lp3

เห็นมีผู้มาเล่าให้ฟังคร่าวๆ ถึงเรื่องพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นม้าสินธพอาชาไนย

จึงทำให้ระลึกได้ เพื่อทบทวนความทรงจำ จึงนำเอาพระชาดกชื่อ โภชาชานียชาดาก ม้าสินธพอาชาไนย มาเล่าสู่กันฟังยามว่างในวันมหาสงกรานต์ ความว่า
…………………………………..
ว่าด้วย ม้าสินธพอาชาไนย

พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระวิหารเชตวัน ทรงปรารภภิกษุผู้ละความเพียรรูปหนึ่ง จึงตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า อปิ ปสฺเสน เสมาโน ดังนี้

ความพิศดารว่า สมัยนั้น พระศาสดาตรัสเรียกภิกษุนั้นมา แล้วตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ บัณฑิตทั้งหลาย แม้ในกาลก่อน ได้กระทำความเพียร แม้ในที่ไม่ใช่ถิ่นที่อยู่ของตน แม้ได้รับบาดเจ็บ ก็ไม่ละความเพียร ดังนี้แล้ว ทรงนำอดีตนิทานมาแสดงว่า

ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติ อยู่ในนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลม้าสินธพชื่อ โภชาชานียะ สมบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวง ได้เป็นม้ามงคลของพระเจ้าพาราณสี

พระโพธิสัตว์นั้นบริโภคโภชนะ ข้าวสาลีมีกลิ่นหอมอันเก็บไว้ ๓ ปี ถึงพร้อมด้วยรสเลิศต่างๆ ในถาดทองอันมีราคาแสนหนึ่ง ยืนอยู่ในถิ่นที่อยู่ อันไล้ทาด้วยของหอมมีกำเนิด ๔ ประการเท่านั้น สถานที่อยู่นั้น กางกั้นด้วยม่านผ้ากัมพลแดง เบื้องบนดาดเพดานผ้าอันวิจิตรด้วยดาวทอง ห้อยพวงของหอมและพวงดอกไม้ ตามประทีปนํ้าหอม

ม้านี้ย่อมไม่มีแด่ พระราชาทั้งหลายผู้ปรารถนาราชสมบัติในนครพาราณสี ย่อมไม่มี
ขณะนั้น พระราชา ๗ พระองค์พากันล้อมนครพาราณสี ทรงส่งหนังสือแก่พระเจ้าพาราณสีว่า จะให้ราชสมบัติแก่เราทั้งหลายหรือจะรบ

พระเจ้าพาราณสีให้ประชุมอำมาตย์ทั้งหลาย แล้วตรัสบอกข่าวนั้น พร้อมตรัสถามว่า
ดูก่อนพ่อทั้งหลาย บัดนี้ พวกเราจะกระทำอย่างไร? ท้าวพญาทั้ง ๗ ได้ยกทัพมาประชิดติดหัวเมืองเราแล้ว

อำมาตย์ทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ เบื้องต้นพระองค์ยังไม่ต้องออกรบก่อน พระองค์จงส่งทหารม้าผู้มีฝีมือเก่งกล้าให้ออกไปกระทำการรบแทนพระองค์ก่อน

เมื่อทหารม้านั้นไม่สามารถ ข้าพระบาททั้งหลายจักได้คิดหาทางแก้ไขในภายหลัง

พระราชารับสั่งให้เรียกทหารม้านั้นมา แล้วตรัสว่า ดูก่อนพ่อ เธอจักอาจกระทำ การรบกับพระราชา ๗ องค์ได้หรือไม่

นายทหารม้ากราบทูลว่า ข้าแต่สมมติเทพ ถ้าข้าพระบาทได้ม้าสินธพ ชื่อโภชาชานียะแล้วไซร้ พระราชา ๗ พระองค์จะสลักสำคัญอะไร ข้าพระบาทจักยังสามารถรบกับพระราชาทั่วทั้งชมพูทวีปก็ยังได้เลยพระเจ้าข้า

พระราชาตรัสว่า ดูก่อนพ่อ พ่อต้องการม้าสินธพโภชาชานียะ หรือม้าอื่นย่อมได้ทั้งนั้น ขอเพียงพ่อสามารถเอาชนะต่อท้าวพญาทั้ง ๗ ได้ เราจักประทานรางวัลให้พ่ออย่างงาม

นายทหารม้านั้นรับพระดำรัสแล้ว ถวายบังคมพระราชาลงจากปราสาท ให้นำม้าสินธพโภชาชานียะมาแต่งองค์ทรงเกราะ แม้ตนก็ผูกสอดเกราะทุกอย่าง เหน็บพระขรรค์ ขึ้นหลังม้าสินธพตัวประเสริฐ ออกจากพระนครไปประดุจฟ้าแลบ

สามารถทำลายกองพลที่ ๑ จับเป็นพระราชาได้องค์หนึ่ง พามามอบให้แก่พระราชาพรหมทัตในนครแล้วกลับไปอีก ทำลายกองพลที่ ๒ กองพลที่ ๓ ก็เหมือนกัน จับเป็นพระราชาได้ ๕ องค์อย่างนี้ ด้วยประการฉะนี้ แล้วทำลายกองพลที่ ๖

ในคราวจับพระราชาองค์ที่ ๖ ม้าสินธพโภชาชานียะได้รับบาดเจ็บ เลือดไหล เวทนากล้าเหลือกำลัง นายทหารม้านั้นรู้ว่า ม้าสินธพนั้นได้รับบาดเจ็บหนัก จึงให้ม้าสินธพโภชาชานียะนอนที่ประตูพระราชวัง เริ่มถอดเกราะออก เพื่อจะผูกเกราะนั้นให้กับม้าตัวอื่น

พระโพธิสัตว์ม้าสินธพขณะที่นอนพักอยู่ทางข้างที่มีความผาสุกมาก ลืมตาขึ้นเห็นนายทหารม้ากำลังทำการเปลี่ยนม้าศึก จึงคิดว่า นายทหารม้านี้จะหุ้มเกราะม้าตัวอื่น แต่ม้าอื่นจักไม่สามารถทำลายกองพลที่ ๗ จับพระราชาองค์ที่ ๗ ได้ และกรรมที่เราทำไว้แล้ว จักพินาศหมด แม้นายทหารม้าซึ่งไม่มีผู้เปรียบก็จักพินาศ แม้พระราชาพรหมทัตก็จักตกอยู่ในเงื้อมมือของพระราชาอื่น

เว้นเราเสียแล้ว ม้าอื่นชื่อว่า สามารถเพื่อทำลายกองพลที่ ๗ นี้ได้จักไม่มี ผู้ที่จักพระราชาองค์ที่ ๗ ได้ย่อมไม่มี

ทั้งๆ ที่นอนโซมเหนื่อยล้าเลือดไหลอยู่นั่น พระโพธิสัตว์จึงให้เรียกนายทหารม้ามา แล้วกล่าวว่า

ดูก่อนนายทหารม้าผู้สหาย เว้นเราเสียแล้ว ชื่อว่า ม้าอื่นผู้สามารถจะทำลายกองพลที่ ๗ แล้วจับพระราชาองค์ที่ ๗ ได้ย่อมไม่มี

เราจักไม่ทำกรรมที่เรากระทำแล้วให้เสียหาย ท่านจงให้คนมาพยุงเราลุกขึ้นแล้วผูกเกราะนั้นให้แก่เราเถิด

ครั้นกล่าวแล้ว จึงกล่าวคาถานี้ว่า

ม้าสินธพอาชาไนยถูกลูกศรแทงแล้ว แม้นอนตะแคงอยู่ข้างเดียว ก็ยังประเสริฐกว่าม้ากระจอก ดูก่อนนายสารถี ท่านจงพาฉันออกรบเถิด

นายทหารม้าพยุง พระโพธิสัตว์ให้ลุกขึ้น พันแผลแล้ว ผูกสอดเกราะเรียบร้อย นั่งบนหลังของพระโพธิสัตว์นั้น แล้วควบห้อตะบึงแล่นไปสู่ที่ตั้งทัพของท้าวพญาองค์ที่ ๗ อย่างไวดุจสายฟ้า

ทำลายกองพลทับที่ ๗ จับเป็นพระราชาองค์ที่ ๗ แล้วมอบให้แก่องค์ราชาพรหมทัต คนทั้งหลายนำม้าพระโพธิสัตว์มายังประตูพระราชวัง พระราชาเสด็จออก เพื่อทอดพระเนตรพระโพธิสัตว์นั้น

ม้าสินธพ พระมหาสัตว์ทูลพระราชาว่า ข้าแต่มหาราช พระองค์อย่าทรงฆ่าพระราชาทั้ง ๗ เลย จงให้กระทำการสาบานแล้วปล่อยไป พระองค์จงประทานยศที่จะพึงประทานให้เฉพาะแก่นายทหารม้าเท่านั้น

การจับพระราชา ๗ องค์ได้แล้ว พระองค์มิควรลงอาญาทหารผู้กระทำการรบให้พินาศ ย่อมไม่ควร แม้พระองค์ก็จงทรงบำเพ็ญทาน รักษาศีล ทรงครองราชสมบัติโดยสุจริตธรรม

เมื่อพระโพธิสัตว์ให้โอวาทแก่พระราชาอย่างนี้แล้ว คนทั้งหลายจึงถอดเกราะของพระโพธิสัตว์ออก เมื่อเกราะถูกถอดออกจากวรกายม้าสินธพเท่านั้น พระโพธิสัตว์นั้นได้สิ้นลมหายใจลงทันที

พระราชาทรงให้ทำฌาปนกิจสรีระของพระโพธิสัตว์นั้นได้ประทานยศใหญ่แก่นายทหารม้า ทรงให้พระราชาทั้ง ๗ พระองค์ ทรงกระทำสาบานเพื่อไม่ประทุษร้ายต่อกันอีก แล้วทรงสั่งให้เสด็จกลับไปยังเมืองตน

พระราชาพรหมทัตทรงครองราชย์สมบัติโดยธรรมสมํ่าเสมอ ในเวลาสุดสิ้นพระชนมายุ ได้อุบัติบังเกิดไปตามผลแห่งกรรมที่เคยกระทำมา

พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัณฑิตทั้งหลายในปางก่อนได้กระทำความเพียร แม้ในที่อันมิใช่ที่อยู่ของตนอย่างนี้ แม้ได้รับบาดเจ็บเห็นปานนี้ก็ไม่ละความเพียร

ส่วนเธอบวชในศาสนาอันเป็นเครื่องนำออกจากทุกข์เห็นปานนี้ เพราะเหตุไรจึงละความเพียรเสีย แล้วทรงประกาศสัจจะทั้ง ๔ ในเวลาจบสัจจะ ภิกษุผู้ละความเพียรตั้งอยู่ในพระอรหัตผล

ฝ่ายพระศาสดา ครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาสืบต่ออนุสนธิแล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า พระราชาในครั้งนั้น ได้มาเกิดเป็น พระอานนท์ นายทหารม้าในครั้งนั้น ได้เกิดมาเป็น พระสารีบุตร ส่วนโภชาชานียสินธพในครั้งนั้น ได้เกิดมาเป็น เรา ตถาคต

จบอรรถกถาโภชาชานียชาดกที่ ๓
………………………..

อ่านพระชาดกเรื่องนี้แล้ว หลายคนคงจะเลิกสงสัยว่า

ทำไมพุทธะอิสระถึงกล้าออกมาต่อกรกับอลัชชีทั้งหลาย

แม้จักต้องสู้จนตัวตายก็ไม่หวั่น

โอกาสหน้าจักนำพระชาดกเรื่องความเสียสละและความกล้าหาญมาเล่าสู้กันฟังอีก

เจริญธรรม
พุทธะอิสระ