รุ่งขึ้นอีกวันเป็นวันที่หนึ่ง ท่านบอกว่าวันนี้เป็นวันพิเศษ อนุญาตให้นำกลอยที่พวกเราเก็บมาจากป่าแล้วมาหั่นแช่น้ำที่ลำธารไว้ เอาขึ้นมาต้มกับข้าวตากแบ่งกันฉัน (พวกเราพอจะรู้มาว่าวันที่ 1 มกราคมเป็นวันเกิดของหลวงปู่) พอนำกลอยใส่บาตรต้มกับข้าวสุกแล้ว ข้าพเจ้าและเพื่อนเณรได้ตักถวายหลวงปู่ พร้อมพระทุกรูป ส่วนที่เหลือเป็นของข้าพเจ้าและเพื่อน กลิ่น กลอยต้มก้บข้าวตาก ดูช่างหอมเย้ายวนยั่วน้ำลายเสียจริง ในยามนี้อาหารแค่ที่มีก็นับว่าเลิศสุดๆแล้ว พวกเรารู้สึกจะมีความสุขที่ได้มีโอกาสฉลองวันเกิดให้แก่หลวงปู่ ด้วยอาหารที่พวกเราปรุงด้วยมือตัวเอง โดยมิต้องให้ท่านมาช่วยทำ หลวงปู่ท่านรับประเคนอาหารจานเด็ดจากพวกเรา แล้วท่านก็ถามว่า "อ้าว" แล้วพวกท่านมีฉันกันครบแล้วหรือ" พระดำรงตอบว่า "มีแล้วครับ นิมนต์หลวงปู่ฉันซิครับ กำลังร้อนๆ กลิ่นก็หอมชวนกินด้วย" หลวงปู่ท่านก็ตอบว่า "อ้าว พวกท่านก็มาฉันเสียพร้อมๆ กันซิ"
พวกเราก็นั่งล้อมวงกันฉันอย่างเอร็ดอร่อย สำหรับหลวงปู่ท่านฉันเข้าไปได้แค่ 2 ช้อน ท่านก็ร้องขึ้นมาว่า "แย่แล้ว นี่มันยาพิษนี่หว่า"
ช้าไปแล้ว พวกเราฉันข้าวต้มกลอยเข้าไปเกือบจะหมดฝาบาตรอยู่แล้ว ท่านสั่งให้พวกเราหยุดฉัน แล้วล้วงคอให้อ้วกออกมาให้หมด ส่วนท่านรีบนั่งขัดสมาธิอยู่ครู่ ท่านก็ลุกขึ้นไปอ้วกออกมา แล้วท่านก็เดินมาดื่มน้ำจนหมดกระติก พร้อมกับหันมาสั่งคุณหมอชฎาวุฒิว่า "หมอดูแลพวกนี้เดี๋ยวนะ ข้าจะไปขับพิษกลอยออกก่อน เดี๋ยวมา" ท่านพูดพร้อมกับเดินเข้าป่าไปส่วนพวกเราเริ่มเกิดอาการเวียนศีรษะ ใจสั่น เหงื่อแตกพลั่กๆ หูอื้อ ตาลาย ฟ้าจะถล่ม ปวดมวนในท้อง แต่ละคนดูอาการน่าเป็นห่วงกันทั้งนั้น แม้แต่คุณหมอเอง
พอดีหลวงปู่ท่านกลับมาจากป่าพอดี ท่านเรียกให้ทุกคนมานั่งตรงหน้าท่าน ไอ้ที่นั่งไม่ไหวก็ให้นอน แล้วท่านก็สอนให้เดินลมปราณขับพิษ พวกเราทำตามที่ท่านสอนไปพร้อมๆ กับการจี้จุดของหลวงปู่ ท่านได้ช่วยเมตตาจี้จุด ขับพิษให้ทุกคนจนค่อยยังชั่ว มีที่หนักที่สุดก็คือเณรกบ ที่ยังมีอาการน่าเป็นห่วง นอนหายใจรวยริน หลวงปู่ท่านเข้าไปนั่งใกล้ตัวเณรกบพร้อมกับเบิกตา จับชีพจรเณรดู แล้วก็พูดว่าเห็นจะไม่ได้การ ท่านสั่งให้ช่วยกันพยุงเณรกบลุกขึ้นนั่ง พร้อมกับจี้จุดไปที่หลังหลายจุด แล้วให้กรอกน้ำใส่ปากเณรกบพร้อมกับให้นอนคว่ำ แล้วท่านก็ตบไปที่หลังหนึ่งครั้ง เณรกบอ้วกออกมาพุ่งยาวเป็นศอก แล้วท่านก็สั่งให้จับนอนหงาย จี้จุดไปที่หน้าอกลิ้นปี่ และลำคอ เณรกบทั้งเรอทั้งตด เป็นอันว่าเรียบร้อย เณรน่ะหาย แต่หลวงปู่แทบตาย หลังจากนั้นท่านก็นอนลงหมดแรงอยู่ 2 วัน จึงจะฟื้น เราพักกันจนหายดีแล้ว หลวงปู่สั่งให้เตรียมตัวเดินทาง ท่านนำพวกเราเดินธุดงค์ผ่านหุบเขาคนึง ผ่านวังน้ำเขียวไปสู่ทุ่งนามอญ ท่านนำพวกเราเดินขึ้นเขาประมาณ 2-3 ลูกก็มองเห็นทุ่งใหญ่กว้าง หลวงปู่ให้พักปักกลด ก่อนที่จะเข้าเขตทุ่งนามอญ โดยปักกลดอยู่ไม่ไกลแหล่งน้ำนัก
วันรุ่งขึ้นท่านก็พาพวกเราเดินเข้าสู่ทุ่งนามอญ ก่อนจะก้าวเข้า สู่ทุ่งนามอญ มีต้นไม้ใหญ่ ลำต้นดำเป็นมัน หลวงปู่เรียกว่าต้น "ดำดง" ที่กลางลำต้นมีดาบโบราณเสียบทะลุลำต้นจนมิดด้าม สังเกตดูด้ามดาบเป็นสำริด มีอักษรโบราณสลักอยู่ หลวงปู่ท่านสั่งให้พวกเราถอยหลังออกมาห่างจากท่าน แล้วท่านก็เดินเข้าไปจับด้ามดาบนั้น หักออกจากตัวดาบ มันหักออก ง่ายดายยังกะหักกิ่งไม้ แล้วท่านก็พูดขึ้นว่า "ขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นสุขเถิด"
ไม่รู้ว่าข้าพเจ้าหูตาฝาดไปหรือเปล่า อยู่ดีๆ ก็มีลมพัดกระโชกมาวูบหนึ่ง แล้วก็มีเสียงเปล่ง สาธุ สาธุ ดังมาจากที่ไกลๆ ซึ่งข้าพเจ้าได้ถามทุกคน ก็ปรากฏว่าได้เห็นและได้ยินเหมือนกับข้าพเจ้า
หลังจากหลวงปู่ท่านหักดาบแล้ว ท่านก็พูดว่า "ภารกิจของเราเสร็จแล้ว เราจะพักอยู่ที่นี้สัก 10 วัน"
ระหว่างที่เราพักอยู่ ณ ทุ่งนามอญนี้ หลวงปู่ท่านได้พาพระเณร ออกเดินสำรวจสถานที่ระหว่างทางเห็นเครื่องถ้วยชามสังคโลก แตก เกลื่อนกลาด มีรอยทางเดินของช้างและมูลช้างที่เพิ่งถ่ายทั้งใหม่และเก่าตกอยู่เกลื่อน กลาด พวกเราเดินมาถึงลานหินธรรมชาติ คะเนดูความกว้างน่าจะกว้างประมาณ 4-5 ไร่ ที่แปลกตรงที่มีกองหินทั้งก้อนเล็กและใหญ่ กองก่อรวมกันเป็นรูปเจดีย์สูงบ้าง ต่ำบ้าง ปรากฏอยู่เต็มไปหมด และที่แปลกมากกว่านั้นอีกก็คือในลานหินนี้ดูสะอาดเอี่ยม ไม่มีเศษใบไม้ใบหญ้าตกอยู่เลย เหมือนดังมีผู้คนคอยรักษาดูแลทำความสะอาด ทั้งๆ ที่ทุ่งนามอญแห่งนี้ก็อยู่กลางป่าลึก ห่างจากบ้านคนทั้งหลายสิบกิโล จึงเป็นไปไม่ได้แน่ที่จะมีผู้คนมาคอยปัดกวาดทำ ความสะอาด
หลวงปู่ท่านได้มีเมตตาไขปัญหาเหล่านี้ให้พวกเราได้ทราบว่า ลานหินนี้เป็นที่ที่ช้างมาทำการก่อเจดีย์เพื่อบูชาพระพุทธเจ้าและพระ โพธิสัตว์ ซึ่งจะก่อบูชาทุกวันพระขึ้น 15 ค่ำ พร้อมกับคอยดูแลทำความสะอาด เราจึงได้สังเกตว่ารอบๆ บริเวณลานหินมีรอยมูลช้าง และกิ่งไผ่หักทั้งใหม่และเก่าตก เกลื่อนกลาดอยู่เป็นจำนวนมาก จนทำให้ผู้ที่พบเห็น เห็นความแตกต่างระหว่างลานหินที่ดูสะอาด และรอบนอกบริเวณดูสกปรก
วันนั้นหลวงปู่ท่านชวนพวกเราพักแถวบริเวณลานหินนั้น ช่วงบ่ายท่านเรียกพระเณรมาสอนวิชา "เท้านารีและวิธีโยกย้ายเส้นเอ็น" ตกกลางคืนท่านพาพวกเราสวดมนต์และทำสมาธิ ขณะที่เราทำสมาธิอยู่นั้น หูของพวกเราพลันได้ยินเสียงช้างร้องอยู่ไม่ไกลจากสถานที่ที่พวกเรานั่งมาก นัก หลวงปู่ท่านได้ส่งเสียงพูดขึ้นว่า "ไม่ต้องตกใจ พยายามรวมใจให้ผนึกแนบแน่นกับกาย เมื่อรวมกันได้ มันจะเป็นพลังที่จักช่วยป้องกันมิให้เราเป็นอันตราย แล้วจงภาวนา ว่า "ขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นสุข"พวกเราพากันทำตามดังที่หลวงปู่ท่านสอน ปรากฏว่าได้ผลเกินคาด แค่ชั่วอึดใจเดียว ข้าพเจ้าก็สามารถรวมใจ กับกายได้ จนพบความสงบสุขอย่างที่มิเคยเป็นมาก่อน แล้วมีความรู้สึกว่าเราพร้อมที่จักตายได้เสมอ ตายด้วยความเต็มใจ ตายด้วยความมั่นใจและกล้าที่จะเผชิญต่อความตาย อย่างไม่สะทกสะท้าน ช่วงนั้นข้าพเจ้ามีความรู้สึกว่า ทุกอย่างตกอยู่ในกำมือของข้าพเจ้าเท่านั้น พอรู้สึกถึงช่วงนี้ ก็ได้ยินเสียงหลวงปู่เตือนว่า"จงอย่าเพิ่งลิงโลด ยินดีในสิ่งที่เกิดขึ้น ความรู้ทั้งหลายที่ข้าสอนพวกเอ็งมิใช่ให้เอาไว้ไปข่มผู้อื่น สัตว์อื่น แต่ให้เอาไว้ข่มความเลวความชั่ว และทะยานอยากในตัวเอง จงจำไว้ว่าความรู้ยิ่งเกิดขึ้นแก่เรามากเท่าไร เรายิ่งต้องนอบน้อมถ่อมตนให้มากขึ้นเท่านั้น อย่ามัวเสียเวลากับเรื่องไร้สาระอยู่เลย รีบรวบรวมพลังทั้ง หมดแล้วภาวนาว่า ขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นสุขเถิด มัวชักช้าประเดี๋ยวช้างได้เหยียบตายหรอก และจะมาหาว่าข้าไม่ช่วยไม่ได้นะ
เมื่อสิ้นเสียงเตือนของหลวงปู่ ข้าพเจ้าจึงได้รู้สึกตัวว่าตนเอง ชักจะประมาทแล้ว และได้เห็นสัจธรรมว่า อำนาจถ้าเกิดกับคนพาล คนหลง ย่อมส่งให้เป็นผลเสียของคนทั้งหลาย ข้าพเจ้ารีบรวบรวมสมาธิแล้วภาวนาดังที่หลวงปู่ท่านสอน จากเสียงของช้างที่อยู่ใกล้ ก็ห่างไกลออกไปทุกที จนหูข้าพเจ้ามิได้ยินเสียงช้างร้องอีกเลย คืนนั้นเรานอนกันที่ข้างๆ ลานหินนั้นโดยมิได้กางกลด เพียงแค่เอาผ้ายางปูพื้น เอาฝาบาตรทำเป็นหมอนหนุน ซึ่งหลวงปู่ท่านทำให้พวกเราดู แล้วก็ล้มตัวลงนอนสบายดีจริงๆ ข้าพเจ้าไม่เคยรู้สึกสบาย ปลอดโปร่ง อิสระอย่างนี้มาก่อนเลย นอนดูดวงดาวต่างๆ ที่อยู่บนท้องฟ้า น่าแปลกที่ไม่มียุงและแมลงใดๆ มารบกวนพวกเราเลย ลมพัดเฉื่อยๆ จมูกพลันได้กลิ่นหอมของดอกไม้อะไรบางอย่าง ซึ่งเป็นกลิ่นหอมเย็นๆ ชวนให้ง่วงนอน ข้าพเจ้าม่อยหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ มารู้สึกตัวอีกทีก็เช้าแล้ว
วันนี้หลวงปู่พาพวกเราเดินไปหาแหล่งน้ำ โดยท่านเป็นผู้กำหนดทิศทางของการเดินพร้อมกับท่านได้บอกว่า "ผมได้ยินเสียงน้ำไหล และกลิ่นไอน้ำอยู่ข้างหน้า เดี๋ยวพวกเราเดินไปดูกัน" เมื่อพวกเราเดินตามท่านไปได้ระยะทางประมาณกิโลเศษก็ได้พบแอ่งน้ำเล็กๆ เป็นน้ำซับออกมาจากใต้โคนต้นไม้ ใหญ่ ไม่เห็นมีน้ำไหลสักหน่อย แปลก ทำไมท่านถึงพูดว่าได้ยินน้ำไหล
พวกเราทั้งหมด 5 องค์กับอีกหนึ่งคน ได้ใช้น้ำในแอ่งนี้ฉันและอาบ แต่ตักเท่าไหร่มันก็มิแห้ง เหมือนกับน้ำไหลขึ้นมาจากใต้ดินตลอดเวลา ท่านเตือนพวกเราว่าอย่าใช้สบู่ เพราะจะทำให้สัตว์ป่าได้กลิ่น แล้วไม่กล้ามากินน้ำในแอ่งนี้ ขากลับท่านให้ตักน้ำกลับไปที่พักกันคนละบาตร เมื่อไปถึงที่พักข้าพเจ้าและเพื่อนเณรก็จัดการต้มน้ำชงข้าวตากถวายพระกับหัว ใช้โป๊วเค็ม "มัน ช่างเป็นอาหารที่สุดวิเศษในยามนี้จริงๆ" หลวงปู่พูดขึ้น แล้วท่านก็ฉันอย่างเอร็ดอร่อย
หลังจากฉันเสร็จแล้วท่านเก็บเศษข้าวที่เหลือก้นบาตร ห่อใบไม้ไว้พร้อมกับกล่าวว่า"วันนี้ผมจะพาพวกท่าน เจริญเมตตาสมาธิ ท่านจะได้เห็นอำนาจของเมตตาว่ามีผลขนาดไหน" ทำภารกิจส่วนตัวเสร็จแล้ว ท่านก็เรียกพวกเรามานั่งพร้อมกับภาวนาว่า "ขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นสุข" โดยมิต้องหลับตา พวก เรานั่งอยู่ข้างๆ ลานหินเจดีย์ เวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมงตาของพวกเราได้มองเห็นเก้งตัวผู้ตัวหนึ่ง เดินเมียงๆ มองๆ ย่องเข้ามาใกล้พวกเรา แล้วเก้งตัวนั้นมันก็เดินเข้าไปหาหลวงปู่พร้อมกับก้มลงกินเศษข้าวในมือของ ท่านที่เตรียมเอาไว้แต่แรก
มหัศจรรย์ โอ มันช่างมหัศจรรย์จริงๆ อำนาจของเมตตาทำ ให้มนุษย์และเก้งป่าอยู่รวมกันได้ อย่างไม่หวาดกลัวภัย ตั้งแต่นั้นมาหลวงปู่ท่านกำชับว่า "พวกท่านคงจะเห็นอำนาจของพลังแห่งเมตตาแล้ว ต่อไปนี้จะต้องภาวนาอยู่ในใจทุกเวลาที่นึกได้"
ครบกำหนดธุดงค์อยู่ที่ทุ่งนามอญแล้ว หลวงปู่ท่านสั่งให้ทุก คน เขียนประสบการณ์ทางวิญญาณที่ได้จากการธุดงค์ในครั้งนี้ เอาไว้อ่านเป็นเครื่องเตือนใจ พูดถึงเขียนประสบการณ์ทางวิญญาณ ข้าพเจ้าสังเกตเห็นเวลาหลังจากที่หลวงปู่ท่านนั่งสมาธิ หรือนั่งอยู่คนเดียวเงียบๆ ท่านจะเรียกหา ปากกา สมุด มาจดบทโศลก ที่ท่านได้จากการลุถึงซึ่งท่านจะเรียกการลุ ถึงนี้ว่า "ปิ๊ง" ท่านจะพูดว่า "เอาปากกาสมุดมาให้กูทีโว้ย "กูปิ๊ง" แสงแห่งธรรมอีกแล้ว"
วันหนึ่งๆ ท่านจะเรียกหาปากกาสมุดไม่ต่ำกว่า 4-5 ครั้งต่อวัน บางครั้งขณะที่ท่านสอน ท่านก็จะ "ปิ๊ง" แล้วก็จดเอาไว้ เหล่านี้เองเป็นที่มาของบทโศลกแต่ละข้อของท่าน ซึ่งทุกครั้งที่ท่าน "ปิ๊ง" ได้ ท่านก็จะนำบทโศลกนั้นๆ มาสอน มาอธิบาย ขยายความให้สานุศิษย์ได้รับรู้ทุกโอกาสที่มี แล้วท่านยังเตือนว่า "พวกเอ็งใช้เวลา ในการขจัด ขัดถู แสง สี กลิ่น เสียง ของสังคมออกจากจิตวิญญาณได้มากพอควร คงจะจดจำอารมณ์ที่ปราศจาก แสงสีเสียงและกลิ่น เอาไว้ให้ดี มันเป็นความรู้สึกในอารมณ์ที่ไม่มีอะไร เพราะเช่นนั้นถ้าออกจากป่าไป ก็อย่าไปทำอาลัยให้เกิดในอารมณ์อีกล่ะ มันจะ ขัด ถู ชำระ ล้าง ยากขึ้น"
พวกเราเดินทางกลับมาจากธุดงค์ หลวงปู่ท่านรีบกลับมาสร้างหอพระกรรมฐาน เพื่อให้เสร็จทันบวชเณรภาคฤดูร้อนประจำปี 34 ที่จะถึงนี้ ข้าพเจ้าและพระเณร ช่วยกันเตรียมอุปกรณ์เครื่องบริขาร เพื่อจะได้เอาไว้แจกแก่พระเณรใหม่ การบวชพระเณรของหลวงปู่แต่ละครั้ง ท่านจะไม่เรียกร้องค่าใช้จ่ายจากผู้บวช นอกจากจะไม่ต้องเตรียมเครื่องบริขารอะไรมาบวช แล้ว ท่านยังกำชับว่า ถ้าท่านอยากเตรียมก็ขอให้เตรียมใจให้เกิดศรัทธาในพระธรรมคำสอนของพระศาสนา หรือถ้ายังไม่เกิดศรัทธาก็ให้เตรียมใจที่จะเข้ามาศึกษา และรักษากฎเกณฑ์กติกาของพระศาสนาและของวัดนี้เท่านั้นก็พอ
พวกเราก็นั่งล้อมวงกันฉันอย่างเอร็ดอร่อย สำหรับหลวงปู่ท่านฉันเข้าไปได้แค่ 2 ช้อน ท่านก็ร้องขึ้นมาว่า "แย่แล้ว นี่มันยาพิษนี่หว่า"
ช้าไปแล้ว พวกเราฉันข้าวต้มกลอยเข้าไปเกือบจะหมดฝาบาตรอยู่แล้ว ท่านสั่งให้พวกเราหยุดฉัน แล้วล้วงคอให้อ้วกออกมาให้หมด ส่วนท่านรีบนั่งขัดสมาธิอยู่ครู่ ท่านก็ลุกขึ้นไปอ้วกออกมา แล้วท่านก็เดินมาดื่มน้ำจนหมดกระติก พร้อมกับหันมาสั่งคุณหมอชฎาวุฒิว่า "หมอดูแลพวกนี้เดี๋ยวนะ ข้าจะไปขับพิษกลอยออกก่อน เดี๋ยวมา" ท่านพูดพร้อมกับเดินเข้าป่าไปส่วนพวกเราเริ่มเกิดอาการเวียนศีรษะ ใจสั่น เหงื่อแตกพลั่กๆ หูอื้อ ตาลาย ฟ้าจะถล่ม ปวดมวนในท้อง แต่ละคนดูอาการน่าเป็นห่วงกันทั้งนั้น แม้แต่คุณหมอเอง
พอดีหลวงปู่ท่านกลับมาจากป่าพอดี ท่านเรียกให้ทุกคนมานั่งตรงหน้าท่าน ไอ้ที่นั่งไม่ไหวก็ให้นอน แล้วท่านก็สอนให้เดินลมปราณขับพิษ พวกเราทำตามที่ท่านสอนไปพร้อมๆ กับการจี้จุดของหลวงปู่ ท่านได้ช่วยเมตตาจี้จุด ขับพิษให้ทุกคนจนค่อยยังชั่ว มีที่หนักที่สุดก็คือเณรกบ ที่ยังมีอาการน่าเป็นห่วง นอนหายใจรวยริน หลวงปู่ท่านเข้าไปนั่งใกล้ตัวเณรกบพร้อมกับเบิกตา จับชีพจรเณรดู แล้วก็พูดว่าเห็นจะไม่ได้การ ท่านสั่งให้ช่วยกันพยุงเณรกบลุกขึ้นนั่ง พร้อมกับจี้จุดไปที่หลังหลายจุด แล้วให้กรอกน้ำใส่ปากเณรกบพร้อมกับให้นอนคว่ำ แล้วท่านก็ตบไปที่หลังหนึ่งครั้ง เณรกบอ้วกออกมาพุ่งยาวเป็นศอก แล้วท่านก็สั่งให้จับนอนหงาย จี้จุดไปที่หน้าอกลิ้นปี่ และลำคอ เณรกบทั้งเรอทั้งตด เป็นอันว่าเรียบร้อย เณรน่ะหาย แต่หลวงปู่แทบตาย หลังจากนั้นท่านก็นอนลงหมดแรงอยู่ 2 วัน จึงจะฟื้น เราพักกันจนหายดีแล้ว หลวงปู่สั่งให้เตรียมตัวเดินทาง ท่านนำพวกเราเดินธุดงค์ผ่านหุบเขาคนึง ผ่านวังน้ำเขียวไปสู่ทุ่งนามอญ ท่านนำพวกเราเดินขึ้นเขาประมาณ 2-3 ลูกก็มองเห็นทุ่งใหญ่กว้าง หลวงปู่ให้พักปักกลด ก่อนที่จะเข้าเขตทุ่งนามอญ โดยปักกลดอยู่ไม่ไกลแหล่งน้ำนัก
วันรุ่งขึ้นท่านก็พาพวกเราเดินเข้าสู่ทุ่งนามอญ ก่อนจะก้าวเข้า สู่ทุ่งนามอญ มีต้นไม้ใหญ่ ลำต้นดำเป็นมัน หลวงปู่เรียกว่าต้น "ดำดง" ที่กลางลำต้นมีดาบโบราณเสียบทะลุลำต้นจนมิดด้าม สังเกตดูด้ามดาบเป็นสำริด มีอักษรโบราณสลักอยู่ หลวงปู่ท่านสั่งให้พวกเราถอยหลังออกมาห่างจากท่าน แล้วท่านก็เดินเข้าไปจับด้ามดาบนั้น หักออกจากตัวดาบ มันหักออก ง่ายดายยังกะหักกิ่งไม้ แล้วท่านก็พูดขึ้นว่า "ขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นสุขเถิด"
ไม่รู้ว่าข้าพเจ้าหูตาฝาดไปหรือเปล่า อยู่ดีๆ ก็มีลมพัดกระโชกมาวูบหนึ่ง แล้วก็มีเสียงเปล่ง สาธุ สาธุ ดังมาจากที่ไกลๆ ซึ่งข้าพเจ้าได้ถามทุกคน ก็ปรากฏว่าได้เห็นและได้ยินเหมือนกับข้าพเจ้า
หลังจากหลวงปู่ท่านหักดาบแล้ว ท่านก็พูดว่า "ภารกิจของเราเสร็จแล้ว เราจะพักอยู่ที่นี้สัก 10 วัน"
ระหว่างที่เราพักอยู่ ณ ทุ่งนามอญนี้ หลวงปู่ท่านได้พาพระเณร ออกเดินสำรวจสถานที่ระหว่างทางเห็นเครื่องถ้วยชามสังคโลก แตก เกลื่อนกลาด มีรอยทางเดินของช้างและมูลช้างที่เพิ่งถ่ายทั้งใหม่และเก่าตกอยู่เกลื่อน กลาด พวกเราเดินมาถึงลานหินธรรมชาติ คะเนดูความกว้างน่าจะกว้างประมาณ 4-5 ไร่ ที่แปลกตรงที่มีกองหินทั้งก้อนเล็กและใหญ่ กองก่อรวมกันเป็นรูปเจดีย์สูงบ้าง ต่ำบ้าง ปรากฏอยู่เต็มไปหมด และที่แปลกมากกว่านั้นอีกก็คือในลานหินนี้ดูสะอาดเอี่ยม ไม่มีเศษใบไม้ใบหญ้าตกอยู่เลย เหมือนดังมีผู้คนคอยรักษาดูแลทำความสะอาด ทั้งๆ ที่ทุ่งนามอญแห่งนี้ก็อยู่กลางป่าลึก ห่างจากบ้านคนทั้งหลายสิบกิโล จึงเป็นไปไม่ได้แน่ที่จะมีผู้คนมาคอยปัดกวาดทำ ความสะอาด
หลวงปู่ท่านได้มีเมตตาไขปัญหาเหล่านี้ให้พวกเราได้ทราบว่า ลานหินนี้เป็นที่ที่ช้างมาทำการก่อเจดีย์เพื่อบูชาพระพุทธเจ้าและพระ โพธิสัตว์ ซึ่งจะก่อบูชาทุกวันพระขึ้น 15 ค่ำ พร้อมกับคอยดูแลทำความสะอาด เราจึงได้สังเกตว่ารอบๆ บริเวณลานหินมีรอยมูลช้าง และกิ่งไผ่หักทั้งใหม่และเก่าตก เกลื่อนกลาดอยู่เป็นจำนวนมาก จนทำให้ผู้ที่พบเห็น เห็นความแตกต่างระหว่างลานหินที่ดูสะอาด และรอบนอกบริเวณดูสกปรก
วันนั้นหลวงปู่ท่านชวนพวกเราพักแถวบริเวณลานหินนั้น ช่วงบ่ายท่านเรียกพระเณรมาสอนวิชา "เท้านารีและวิธีโยกย้ายเส้นเอ็น" ตกกลางคืนท่านพาพวกเราสวดมนต์และทำสมาธิ ขณะที่เราทำสมาธิอยู่นั้น หูของพวกเราพลันได้ยินเสียงช้างร้องอยู่ไม่ไกลจากสถานที่ที่พวกเรานั่งมาก นัก หลวงปู่ท่านได้ส่งเสียงพูดขึ้นว่า "ไม่ต้องตกใจ พยายามรวมใจให้ผนึกแนบแน่นกับกาย เมื่อรวมกันได้ มันจะเป็นพลังที่จักช่วยป้องกันมิให้เราเป็นอันตราย แล้วจงภาวนา ว่า "ขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นสุข"พวกเราพากันทำตามดังที่หลวงปู่ท่านสอน ปรากฏว่าได้ผลเกินคาด แค่ชั่วอึดใจเดียว ข้าพเจ้าก็สามารถรวมใจ กับกายได้ จนพบความสงบสุขอย่างที่มิเคยเป็นมาก่อน แล้วมีความรู้สึกว่าเราพร้อมที่จักตายได้เสมอ ตายด้วยความเต็มใจ ตายด้วยความมั่นใจและกล้าที่จะเผชิญต่อความตาย อย่างไม่สะทกสะท้าน ช่วงนั้นข้าพเจ้ามีความรู้สึกว่า ทุกอย่างตกอยู่ในกำมือของข้าพเจ้าเท่านั้น พอรู้สึกถึงช่วงนี้ ก็ได้ยินเสียงหลวงปู่เตือนว่า"จงอย่าเพิ่งลิงโลด ยินดีในสิ่งที่เกิดขึ้น ความรู้ทั้งหลายที่ข้าสอนพวกเอ็งมิใช่ให้เอาไว้ไปข่มผู้อื่น สัตว์อื่น แต่ให้เอาไว้ข่มความเลวความชั่ว และทะยานอยากในตัวเอง จงจำไว้ว่าความรู้ยิ่งเกิดขึ้นแก่เรามากเท่าไร เรายิ่งต้องนอบน้อมถ่อมตนให้มากขึ้นเท่านั้น อย่ามัวเสียเวลากับเรื่องไร้สาระอยู่เลย รีบรวบรวมพลังทั้ง หมดแล้วภาวนาว่า ขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นสุขเถิด มัวชักช้าประเดี๋ยวช้างได้เหยียบตายหรอก และจะมาหาว่าข้าไม่ช่วยไม่ได้นะ
เมื่อสิ้นเสียงเตือนของหลวงปู่ ข้าพเจ้าจึงได้รู้สึกตัวว่าตนเอง ชักจะประมาทแล้ว และได้เห็นสัจธรรมว่า อำนาจถ้าเกิดกับคนพาล คนหลง ย่อมส่งให้เป็นผลเสียของคนทั้งหลาย ข้าพเจ้ารีบรวบรวมสมาธิแล้วภาวนาดังที่หลวงปู่ท่านสอน จากเสียงของช้างที่อยู่ใกล้ ก็ห่างไกลออกไปทุกที จนหูข้าพเจ้ามิได้ยินเสียงช้างร้องอีกเลย คืนนั้นเรานอนกันที่ข้างๆ ลานหินนั้นโดยมิได้กางกลด เพียงแค่เอาผ้ายางปูพื้น เอาฝาบาตรทำเป็นหมอนหนุน ซึ่งหลวงปู่ท่านทำให้พวกเราดู แล้วก็ล้มตัวลงนอนสบายดีจริงๆ ข้าพเจ้าไม่เคยรู้สึกสบาย ปลอดโปร่ง อิสระอย่างนี้มาก่อนเลย นอนดูดวงดาวต่างๆ ที่อยู่บนท้องฟ้า น่าแปลกที่ไม่มียุงและแมลงใดๆ มารบกวนพวกเราเลย ลมพัดเฉื่อยๆ จมูกพลันได้กลิ่นหอมของดอกไม้อะไรบางอย่าง ซึ่งเป็นกลิ่นหอมเย็นๆ ชวนให้ง่วงนอน ข้าพเจ้าม่อยหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ มารู้สึกตัวอีกทีก็เช้าแล้ว
วันนี้หลวงปู่พาพวกเราเดินไปหาแหล่งน้ำ โดยท่านเป็นผู้กำหนดทิศทางของการเดินพร้อมกับท่านได้บอกว่า "ผมได้ยินเสียงน้ำไหล และกลิ่นไอน้ำอยู่ข้างหน้า เดี๋ยวพวกเราเดินไปดูกัน" เมื่อพวกเราเดินตามท่านไปได้ระยะทางประมาณกิโลเศษก็ได้พบแอ่งน้ำเล็กๆ เป็นน้ำซับออกมาจากใต้โคนต้นไม้ ใหญ่ ไม่เห็นมีน้ำไหลสักหน่อย แปลก ทำไมท่านถึงพูดว่าได้ยินน้ำไหล
พวกเราทั้งหมด 5 องค์กับอีกหนึ่งคน ได้ใช้น้ำในแอ่งนี้ฉันและอาบ แต่ตักเท่าไหร่มันก็มิแห้ง เหมือนกับน้ำไหลขึ้นมาจากใต้ดินตลอดเวลา ท่านเตือนพวกเราว่าอย่าใช้สบู่ เพราะจะทำให้สัตว์ป่าได้กลิ่น แล้วไม่กล้ามากินน้ำในแอ่งนี้ ขากลับท่านให้ตักน้ำกลับไปที่พักกันคนละบาตร เมื่อไปถึงที่พักข้าพเจ้าและเพื่อนเณรก็จัดการต้มน้ำชงข้าวตากถวายพระกับหัว ใช้โป๊วเค็ม "มัน ช่างเป็นอาหารที่สุดวิเศษในยามนี้จริงๆ" หลวงปู่พูดขึ้น แล้วท่านก็ฉันอย่างเอร็ดอร่อย
หลังจากฉันเสร็จแล้วท่านเก็บเศษข้าวที่เหลือก้นบาตร ห่อใบไม้ไว้พร้อมกับกล่าวว่า"วันนี้ผมจะพาพวกท่าน เจริญเมตตาสมาธิ ท่านจะได้เห็นอำนาจของเมตตาว่ามีผลขนาดไหน" ทำภารกิจส่วนตัวเสร็จแล้ว ท่านก็เรียกพวกเรามานั่งพร้อมกับภาวนาว่า "ขอสัตว์ทั้งปวงจงเป็นสุข" โดยมิต้องหลับตา พวก เรานั่งอยู่ข้างๆ ลานหินเจดีย์ เวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมงตาของพวกเราได้มองเห็นเก้งตัวผู้ตัวหนึ่ง เดินเมียงๆ มองๆ ย่องเข้ามาใกล้พวกเรา แล้วเก้งตัวนั้นมันก็เดินเข้าไปหาหลวงปู่พร้อมกับก้มลงกินเศษข้าวในมือของ ท่านที่เตรียมเอาไว้แต่แรก
มหัศจรรย์ โอ มันช่างมหัศจรรย์จริงๆ อำนาจของเมตตาทำ ให้มนุษย์และเก้งป่าอยู่รวมกันได้ อย่างไม่หวาดกลัวภัย ตั้งแต่นั้นมาหลวงปู่ท่านกำชับว่า "พวกท่านคงจะเห็นอำนาจของพลังแห่งเมตตาแล้ว ต่อไปนี้จะต้องภาวนาอยู่ในใจทุกเวลาที่นึกได้"
ครบกำหนดธุดงค์อยู่ที่ทุ่งนามอญแล้ว หลวงปู่ท่านสั่งให้ทุก คน เขียนประสบการณ์ทางวิญญาณที่ได้จากการธุดงค์ในครั้งนี้ เอาไว้อ่านเป็นเครื่องเตือนใจ พูดถึงเขียนประสบการณ์ทางวิญญาณ ข้าพเจ้าสังเกตเห็นเวลาหลังจากที่หลวงปู่ท่านนั่งสมาธิ หรือนั่งอยู่คนเดียวเงียบๆ ท่านจะเรียกหา ปากกา สมุด มาจดบทโศลก ที่ท่านได้จากการลุถึงซึ่งท่านจะเรียกการลุ ถึงนี้ว่า "ปิ๊ง" ท่านจะพูดว่า "เอาปากกาสมุดมาให้กูทีโว้ย "กูปิ๊ง" แสงแห่งธรรมอีกแล้ว"
วันหนึ่งๆ ท่านจะเรียกหาปากกาสมุดไม่ต่ำกว่า 4-5 ครั้งต่อวัน บางครั้งขณะที่ท่านสอน ท่านก็จะ "ปิ๊ง" แล้วก็จดเอาไว้ เหล่านี้เองเป็นที่มาของบทโศลกแต่ละข้อของท่าน ซึ่งทุกครั้งที่ท่าน "ปิ๊ง" ได้ ท่านก็จะนำบทโศลกนั้นๆ มาสอน มาอธิบาย ขยายความให้สานุศิษย์ได้รับรู้ทุกโอกาสที่มี แล้วท่านยังเตือนว่า "พวกเอ็งใช้เวลา ในการขจัด ขัดถู แสง สี กลิ่น เสียง ของสังคมออกจากจิตวิญญาณได้มากพอควร คงจะจดจำอารมณ์ที่ปราศจาก แสงสีเสียงและกลิ่น เอาไว้ให้ดี มันเป็นความรู้สึกในอารมณ์ที่ไม่มีอะไร เพราะเช่นนั้นถ้าออกจากป่าไป ก็อย่าไปทำอาลัยให้เกิดในอารมณ์อีกล่ะ มันจะ ขัด ถู ชำระ ล้าง ยากขึ้น"
พวกเราเดินทางกลับมาจากธุดงค์ หลวงปู่ท่านรีบกลับมาสร้างหอพระกรรมฐาน เพื่อให้เสร็จทันบวชเณรภาคฤดูร้อนประจำปี 34 ที่จะถึงนี้ ข้าพเจ้าและพระเณร ช่วยกันเตรียมอุปกรณ์เครื่องบริขาร เพื่อจะได้เอาไว้แจกแก่พระเณรใหม่ การบวชพระเณรของหลวงปู่แต่ละครั้ง ท่านจะไม่เรียกร้องค่าใช้จ่ายจากผู้บวช นอกจากจะไม่ต้องเตรียมเครื่องบริขารอะไรมาบวช แล้ว ท่านยังกำชับว่า ถ้าท่านอยากเตรียมก็ขอให้เตรียมใจให้เกิดศรัทธาในพระธรรมคำสอนของพระศาสนา หรือถ้ายังไม่เกิดศรัทธาก็ให้เตรียมใจที่จะเข้ามาศึกษา และรักษากฎเกณฑ์กติกาของพระศาสนาและของวัดนี้เท่านั้นก็พอ