พอฉันเสร็จแล้วหลวงปู่ท่านสั่งให้แบ่งอาหารที่เหลือใส่ฝาบาตรให้กับ พวกโยมหลายคน ที่ติดตามช่วยหิ้วน้ำฉัน น้ำใช้มาให้ และอีกส่วนหนึ่งท่านก็สั่งให้ตักใส่ใบตองกล้วยหรือใบไม้ไปวางไว้ในทิศทาง ต่างๆ เพื่อเป็นทานแก่สรรพสัตว์ทั้งหลาย หลังจากพระเณรได้ให้พรแผ่เมตตาแล้ว หลวงปู่ท่านได้กล่าวขึ้นว่า "เมื่อคืนนี้ตอนดึกมีเสียงเสือร้อง และมาเดินวนเวียนอยู่ที่หน้าถ้ำ หลวงปู่ได้เห็น และก็ถามเสือตัวนั้นไปว่า มาเดินวนอยู่ทำไม" เสือตัวนั้นได้หันมามองท่าน แล้วก็ตอบว่า "จะมาขอกินกระดูกอ่อนๆ ของนักบวชสักองค์หนึ่ง" หลวงปู่ท่านเล่าว่า "กระดูกแก่ๆ อย่างกูนี้พอจะกินได้ไหม"
เสือตัวนั้นจึงคำราม แล้วก็กลายร่างเป็นคนแก่นุ่งขาวห่มขาว เข้ามากราบหลวงปู่และบอกว่าจะมาลองตบะบารมีของหลวงปู่ดู "ขอพระคุณเจ้าโปรดให้อภัย และแผ่เมตตาแก่กระผมด้วย" แล้วก็หายตัวไป หลวงปู่ท่านบอกว่า อาคันตุกะเมื่อคืนนี้คงจะเป็น "ไอ้ดำดง"หรือที่ชาวบ้านเค้าเรียกว่า"เจ้าพ่อดำดง" ที่มีศาลเพียงตาอยู่หน้าถ้ำ ท่านยังพูดอีกว่า วันนี้ให้ระวังอาจ จะมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น แล้วท่านก็สั่งให้พวกเราคอยดูแลสามเณรคเชนทร์ด้วย พร้อมกับบอกให้พระเณรไปพักทำภารกิจส่วนตัว เมื่อพระอาทิตย์ ตรงศีรษะให้พระเณรทุกรูปมารวมกันในถ้ำ ท่านจะสอนสมาธิ ท่านสอนให้พวกเรานั่งสมาธิในวิชา ลม 7 ฐาน จนถึงเวลา 6 โมงเย็น แล้วท่านสั่งให้ไปพักสรงน้ำ เสร็จแล้วให้มาพร้อมกันที่หน้าถ้ำ
วันนี้รู้สึกว่าอากาศจะเย็นกว่าเดิม ข้าพเจ้าและเพื่อนเณรบาง รูปไม่ได้สรงน้ำ เพียงแค่ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเฉยๆ แล้วทุกคนก็พากันมาพร้อมกันที่หน้าถ้ำ เพื่อจะสวดมนต์เย็น หลวงปู่ท่านนำพวกเราสวดมนต์เย็นจนถึงเวลา 2 ทุ่มแล้วก็แสดงธรรม ในขณะที่ท่านแสดงธรรมอยู่นั้น สามเณรคเชนทร์ก็ไอขึ้นเสียงดังอยู่พักหนึ่ง แล้วก็อ้วกมีเลือดออกมา สามารถรองได้เป็นแก้วๆ ทีเดียว พวกเรามัวแต่หันไปมองสามเณรคเชนทร์อยู่ เลยไม่ทันได้เห็นว่าหลวงปู่ท่าน มานั่งอยู่ข้างหลังสามเณรคเชนทร์ตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วท่านก็ใช้นิ้วจี้จุดบนหลังของสามเณรคเชนทร์ 2-3 จุด เลือดที่ไหลและ อาการไอของสามเณรคเชนทร์ก็หยุด แล้วท่านก็สั่งให้ข้าพเจ้านำน้ำมาให้สามเณรคเชนทร์ดื่ม ท่านสั่งให้นำอาสนะของท่านมาปูรองให้สามเณรคเชนทร์นอนพัก แล้วท่านก็จับชีพจรของสามเณรคเชนทร์ดู ครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นว่า "ขนาดกูคอยระวังแล้วเชียวนายังไม่วายเกิดเหตุขึ้นจนได้" พระทุกรูปที่นั่ง ล้อมอยู่ใกล้ๆ ต่างมีสีหน้าแสดงถึงความวิตก และห่วงใยต่อสามเณรคเชนทร์ เพราะสภาพที่เห็นช่างน่าวิตกจริงๆ แล้วยิ่งหลวงปู่ท่านพูดออกมาเช่นนั้นด้วย พระเณรทุกรูปก็มีสีหน้าวิตกยิ่งขึ้น จนข้าพเจ้ารู้สึกได้ว่า อากาศที่เมื่อครู่นี้หนาวเย็นจนแทบจะปวดกระดูก แต่เวลานี้อากาศที่หนาวเย็น กลับกลายเป็นร้อนขึ้นมาทันทีสำหรับหลวงปู่นั้น หลังจากจับชีพจรสามเณรคเชนทร์แล้ว ท่านขยับไปนั่งอยู่ข้างลำตัวของสามเณรคเชนทร์ แล้วก็ใช้มือจับศีรษะของสามเณรคเชนทร์ พร้อมกับสังเกตเห็นท่านใช้พลังจนเกร็งแขน เห็นกล้ามเนื้อขึ้นพร้อมเส้นเลือดปรากฏบนหลัง ฝ่ามือและลำแขน ท่านทำเช่นนี้อยู่ชั่วอึดใจ สามเณรคเชนทร์ก็ไอออกมาครั้งหนึ่ง แล้วการหายใจก็ดูจะคล่องขึ้น หลวงปู่ท่านแตะชีพจรที่ใต้คอของสามเณรคเชนทร์ดูแล้ว ท่านก็ยิ้มพร้อมกับพูดว่า "ไม่เป็นไรแล้วมันหายแล้ว" จากนั้นท่านจึงถามว่า สบายขึ้นหรือยัง สามเณรคเชนทร์ตอบว่า "หายแล้วครับ"
หลวงปู่ท่านสั่งให้สามเณรลุกขึ้นนั่งแล้วฉันน้ำให้หมดแก้ว พร้อมกับให้ไปพักผ่อนได้ ช่วงที่พวกเราธุดงค์อยู่ที่ถ้ำรังเสือ ตลอดระยะเวลา 1 เดือน หลวงปู่จะสอนให้พวกเราเดินจงกรม โดยตั้งจิตให้ความรู้สึกอยู่ที่เท้าทั้งสองข้าง เมื่อจะก้าวเท้าไหนก็ให้ระลึกรู้อยู่ที่เท้านั้น ท่านจะสั่งให้เดินแบบธรรมดาโดยมิต้องย่อง แต่ให้ส่งความรู้สึกลึกๆ ลงไปในกาย และเมื่อเห็นว่าพวก เราเดินแบบฟุ้งซ่านขาดความระลึกรู้ท่านก็จะให้ไปตักน้ำมาคนละแก้ว โดยตักให้น้ำเต็มจนปริ่มแก้ว แล้วเดินถือแก้วน้ำนั้น โดยมิให้น้ำหกหรือกระฉอก
หลังจากการฝึกดังกล่าวแล้วมันทำให้พวกเรามีความรู้สึกขยันขันแข็ง กระฉับกระเฉง กระตือรือร้นที่จะทำดี และมีสติตั้งมั่นได้มากขึ้น พอตอนกลางคืนหลังจากสวดมนต์เย็นแล้ว ท่านก็จะให้เทียนคนละ 1 เล่ม แล้วท่านจะนำเข้าไปในถ้ำ เพื่อนั่งสมาธิ
โดยท่านจะสอนให้ส่งความรู้สึกเขาไปสำรวจโครงสร้างภายใน โดย สำรวจตั้งแต่กะโหลกศีรษะ เรื่อยลงมาจนถึงกระดูกสันหลังทุกข้อ "พร้อมกับสำรวจกระดูกซี่โครง แขน มือ ขา และเท้า ด้วยวิธีที่ส่งความรู้สึกนึกคิดทั้งปวงของเรา เข้าไปสำรวจโครงสร้างในร่างกาย ท่านสอนว่าถ้าเราทำได้ มันจะเป็นหนทางให้จิตตั้งมั่นได้ง่าย และเมื่อเราสำรวจถึงกระดูกส่วนไหน เราจะรู้สึกว่ามีพลังปราณ แล่นไหลไปในกระดูกส่วนนั้น มันจะทำให้เรารู้สึกโปร่งเบาสบาย ส่วนใดที่ปวดเมื่อย หรือขัดยอกเจ็บปวดก็จะบรรเทาเบาบางลง และหายในที่สุด หลวงปู่ท่านบอกว่า วิธีนี้โบราณเขาเรียก "วิธีย้ายเส้นเอ็น" พวกเราพา กันทำตามอย่างที่หลวงปู่ท่านสอน มีพระเณรบางรูปคิดยุ่งฟุ้งซ่านท่านก็จะทราบแล้วก็จะตะโกนสวนขึ้นมาว่า สลัดความคิดฟุ้งซ่าน ง่วงเหงาหาวนอน ที่เป็นการแสดงออกของความอ่อนแอและเป็นทาส ให้หลุดออกไปจากตัวเรา จงอย่าปล่อยให้มารหรือซาตานใดๆ มามีอำนาจครอบงำเรา จงขับไล่ และทำลายเครื่องกางกั้นระหว่างเรากับคุณวิเศษและความดีนั่น ด้วยความเด็ดเดี่ยวเด็ดขาด อย่างผู้รู้ ผู้ตื่น แล้วจิตวิญญาณของเราก็จะเข้าถึงความเบิกบาน แช่มชื่น เมื่อท่านตะโกนหรือตวาดขึ้นก็เพื่อขับไล่มารร้ายที่อยู่ในจิตใจของพวกเรา
ข้าพเจ้ายอมรับว่า เวลานั้นเกิดความคิดฟุ้งซ่านขึ้นจริง ๆ แต่เมื่อได้ยินเสียงของหลวงปู่ท่านตะโกนก้องกังวาน เพื่อปลุกพวกเราให้ตื่นขึ้นมา จากภวังค์แห่งมายาการของซาตาน มันทำให้ข้าพเจ้ามีพลังอย่างประหลาด ที่จะสลัดตัดหลุดจากเครื่องร้อยรัดพันธนาการของมารทั้งปวงได้ น้ำตาแห่งความปีติยินดีในชัยชนะ แม้เพียงชั่วครู่ได้ไหลรินออกมาอย่างท่วมท้น ข้าพเจ้ารู้สึกซาบซึ้งเป็นสุขอย่างประหลาด จนไม่สามารถบรรยายให้แก่ ท่านทั้งหลายได้รับทราบได้ สุรเสียงและถ้อยกระทงความ ที่ข้าพเจ้าได้ยินในครานั้น มันช่างเป็นสุรเสียงที่อาจสามารถครอบงำอำนาจของมารได้จริงๆ นี่แหละอำนาจของคุรุผู้ยิ่งใหญ่ของชาวเราแหละ
หลังจากเทียนทุกเล่มของพวกเราทุกคนดับสนิทลงแล้ว หลวงปู่ท่านก็นำเราแผ่เมตตา แล้วให้ทุกคนลองหัดเดินในถ้ำมืด โดยปราศจากแสงสว่างใดๆ เพื่อจะกลับไปยังกลดของตน ทุกรูปก่อนออกเดิน ก็ได้นั่งลงกราบหลวงปู่ สำหรับข้าพเจ้านั้นได้ก้มลงกราบเท้าท่านด้วยความรู้สึกน้อมนอบอย่างสุดแสนจะ ซาบซึ้ง หลวงปู่ท่านได้เมตตากล่าวว่า "ดีแล้ว ความนอบน้อมสูงสุดจะเกิดขึ้นได้กับผู้ที่ได้เห็นธรรมเท่านั้น"
หลวงปู่ท่านได้ให้สัญญาณให้ทุกคนเดินออกไปจากถ้ำ พวก เราพากันเดินคลำทางบางรูปก็เดิน บางรูปก็เดินไปบนก้อนหิน บางรูปก็เดินไปชนผนังถ้ำ บัดเดี๋ยวก็ได้ยินเสียงร้องโอย แล้วก็มีเสียงถามมาจากพระดำรงว่า "ใครเป็นอะไรน่ะ" สามเณรคเชนทร์ต้องร้องตอบมาว่า "ผมเองครับ แล้วก็...แล้วก็ดันไปเดินสะดุดก้อนหิน หัวทิ่ม" ที่สามเณรคเชนทร์พูดเช่นนี้ก็เพราะ แกเป็นคนติดอ่าง กว่าทุกคนจะจับใจความในการพูดของแกได้ก็ต้องลุ้นกันอยู่ครู่ใหญ่ ได้ยินเสียงหลวงปู่พูดขึ้นมาว่า "ถ้าพวกมึง ยังเดินกันเป็นควายตาบอดอย่างนี้ คืนนี้คงจะยังไม่ถึงกลด ให้ทุกคนหลับตาส่งความรู้สึกไปยังเสียงที่ได้ยินแล้วเดินตามเสียงมา" แล้วพวกเราก็ได้ยินเสียงเหมือนกับไม้เคาะหิน พวกเราทำตามที่หลวงปู่แนะนำ ปรากฏว่าได้ผล ใช้เวลาไม่นานนักพวกเราก็เดินมาถึงปากถ้ำ เห็นหลวงปู่ท่านนั่งดื่มน้ำอยู่อย่างสบายใจ แล้วท่านก็หันมาทักว่า "มีใครเป็นอะไรบ้างหรือเปล่าหละ" พระดำรงก็รายงานว่า "ไม่มีครับจะมีก็แค่หัวโน หน้าแข้งถลอกนิดหน่อย" หลวงปู่ท่านได้กรุณาหยิบยาหม่องจากอังสะท่านมาให้พระดำรง แล้วก็ช่วยกันทา
จากประสบการณ์ครั้งนี้ ทำให้พวกเรามีเรื่องไปคุยได้อีกหลายวันทีเดียว ส่วนใหญ่เรื่องที่พวกเรามาจับกลุ่มคุยกันก็คือเรื่องที่หลวงปู่ท่านทราบได้ ยังไง ว่าพวกเราคิดฟุ้งซ่านและเรื่องที่สองก็คือ ท่านเดินออกมาจากถ้ำ ก่อนพวกเราตั้งแต่เมื่อไหร่ ทั้งๆ ที่ตอนก่อนพวกเราจะเดิน หลวงปู่ท่านยังอยู่ข้างหลังพวกเรา พวกเราทุกคนนำหน้าท่าน และท่านก็มิได้มีไฟให้แสงสว่าง ท่านออกมาจากถ้ำที่มืดและกว้างขวางนั้นได้ยังไง เหล่านี้เป็นข้อสงสัยที่ยังหาคำตอบไม่ได้ ใครรู้ช่วยตอบที
มีอยู่วันหนึ่ง หลวงปู่ท่านพาพวกเราเดินสำรวจบนยอดเขา พาพวกเราปีนป่ายตามท่านไปตามชะง่อนหินอันแหลมคม สังเกตท่านเดินได้อย่างคล่องแคล่ว ท่านเดินคล้ายกระโดดไปทางซ้ายที ย้ายมาทางขวาที สลับสับเปลี่ยนกันเช่นนี้ พวกเราเดินตามท่านไม่ทัน เลยต้องหยุดดู เห็นว่าท่านเดินเหมือนกับคนไร้น้ำหนัก เหมือนกับปุยนุ่น นี่โดนลมพัดแล้วปลิวไปตามลม ข้าพเจ้าสังเกตว่าท่านเดินโดยมิได้ลงส้นเท้า เพียงแค่ใช้ปลายเท้าแตะที่พื้นเท่านั้น ก่อนที่ท่านจะหายลับไปบนยอดเขา ท่านได้ตะโกนโดยมิได้หันหลังว่า"พวกมึงตามกูมา" พวกเรารีบปีนเขาตามท่านขึ้นไป คะเนดูเวลาน่าจะผ่านไปสักประมาณครึ่งชั่วโมง พอพวกเราขึ้นไปถึงจึงได้เดินหาท่าน
สภาพยอดเขาถ้ำรังเสือนี้ บางแห่งก็เป็นหน้าผาขึ้น บางแห่งก็เป็นลานหินแคบๆและมีต้นไม้ป่าขึ้นปกคลุมอยู่ทึบพอสมควร ที่มีมากหน่อยก็เห็นจะเป็นต้นหนามเกี่ยวไก่ แต่พวกเราเรียกว่าหนามเกี่ยวพระ ลักษณะเป็นไม้เลื้อยพุ้มเตี้ยๆ เลื้อยปกคลุมอยู่ทั่วไปและที่มีมากก็เห็นจะเป็นต้นจันทร์ผา ที่มีลำต้นอวบอิ่มสูงใหญ่ กำลังแตกช่อออกดอกสีแดงบานสะพรั่ง ส่งกลิ่นหอมเย็นชื่นใจ ตามลำต้นของไม้ใหญ่ก็มักมีกล้วยไม้ป่าหลากหลายพันธุ์ขึ้นติดอยู่ตามคบไม้ บางชนิดก็กำลังออกดอกสีฟ้าอ่อน สิ่งกลิ่นหอม คละเคล้ามากับสายลม มีสัตว์และนกเล็ก ๆ ส่งเสียงร้องอย่างไพเราะ ดูช่างเป็นบรรยากาศที่ชวนให้เพลิดเพลินดีแท้ พวกเราเดินสำรวจ และหาหลวงปู่อยู่พักใหญ่ ก็มาพบท่านกำลังนั่งดื่มน้ำอยู่บนโขดหินเตี้ยๆ แล้วท่านก็ชี้ให้ดูด้านหลังของท่านพร้อมกับบอกว่า ตรงนี้มีถ้ำเล็กเรียกว่า"ถ้ำงู"เพราะด้าน ในเป็นที่อาศัยของงู แล้วท่านก็นำพวกเราคลานเข้าไปดู ที่ว่าต้องคลานก็เพราะปากทางเข้าถ้ำนั้นเล็กมาก พอให้คนคน เดียวคลานเข้าไปได้ หลวงปู่ท่านคลานนำพวกเราเข้าไปก่อน แล้วท่านก็จุดเทียนขึ้นทำให้เกิดแสงสว่าง เพื่อจะได้มองเห็นภายในถ้ำ ท่านชี้ให้ดูสภาพภายในถ้ำงูนี้ ดูแล้วรู้ว่าภายใน ก็มิได้กว้างมากนัก มีเนื้อที่พอที่จะให้คนนั่งรวมกันอยู่ได้ไม่เกิน 5 คน หลังคาถ้ำก็เตี้ยจนไม่สามารถจะยืนขึ้นได้ ได้แต่นั่งเท่านั้น ผนังถ้ำมีหินงอกหินย้อยบ้างประปราย บางอันเมื่อกระทบแสงไฟก็จะเกิดสะท้อนแสง แวววาว ดุจเพชรพลอย พื้นถ้ำเป็นดินนุ่มๆ คล้ายขี้ค้างคาว แต่แปลกกลับไม่มีค้างคาวสักตัว สภาพอากาศภายในถ้ำตอนเข้ามาใหม่ๆ รู้สึกเย็น แต่พอเวลาผ่านไปสักครู่ อากาศก็เริ่มอุ่นและร้อนขึ้น คงจะเป็นเพราะความร้อนจากเทียนและความร้อนจากตัวของเราก็เป็นได้ หลวงปู่ส่องเทียนลงที่พื้น แล้วชี้ให้ดูรอยหลุมลึกครึ่งวงกลมความใหญ่ประมาณ 3 นิ้ว ความยาวไม่กำหนด คือมีไปทั่ว ท่านบอกว่าเป็นรอยงูเลื้อย แล้วท่านก็ส่องเทียนไปยังผนังถ้ำ ทำให้พวกเราได้เห็นงูตัวใหญ่นอนขดอยู่ข้างผนัง มันผงกหัวแลบลิ้นออกมาแปลบๆ ดวงตาเขียวปัด หลวงปู่บอกกับมันว่า "ไม่ทำอะไรหรอกจ้ะพี่งู เราเข้ามาดูเฉยๆ" แล้วท่านก็หันมาสั่งพวกเราให้คลานออกมา เมื่อทุกคนออกมาได้หมดแล้ว ท่านก็ได้กล่าวขึ้นว่า "ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป ให้พระไพศาลและพระดำรงขึ้นมานั่งสมาธิบนนี้"แล้วท่านก็สอนให้พวกเราฝึกลม เจ็ดฐาน ช่วงนั้นข้าพเจ้ารู้สึกปวดปัสสาวะเลยมิได้ตั้งใจฟังจำมิได้ว่าท่านสอนว่า อย่างไรบ้าง ต่อจากนั้นท่านก็บอกให้พวกเราลงมาพักผ่อนทำความสะอาดกลด และช่วยกันหาเศษไม้ฟืนเอาไว้ติดไฟต้มน้ำฉัน
พอรุ่งขึ้นอีกวัน หลังจากฉันอาหารแล้ว ท่านก็เรียกพระ 2 รูป คือ พระดำรงและพระไพศาลเดินตามท่านขึ้นยอดเขาไป พร้อมกับสั่งให้สามเณรทั้งหมดติดตามไปด้วย โดยให้หลวงตาสนิทอยู่เฝ้าข้างล่าง พอพวกเราปีนเขาขึ้นไปถึงยอดเขา ซึ่งเป็นที่ตั้งของถ้ำงู ท่านก็ได้สั่งให้พระทั้งสองรูป คลานเข้าไปนั่งสมาธิภายในถ้ำ หลวงพี่ทั้งสองรูปได้หันมายิ้มให้กับพวกเราด้วยกิริยาหวาดๆ พวกเณรทั้งหลายก็อวยพรให้ท่านทั้งสองโชคดี
ส่วนเณรคเชนทร์ได้พูดแซวขึ้นว่า "แล้วก็..แล้วก็..คิดถึงพ่อแก้ว แม่แก้วไว้ให้ดีนะ จะ..จะ..อยากกินอะไรก็..ก็เตรียมสั่งเสียเอาไว้ก่อน"
คำพูดของสามเณรคเชนทร์ทำให้เรียกเสียงฮาของพวกเราขึ้นมาได้ หลวงปู่ท่านยิ้ม แล้วก็กล่าวว่า "อย่ามาทำพูดดีอยู่เลย พวกมึงมาช่วยกันกลิ้งก้อนหินก้อนใหญ่นี้เอาไปปิดปากถ้ำ จนกว่าจะถึงพรุ่งนี้ ตอนฉันอาหารแล้วถึงจะมาช่วยกันกลิ้งหินให้พระ 2 องค์นั้นออกมา" มีเสียงจากพระทั้งสององค์ ดังออกมาจากภายในถ้ำว่า"หลวงปู่อย่าทิ้งผมนะครับ" ท่านตอบว่า "เออน่ะ กูไม่ทิ้งมึงหรอกถ้าไม่จำเป็น" สามเณร 2-3 รูป ช่วยกันกลิ้งก้อนหินใหญ่พอที่จะปิดปากถ้ำได้เอาไปปิดปากถ้ำจนสำเร็จแล้ว หลวงปู่ท่านได้สั่งว่า "ประเดี๋ยวพวกเณรไปต้มน้ำดื่มมาให้หลวงปู่กระติกหนึ่ง แล้วหาฟืนแห้งๆ เอามากองไว้ที่บริเวณลานหินหน้าถ้ำนี้ที คืนนี้หลวงปู่จะนอนเฝ้าที่หน้าถ้ำนี้แหละ แล้วถ้ามีใครมาก็อย่าให้ขึ้นมากวนหลวงปู่ก็แล้วกัน"
ข้าพเจ้าและเพื่อนเณรได้ไต่ลงจากเขา แล้วพากันไปปฏิบัติตามที่หลวงปู่ท่านสั่งพร้อมกันนั้นพวกเราก็ร้องเพลงวิ่ง เล่นไล่กันไปด้วย พอได้ทุกอย่างมาครบ พอดีเป็นเวลาพระอาทิตย์จวนจะตกดินแล้ว เหตุที่ช้าเพราะต้องมัวแต่ติดไฟต้มน้ำ และจัดหาฟืน พร้อมไม้ขีดไฟ กว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยก็ใช้เวลาพอสมควร พวกเราช่วยกันขนฟืนและถือกระติกน้ำ เอาขึ้นเขาไปถวายหลวงปู่ พอไปถึงข้าพเจ้าก็นำกระติกน้ำเข้าไปถวายท่าน หลวงปู่ท่านถามว่า "พวกมึงมากันครบหมดหรือเปล่า" ข้าพเจ้าเรียนท่านว่า "มากันครบหมด แล้วครับ"
แล้วท่านก็กล่าวว่า "เออ ดีหละ จะได้ฟังให้พร้อมๆ กัน เมื่อครู่ใหญ่นี้ พวกมึงทำอะไรกัน พวกมึงเป็นลูกหลานของสมณะคือผู้สงบ สามเณรก็แปลได้ตรงๆ ว่า เหล่ากอของสมณะแต่กิริยาที่พวกมึงแสดงกันเมื่อครู่นี้ ดูไม่น่าจะใช่ ดูมันเหมือนเด็กซนๆ กลุ่มหนึ่งที่ยังขี้เล่น ไม่รู้จักกาลเทศะ พวกมึงจงรู้ไว้ว่า เด็กซนๆ นั้นเวลาขอข้าวเค้ากิน เมื่อได้มาหรือไม่ได้ก็ตาม มันจะต้องไหว้ผู้ให้ แต่ทุกครั้งที่พวกมึงไปขอข้าวชาวบ้านกิน ชาวบ้านเห็นว่า พวกมึงเป็นเหล่ากอของผู้สงบ จึงจัดหาอาหารชั้นเลิศมาให้ แถมเมื่อให้แล้วเค้ายังต้องไหว้พวกมึงอีก นี้ก็แสดงว่าชาวบ้านเค้าคิดว่าพวกมึงเป็นผู้สงบ คือสงบกาย สงบวาจา สงบใจ สงบจากกิเลส เครื่องเศร้าหมองทั้งหลาย แต่กูดูพวกมึงทำกิริยาเมื่อครู่มันตรงกันข้ามกับสภาวะ สถานะที่ชาวบ้าน เขายอมรับเลย แล้วยังงี้มันจะไม่กลายเป็นการหลอกลวงต้มเขากินไป วันๆ หรอกเหรอ พวกมึงเข้ามาอยู่ในศาสนานี้ นอกจากจะไม่ยังศรัทธาให้เกิดขึ้นแก่ศาสนาแล้ว ยังจะทำลายศรัทธา ที่มีแต่ เดิมอีก เช่นนี้จะถือว่าเป็นผู้รู้คุณผู้อื่นได้อย่างไร ถ้ารักที่จะตกเป็นทาสของซาตาน ก็จงไปให้พ้นจากกูเดี๋ยวนี้"
เสือตัวนั้นจึงคำราม แล้วก็กลายร่างเป็นคนแก่นุ่งขาวห่มขาว เข้ามากราบหลวงปู่และบอกว่าจะมาลองตบะบารมีของหลวงปู่ดู "ขอพระคุณเจ้าโปรดให้อภัย และแผ่เมตตาแก่กระผมด้วย" แล้วก็หายตัวไป หลวงปู่ท่านบอกว่า อาคันตุกะเมื่อคืนนี้คงจะเป็น "ไอ้ดำดง"หรือที่ชาวบ้านเค้าเรียกว่า"เจ้าพ่อดำดง" ที่มีศาลเพียงตาอยู่หน้าถ้ำ ท่านยังพูดอีกว่า วันนี้ให้ระวังอาจ จะมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้น แล้วท่านก็สั่งให้พวกเราคอยดูแลสามเณรคเชนทร์ด้วย พร้อมกับบอกให้พระเณรไปพักทำภารกิจส่วนตัว เมื่อพระอาทิตย์ ตรงศีรษะให้พระเณรทุกรูปมารวมกันในถ้ำ ท่านจะสอนสมาธิ ท่านสอนให้พวกเรานั่งสมาธิในวิชา ลม 7 ฐาน จนถึงเวลา 6 โมงเย็น แล้วท่านสั่งให้ไปพักสรงน้ำ เสร็จแล้วให้มาพร้อมกันที่หน้าถ้ำ
วันนี้รู้สึกว่าอากาศจะเย็นกว่าเดิม ข้าพเจ้าและเพื่อนเณรบาง รูปไม่ได้สรงน้ำ เพียงแค่ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวเฉยๆ แล้วทุกคนก็พากันมาพร้อมกันที่หน้าถ้ำ เพื่อจะสวดมนต์เย็น หลวงปู่ท่านนำพวกเราสวดมนต์เย็นจนถึงเวลา 2 ทุ่มแล้วก็แสดงธรรม ในขณะที่ท่านแสดงธรรมอยู่นั้น สามเณรคเชนทร์ก็ไอขึ้นเสียงดังอยู่พักหนึ่ง แล้วก็อ้วกมีเลือดออกมา สามารถรองได้เป็นแก้วๆ ทีเดียว พวกเรามัวแต่หันไปมองสามเณรคเชนทร์อยู่ เลยไม่ทันได้เห็นว่าหลวงปู่ท่าน มานั่งอยู่ข้างหลังสามเณรคเชนทร์ตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วท่านก็ใช้นิ้วจี้จุดบนหลังของสามเณรคเชนทร์ 2-3 จุด เลือดที่ไหลและ อาการไอของสามเณรคเชนทร์ก็หยุด แล้วท่านก็สั่งให้ข้าพเจ้านำน้ำมาให้สามเณรคเชนทร์ดื่ม ท่านสั่งให้นำอาสนะของท่านมาปูรองให้สามเณรคเชนทร์นอนพัก แล้วท่านก็จับชีพจรของสามเณรคเชนทร์ดู ครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นว่า "ขนาดกูคอยระวังแล้วเชียวนายังไม่วายเกิดเหตุขึ้นจนได้" พระทุกรูปที่นั่ง ล้อมอยู่ใกล้ๆ ต่างมีสีหน้าแสดงถึงความวิตก และห่วงใยต่อสามเณรคเชนทร์ เพราะสภาพที่เห็นช่างน่าวิตกจริงๆ แล้วยิ่งหลวงปู่ท่านพูดออกมาเช่นนั้นด้วย พระเณรทุกรูปก็มีสีหน้าวิตกยิ่งขึ้น จนข้าพเจ้ารู้สึกได้ว่า อากาศที่เมื่อครู่นี้หนาวเย็นจนแทบจะปวดกระดูก แต่เวลานี้อากาศที่หนาวเย็น กลับกลายเป็นร้อนขึ้นมาทันทีสำหรับหลวงปู่นั้น หลังจากจับชีพจรสามเณรคเชนทร์แล้ว ท่านขยับไปนั่งอยู่ข้างลำตัวของสามเณรคเชนทร์ แล้วก็ใช้มือจับศีรษะของสามเณรคเชนทร์ พร้อมกับสังเกตเห็นท่านใช้พลังจนเกร็งแขน เห็นกล้ามเนื้อขึ้นพร้อมเส้นเลือดปรากฏบนหลัง ฝ่ามือและลำแขน ท่านทำเช่นนี้อยู่ชั่วอึดใจ สามเณรคเชนทร์ก็ไอออกมาครั้งหนึ่ง แล้วการหายใจก็ดูจะคล่องขึ้น หลวงปู่ท่านแตะชีพจรที่ใต้คอของสามเณรคเชนทร์ดูแล้ว ท่านก็ยิ้มพร้อมกับพูดว่า "ไม่เป็นไรแล้วมันหายแล้ว" จากนั้นท่านจึงถามว่า สบายขึ้นหรือยัง สามเณรคเชนทร์ตอบว่า "หายแล้วครับ"
หลวงปู่ท่านสั่งให้สามเณรลุกขึ้นนั่งแล้วฉันน้ำให้หมดแก้ว พร้อมกับให้ไปพักผ่อนได้ ช่วงที่พวกเราธุดงค์อยู่ที่ถ้ำรังเสือ ตลอดระยะเวลา 1 เดือน หลวงปู่จะสอนให้พวกเราเดินจงกรม โดยตั้งจิตให้ความรู้สึกอยู่ที่เท้าทั้งสองข้าง เมื่อจะก้าวเท้าไหนก็ให้ระลึกรู้อยู่ที่เท้านั้น ท่านจะสั่งให้เดินแบบธรรมดาโดยมิต้องย่อง แต่ให้ส่งความรู้สึกลึกๆ ลงไปในกาย และเมื่อเห็นว่าพวก เราเดินแบบฟุ้งซ่านขาดความระลึกรู้ท่านก็จะให้ไปตักน้ำมาคนละแก้ว โดยตักให้น้ำเต็มจนปริ่มแก้ว แล้วเดินถือแก้วน้ำนั้น โดยมิให้น้ำหกหรือกระฉอก
หลังจากการฝึกดังกล่าวแล้วมันทำให้พวกเรามีความรู้สึกขยันขันแข็ง กระฉับกระเฉง กระตือรือร้นที่จะทำดี และมีสติตั้งมั่นได้มากขึ้น พอตอนกลางคืนหลังจากสวดมนต์เย็นแล้ว ท่านก็จะให้เทียนคนละ 1 เล่ม แล้วท่านจะนำเข้าไปในถ้ำ เพื่อนั่งสมาธิ
โดยท่านจะสอนให้ส่งความรู้สึกเขาไปสำรวจโครงสร้างภายใน โดย สำรวจตั้งแต่กะโหลกศีรษะ เรื่อยลงมาจนถึงกระดูกสันหลังทุกข้อ "พร้อมกับสำรวจกระดูกซี่โครง แขน มือ ขา และเท้า ด้วยวิธีที่ส่งความรู้สึกนึกคิดทั้งปวงของเรา เข้าไปสำรวจโครงสร้างในร่างกาย ท่านสอนว่าถ้าเราทำได้ มันจะเป็นหนทางให้จิตตั้งมั่นได้ง่าย และเมื่อเราสำรวจถึงกระดูกส่วนไหน เราจะรู้สึกว่ามีพลังปราณ แล่นไหลไปในกระดูกส่วนนั้น มันจะทำให้เรารู้สึกโปร่งเบาสบาย ส่วนใดที่ปวดเมื่อย หรือขัดยอกเจ็บปวดก็จะบรรเทาเบาบางลง และหายในที่สุด หลวงปู่ท่านบอกว่า วิธีนี้โบราณเขาเรียก "วิธีย้ายเส้นเอ็น" พวกเราพา กันทำตามอย่างที่หลวงปู่ท่านสอน มีพระเณรบางรูปคิดยุ่งฟุ้งซ่านท่านก็จะทราบแล้วก็จะตะโกนสวนขึ้นมาว่า สลัดความคิดฟุ้งซ่าน ง่วงเหงาหาวนอน ที่เป็นการแสดงออกของความอ่อนแอและเป็นทาส ให้หลุดออกไปจากตัวเรา จงอย่าปล่อยให้มารหรือซาตานใดๆ มามีอำนาจครอบงำเรา จงขับไล่ และทำลายเครื่องกางกั้นระหว่างเรากับคุณวิเศษและความดีนั่น ด้วยความเด็ดเดี่ยวเด็ดขาด อย่างผู้รู้ ผู้ตื่น แล้วจิตวิญญาณของเราก็จะเข้าถึงความเบิกบาน แช่มชื่น เมื่อท่านตะโกนหรือตวาดขึ้นก็เพื่อขับไล่มารร้ายที่อยู่ในจิตใจของพวกเรา
ข้าพเจ้ายอมรับว่า เวลานั้นเกิดความคิดฟุ้งซ่านขึ้นจริง ๆ แต่เมื่อได้ยินเสียงของหลวงปู่ท่านตะโกนก้องกังวาน เพื่อปลุกพวกเราให้ตื่นขึ้นมา จากภวังค์แห่งมายาการของซาตาน มันทำให้ข้าพเจ้ามีพลังอย่างประหลาด ที่จะสลัดตัดหลุดจากเครื่องร้อยรัดพันธนาการของมารทั้งปวงได้ น้ำตาแห่งความปีติยินดีในชัยชนะ แม้เพียงชั่วครู่ได้ไหลรินออกมาอย่างท่วมท้น ข้าพเจ้ารู้สึกซาบซึ้งเป็นสุขอย่างประหลาด จนไม่สามารถบรรยายให้แก่ ท่านทั้งหลายได้รับทราบได้ สุรเสียงและถ้อยกระทงความ ที่ข้าพเจ้าได้ยินในครานั้น มันช่างเป็นสุรเสียงที่อาจสามารถครอบงำอำนาจของมารได้จริงๆ นี่แหละอำนาจของคุรุผู้ยิ่งใหญ่ของชาวเราแหละ
หลังจากเทียนทุกเล่มของพวกเราทุกคนดับสนิทลงแล้ว หลวงปู่ท่านก็นำเราแผ่เมตตา แล้วให้ทุกคนลองหัดเดินในถ้ำมืด โดยปราศจากแสงสว่างใดๆ เพื่อจะกลับไปยังกลดของตน ทุกรูปก่อนออกเดิน ก็ได้นั่งลงกราบหลวงปู่ สำหรับข้าพเจ้านั้นได้ก้มลงกราบเท้าท่านด้วยความรู้สึกน้อมนอบอย่างสุดแสนจะ ซาบซึ้ง หลวงปู่ท่านได้เมตตากล่าวว่า "ดีแล้ว ความนอบน้อมสูงสุดจะเกิดขึ้นได้กับผู้ที่ได้เห็นธรรมเท่านั้น"
หลวงปู่ท่านได้ให้สัญญาณให้ทุกคนเดินออกไปจากถ้ำ พวก เราพากันเดินคลำทางบางรูปก็เดิน บางรูปก็เดินไปบนก้อนหิน บางรูปก็เดินไปชนผนังถ้ำ บัดเดี๋ยวก็ได้ยินเสียงร้องโอย แล้วก็มีเสียงถามมาจากพระดำรงว่า "ใครเป็นอะไรน่ะ" สามเณรคเชนทร์ต้องร้องตอบมาว่า "ผมเองครับ แล้วก็...แล้วก็ดันไปเดินสะดุดก้อนหิน หัวทิ่ม" ที่สามเณรคเชนทร์พูดเช่นนี้ก็เพราะ แกเป็นคนติดอ่าง กว่าทุกคนจะจับใจความในการพูดของแกได้ก็ต้องลุ้นกันอยู่ครู่ใหญ่ ได้ยินเสียงหลวงปู่พูดขึ้นมาว่า "ถ้าพวกมึง ยังเดินกันเป็นควายตาบอดอย่างนี้ คืนนี้คงจะยังไม่ถึงกลด ให้ทุกคนหลับตาส่งความรู้สึกไปยังเสียงที่ได้ยินแล้วเดินตามเสียงมา" แล้วพวกเราก็ได้ยินเสียงเหมือนกับไม้เคาะหิน พวกเราทำตามที่หลวงปู่แนะนำ ปรากฏว่าได้ผล ใช้เวลาไม่นานนักพวกเราก็เดินมาถึงปากถ้ำ เห็นหลวงปู่ท่านนั่งดื่มน้ำอยู่อย่างสบายใจ แล้วท่านก็หันมาทักว่า "มีใครเป็นอะไรบ้างหรือเปล่าหละ" พระดำรงก็รายงานว่า "ไม่มีครับจะมีก็แค่หัวโน หน้าแข้งถลอกนิดหน่อย" หลวงปู่ท่านได้กรุณาหยิบยาหม่องจากอังสะท่านมาให้พระดำรง แล้วก็ช่วยกันทา
จากประสบการณ์ครั้งนี้ ทำให้พวกเรามีเรื่องไปคุยได้อีกหลายวันทีเดียว ส่วนใหญ่เรื่องที่พวกเรามาจับกลุ่มคุยกันก็คือเรื่องที่หลวงปู่ท่านทราบได้ ยังไง ว่าพวกเราคิดฟุ้งซ่านและเรื่องที่สองก็คือ ท่านเดินออกมาจากถ้ำ ก่อนพวกเราตั้งแต่เมื่อไหร่ ทั้งๆ ที่ตอนก่อนพวกเราจะเดิน หลวงปู่ท่านยังอยู่ข้างหลังพวกเรา พวกเราทุกคนนำหน้าท่าน และท่านก็มิได้มีไฟให้แสงสว่าง ท่านออกมาจากถ้ำที่มืดและกว้างขวางนั้นได้ยังไง เหล่านี้เป็นข้อสงสัยที่ยังหาคำตอบไม่ได้ ใครรู้ช่วยตอบที
มีอยู่วันหนึ่ง หลวงปู่ท่านพาพวกเราเดินสำรวจบนยอดเขา พาพวกเราปีนป่ายตามท่านไปตามชะง่อนหินอันแหลมคม สังเกตท่านเดินได้อย่างคล่องแคล่ว ท่านเดินคล้ายกระโดดไปทางซ้ายที ย้ายมาทางขวาที สลับสับเปลี่ยนกันเช่นนี้ พวกเราเดินตามท่านไม่ทัน เลยต้องหยุดดู เห็นว่าท่านเดินเหมือนกับคนไร้น้ำหนัก เหมือนกับปุยนุ่น นี่โดนลมพัดแล้วปลิวไปตามลม ข้าพเจ้าสังเกตว่าท่านเดินโดยมิได้ลงส้นเท้า เพียงแค่ใช้ปลายเท้าแตะที่พื้นเท่านั้น ก่อนที่ท่านจะหายลับไปบนยอดเขา ท่านได้ตะโกนโดยมิได้หันหลังว่า"พวกมึงตามกูมา" พวกเรารีบปีนเขาตามท่านขึ้นไป คะเนดูเวลาน่าจะผ่านไปสักประมาณครึ่งชั่วโมง พอพวกเราขึ้นไปถึงจึงได้เดินหาท่าน
สภาพยอดเขาถ้ำรังเสือนี้ บางแห่งก็เป็นหน้าผาขึ้น บางแห่งก็เป็นลานหินแคบๆและมีต้นไม้ป่าขึ้นปกคลุมอยู่ทึบพอสมควร ที่มีมากหน่อยก็เห็นจะเป็นต้นหนามเกี่ยวไก่ แต่พวกเราเรียกว่าหนามเกี่ยวพระ ลักษณะเป็นไม้เลื้อยพุ้มเตี้ยๆ เลื้อยปกคลุมอยู่ทั่วไปและที่มีมากก็เห็นจะเป็นต้นจันทร์ผา ที่มีลำต้นอวบอิ่มสูงใหญ่ กำลังแตกช่อออกดอกสีแดงบานสะพรั่ง ส่งกลิ่นหอมเย็นชื่นใจ ตามลำต้นของไม้ใหญ่ก็มักมีกล้วยไม้ป่าหลากหลายพันธุ์ขึ้นติดอยู่ตามคบไม้ บางชนิดก็กำลังออกดอกสีฟ้าอ่อน สิ่งกลิ่นหอม คละเคล้ามากับสายลม มีสัตว์และนกเล็ก ๆ ส่งเสียงร้องอย่างไพเราะ ดูช่างเป็นบรรยากาศที่ชวนให้เพลิดเพลินดีแท้ พวกเราเดินสำรวจ และหาหลวงปู่อยู่พักใหญ่ ก็มาพบท่านกำลังนั่งดื่มน้ำอยู่บนโขดหินเตี้ยๆ แล้วท่านก็ชี้ให้ดูด้านหลังของท่านพร้อมกับบอกว่า ตรงนี้มีถ้ำเล็กเรียกว่า"ถ้ำงู"เพราะด้าน ในเป็นที่อาศัยของงู แล้วท่านก็นำพวกเราคลานเข้าไปดู ที่ว่าต้องคลานก็เพราะปากทางเข้าถ้ำนั้นเล็กมาก พอให้คนคน เดียวคลานเข้าไปได้ หลวงปู่ท่านคลานนำพวกเราเข้าไปก่อน แล้วท่านก็จุดเทียนขึ้นทำให้เกิดแสงสว่าง เพื่อจะได้มองเห็นภายในถ้ำ ท่านชี้ให้ดูสภาพภายในถ้ำงูนี้ ดูแล้วรู้ว่าภายใน ก็มิได้กว้างมากนัก มีเนื้อที่พอที่จะให้คนนั่งรวมกันอยู่ได้ไม่เกิน 5 คน หลังคาถ้ำก็เตี้ยจนไม่สามารถจะยืนขึ้นได้ ได้แต่นั่งเท่านั้น ผนังถ้ำมีหินงอกหินย้อยบ้างประปราย บางอันเมื่อกระทบแสงไฟก็จะเกิดสะท้อนแสง แวววาว ดุจเพชรพลอย พื้นถ้ำเป็นดินนุ่มๆ คล้ายขี้ค้างคาว แต่แปลกกลับไม่มีค้างคาวสักตัว สภาพอากาศภายในถ้ำตอนเข้ามาใหม่ๆ รู้สึกเย็น แต่พอเวลาผ่านไปสักครู่ อากาศก็เริ่มอุ่นและร้อนขึ้น คงจะเป็นเพราะความร้อนจากเทียนและความร้อนจากตัวของเราก็เป็นได้ หลวงปู่ส่องเทียนลงที่พื้น แล้วชี้ให้ดูรอยหลุมลึกครึ่งวงกลมความใหญ่ประมาณ 3 นิ้ว ความยาวไม่กำหนด คือมีไปทั่ว ท่านบอกว่าเป็นรอยงูเลื้อย แล้วท่านก็ส่องเทียนไปยังผนังถ้ำ ทำให้พวกเราได้เห็นงูตัวใหญ่นอนขดอยู่ข้างผนัง มันผงกหัวแลบลิ้นออกมาแปลบๆ ดวงตาเขียวปัด หลวงปู่บอกกับมันว่า "ไม่ทำอะไรหรอกจ้ะพี่งู เราเข้ามาดูเฉยๆ" แล้วท่านก็หันมาสั่งพวกเราให้คลานออกมา เมื่อทุกคนออกมาได้หมดแล้ว ท่านก็ได้กล่าวขึ้นว่า "ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป ให้พระไพศาลและพระดำรงขึ้นมานั่งสมาธิบนนี้"แล้วท่านก็สอนให้พวกเราฝึกลม เจ็ดฐาน ช่วงนั้นข้าพเจ้ารู้สึกปวดปัสสาวะเลยมิได้ตั้งใจฟังจำมิได้ว่าท่านสอนว่า อย่างไรบ้าง ต่อจากนั้นท่านก็บอกให้พวกเราลงมาพักผ่อนทำความสะอาดกลด และช่วยกันหาเศษไม้ฟืนเอาไว้ติดไฟต้มน้ำฉัน
พอรุ่งขึ้นอีกวัน หลังจากฉันอาหารแล้ว ท่านก็เรียกพระ 2 รูป คือ พระดำรงและพระไพศาลเดินตามท่านขึ้นยอดเขาไป พร้อมกับสั่งให้สามเณรทั้งหมดติดตามไปด้วย โดยให้หลวงตาสนิทอยู่เฝ้าข้างล่าง พอพวกเราปีนเขาขึ้นไปถึงยอดเขา ซึ่งเป็นที่ตั้งของถ้ำงู ท่านก็ได้สั่งให้พระทั้งสองรูป คลานเข้าไปนั่งสมาธิภายในถ้ำ หลวงพี่ทั้งสองรูปได้หันมายิ้มให้กับพวกเราด้วยกิริยาหวาดๆ พวกเณรทั้งหลายก็อวยพรให้ท่านทั้งสองโชคดี
ส่วนเณรคเชนทร์ได้พูดแซวขึ้นว่า "แล้วก็..แล้วก็..คิดถึงพ่อแก้ว แม่แก้วไว้ให้ดีนะ จะ..จะ..อยากกินอะไรก็..ก็เตรียมสั่งเสียเอาไว้ก่อน"
คำพูดของสามเณรคเชนทร์ทำให้เรียกเสียงฮาของพวกเราขึ้นมาได้ หลวงปู่ท่านยิ้ม แล้วก็กล่าวว่า "อย่ามาทำพูดดีอยู่เลย พวกมึงมาช่วยกันกลิ้งก้อนหินก้อนใหญ่นี้เอาไปปิดปากถ้ำ จนกว่าจะถึงพรุ่งนี้ ตอนฉันอาหารแล้วถึงจะมาช่วยกันกลิ้งหินให้พระ 2 องค์นั้นออกมา" มีเสียงจากพระทั้งสององค์ ดังออกมาจากภายในถ้ำว่า"หลวงปู่อย่าทิ้งผมนะครับ" ท่านตอบว่า "เออน่ะ กูไม่ทิ้งมึงหรอกถ้าไม่จำเป็น" สามเณร 2-3 รูป ช่วยกันกลิ้งก้อนหินใหญ่พอที่จะปิดปากถ้ำได้เอาไปปิดปากถ้ำจนสำเร็จแล้ว หลวงปู่ท่านได้สั่งว่า "ประเดี๋ยวพวกเณรไปต้มน้ำดื่มมาให้หลวงปู่กระติกหนึ่ง แล้วหาฟืนแห้งๆ เอามากองไว้ที่บริเวณลานหินหน้าถ้ำนี้ที คืนนี้หลวงปู่จะนอนเฝ้าที่หน้าถ้ำนี้แหละ แล้วถ้ามีใครมาก็อย่าให้ขึ้นมากวนหลวงปู่ก็แล้วกัน"
ข้าพเจ้าและเพื่อนเณรได้ไต่ลงจากเขา แล้วพากันไปปฏิบัติตามที่หลวงปู่ท่านสั่งพร้อมกันนั้นพวกเราก็ร้องเพลงวิ่ง เล่นไล่กันไปด้วย พอได้ทุกอย่างมาครบ พอดีเป็นเวลาพระอาทิตย์จวนจะตกดินแล้ว เหตุที่ช้าเพราะต้องมัวแต่ติดไฟต้มน้ำ และจัดหาฟืน พร้อมไม้ขีดไฟ กว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยก็ใช้เวลาพอสมควร พวกเราช่วยกันขนฟืนและถือกระติกน้ำ เอาขึ้นเขาไปถวายหลวงปู่ พอไปถึงข้าพเจ้าก็นำกระติกน้ำเข้าไปถวายท่าน หลวงปู่ท่านถามว่า "พวกมึงมากันครบหมดหรือเปล่า" ข้าพเจ้าเรียนท่านว่า "มากันครบหมด แล้วครับ"
แล้วท่านก็กล่าวว่า "เออ ดีหละ จะได้ฟังให้พร้อมๆ กัน เมื่อครู่ใหญ่นี้ พวกมึงทำอะไรกัน พวกมึงเป็นลูกหลานของสมณะคือผู้สงบ สามเณรก็แปลได้ตรงๆ ว่า เหล่ากอของสมณะแต่กิริยาที่พวกมึงแสดงกันเมื่อครู่นี้ ดูไม่น่าจะใช่ ดูมันเหมือนเด็กซนๆ กลุ่มหนึ่งที่ยังขี้เล่น ไม่รู้จักกาลเทศะ พวกมึงจงรู้ไว้ว่า เด็กซนๆ นั้นเวลาขอข้าวเค้ากิน เมื่อได้มาหรือไม่ได้ก็ตาม มันจะต้องไหว้ผู้ให้ แต่ทุกครั้งที่พวกมึงไปขอข้าวชาวบ้านกิน ชาวบ้านเห็นว่า พวกมึงเป็นเหล่ากอของผู้สงบ จึงจัดหาอาหารชั้นเลิศมาให้ แถมเมื่อให้แล้วเค้ายังต้องไหว้พวกมึงอีก นี้ก็แสดงว่าชาวบ้านเค้าคิดว่าพวกมึงเป็นผู้สงบ คือสงบกาย สงบวาจา สงบใจ สงบจากกิเลส เครื่องเศร้าหมองทั้งหลาย แต่กูดูพวกมึงทำกิริยาเมื่อครู่มันตรงกันข้ามกับสภาวะ สถานะที่ชาวบ้าน เขายอมรับเลย แล้วยังงี้มันจะไม่กลายเป็นการหลอกลวงต้มเขากินไป วันๆ หรอกเหรอ พวกมึงเข้ามาอยู่ในศาสนานี้ นอกจากจะไม่ยังศรัทธาให้เกิดขึ้นแก่ศาสนาแล้ว ยังจะทำลายศรัทธา ที่มีแต่ เดิมอีก เช่นนี้จะถือว่าเป็นผู้รู้คุณผู้อื่นได้อย่างไร ถ้ารักที่จะตกเป็นทาสของซาตาน ก็จงไปให้พ้นจากกูเดี๋ยวนี้"