ช่วงนี้หลวงปู่ท่านทำงานหนักมากขึ้นในวัด มีคนงานก่อสร้างรวม 50 คน ท่านต้องคุมงานทุกวัน ไม่ว่าฝนจะตก แดดจะออก ฟ้าจะร้อง ท่านจะไม่เคยหยุดงานเลย ทุก 15 วัน คนงานรับเงินแล้วมักจะหยุดงาน ท่านก็จะสั่งว่าให้ผลัดกันหยุด อย่าหยุดพร้อมกันทั้งหมด เวลาเป็นสิ่งมีค่า ประเดี๋ยวจะสร้างไม่ทันรองรับพระเณรใหม่ หลวงปู่ท่านโหมงานหนักจนท่านป่วยไอ และมีเสลดเขียวเหนียวมาก ข้าพเจ้าได้คอยต้มน้ำร้อนและจัดยาถวายท่าน แต่ท่านก็ไม่ได้แสดงความอ่อนแอให้พวกเราเห็นเลย บางครั้งถึงเวลาฉันยา ข้าพเจ้าต้องปีนหลังคาหอพระกรรมฐานเอาขึ้นไปถวายท่าน ไม่ว่าท่านจะไม่สบายขนาดไหนท่านจะไม่ยอมหยุดทำงาน ท่านจะพูดเสมอว่า "มีลมหายใจมีชีวิต ได้พลัง ใช้พลัง สร้างสรรค์ผลงาน หมดลมหายใจ ไร้ชีวิต สิ้นพลัง ไร้ผลงาน นี่คือเรื่องของคนตาย ข้ายังไม่ตายข้า จะต้องทำงาน เกิดเป็นคน ถ้าอยู่เฉยๆ มันก็มีค่าไม่ต่างอะไรกับก้อนหินก้อนหนึ่ง แล้วชีวิตมันจะมีสาระอะไร"
       
       มีอยู่วันหนึ่ง อาการท่านทรุดหนักมาก ไอและมีไข้ขึ้นสูงตลอดเวลา ท่านนั่งดูคนงานและคอยสั่งงานให้คนงานทำอยู่ท่านก็พูดขึ้นลอยๆ ว่า "ขืนร่างกายเป็นอย่างนี้ เห็นทีจะทำประโยชน์ให้แก่พระศาสนาไม่ได้แน่ สงสัยต้องรบกวนไอ้เพื่อนยากให้มาช่วยเสียแล้ว" ข้าพเจ้านั่งพักอยู่ด้านข้างก็มิได้คิดอะไร พอรุ่งเช้าเณรจกเล่าให้ข้าพเจ้าฟัง หลังจากกลับจากบิณฑบาตว่า
       
       "เมื่อคืนเค้าตื่นออกมาปัสสาวะตอนดึก มองเห็นแสงสว่าง สว่างจ้าออกมาจากกุฏิของหลวงปู่ แล้วก็เห็นแสงนั้นลอยออกมาจากหลังคากุฏิ ในแสงนั้นมีพระนั่งอยู่ 4 องค์ เค้าจำได้ว่า 1 ใน 4 นั้นก็คือหลวงปู่ และพระอีกสามองค์เอามือแตะที่มือของหลวงปู่ทั้งสองข้าง รวมกันเป็นวงกลม เค้าตกใจหายปวดท้องฉี่ ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ประนมมือไหว้อยู่เช่นนั้น จนแสงและภาพพระนั้นหายไป เค้าจึงรู้สึกตัว และเดินไปฉี่"
       
       ข้าพเจ้าฟังเณรจกเล่า ใหม่ๆก็มิได้เชื่อและไม่ได้คิดอะไร พอกลับมาจากบิณฑบาตเห็นหลวงปู่กำลังทำงาน ด้วยกิริยากระฉับกระเฉงคล่องแคล่ว สีหน้าเบิกบาน ไม่เหมือนคนป่วยเลย ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงคำพูดของท่านเมื่อวานนี้ขึ้นมาได้ ก็เลยต้องเชื่อว่าหลวงปู่ท่านหายป่วย เพราะมีเพื่อนของท่านมาช่วยรักษา
       
       ข้าพเจ้าเคยได้ยินท่านพูดว่าเพื่อนของท่านมี 3 คน 3 สอ คือ "แสง สิง สอน" และเพื่อนท่านเรียกท่านว่า "เสือ" หรือ "เทพขอทาน"
       
       พูดถึงการก่อสร้างวัด หลวงปู่ต้องเผชิญต่ออุปสรรคอย่างมากที่ต้องต่อสู้กับปัญหานานาชนิด ไม่ว่าปัญหาจากอิทธิพลท้องถิ่น ปัญหาจากหน่วยราชการที่คอยกลั่นแกล้ง มีอยู่หลายครั้งที่หลวงปู่ท่านได้ไปติดต่อกับนายอำเภอคนเก่า เพื่อแจ้งและขอความร่วมมือในการสร้างวัด ในเรื่องทำเรื่องยกที่ดินให้กรมศาสนา นอกจากจะไม่ได้รับความร่วมมือแล้ว นายอำเภอ คนเก่ายังกล่าววาจาดูถูกขัดขวาง ว่าวัดมีมากมายแล้วจะก่อสร้างไปทำไมอีกเอาที่ดินที่มีอยู่ขายให้คนอื่นเค้า พัฒนาเป็นสวนเกษตรจะดีกว่า (ตอนหลังรู้มาว่านายอำเภอคนนี้เป็นนักค้าที่ดินและต้องการที่แปลงนี้) สร้างขึ้นมา เดี๋ยวก็ต้องมาเป็นภาระแก่สังคมและหน่วยราชการอีก ทั้งยังต้องมาเรี่ยไรชาวบ้านให้ได้รับความเดือดร้อน
       
       หลวงปู่ท่านเล่าว่า ท่านเพียรพยายามขอร้องและอธิบายเหตุผลความจำเป็นในการสร้างวัด ให้นายอำเภอคนเก่าได้ทราบ แต่กลับไม่ได้รับความร่วมมือ บางครั้งไปหาที่ว่าการอำเภอตอน 9 โมงเช้า เสมียนอำเภอแจงว่า นายอำเภอ (คนเก่า) ยังไม่มา คงจะอยู่ในบ้านพัก ให้หลวงปู่ลองไปหาที่บ้านพักดู อาจจะเจอ หลวงปู่ท่านก็ไป ปรากฏว่าพบนายอำเภอนุ่งกางเกงแพร ใส่เสื้อกล้าม ยืนอยู่ที่หน้าบ้าน หลวงปู่ท่านร้องเรียกนาย อำเภอ แทนที่นายอำเภอจะเดินมาหาและเปิดประตูรั้วบ้านรับ นายอำเภอ (คนเก่า) กลับร้องถามหลวงปู่ว่า มีธุระอะไร หลวงปู่ท่านจึงยืนเกาะประตู แจ้งให้นายอำเภอทราบว่าจะมาขอทำเรื่องยกที่ดินให้แก่กรมการศาสนาเพื่อสร้าง วัด นายอำเภอพอได้ฟังก็แสดงความไม่พอใจ แล้วก็บอกว่า "เอ๊ะพูดแล้วว่าไม่อนุญาต ยังจะมาตื๊ออีก พูดไม่รู้ภาษาคนหรือยังไง"
       
       หลวงปู่ท่านเห็นกิริยาทรามๆ ของนายอำเภอกำแพงแสนคนเก่าดังนั้น ท่านก็เลยพูดว่า "การที่ฉันมาแจ้งให้คุณโยมทราบว่า ฉันจะสร้างวัดนี้ ถือว่าฉันให้เกียรติคุณแล้ว ที่จริงอำนาจในการอนุญาต หรือไม่อนุญาตมันอยู่ที่ กรมการศาสนา ฉันเห็นว่าคุณเป็นผู้ปกครองท้องถิ่น จึงมาแจ้งให้ทราบ และขอความร่วมมือในเรื่องขอเอกสารบางอย่าง เมื่อไม่ได้รับความร่วมมือ ก็ถือว่าฉันไม่ได้มาขอก็แล้วกัน และเรื่องที่จะกลัวว่าฉันจะมารบกวนชาวบ้านขอเรี่ยไรนั้นไม่ต้องกลัว ฉันจะบอกให้คุณรู้ว่า ฉันจะสร้างวัดนี้โดยไม่มีการขอและไม่ประกาศเรี่ยไร แล้วคุณคอยดูว่าฉันจะทำได้ไหม" ท่านพูดแล้ว ท่านก็หันหลังกลับวัด เรื่องมันมิได้ยุติเพียงแค่นั้น
       
       อยู่มาวันหนึ่งมีพวกนักศึกษาแพทย์ปี 1-2-3 ประมาณ 40 คน มาช่วยหลวงปู่ปลูกต้นไม้ และนอนค้างที่สำนักสงฆ์ธรรมอิสระ ปรากฏว่าอยู่ๆ ก็มีกำลังตำรวจยกขบวนกันมา ประมาณ 2 คันรถกระบะ จู่โจมมาค้น อ้างว่ามีผู้ไปแจ้งว่า ที่นี่มีคนมั่วสุมเสพยา แต่หลังจากค้นแล้วก็ไม่พบ ตำรวจก็กลับไป
       หลวงปู่ท่านพูดว่า "กรรมใดใครก่ออย่างไง กรรมนั้นย่อมสนองกลับไป" พวกเรามารู้ทีหลังว่า ที่ตำรวจมาค้นก็เพราะนายอำเภอเป็นผู้สั่ง เรื่องนี้พอเกิดขึ้นก็เป็นเหตุทำให้ชาวบ้านเข้าใจผิด บ้างก็ว่าเป็นเรื่องจริงบ้างก็ว่าคงจะมีมูลบ้าง ไม่เช่นนั้นอยู่ดีๆ ตำรวจจะมาค้นทำไม เล่นเอาพระเณรบิณฑ บาตไม่ได้ข้าวไปพักใหญ่
       
       ส่วนผู้ปกครองฝ่ายพระระดับตำบลก็ค่อนข้างหูเบาเชื่อชาวบ้าน และ เจ้าหน้าที่ยุแหย่มักจะสร้างปัญหาให้กับหลวงปู่อยู่เป็นนิจ เหตุการณ์และปัญหาต่างๆ รุมเร้าท่านมากมาย แต่มันมิได้ทำให้หลวงปู่ท่านย่อท้อ เหนื่อยหน่ายเลย ท่านกลับชี้ให้พวกเราเห็นประโยชน์ของการฝึกหัด ขัดเกลาจิตวิญญาณ และเป็นวิถีทางของการเรียนรู้อีกด้วย โดยท่านกล่าวว่า"ปัญหาคือการเรียนรู้ ชีวิตคือการต่อสู้ ศัตรูคือครูของเรา"
       
       สำหรับนายอำเภอคนเก่าของกำแพงแสนนั้น ตอนหลังรู้มาว่า ลูกชายได้ติดยาเสพย์ติด ภรรยาโดนรถชนตาย ตัวเองล้มป่วยเป็นอัมพฤกษ์และโยกย้ายไปอยู่ที่อื่น
       
       สำหรับเรื่องการสร้างพระ หลวงปู่ท่านจะเป็นผู้ลงมือทำเอง พวกเรา ถ้าจะช่วย ท่านจะให้ช่วยโขลกผงกับกล้วยและน้ำมันตัง อิ๊ว ตำและโขลกจนกว่าท่านจะเห็นว่าเหนียวใช้ได้ท่านจึงสั่งว่าพอ ในขณะที่โขลกผงอยู่ ท่านจะสอนให้ภาวนาในใจว่า "โอม มณี ปัทเวฮุม" อยู่เช่นนี้ จนกว่าจะโขลกผงพระเสร็จ แล้วท่านก็จะนำผงนั้นมากดเข้าแม่พิมพ์ด้วยมือของท่านเองทุกองค์ ท่านจะพิมพ์พระทุกวันพระ หลังจากเลิกงาน พิมพ์พระเสร็จแล้วก็จะ นำมาเข้าพิธีสวดมนต์ จนกว่าพระนั้นจะแห้ง จะเป็นเวลากี่วันก็แล้วแต่ เมื่อแห้งแล้วท่านก็จะค่อยๆ เก็บนับพระบรรจุใส่กล่องขนมปัง โดยเอาผ้าแดงรองพื้นแล้วนับพระใส่กล่องจนเต็มแล้วจึงปิดด้วยผ้าแดงอีกที ทีนี้ก็ตั้งเอาไว้ในหอพระกรรมฐานทุกครั้งที่มีการนั่งสมาธิ ท่านจะนำเชือกแดงผูกวนกล่องพระเหล่านั้น แล้วท่านจะส่งปลายเชือกแดงนั้นให้พวกเราจับเอาไว้พร้อมท่าน ทำเช่นนี้ทุกวันเป็นเดือน เป็นปี และเป็น 10 ปี ทั้งพระผงและพระโลหะหรือนิลและผ้ายันต์สวัสดิกะ สำหรับพระที่เป็นโลหะท่านจะเป็นผู้ลงจารตัวอักขระหรือคาถายันต์สวัสดิกะ ด้วยตัวท่านเองทุกองค์รวมทั้งพระบูชาด้วย หลวงปู่ท่านให้เหตุผลในการทำพระไว้ว่า เอาไว้ให้คนรุ่นหลังได้รู้ ว่าศาสนาได้เจริญมาถึงทุกวันนี้ได้อย่างไร จะได้เป็นหลักฐานในการค้นคว้าเป็นการสืบอายุพระศาสนาไปในทีด้วย
       
       หลวงปู่ท่านจะแจกพระเหล่านั้นให้แก่เด็กๆ ที่มาบวชเณรและหลังจากสึกออกไปแล้วรวมทั้งแจกให้กับผู้ที่มาช่วยงานวัด ท่านมิได้สร้างพระเอาไว้ขาย และท่านก็มิชอบวิธีนี้ด้วย ท่านจะพูดเสมอว่า "กูยังไม่อับจนปัญญาถึงขนาดขายพ่อกิน แต่ถ้าใครจะมีศรัทธาบริจาคกูไม่รับรู้ อย่านำเงินนั้นมาให้กู ก็แล้วกัน" พระและเครื่องรางของหลวงปู่ท่านทำหลายรุ่น หลายพิมพ์บางรุ่นทำแค่ 10 กว่าองค์เท่านั้น (ทั้งพระผง พระโลหะหรือนิล และผ้ายันต์สวัสดิกะ) บางรุ่นก็ทำไม่ถึงร้อย ที่พอจำได้ ก็มีพระห้าเหลี่ยม พระสังกัจจายเนื้อผงมีทั้งผงใบลานและผงอิจธิเจผสมผงสมเด็จ บางขุนพรหม ซึ่งข้าพเจ้าได้เห็นท่านนำพระบางขุนพรหมที่แตกหัก ที่ท่านได้มาจากการเปิดกรุบางขุนพรหมรุ่นสุดท้ายมาจำนวนกอบฝ่ามือหนึ่งแล้ว ยังมีผงวัดปากน้ำที่หลวงพ่อสดได้ถวายให้ท่านมา พร้อมกับผสมผงวัดเงินคลองเตย ซึ่งมีพระวัดเงินที่แตกหักเสียหายรวมครึ่งปี๊บ เหตุที่ท่านมีผงวัดเงินจำนวนมากก็เพราะท่านเคยพักอยู่ที่นั่น แล้วยังได้เก็บแม่พิมพ์พระสังกัจจายน์ของวัดเงินมาแปลงใหม่ด้วย แล้วยังมีผงยาต่างๆ ที่ท่านทำน้ำมันและยาหม่อง แจกแล้วเหลือ กากยาจึงได้นำมาบดผสมทำพระ บางครั้งก็จะมีขี้ทองเหลืองจากการที่ท่านแต่งพระโลหะผสมลงในผงพระด้วย
       
       นอกจากพระห้าเหลี่ยม พระสังกัจจายน์พิมพ์วัดเงินแล้ว ท่านยังทำสมเด็จประทานพร ด้านหลังมียันต์สวัสดิกะ สมเด็จขาโต๊ะ (ทำน้อยมาก สมเด็จประทานพรฝังพระธาตุที่หน้าอก ทำแค่ 109 องค์) สมเด็จปรกโพธิ์ (ทำที่ถ้ำไก่หล่น) เหรียญเบญจมหาโพธิ์สัตว์เนื้อเงินผสมพระกิ่งอวโลกิเตศวร (พระโพธิสัตว์ทำจำนวน 199 องค์) พระพุทธรูปบูชาพร้อมพระสังกัจจายน์ทั้งสองพิมพ์นี้สร้างเป็นปางประทานพร จำนวน 99 องค์
       
       แล้วท่านยังได้นำเศษผงที่เหลือก้นครกมารวมกันแล้วปั้นเป็นลูกหอม เล็กๆ แจกเด็กไว้ให้แขวนคอ ท่านยังเมตตาจำลองตราประจำตัวท่าน นั่นก็คือดาวสุริยะ ทำด้วยทองคำแท้และเพชรพลอย พร้อมมียันต์สวัสดิกะอยู่ตรงกลาง แจกให้แก่ผู้มีอุปการคุณแก่วัดจำนวน 32 ดวง และทำอีกรุ่นแจกให้แก่ชาว ถ้ำและผู้ที่ช่วยงานเป็นทองและเพชรพลอยเหมือนกัน แต่ดวงเล็กกว่า ท่านทำจำนวน 9 ดวง ที่เป็นตราประจำตัวท่าน จะจารอักขระภาษาขอมโบราณอยู่ ท่านได้ลงจารด้านหลังดาวสุริยะที่ท่านทำขึ้นมาใหม่ทุกดวง นอกจากพระเครื่องต่างๆ แล้วท่านยังได้หล่อระฆังเล็กๆ เนื้อลงหินโบราณมียันต์สวัสดิกะอยู่รอบๆ พร้อมกับลงจาร ณ ที่ข้างระฆังทุกอัน และยังมีวัตถุเครื่องรางอีกหลายชนิดรวมถึงผ้ายันต์สวัสดิกะ เล็กๆ ที่แจกเด็กๆ เอาไว้แขวนคอด้วย
       
       ส่วนเรื่องกฤษดาภินิหารของพระเครื่องและเครื่องรางของขลังของท่าน เป็นที่ยอมรับของบรรดาหมู่ลูกศิษย์ที่ได้ประจักษ์พบพานด้วยตนเอง ทุกคนมักจะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ชั้นหนึ่ง ไม่เป็นสองรองใคร
       
       ข้าพเจ้าจะเล่าตัวอย่างประสบการณ์ที่เกิดแก่ข้าพเจ้าและพระเณรให้ ท่านได้ทราบบางเรื่องเช่น ครั้งหนึ่งหลังจากบวชพระเณรภาคฤดูร้อนแล้ว ท่านพาไปธุดงค์ที่ลำอีซู ขากลับมีชาวบ้านจัดรถบัสไปรับพระเณรที่ปากทางเข้าน้ำตก โดยปกติหลวงปู่ท่านจะต้องนั่งรถกระบะสองตอน 4 ประตู สีขาว ของวัด แต่วันนั้นท่านไม่ยอมนั่ง ท่านไปนั่งรถบัสไปพร้อมกับพระเณรโดยสั่งให้ข้าพเจ้าและพระพี่เลี้ยงบางรูปไป นั่งแทนท่าน แล้วสั่งห้ามมิให้ใครนั่งที่กระบะท้าย ให้ทุกคนเข้าไปนั่งที่ในเก๋งรถ พร้อมกับสั่งให้ล็อกประตู รัดเข็มขัดให้หมดทุกคน ส่วนของเครื่องบริขารให้ไว้ท้ายรถได้ ข้าพเจ้านั่งอยู่ข้างหน้าคู่กับคนขับ ที่กระจกมองหลังหน้ารถมีกระดิ่งสวัสดิกะของหลวงปู่แขวนอยู่หนึ่งอัน ขณะที่รถแล่นไปกระดิ่งก็กระเทือนดังกังวานอยู่ตลอดทาง รถกระบะวัดแล่นมาด้วยความเร็ว 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพื่อจะกลับ วัด พอรถแล่นมาถึงโค้งอู่ทอง รถได้ชะลอความเร็วลงเล็กน้อย มีคนรถชื่อทิดอ้วนเป็นคนขับรถประจำตัวหลวงปู่ พอหลุดโค้งมาได้ ปรากฏว่ามีเด็กนักเรียนวิ่งตัดหน้ารถอย่างกะทันหัน ทิดอ้วนต้องหักพวงมาลัยรถหลบจนทำให้รถเสียหลักพลิกคว่ำหลายตลบ หูข้าพเจ้าในเวลานั้นได้ยินเสียงหลวงปู่สวดมนต์รวมกับเสียงกระดิ่งดังกรุ๊งก ริ๊งไปพร้อมๆ กัน รถได้พลิก จนตกข้างทาง บาตรและเครื่องบริขารของพระเณรตกเกลื่อนกระจาย หลังคา รถแบนจนติดเบาะนั่ง ทุกคนในรถหมอบลงกับเบาะรถ แม้แต่ทิดอ้วน เครื่องยนต์ดับลงโดยอัตโนมัติเพราะรถตกคูน้ำข้างทาง พวกเราปลดเข็มขัดนิรภัยและพากันเปิดประตูรถในข้างที่ที่เปิดได้ ซึ่งประตูมี 4 ข้างแต่เวลานี้เปิดได้ข้างเดียว