ขณะที่ท่านตำหนิพวกเราอยู่นั้น ท่านนั่งอยู่บนโขดหินก้อนใหญ่ ส่วนพวกเราก็นั่งก้มหน้านิ่ง เมื่อท่านพูดจบ ข้าพเจ้าและเพื่อนเณร ได้เงยหน้าขึ้นมามองท่าน แต่ข้าพเจ้าและเพื่อนต่างพากันตกใจ เพราะภาพที่ได้เห็นในเวลานี้ก็คือ พระภิกษุชรารูปหนึ่ง รูปร่างสูงใหญ่ มีผมและขนคิ้วเป็นสีขาว ดวงตากลมโต ดูนัยน์ตาขาวเหมือนจะเป็นสีฟ้าอ่อนๆ ใบหน้าคมสัน ทั้งๆ ที่ดู อายุมากแล้ว แต่ก็ยังแฝงไว้ด้วยความสง่างาม ข้าพเจ้าและเพื่อนรีบนั่งคุกเข่าก้มลงกราบด้วยความลนลาน แล้วก็รีบแยกย้ายไปหาที่นั่งสมาธิ ตกลงคืนนี้เกือบทั้งคืน ข้าพเจ้าและเพื่อนเณร ต่างคนต่างนั่งสมาธิ ด้วยความสำนึกผิด เกือบตลอดรุ่ง
      
       คืนนั้นข้าพเจ้าและเพื่อนก็ได้นอน ณ ที่ยอดเขานั่นเอง พอรุ่งเช้าข้าพเจ้าลืมตาขึ้นมาก็เพราะได้ยินเสียงรถยนต์ขับตรงเข้ามาจอดที่ ตีนเขาหน้าถ้ำใหญ่ซึ่งมีหลวงตาสนิทเฝ้าอยู่ ข้าพเจ้าและเพื่อนได้ลุกขึ้นจากที่นอน ก็ได้เห็นจีวรผืนหนึ่งห่มอยู่บนตัวข้าพเจ้าและเพื่อนเณร ข้าพเจ้าจำได้ว่าจีวรผืนนี้ เป็นจีวรของหลวงปู่ ซึ่งท่านจะมีเอกลักษณ์ของท่านก็คือ จีวรของท่านจะมีกลิ่นหอมเหมือนกับกลิ่นตัวของท่าน พูดถึงเรื่องกลิ่นตัวนี้ก็เป็นเรื่องแปลกตั้งแต่ข้าพเจ้าอยู่กับท่านมาเป็น เวลาหลายปี ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด อากาศจะร้อนขนาดไหน ท่านจะทำงานหนักปานใด พวกเราจะไม่เคยเห็นเหงื่อของหลวงปู่เลย อย่างดีก็แค่ซึมๆ ตามผิวหนัง แต่ไม่ถึงกับเปียกผ้าที่นุ่งห่ม ส่วนเรื่องกลิ่นตัวก็อีกเช่นกัน พวกเราไม่เคยได้กลิ่นตัวของหลวงปู่ เป็นอย่างอื่นเลย นอกจากกลิ่นหอมประหลาด ที่เราไม่เคยได้กลิ่นมาก่อน จนมีผู้กล่าวขานขนานนามท่านว่า คนเดินระหง กลิ่นตัวหอม ต้องยอมให้หลวงปู่
      
       ข้าพเจ้าลุกขึ้นสะบัดจีวรของท่าน แล้วจัดการพับพร้อมกับนำไปถวายคืนท่านเมื่อเดินมาถึงลานหินหน้าถ้ำ เห็นหลวงปู่ท่านนั่งสมาธิอยู่ข้างกองไฟ โดยนุ่งสบงและใส่อังสะกันหนาวเพียงแค่ตัวเดียว แล้วเมื่อคืนนี้อากาศก็หนาวมากเสียด้วย ยิ่งทำให้ข้าพเจ้ารู้สึกซึ้งในน้ำใจและเมตตาของท่านมากยิ่งขึ้น ข้าพเจ้าพอเห็นท่านนั่งสมาธิอยู่ ก็มิกล้าเดินเข้าไปใกล้แต่ได้นั่งคุกเข่าพร้อมกับก้มลงกราบท่าน หลวงปู่ท่านพูดขึ้นว่า"ตื่นกันแล้วหรือ"ท่านพูดโดยมิได้หันหน้ามามอง ซึ่งขณะนั้นท่านนั่งหันหน้าเข้าไปยังกองไฟ และกองไฟนั้นจุดอยู่หน้าถ้ำ คะเนว่าท่านคงจะให้ความร้อนจากกองไฟผ่านเข้าไปช่วยให้พระ 2 รูปที่นั่งสมาธิอยู่ในถ้ำ ได้รับความอบอุ่นขึ้น ข้าพเจ้าเดินมาทางข้าง หลังท่าน และพยายามเดินอย่างแผ่วเบา แต่ก็ยังไม่พ้นจากการ รับรู้จากท่าน
      
       ท่านได้พูดต่อว่า "เมื่อตื่นกันหมดแล้ว ประเดี๋ยวลงไปข้างล่างช่วยหาน้ำมาให้หลวงปู่ได้ล้างหน้าแปรงฟันด้วย พร้อมกับบอกโยมสมหมายที่มาถวายอาหารด้วยว่า หลวงปู่จะลงไปตอนประมาณ 9 โมงเช้า" ท่านพูดมาถึงตรงนี้ ข้าพเจ้ารู้สึกแปลกใจว่าท่านทราบได้ยังไงว่าผู้ที่มาเป็นโยมสมหมาย ข้าพเจ้าเองยังไม่รู้เลย ทั้งๆที่นั่งๆนอนๆ อยู่ในที่ใกล้กับทางมากที่สุดแต่ท่านอยู่ในตำแหน่งที่ไกลจากทาง รวมทั้งในจุดที่ท่านอยู่ จะไม่มีโอกาสได้ยินเสียงรถได้เลย
      
       "รีบไปเถิดอย่ามัวพิรี้พิไรอยู่เลย ลงไปบอกให้ทุกคนรออยู่ข้างล่างนั่นแหละ ไม่ต้องขึ้นมาหรอก แล้วอย่าลืมเอาน้ำล้างหน้ามาให้ด้วยล่ะ" เป็นเสียงเตือนจากหลวงปู่เป็นครั้งที่สอง ข้าพเจ้าและเพื่อนเณร ได้ไต่เขาลงมาถึงข้างล่าง ก็ได้เห็นรถของคุณโยมสมหมายจริงๆ คุณโยมมาพร้อมกับหมู่ญาติ คุณโยมบอกว่าวันนี้เป็นวันขึ้นปีใหม่ จะมาถวายอาหารหลวงปู่พร้อมพระเณร แล้วอวยพรวันเกิดให้หลวงปู่ด้วย โยมทำเอาพวกเราเป็นงงอยู่พักใหญ่ เพราะพวกเราอยู่กับหลวงปู่มาเป็นแรมปียังไม่ทราบเลยว่า ท่านเกิดตรงกับวันขึ้นปีใหม่ และก็ยังไม่เคยเห็นท่านพูดหรือแสดงอะไรออกมาให้รู้
      
       เมื่อข้าพเจ้าทราบจุดประสงค์ของผู้มาเยือน ข้าพเจ้าก็ได้ถ่ายทอดคำสั่งของหลวงปู่ให้คุณโยมทั้งหลายได้รับรู้ คุณสมหมายและ น้องชายชื่อ อาทร ก็ได้ออกอุบายว่า ก็เอาอย่างนี้ซิครับพวกผม 2 คนจะช่วยเณรหิ้วน้ำใช้น้ำฉันเดินตามขึ้นไปให้เอง และเณรก็ถือน้ำนมสดที่พวกผมเตรียมมาถวายนำไปถวายหลวงปู่ จะได้มีข้ออ้างต่อท่านว่า เณรถือของมาไม่หมดพวกผม ก็เลยช่วยถือมา อย่างนี้ไม่ถือฝ่าฝืนคำสั่ง" และแล้วในที่สุด โยมสมหมาย และน้องชาย ก็หิ้วน้ำถือของปีนเขาตามข้าพเจ้า มาพบหลวงปู่จนได้ เมื่อขึ้นมาถึง ที่ลานหินหน้าถ้ำงู หลวงปู่ท่านเพิ่งจะเลิกทำสมาธิพอดี คุณโยมสมหมายและข้าพเจ้าเข้าไปนั่งคุกเข่ากราบหลวงปู่ ท่านถามขึ้นว่า "อ้าวมึงก็ขึ้นมาด้วยหรือ ดีแล้วไปช่วยกันกลิ้งหินที่ปิดหน้าถ้ำปล่อยให้พระ 2 องค์นั้นออกมาที"
      
       ข้าพเจ้าและคุณโยมสมหมาย คุณโยมอาทร ช่วยกันผลักหินให้กลิ้งออกจากปากถ้ำเมื่อพระทั้ง 2 รูปออกมาจากถ้ำงูแล้ว ก็เข้ามากราบหลวงปู่ ขณะนั้นท่านนั่งห้อยเท้าทั้งสองข้าง หลวงพี่ดำรงสังเกตเห็นเท้าข้างซ้ายของท่านบวมเขียวคล้ำ
      
       หลวงพี่จึงถามท่านว่า "เท้าหลวงปู่เป็นอะไรครับ" หลวงปู่ตอบว่า "อ้อ ไม่เป็นอะไรมากหรอก เพียงแค่เหยียดตีนให้งูเจ้าของถ้ำมันกัดทีหนึ่งเท่านั้น" แล้วท่านก็ชี้ให้เราดูรอยเขี้ยวงู มีอยู่ด้วยกันสามรอย ซึ่งเป็นรอยเขี้ยวของงูพิษ แต่แปลกตรงที่ร่องรอยที่เขียวคล้ำนี้กลับมารวมอยู่ที่รอบๆ บริเวณรอยเขี้ยวเท่านั้น มันมิได้กระจายไปเหมือนกับผู้ที่ถูกงูกัดคนอื่นๆ ที่ข้าพเจ้าเคยเห็นมา หลวงปู่ท่านกล่าวว่า "ไม่เป็นไรแล้ว ข้าขับพิษ ให้มันรวมอยู่ในที่จำกัด รอให้แดดออกจัดๆ เดี๋ยวก็หาย" โยมสมหมายได้ถามหลวงปู่ว่า "ไปโดนงูกัดจากที่ไหน" หลวงปู่ท่านได้เล่าว่า "เมื่อคืนนี้ตอนดึกมีงูสามเหลี่ยมตัวใหญ่ที่เคยเห็นนอนขดอยู่ในถ้ำ ไม่รู้ว่ามันออกมาจากถ้ำตั้งแต่เมื่อไหร่ มารู้เอาตอนดึกที่มันจะเข้าไปในถ้ำของมัน ข้าพยายามไล่และบอกว่ามีพระมาขออาศัยอยู่ในถ้ำ เพื่อบำเพ็ญเพียรสักคืน ขอให้มันนอนอยู่ข้างนอกก่อนมันก็ไม่ยอม มันจะเข้าถ้ำให้ได้ ข้าก็เลยยื่นเท้าให้มันกัดไปทีหนึ่ง เพราะถ้าขืนให้มันเข้าไปในถ้ำได้ พระที่อยู่ในถ้ำคงต้องโดนมันกัด อาจเป็นอันตรายได้ พอมันกัดที่ปลายเท้าข้าเสร็จ มันก็เลื้อยหายไป ข้าก็เลยต้องมานั่งสมาธิขับพิษงูมิให้เข้าสู่หัวใจ และจำกัดที่อยู่ให้มันอยู่แค่ปลายเท้าเท่านั้น ประเดี๋ยวพอแดดออกแล้วข้าจะเปิดปากแผล ให้พิษมันไหลออกมา ก็เท่านั้น พวกเอ็งไม่ต้องวิตกกังวล ประเดี๋ยวก็หาย"
      
       คุณโยมสมหมายนิมนต์หลวงปู่ไปหาหมอที่โรงพยาบาลหลวงปู่ท่านกล่าวติด ตลกว่า "ไปทำไม หมอมันยังมาหาข้าเลย เอาเถอะน่าข้ายังไม่ตายง่ายๆหรอก" แล้วท่านก็ไล่พวกเราพร้อมกับโยมทั้ง 2 ให้ขนของลงมาข้างล่าง เพื่อเตรียมอาหารเอาไว้ถวายพระเณร สำหรับท่านขอนั่งอยู่บนยอดเขานี้สักพัก เสร็จแล้วจะลงไปฉันภัตตาหาร
      
       เวลาผ่านไปประมาณชั่วโมงเศษๆ หลวงปู่ท่านก็เดินลงมาจากยอดเขา พระเณรและญาติโยมทั้งหลายได้พากันนั่งคุกเข่าลงกับพื้นแล้วกราบด้วยความ นอบน้อม ญาติโยมนำโดยแม่ยายคุณสมหมายได้ถามหลวงปู่ด้วยความเป็นห่วงว่า "หลวงปู่เป็นยังไงบ้างคะ" ท่านหัวเราะหึๆ แล้วก็ชี้ให้ดูที่เท้าพร้อมกับบอกว่า "ไม่เป็นไร หายแล้วเห็นไหม" ข้าพเจ้าก็ได้เห็นตามนั้น ไม่มีร่องรอยของการโดนงูกัดเลย ไม่ว่าจะเป็นรอยเขียวคล้ำหรือรอยเขี้ยวงูพิษ เป็นที่อัศจรรย์นัก ท่านพูดจบท่านก็เดินไปนั่งยังอาสนะที่จัดเอาไว้ เพื่อจะรับประเคนอาหาร ญาติโยมได้พากันนำอาหารคาวหวานมาถวาย แต่วันนี้พิเศษหน่อย มีขนมเค้กปีใหม่และเค้กวันเกิดด้วย พร้อมดอกไม้ธูปเทียน ต่างพากันนำเข้ามาถวายพร้อมอวยพร"ให้หลวงปู่มีสุขภาพแข็งแรง อายุยืนยาว อยู่เป็นร่มโพธิ์ ร่มไทรของลูกหลานต่อไป ตราบนานเท่านาน" หลวงปู่ท่านรับแล้วก็กล่าวคำอนุโมทนา แสดงผลของการให้ทานในของที่เป็นเลิศย่อมเป็นผู้ได้รับผลอันเลิศ ย่อมมียศอันเลิศ มีเกียรติคุณอันเลิศ มีชัยชนะที่เลิศ มีทรัพย์อันเลิศ มีตบะที่เลิศ มีปัญญาอันเลิศ ขอท่านทั้งหลาย จงถึงซึ่งความเป็นผู้เลิศ ในความเป็นเลิศทั้งหลายนี้ด้วยเถิด และต้องขอขอบใจที่พากันมาอวยพรวันเกิดในวันนี้ ที่จริงไม่น่าจะต้องลำบากและสิ้นเปลือง สำหรับพระพุทธะแล้วชาวพุทธบริษัทและการเกิดเป็นเหตุแห่งทุกข์พราะเมื่อมี เกิดก็ต้องมีแก่ มีเจ็บ และมีตาย เหล่านี้เป็นความทุกข์เดือดร้อนทั้งนั้น ผู้ที่ไม่รู้ไม่เข้าใจก็จะพากันปลาบ ปลื้มใจ เมื่อถึงวันเกิดพร้อมกับฉลองยินดีที่ได้เกิดมารับทุกข์ แต่สำหรับหลวงปู่แล้ว ถ้าจะมีผู้ถามว่าวันเกิดต้องการอะไร ข้าก็จะตอบว่าต้องการอยู่เงียบๆ เพื่อจะใช้เวลาใคร่ครวญพิจารณาว่า ชีวิตที่ผ่านมาข้าได้ทำอะไรบ้าง การกระทำนั้นๆ มีสาระหรือไร้สาระ ถ้ามีก็จงทำต่อไป แต่ถ้าไม่มีจงหยุดเสีย พร้อมกับเพียรพยายามหาวิธีที่จะสร้างสาระและประโยชน์ต่อตนและคนอื่นให้ได้
      
       ครั้นหลวงปู่ได้กล่าว สัมโมชนียกถาเสร็จแล้ว ท่านก็ตักอาหารทั้งคาวหวาน ทุกชนิดใส่ลงไปในบาตรของท่าน อย่างละนิดอย่างละหน่อย พร้อมกับส่งอาหารเหล่านั้นต่อให้แก่พระรูปต่อๆ มา จน ถึงสามเณร เมื่อทุกรูปตักอาหารพอแก่ความต้องการแล้ว หลวงปู่ท่านสั่งให้แบ่งอาหารที่เหลือให้แก่ญาติ โยม พร้อมกับท่านนำพิจารณาอาหาร
      
       ช่วงเวลาตลอด 1 เดือนเศษ หลวงปู่ท่านทุ่มเท อบรมสั่งสอนพวกเราอย่างมากมายปีใหม่ผ่านมาได้ 5 วัน ท่านจึงแจ้งให้พวกเราทราบว่า วันนี้ หลังจากบิณฑบาตแล้วก็ถือโอกาสลาโยมเสียเลยว่าวันนี้พวกเราจะเดินทางกลับวัด แล้ว เช้าวันนี้บรรยากาศรอบกายรวมทั้งบริเวณป่ารอบถ้ำรังเสือ ดูหงอยเหงาอย่างประหลาด แม้แต่เสียงนกที่พวกเราเคยได้ยินเสียงร้องทุกวัน แต่วันนี้กลับไม่มีเสียงของพวกมันเลย แม้แต่หมาชาวบ้านที่ตามมาอยู่กับพระเณรในถ้ำก็ดูเศร้าซึม หลวงปู่นำบิณฑบาตไป ก็กล่าวลาญาติโยมชาวบ้านไป คำพูดประโยคหนึ่งที่ทุกบ้านจะพูดตรงกันก็คือ "ไปแล้วถ้ามีโอกาสก็นิมนต์มาพักอีกนะ" บางคนถึงกับบ่นว่า"แหมกำลังมีความสุขที่ได้ใส่บาตรทุกวัน พระก็จะไม่อยู่เสียแล้ว" รวมความแล้วทุกคนไม่อยากให้พระเณรต้องมาจากไป หลวงปู่บอกกับญาติโยมว่ามีภาระที่จะต้องกลับไปจัดทำอีกมาก ไว้มีโอกาสแล้วจะกลับมาเยือน
      
       หลังจากพวกเราบิณฑบาตกลับมาแล้ว วันนี้หลวงปู่ท่านสั่งให้ฉันเช้าหน่อย เพราะจะได้มีเวลาเก็บข้าวของและช่วยกันทำความสะอาด พอพวก เราจัดทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ยังมีเวลาเหลืออยู่อีกประมาณ 2 ชั่วโมง ท่านได้ชวนพระเณรนั่งสมาธิรอรถโยมสมหมายที่นัดไว้ตอนบ่ายว่าจะนำรถมารับ พวกเราพากันนั่งสมาธิอยู่บริเวณหน้าถ้ำพร้อมหลวงปู่ ก่อนที่ท่านจะนั่งสมาธิ ท่านได้นำฝาบาตรมาใส่น้ำแล้ววางไว้ที่ตักของท่าน พวกเราสงสัยว่าท่านตักน้ำมาวางไว้ที่ตักของท่านทำไม ครึ่งชั่วโมงต่อมา หลังจากที่กำลังนั่งสมาธิกันอยู่นั้น รวมทั้งหลวงปู่ ท่านก็นั่งหลับตาทำสมาธิเช่นกัน ขณะนั้นได้มี "นกกางเขนดง" 2 ตัวบินมาร่อนลงที่พื้น ตรงหน้าหลวงปู่ แล้วนก 2 ตัวนั้นได้กระโดดขึ้นไปเกาะอยู่บนตักของหลวงปู่อย่างไม่หวาดกลัวหรือลังเล ใดๆ เลย ข้าพเจ้าค่อยๆ เอื้อมมือสะกิดพระดำรงและเพื่อนเณรที่ นั่งอยู่ใกล้ๆ ให้ลืมตาขึ้นมาดูนกกางเขนดง 2 ตัวนั้นเมื่อมันกระโดดขึ้นเกาะบนตักของหลวงปู่แล้วมันก็กระโดดไปเกาะที่ขอบ ฝาบาตรพร้อมกับก้มลงกินน้ำ แล้วก็ลงไปเล่นน้ำในฝาบาตรนั้นอย่าง สนุกสนานและไม่หวั่นเกรงใดๆ ข้าพเจ้ามองดูหลวงปู่เห็นท่าน ยังนั่งหลับตาทำสมาธิอยู่เช่นเดิม สีหน้าของท่านแลดูอิ่มเอิบ สดใส รอบๆ กายท่านดูคล้ายๆ กับมีแสงเรืองๆ อยู่รอบกาย เวลาผ่านไป จนนกกางเขนทั้งสองตัวนั้นลงไปเล่นน้ำในฝาบาตรของท่าน จนเสร็จ แล้วก็กระโดดขึ้นมาจากฝาบาตร มันกระโดดลงจากตักของหลวงปู่ แล้วก็บินไปเกาะอยู่ที่ก้อนหินใกล้ ๆ ตัวของ หลวงปู่ แต่งตัวจัดขน ข้าพเจ้าเฝ้ามองดูในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างแปลกใจว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง เพราะใครๆ ก็คงจะรู้ดีว่า นกกางเขนป่ามันเปรียว และขี้ระแวง แค่มันได้เห็นคนมาใกล้ๆ มันก็จะบินหนีไปไกลแล้ว แต่นี่มันกลับมาเข้าใกล้หลวงปู่ แถมยังมากินน้ำ อาบน้ำ ในฝาบาตรของท่านที่ท่านวางเอาไว้บนตัก เหตุการณ์เหล่านี้ข้าพเจ้าและผู้ที่พบเห็น ต่างก็พากันวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ กัน บ้างก็ว่าหลวงปู่ท่านเรียกนกป่ามากินน้ำ บ้างก็ว่าท่านต้องการจะแผ่เมตตา แต่ที่แน่ๆ หลังจากนกกางเขนดงทั้ง 2 ตัวบินมาเกาะอยู่ก้อนหินข้างตัวหลวงปู่นั้น
      
       ครู่ต่อมา ท่านก็ได้ลืมตาขึ้นพร้อมกับพูดขึ้นว่า "สบายแล้วหละซิ ขอให้สัตว์ทั้งปวงจงเป็นสุขเถิดนะ" แล้วท่านก็หันมาสอนว่า "ตลอดเวลาเดือนเศษ ที่ข้าเฝ้าเพียรพยายามอบรมสั่งสอนให้พวกเอ็งชำระล้างจิตวิญญาณ เพื่อจะได้ไม่มีเวลาว่างพอที่จะไปเพิ่มขยะใหม่ แล้วก็ใช้เวลาทั้ง หมดไปกับการทำลายขยะเก่า เพื่อจะทำของดีที่มีอยู่แล้วให้ผ่องใส แต่ข้าดูแล้วของดีที่มีอยู่ในตัวพวกเอ็ง มันยังมิได้ผ่องใสจริง เพราะเช่นนั้นเอ็งก็อย่าคิดว่า ทำได้แค่นี้ก็ดีแล้ว พอแล้ว ยังไม่พอหรอก พวกเอ็งยังเดินวนเวียนอยู่ปากประตูนรกอยู่ หรือถ้าจะเดินออกมาก็ก้าวออกมาได้แค่ขาข้างเดียวเท่านั้น ฉะนั้นเมื่อออกไปจากถ้ำนี้ เอ็งจงกลับไปทบทวนสิ่งที่ได้เรียนรู้มาให้แคล่วคล่องช่ำชองมากกว่านี้ เพื่อหาหลักประกันให้แก่จิตวิญญาณของตนเอง ว่าเราจะไม่กลับไปสู่นรกอีก"
      
       เมื่อท่านพูดจบพอดีรถคุณสมหมายมารับ ท่านได้นำพวกเรา กรวดน้ำ แผ่เมตตาให้แก่เจ้าป่าเจ้าเขา เจ้าที่เจ้าทาง เจ้าทุ่งเจ้าท่า เจ้ากรรมนายเวร ท่านผู้มีพระคุณที่ได้ให้อาหารข้าวน้ำแก่พวกเรารวมทั้งสรรพสัตว์ทั้งหลาย ด้วย
      
       ลาแล้วถ้ำรังเสือที่เป็นทั้งที่อยู่ ที่กิน และมหาวิทยาลัยของพวกเรา ข้าพเจ้าต้องยอมรับว่ามาธุดงค์ครั้งนี้ ได้ประสบการณ์ทางวิญญาณที่มีค่ายิ่ง ถ้าการมาธุดงค์ครั้งนี้ไม่มีหลวงปู่ พวกเราคงจะไม่ได้อะไรมากนัก
      
       เมื่อกลับจากธุดงค์แล้ว หลวงปู่ต้องพบกับอุปสรรคและปัญหาในการสร้างวัดอีกข้าพเจ้าจำได้ว่าก่อนที่จะ ไปธุดงค์ หลวงปู่ท่านขอให้คุณโยมพ่อของท่านได้ช่วยซื้อที่ดินที่ใช้สร้างศาลาบำเพ็ญ บุญ และโรงเก็บของในปัจจุบันนี้ จำได้ว่าตอนนั้นเจ้าของที่ดินเดิมเค้าขายในราคาไร่ละ 50,000 บาท เค้าขายทั้งหมด 10 ไร่ หลวงปู่ท่านยังไม่พร้อมจะซื้อ เพราะจะต้องใช้เงินพัฒนาวัดด้วย ท่านก็เลยขอให้โยมพ่อช่วยซื้อไว้ก่อน เมื่อพร้อมเรื่องเงินแล้วจะขอซื้อต่อจากโยมพ่อ โดยจะให้กำไรไร่ละ 5,000 บาท ในเวลา 1 ปี เมื่อกลับมาจากธุดงค์ หลวงปู่ท่านทราบว่า โยมพ่อของท่านได้ขายที่ดินต่อให้คนอื่นไปแล้วในราคาไร่ละ 150,000 บาท ทั้งหมด 10 ไร่ หลวงปู่ท่านก็มิได้ว่ากระไร ที่เป็นปัญหาก็เพราะที่ดินแปลงนี้เป็นที่ตาบอด ไม่มีทางเข้าออกถ้าจะเข้าออกก็ต้องผ่านที่วัด หรือผ่านหน้าโรงครัวหอฉันในเวลานี้ ซึ่งที่ที่ใช้สร้างโรงครัวหอฉันยังเป็น ชื่อของคุณโยมทองห่อ คนที่ยกที่ดินให้หลวงปู่ท่านสร้างวัด แต่ท่านบอกกับโยมทองห่อว่า "ไม่ต้องมายกให้ฉันหรอกยกให้กับพระศาสนาน่ะแหละ โดยไปทำเรื่องโอนที่ดินให้กรมการศาสนาเพื่อจะขอสร้างวัด" หลวงปู่ท่านได้แนะนำคุณโยมทองห่อทำเช่นนี้ แล้วเรื่องก็เงียบหาย แต่พอโยมพ่อหลวงปู่จะขายที่ดินแปลงที่ใช้สร้างศาลาให้แก่คนอื่น แต่เห็นว่าไม่มีทางเข้าออก โยมพ่อก็เลยมาขอให้คุณโยมทองห่อ เซ็นยินยอมยกที่ดินหน้าหอฉันให้เป็นทางสาธารณะ เพื่อจะได้เข้าไปสู่ที่ดินที่จะขายได้ไม่รู้ว่าโยมพ่อหลวงปู่ได้พูดท่าไรโยม ทองห่อยอมเซ็นให้โดยไปเซ็นที่สำนักงานที่ดินอำเภอกำแพงแสน สำนักงานเค้าเห็นว่าเอกสารที่ดินยังเป็นน.ส.3 ก. อยู่ ยังต้องติดประกาศเป็นเวลา 1 เดือน หลังจากหนึ่งเดือนแล้วไม่มีญาติหรือผู้เกี่ยวข้องคนใดมาคัดค้าน จึงจะจดทะเบียนประกาศให้ที่ดินแปลงนี้เป็นสาธารณะ พอดีหลวงปู่ท่านกลับมาจากธุดงค์ และทราบข่าวเรื่องนี้ท่านก็เลยไปค้านการยกที่ดิน ก็เลยเป็นโมฆะ แล้วท่านก็เรียกโยมพ่อมาพูดในเวลาเย็น ขณะนั้นพวกเราพระเณรทั้งหมดเพิ่งจะเลิกจากการสวดมนต์เย็น
      
       หลวงปู่ท่านพูดว่า "เรื่องมันเป็นมายังไงกัน" โยมพ่อของหลวงปู่ได้เล่าสาเหตุของการขายที่ดินให้กับผู้อื่น เพราะเห็นว่าหลวงปู่ทุ่มเทให้กับการสร้างวัด จนล้มป่วยเสียก็หลายครั้ง คุณโยมกลัวหลวงปู่ท่านจะลำบาก อีกประการหนึ่งโยมเห็นว่า ขายได้ราคาดี แต่ผู้ซื้อได้ทำหนังสือสัญญาบังคับให้ผู้ขายหาทางเข้าออกให้ด้วย มิเช่นนั้นจะถือว่าผู้จะขายผิดสัญญา แล้วจะปรับเป็นเงินแสน โยมพ่อหลวงปู่ก็เลยมาอ้อนวอนให้โยมทองห่อไปเซ็นยกที่วัดให้เป็นทางสาธารณะ ข้าพเจ้าจำได้ว่าโยมพ่อของหลวงปู่ขอร้องให้ไปถอนการคัดค้านที่ ณ ที่ดินอำเภอเสียเพื่อเห็นแก่พ่อ พร้อมกันนี้ก็ได้หยิบเอาเอกสารออกมาจากแฟ้มหนึ่งฉบับ แล้วก็บอกว่าโยมทำไปนี้ก็เพื่อท่าน เพราะทุกอย่างโยมได้ทำพินัยกรรมยกให้ท่านทั้งหมด พร้อมกับท่านก็ได้ส่งพินัยกรรมให้หลวงปู่อ่าน เมื่อหลวงปู่ท่านอ่านแล้ว หลวงปู่ท่านก็ฉีกพินัยกรรมนั้นทิ้งอย่างไม่ยินดี พร้อมกับกล่าวว่า "สมบัติที่ฉันมี ที่เป็นอยู่แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว อย่ามาเพิ่มภาระ เพิ่มปัญหาให้ฉันอีกเลย"