วมทำพระสิทธัตถะให้ตาย

จึงบันดาลฝนห่าใหญ่ให้ตั้งขึ้น,

ด้วยอานุภาพของเทวบุตรมารนั้น เมฆฝนอันมีร้อยหลืบพันหลืบได้ก่อตัวตั้งขึ้นซ้อนๆ กัน แล้วตกลงมา.

ด้วยกำลังแห่งสายธารของน้ำฝน แผ่นดินได้เป็นช่องน้อยช่องใหญ่.

มหาเมฆที่ลอยมาทางส่วนเบื้องบนของป่าและต้นไม้เป็นต้น ไม่อาจให้น้ำแม้เท่าก้อนหยาดน้ำค้างเปียกชายจีวรของพระมหาสัตว์ได้

ลำดับนั้น มารจึงบันดาลห่าฝนหินให้ตั้งขึ้น ยอดภูเขายอดใหญ่ๆ คุกรุ่นเป็นควันไฟลุกโพลง ลอยมาทางอากาศ พอถึงพระโพธิสัตว์ก็กลายเป็นกลุ่มดอกไม้ทิพย์

ลำดับนั้น จึงบันดาลห่าฝนเครื่องประหารให้ตั้งขึ้น เครื่องประหารมีดาบ หอกและลูกศรเป็นต้น มีคมข้างเดียว มีคมสองข้าง คุเป็นควันไฟลุกโพลง ลอยมาทางอากาศ พอถึงพระโพธิสัตว์ก็กลายเป็นดอกไม้ทิพย์

ลำดับนั้น จึงบันดาลห่าฝนถ่านเพลิงให้ตั้งขึ้น ถ่านเพลิงทั้งหลายมีสีดังดอกทองกวาว ลอยมาทางอากาศ พอถึงพระโพธิสัตว์ก็กลายเป็นดอกไม้ทิพย์ โปรยปรายลงแทบบาทมูลของพระโพธิสัตว์

ลำดับนั้น จึงบันดาลห่าฝนเถ้ารึงให้ตั้งขึ้น เถ้ารึงมีสีดังไฟร้อนอย่างยิ่ง ลอยมาทางอากาศก็กลายเป็นจุณของจันทน์ตกลงแทบบาทมูลของพระโพธิสัตว์

ลำดับนั้น จึงบันดาลห่าฝนทรายให้ตั้งขึ้น ทรายทั้งหลายละเอียดยิบ คุเป็นควันไฟลุกโพลง ลอยมาทางอากาศ ก็กลายเป็นดอกไม้ทิพย์ตกลงแทบบาทมูลของพระมหาสัตว์

ลำดับนั้น จึงบันดาลห่าฝนเปือกตมให้ตั้งขึ้น เปือกตมนั้นคุเป็นควันไฟลุกโพลง ลอยมาทางอากาศ ก็กลายเป็นเครื่องลูบไล้อันเป็นทิพย์ตกลงแทบบาทมูลของพระโพธิสัตว์

ลำดับนั้น เทวบุตรมารได้บันดาลความมืดให้ตั้งขึ้น ด้วยคิดว่าเราจักทำให้พระสิทธัตถะกลัวด้วยความมืดนี้แล้วหนีไป

ความมืดนั้นเป็นความมืดตื้อ เหมือนความมืดอันประกอบด้วยองค์ ๔ (คือแรม ๑๔ ค่ำ ป่าชัฏ เมฆทึบและเที่ยงคืน) พอถึงพระโพธิสัตว์ก็อันตรธานหายไป เหมือนความมืดที่ถูกกำจัดด้วยแสงสว่างของดวงอาทิตย์ฉะนั้น

มารนั้นเมื่อไม่สามารถทำให้พระโพธิสัตว์หนีไปด้วยลม ฝน ห่าฝนหิน ห่าฝนเครื่องประหาร ห่าฝนถ่านเพลิง ห่าฝนเถ้ารึง ห่าฝนทราย ห่าฝนเปือกตม และห่าฝนคือความมืด ทั้ง ๙ ประการนี้ด้วยประการอย่างนี้ได้

จึงสั่งบริษัทของตนว่า พนาย พวกท่านจะหยุดอยู่ทำไม จงจับพระสิทธัตถะกุมารนี้ จงฆ่า จงให้หนีไป

แม้ตนเองก็นั่งอยู่บนคอช้างคิริเมขล์ ถือจักราวุธเข้าไปใกล้พระโพธิสัตว์แล้วกล่าวว่า

สิทธัตถะ ท่านจงลุกขึ้นจากบัลลังก์นี้ บัลลังก์นี้ไม่ถึงแก่ท่าน บัลลังก์นี้ถึงแก่เรา

พระมหาสัตว์ได้ฟังคำของมารนั้นแล้วได้ตรัสว่า ดูก่อนมาร

ท่านไม่ได้บำเพ็ญบารมี ๑๐ ทัศ
ไม่ได้บำเพ็ญอุปบารมี ๑๐
ไม่ได้บำเพ็ญปรมัตถบารมี ๑๐
มหาบริจาค ๕ ก็ไม่ได้บำเพ็ญ
ท่านไม่ได้บำเพ็ญญาตัตถจริยา โลกัตถจริยา พุทธัตถจริยา

ทั้งหมดนั้น เราเท่านั้นที่บำเพ็ญมาแล้ว

เพราะฉะนั้น บัลลังก์นี้จึงไม่ควรแก่ท่าน บัลลังก์นี้ควรแก่เราเท่านั้น

มารโกรธ อดกลั้นกำลังของความโกรธไว้ไม่ได้
จึงขว้างจักราวุธใส่พระมหาบุรุษ

เมื่อพระมหาบุรุษรำพึงถึงบารมี ๑๐ ทัศอยู่นั่นแล
จักราวุธนั้นได้กลายเป็นเพดานดอกไม้ตั้งอยู่ ณ ส่วนเบื้องบน

ได้ยินว่า จักราวุธนั้นคมกล้านัก มารโกรธแล้วขว้างไปในที่อื่น สามารถตัดเสาหินอันเป็นแท่งเดียวทึบขาดได้ เหมือนตัดหน่อไม้ไผ่ฉะนั้น

แต่บัดนี้ เมื่อจักราวุธ นั้นผู้ขว้างออกไปกลับกลายเป็นเพดานดอกไม้ตั้งอยู่เหนือนภากาศ

บริษัทมารที่เหลือจึงพากันปล่อยยอดเขาหินใหญ่ ให้กลิ้งมาด้วยคิดว่า พระสิทธัตถะจักลุกจากบัลลังก์หนีไปในบัดนี้

ยอดเขาหินแม้เหล่านั้น เมื่อพระมหาบุรุษรำพึงถึงบารมี ๑๐ ทัศอยู่ก็กลายเป็นกลุ่มดอกไม้ตกลงบนภาคพื้น

เทวดาทั้งหลายที่อยู่ ณ ขอบปากจักรวาลก็ยืดคอเงยศีรษะขึ้นแลดูด้วยคิดว่า

โอ! อัตภาพอันถึงความเลิศด้วยพระรูปโฉมของพระสิทธัตถกุมาร จักฉิบหายเสียแล้วหนอ
พระสิทธัตถกุมารนั้นจักทรงกระทำอย่างไรหนอ

ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ตรัสว่า บัลลังก์ที่ถึงในวันนี้เป็นที่ตรัสรู้ของพระโพธิสัตว์ทั้งหลายผู้ได้บำเพ็ญบารมีมาแล้ว ย่อมเป็นของที่ควรแก่เรา
จึงตรัสกะมารผู้ยืนอยู่ว่า ดูก่อนมาร ในเวลาที่ท่านได้ให้ทาน ใครเป็นสักขีพยาน

มารเหยียดมือไปตรงหน้าพลมารโดยพูดว่า คนเหล่านี้มีประมาณเท่านี้แลเป็นสักขีพยาน

ขณะนั้น เสียงของบริษัทมารได้ดังขึ้นว่า เราเป็นสักขีพยาน เราเป็นสักขีพยาน ได้เป็นเหมือนเสียงแผ่นดินทรุด

ลำดับนั้น มารกล่าวกะพระมหาบุรุษว่า สิทธัตถะ ในเวลาที่ท่านให้ทานไว้แล้ว ใครเป็นสักขีพยาน.
(ไม่ใช่พระไตรปิฎกฉบับธรรมกายครับ ในตอนนี้ท่านอ้างถึงทานบารมีอย่างเดียว)

พระมหาบุรุษตรัสว่า ในภาวะที่เราให้ทาน ตนผู้มีจิตใจย่อมเป็นพยานแก่ตน

แต่ในที่นี้ เราไม่มีใครๆ ที่จะมาเป็นสักขีพยานให้ได้ ทานที่เราให้ในอัตภาพอื่นๆ จงยกไว้ก่อน
เอาแค่ในภาวะที่เราดำรงอยู่ในอัตภาพเป็นพระเวสสันดรแล้วได้ให้สัตตสดกมหาทานก็แล้วกัน
เมื่อพระมหาบุรุษทรงตรัสดังนี้ ปฐพีอันหนาใหญ่นี้แม้จะไม่มีจิตใจก็เป็นสักขีพยานได้

จึงทรงนำออกเฉพาะพระหัตถ์เบื้องขวาจากภายในกลีบจีวร

แล้วทรงชี้ไปตรงหน้ามหาปฐพี พร้อมทรงตรัสว่า

(ด้วยพระกิริยาบทนี้แหละ จึงเป็นที่มาของการเรียกขานว่าพระโพธิสัตว์สะดุ้งมารมีมาแต่โบราณกาล หาได้เป็นการสะดุ้งมารไม่ แต่เป็นการชี้เอาธรณีนี้เป็นพยานในทานบารมีของพระองค์ที่ทรงกระทำมาแล้วแต่อดีต)

ในภาวะที่เราดำรงอยู่ในอัตภาพเป็นพระเวสสันดรแล้วให้สัตตสดกมหาทาน ท่านจักเป็นสักขีพยานให้เราได้หรือไม่

มหาปฐพีได้บันลือขึ้นเหมือนจะท่วมทับพลมาร ด้วยร้อยเสียง พันเสียง แสนเสียงว่า ในกาลนั้น “ว่าเราเป็นสักขีพยานท่าน.” ให้แด่องค์พระมหาโพธิสัตว์

แต่นั้น เมื่อพระมหาบุรุษทรงพิจารณาถึงทานที่ให้ในอัตภาพเป็นพระเวสสันดรอยู่ว่า สิทธัตถะ มหาทาน อุดมทาน ท่านได้ให้แล้ว ดังนี้

ช้างคิริเมขล์สูง ๑๕๐ โยชน์คุกเข่าลงบนแผ่นดิน บริษัทมารพากันหนีเตลิดไปทุกทิศานุทิศ
พากันทิ้งอาภรณ์ที่ศีรษะและผ้าที่นุ่งห่ม แล้วหนีไปทางทิศที่ตรงหน้าๆ นั่นเอง

เวลานั้น หมู่เทพได้เห็นพลมารหนีไป
พวกเทวดาจึงประกาศแก่พวกเทวดา
พวกนาคจึงประกาศแก่พวกนาค
พวกครุฑจึงประกาศแก่พวกครุฑ
พวกพรหมจึงประกาศแก่พวกพรหมว่า
ความปราชัยเกิดแก่มารแล้ว
ชัยชนะเกิดแก่สิทธัตถกุมารแล้ว
พวกเราจักทำการบูชาชัยชนะ ดังนี้
ต่างถือของหอมและดอกไม้เป็นต้นมายังโพธิบัลลังก์อันเป็นสำนักของพระมหาบุรุษ

ก็เมื่อพลมารเหล่านั้นหนีไปสิ้นนี้แล้ว

ในกาลนั้น หมู่เทพมีใจเบิกบาน ประกาศความชนะของพระมหาสัตว์เจ้า ณ โพธิมัณฑ์ว่า
พระมหาสัตว์ผู้มีสิริทรงมีชัยชนะ ส่วนมารผู้ลามกปราชัยแล้ว

ในกาลนั้น หมู่นาคมีใจเบิกบาน ประกาศความชนะของพระมหาสัตว์ ณ โพธิมัณฑ์ว่า
พระมหาสัตว์ผู้มีสิรินี้ทรงมีชัยชนะ ส่วนมารผู้ลามกปราชัยแล้ว

ในกาลนั้น หมู่ครุฑมีใจเบิกบาน ประกาศความชนะของพระมหาสัตว์ ณ โพธิมัณฑ์ว่า

พระมหาสัตว์ผู้มีสิรินี้ทรงมีชัยชนะ มารผู้ลามกปราชัยแล้ว

ในกาลนั้น หมู่พรหมมีใจเบิกบาน ประกาศความชนะของพระมหาสัตว์ ณ โพธิมัณฑ์ว่า

พระมหาสัตว์ผู้มีสิรินี้ทรงมีชัยชนะ ส่วนมารผู้ลามกปราชัยแล้ว ฉะนี้แล

เทวดาในหมื่นจักรวาลที่เหลือได้บูชาด้วยดอกไม้ของหอมและเครื่องลูบไล้ กับได้กล่าวสดุดีนานัปการอยู่

เมื่อพระอาทิตย์ยังทอแสงอยู่อย่างนี้นั่นแล พระมหาบุรุษทรงกำจัดมารและพลมารได้
อันกาบใบมหาโพธิพฤกษ์ซึ่งตกลงเบื้องบนจีวร ประหนึ่งกลีบแก้วประพาฬแดงบูชาอยู่
ทรงระลึกบุพเพนิวาสญาณได้ในปฐมยาม
ทรงชำระทิพยจักษุได้ในมัชฌิมยาม
ทรงหยั่งพระญาณลงในปฏิจจสมุปบาทได้ในปัจฉิมยาม

-----------------------------------

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๑
มหาวิภังค์ ภาค ๑

บุพเพนิวาสานุสสติญาณ

เรานั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผุดผ่อง ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่นไม่หวั่นไหว อย่างนี้แล้ว ได้น้อมจิตไปเพื่อบุพเพนิวาสานุสสติญาณ

เรานั้นย่อมระลึกชาติก่อนได้เป็นอันมาก

คือระลึกชาติได้หนึ่งชาติบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง ตลอดสังวัฏฏกัลป์เป็นอันมากบ้าง ตลอดวิวัฏฏกัลป์เป็นอันมากบ้าง ตลอดสังวัฏฏวิวัฏฏกัลป์เป็นอันมากบ้าง

ว่าในภพโน้นเราได้มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้ไปเกิดในภพโน้น

แม้ในภพโน้นนั้น เราก็ได้มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น

ครั้นจุติจากภพโน้นนั้นแล้ว ได้มาเกิดในภพนี้

เราย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอุเทส พร้อมทั้งอาการ ด้วยประการฉะนี้

พราหมณ์ วิชชาที่หนึ่งนี่แล เราได้บรรลุแล้วในปฐมยามแห่งราตรี

อวิชชา เรากำจัดได้แล้ว วิชชาเกิดแก่เราแล้ว ความมืดเรากำจัดได้แล้ว

แสงสว่างเกิดแก่เราแล้ว

เหมือนที่เกิดแก่บุคคลผู้ไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลส ส่งจิตไปแล้วอยู่ฉะนั้น

ความชำแรกออกครั้งที่หนึ่งของเรานี้แล ได้เป็นเหมือนการทำลายออกจากกระเปาะฟองแห่งลูกไก่ฉะนั้น

จุตูปปาตญาณ

เรานั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผุดผ่อง ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควร
แก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้แล้ว

ได้น้อมจิตไปเพื่อญาณเครื่องรู้จุติและอุปบัติของสัตว์ทั้งหลาย

เรานั้นย่อมเล็งเห็นหมู่สัตว์ผู้กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์

ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เข้าถึงตามกรรมว่า

หมู่สัตว์ผู้เกิดเป็นอยู่เหล่านี้ ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นมิจฉาทิฏฐิ

ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ

หมู่สัตว์ผู้เกิดเป็นอยู่เหล่านั้น เบื้องหน้าแต่แตกกายตายไป

เข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก หรือว่าหมู่สัตว์ผู้เกิดเป็นอยู่เหล่านี้ ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นสัมมาทิฏฐิ

ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ

หมู่สัตว์ผู้เกิดเป็นอยู่เหล่านั้น เบื้องหน้าแต่แตกกายตายไป เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์

เราย่อมเล็งเห็นหมู่สัตว์ผู้กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์

ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เข้าถึงตามกรรมด้วยประการดังนี้

พราหมณ์ วิชชาที่สองนี้แล เราได้บรรลุแล้วในมัชฌิมยามแห่งราตรี

อวิชชา เรากำจัดได้แล้ว

วิชชาเกิดแก่เราแล้ว

ความมืดเรากำจัดได้แล้ว

แสงสว่างเกิดแก่เราแล้ว

เหมือนที่เกิดแก่บุคคลผู้ไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลส ส่งจิตไปแล้วอยู่ฉะนั้น

ความชำแรกออกครั้งที่สองของเรานี้แล

ได้เป็นเหมือนการทำลายออกจากกระเปาะฟองแห่งลูกไก่ ฉะนั้น

อาสวักขยญาณ

เรานั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้แล้ว

ได้น้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ เรานั้นได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ทุกข์

ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้เหตุให้เกิดทุกข์

ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ความดับทุกข์

ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์

ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า เหล่านี้อาสวะ

ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้เหตุให้เกิดอาสวะ

ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ความดับอาสวะ

ได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับอาสวะ

เมื่อเรานั้นรู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้

จิตได้หลุดพ้นแล้วแม้จากกามาสวะ

ได้หลุดพ้นแล้วแม้จากภวาสวะ

ได้หลุดพ้นแล้วแม้จากอวิชชาสวะ

เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ได้มีญาณหยั่งรู้ว่าหลุดพ้นแล้ว

ได้รู้ด้วยปัญญาอันยิ่งว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว

กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว

กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี

พราหมณ์วิชชาที่สามนี้แล

เราได้บรรลุแล้วในปัจฉิมยามแห่งราตรี

อวิชชา เรากำจัดได้แล้ว

วิชชาเกิดแก่เราแล้ว

ความมืดเรากำจัดได้แล้ว

แสงสว่างเกิดแก่เราแล้ว

เหมือนที่เกิดแก่บุคคลผู้ไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลสส่งจิตไปแล้วอยู่ ฉะนั้น

ความชำแรกออกครั้งที่สามของเรานี้แล

ได้เป็นเหมือนการทำลายออกจากกระเปาะฟองแห่งลูกไก่ ฉะนั้น
------------------------------------

buddha2

ทีนี้มาดูลีลาการตรัสรู้ของพระมหาบุรุษจากพระไตรปิฎกต่อ

------------------------------------

ครั้งเมื่อพระมหาบุรุษนั้นทรงพิจารณาปัจจยาการอันประกอบด้วยบท ๑๒ บท

โดยอนุโลมและปฏิโลม

ด้วยอำนาจวัฏฏะและวิวัฏฏะ หมื่นโลกธาตุได้ไหวถึง ๑๒ ครั้งจนจรดน้ำรองแผ่นดินเป็นที่สุด.
ก็เมื่อพระมหาบุรุษทรงยังหมื่นโลกธาตุให้บันลือแล้ว

ทรงรู้แจ้งแทงตลอดพระสัพพัญญุตญาณในเวลาอรุณขึ้น

หมื่นโลกธาตุทั้งสิ้นก็ได้มีการตกแต่งประดับประดาด้วยแผ่นผ้าของธงทั้งหลายที่ยกขึ้นที่ขอบปากจักรวาลทิศตะวันออก กระทบขอบปากจักรวาลทิศตะวันตก

อนึ่ง แผ่นผ้าของธงทั้งหลายที่ยกขึ้นที่ขอบปากจักรวาลทิศตะวันตก กระทบขอบปากจักรวาลทิศตะวันออก

แผ่นผ้าของธงทั้งหลายที่ยกขึ้นที่ขอบปากจักรวาลทิศใต้กระทบขอบปากจักรวาลทิศเหนือ
แผ่นผ้าของธงทั้งหลายที่ยกขึ้นที่ขอบปากจักรวาลทิศเหนือกระทบขอบปากจักรวาลทิศใต้

แผ่นผ้าของธงทั้งหลายที่ยกขึ้นที่พื้นแผ่นดิน ได้ตั้งจรดถึงพรหมโลก

แผ่นผ้าของธงทั้งหลายที่ยกขึ้นที่พรหมโลก ก็ตั้งอยู่จรดถึงบนพื้นแผ่นดิน

ต้นไม้ดอกไม้ในหมื่นจักรวาลก็ออกดอก
ต้นไม้ผลก็เต็มไปด้วยพวงผล

ปทุมชนิดลำต้นก็ออกดอกที่ลำต้น
ปทุมชนิดกิ่งก็ออกดอกที่กิ่ง
ปทุมชนิดเครือเถาออกดอกที่เครือเถา
ปทุมชนิดที่ห้อยในอากาศก็ออกดอกในอากาศ
ปทุมชนิดเป็นก้านก็ทำลายพื้นศิลาทึบเป็นดอกบัวตั้งขึ้นซ้อนๆ กัน

หมื่นโลกธาตุได้เกลื่อนกลาดด้วยดอกไม้ เหมือนกลุ่มดอกไม้ที่เขาวนๆ แล้วโยนไป และเหมือนเครื่องลาดดอกไม้ที่เขาลาดไว้อย่างดี

โลกันตริกนรกกว้าง ๘ พันโยชน์ในระหว่างจักรวาลทั้งหลาย ไม่เคยสว่างแม้ด้วยแสงอาทิตย์ ๗ ดวง

ในกาลนั้นได้มีแสงสว่างเป็นอันเดียวกัน. มหาสมุทรลึก ๘๔,๐๐๐ โยชน์ได้กลายเป็นน้ำหวาน

แม่น้ำทั้งหลายไม่ไหล คนบอดแต่กำเนิดแลเห็นรูป คนหนวกแต่กำเนิดได้ยินเสียง

คนง่อยเปลี้ยแต่กำเนิดก็เดินได้ เครื่องจองจำคือขื่อคาเป็นต้นก็ขาดตกไปเอง

พระมหาบุรุษอันเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย บูชาอยู่ด้วยสิริสมบัติหาประมาณมิได้ด้วยประการอย่างนี้

เมื่ออัจฉริยธรรมทั้งหลายมีประการมิใช่น้อยปรากฏแล้ว ทรงแทงตลอดพระสัพพัญญุตญาณแล้ว จึงทรงเปล่งอุทานที่พระพุทธเจ้าทั้งปวงมิได้ทรงละว่า

เราเมื่อแสวงหานายช่างผู้ปลูกเรือน

เมื่อไม่พบได้ท่องเที่ยวไปยังสงสารมิใช่น้อย
การเกิดบ่อยๆ เป็นทุกข์

นี่แน่ะนายช่างผู้ปลูกเรือน เราเห็นท่านแล้ว
ท่านจักไม่ได้กระทำเรือน ท่านจักไม่อาจปลูกเรือนให้เราได้อีกต่อไป

โครงเรือนทั้งหมดของท่านเราหักเสียแล้ว ยอดเรือนเราก็กำจัดแล้ว

จิตของเราถึงวิสังขารคือพระนิพพานแล้ว
เราได้ถึงความสิ้นตัณหาแล้ว ดังนี้

จบอวิทูเรนิทานกถา
===============================================

พุทธะอิสระ

ที่มา: https://www.facebook.com/buddha.isara/posts/10154112466908446

[ขอบคุณภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต]