หมวด : ปฏิบัติธรรม
เรื่อง : ขั้นตอนการปฏิบัติวิถีจิต ขั้นที่ 1-5
โดย : หลวงปู่พุทธะอิสระ
วันที่ : 23 กุมภาพันธ์​ 2563 (บ่าย)
ณ ศาลาปฎิบัติธรรม วัดอ้อน้อย(ธรรมอิสระ) อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม​

🎇 ขั้นตอนการปฏิบัติวิถีจิต ขั้นที่ 1-5

🚩 ขั้นที่ 1 กายรวมใจ กายรวมใจจนสนิทแนบแน่น

🚩 ขั้นที่ 2​ ทิ้งกายเหลือแต่ใจ ดูใจ หรือดูจิต จิตนี้มีราคะอยู่ หรือไม่มีราคะอยู่, จิตนี้มีโทสะอยู่​ หรือไม่มีโทสะอยู่, จิตนี้มีโมหะอยู่​ หรือไม่มีโมหะอยู่, จิตนี้มีโลภะอยู่ หรือไม่มีโลภะอยู่

🚩 ขั้นที่ 3 สำรอกจิต​ กระบวนการที่รู้ว่าจิตนี้มีอะไรอยู่นั้นแหละ เรียกว่าสำรอก จัดว่าเป็นกระบวนการหรือบุพกิจเบื้องต้นของการสำรอกจิต
-​อยู่กับจิตอย่าอยู่กับอารมณ์ กระบวนการสำรอก จะเสร็จสมบูรณ์ต่อเมื่อจิตนี้ไม่ประกอบด้วยอารมณ์ ก็จะขยับขึ้นสู่ขั้นที่ 4 คือ ว่าง ว่าง ดับ เย็น

🚩 ขั้นที่ 4 วาง ว่าง ดับ เย็น
ขั้นที่ 4 จิตต้องไม่ประกอบด้วยอารมณ์แต่มีตัวรู้ ไม่เสพอารมณ์ ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต อยู่กับปัจจุบัน

🔁 ย้อนกลับมาขั้นที่ 1 ใหม่ ทำให้ชำนาญ ชินกับกายรวมใจ
เมื่อมาอยู่กับกายก็ไม่อยู่กับอารมณ์ สำรวจดูกายตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า เรียกว่าอยู่กับกาย จิตอยู่กับกาย เป็นกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน หนึ่งในมหาสติปัฏฐาน๔​ ของพระผู้มีพระภาคเจ้า
🔁 เมื่ออยู่กับกายจนชำนาญแล้ว ทิ้งกายเพราะเป็นของหยาบ ขยับไปสู่ของละเอียดคือใจ คือขั้นที่ 2 คือการรับรู้ว่าอะไรเกิดขึ้นกับใจ
- ใจนี้มีราคะอยู่หรือไม่มีราคะ, ใจนี้มีโทสะอยู่หรือไม่มีโทสะ, ใจนี้มีโมหะอยู่หรือไม่มีโมหะ, ใจนี้มีโลภะอยู่หรือไม่มีโลภะ
- ใจนี้ฟุ้งซ่านอยู่ หรือไม่มีฟุ้งซ่าน ใจนี้ง่วงเหงาหาวนอนอยู่ หรือไม่มีง่วงเหงาหาวนอน ใจนี้หงุดหงิดอยู่หรือใจนี้เบิกบาน
ถ้าจะเรียกให้ถูกหลักคือ "อยู่กับอารมณ์แห่งใจ" แต่เราต้องการทำให้ใจนี้สะอาด ก็ต้องรู้ว่าเหตุปัจจัยที่ทำให้ใจไม่สะอาดก็คืออารมณ์เหล่านี้ พอรู้มันก็โดนกำจัดแล้ว พอรู้ก็เหมือนแสงสว่าง ที่ส่องเข้าไป ความมืดก็อันตรธานหายไป
🔁​ ขบวนการสำรอกจิต เรียกว่าบุพกิจเบื้องต้นของการสำรอกจิต​ คือต้องรู้ว่าจิตนี้ประกอบไปด้วยอารมณ์อะไร
- บุพกิจเบื้องปลายของการสำรอกจิตคือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่มีอยู่จริง นั่นคือที่สุดของการสำรอกจิต ต้องใช้หลักการ 3 อย่างนี้มาประกอบในการสำรอกจิต ถือว่าเป็นที่สุดของการสำรอกจิต
🔁 ทีนี้ก็จะเหลือไว้แต่คำว่า ว่าง ดับ เย็น รู้ ว่าง ดับ เย็น คือขั้นที่ 4
- จิตว่างๆผ่านกระบวนการรู้ชัด ไม่ใช่ว่างเพราะขี้เกียจ แต่ว่างเพราะรู้ชัดตามความเป็นจริง ว่ามันไม่เที่ยง มันเป็นทุกข์ และมันไม่มีอยู่จริง

🚩 ขั้นที่ 5 ถ้าพัฒนาไปถึงขั้นที่ 5 ก็กลับไป​"รู้หน้าที่" ว่าจิตนี้กำลังรับอยู่ หรือจิตนี้กำลังจำอยู่ จิตนี้กำลังรู้อยู่ หรือจิตนี้กำลังคิดอยู่ แต่ไม่มีตัวกูเข้าไปรับ ไม่มีตัวกูเข้าไปรู้ ไม่มีตัวกูเข้าไปคิด นี้ถือว่าเป็น"วิเศสจิต" แล้ว​ เป็นจิตแห่งปัญญาล้วนๆถือว่าเป็นขั้นที่ 5

🔷 กลับมาอยู่กับกายและลมหายใจ หายใจเข้าภาวนาว่าสัตว์ทั้งปวงจงเป็นสุข หายใจออกภาวนาว่าสัตว์ทั้งปวงจงพ้นทุกข์ อยู่กับลมและการภาวนา ถ้าไม่หลุดออกไปตลอดสายก็ถือว่าใช้ได้แล้ว

🔷 ขั้นสุดท้าย ตั้งความปรารถนาดีหวังดีและเอ็นดู เมตตาจากจิตของเราให้ขยายออกไปสู่อนันตจักรวาล แผ่ไปให้ทั่วสารทิศ เรียกว่าทำจิตให้แผ่ไพศาล ยกมือไหว้พระกรรมฐานแล้วลืมตา กรรมฐานนี้เรียกว่ากระบวนการมโนมยิทธิ ตั้งจิตปรารถนาดีแผ่ไปทั่วอนันตจักรวาล คือกระบวนการของมโนมยิทธิ คือมีฤทธิ์ทางใจ เป็นฤทธิ์แห่งความเมตตาการุณ พอ