คำนำ
หนังสือเรื่อง "ตามรอยพระพุทธะ" นี้ เป็นการรวบรวมเรื่องราวจากประสบการณ์ทางวิญญาณของผู้ที่เข้าร่วมโครงการบวช เฉลิมพระเกียรติ ณ วัดอ้อน้อย(ธรรมอิสระ) อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม ระหว่างวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๒ ถึง วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ๒๕๔๓ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเจริญพระชนมายุครบ ๗๒ พรรษา
เรื่องราวที่ปรากฏในหนังสือเล่มนี้ มีผู้เขียนซึ่งเป็นอดีตพระนวกะ จำนวน ๑๒ ท่าน ซึ่งแต่ละท่านได้บอกเล่า ถ่ายทอดสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นกับตัวเอง จนกลายเป็นประสบการณ์ทางวิญญาณที่ไม่อาจลืมเลือน ไม่ว่าจะเป็นความประทับใจ ความรัก ความผูกพัน ความเคารพ และความศรัทธา ที่มีต่อองค์หลวงปู่พุทธะอิสระ คุรุผู้ยิ่งใหญ่ในหัวใจของทุกคน
มูลนิธิธรรมอิสระเห็นว่าข้อเขียนทุกเรื่องที่ทุกท่านได้ร่วมกันถ่าย ทอดออกมาด้วยจิตสำนึกในคุณค่าของวิถีทางแห่งพุทธะนั้น เป็นสิ่งที่มีคุณค่า สมควรที่จะนำมารวบรวมเรียบเรียง จัดพิมพ์เป็นหนังสือ เพื่อเป็นประโยชน์แก่ชนรุ่นหลังต่อไป
เนื้อหาทั้งหมดในหนังสือเล่มนี้ จัดแบ่งออกเป็น ๒ ตอน ตอนแรก ผู้เขียนคือ สุริยันต์ วงศ์เมืองแก่น เนื้อหาแบ่งออกเป็น ๓ ภาค คือภาคโลกียชน ภาคโลกุตระ และภาคธุดงค์ ส่วนตอนที่สองมีเรื่องราวหลากหลาย โดยผู้เขียนคือ อดีตพระสิทธิชัย สนฺตกาโย, ภิกขุ จนฺทวํโส, พงษธร ตันติฤทธิศักดิ์, อดีตภิกษุ ปภสฺสโร, นวกะเฉลิมพระเกียรติ, ถิรธัมโม, ประสิทธิ์ เข้มนวล, ขวัญ ผ่องจิตวัฒนา, นรินทร์ บุญชู, ลบง ปานดอกไม้ และเกริกกฤษณ์ ศรีไพพรรณ
ท้ายนี้ มูลนิธิธรรมอิสระในฐานะที่เป็นผู้ดำเนินการจัดทำ ต้องขอขอบพระคุณทุกท่านที่ได้ร่วมแรงร่วมใจจนหนังสือเล่มนี้สำเร็จ และขอนำคำพรของ หลวงปู่พุทธะอิสระ มามอบให้แก่ทุกท่านดังนี้
..."การที่พวกเจ้าทั้งหลาย ได้พากันลิขิตขีดเขียนถ่ายทอดประสบการณ์ทางวิญญาณของตนเอง ให้ออกมาสู่สังคมของผู้ศึกษา พ่อถือว่าเจ้ากำลังทำทานอันยิ่งใหญ่ เพราะมันจะตรงกับหลักคำสอนของพระพุทธะผู้ยิ่งใหญ่ที่ได้ถ่ายทอดและสั่งสอน เอาไว้ว่า สัพพะทานัง ธรรมะทานัง ชินาติ แปลเป็นใจความว่า การให้ธรรมะเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง"...
มูลนิธิธรรมอิสระ
ตุลาคม ๒๕๔๓
จากใจ
บันทึกข้อเขียนนี้เป็นส่วนหนึ่ง หรือเศษเสี้ยวหนึ่ง ของผู้ที่มีประสบการณ์ไม่มากในการได้เข้ามาสัมผัส เป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ทางจิตวิญญาณ ที่ศิษย์มีกับหลวงปู่ ซึ่งผมคิดว่าเรื่องทางจิตวิญญาณของพระ พุทธะองค์นี้ คงต้องผ่านการสั่งสมมายาวนาน เท่ากับอายุขัยของหลวงปู่ ที่ท่านสืบวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ นับเนื่องมาไม่ว่าชาตินี้ ชาติที่แล้ว หรือชาติไหน ไม่ว่าในร่างนี้หรือร่างไหน หากเรานำเรื่องราวและประสบการณ์ ความรู้สึกที่เรามีกับหลวงปู่ มาเรียงต่อกัน มันอาจจะเป็นเรื่องราวทางจิตวิญญาณที่เล่าขานกันต่อไป
เรื่องราวของคุรุผู้มีใจอารี เรื่องราวของพระโพธิสัตว์อันยิ่งใหญ่ เรื่องราวของผู้สืบสายเลือดแห่งพระพุทธะ ผู้ลุถึงกาย จิต และธรรมอันศักดิ์สิทธิ์ ท่านผู้ชี้นำ สั่งสอน อบรม บ่มเพาะ กระตุ้นเตือน ปลุกเร้า ธรรมะที่แน่นิ่งอยู่ในกายและจิตของเราให้ออกมาโลดแล่นในวิถีทางที่เป็นเลิศ ในวิถีทางแห่งพระพุทธะ
ท่านผู้ที่เราก้มกราบแทบเท้าด้วยความรู้สึกที่มากไปกว่าความรัก ความเคารพ และความศรัทธา ผมไม่หวังที่จะเขียนยกย่อง สรรเสริญ ครูบาอาจารย์ จนเกินไปนัก หากแต่ต้องการให้ท่าน ผู้อ่านได้มีโอกาสเข้ามาสัมผัส เรียนรู้ ด้วยตัวของท่านเอง ท่านอาจจะมีประสบการณ์ทางจิตที่แตกต่างกันออกไป
ด้วยตระหนักสำนึกที่มีต่อพระศาสนา ครูบาอาจารย์ รวมทั้งเพื่อนผู้เกิด แก่ เจ็บ ตาย และจากคำของคุรุที่ท่านบอกกล่าวไว้ เหล่านี้จึงเป็นที่มาของข้อเขียนประสบการณ์ทางจิตวิญญาณที่ได้อยู่กับหลวง ปู่ ที่ชื่อว่า "ตามรอยพระพุทธะ" จุดประสงค์ก็เพื่อบอกกล่าว เล่าให้ฟัง ถ่ายทอด ถ่ายเท ออกมาสู่เพื่อนผู้ปฏิบัติธรรม และเพื่อนผู้เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทั้งชนรุ่นนี้และรุ่นหลังต่อไป เพื่อให้รับทราบ สัมผัสว่า ครั้งหนึ่ง ณ ดินแดนสยามเรานึ้ได้มีคุรุผู้เจริญ คุรุผู้ประประเสริฐ มาถ่ายทอด ถ่ายเท อบรม สั่งสอนอะไรไว้
หากข้อความใดท่านผู้อ่าน อ่านแล้วเกิดความสงสัยไม่เข้าใจ ทำให้โง่มากกว่าเดิม กระผมขอน้อมรับความผิดนี้ เนื่องด้วยรับและถ่ายทอดคำสั่งสอนจากครูบาอาจารย์มาไม่สมบูรณ์นัก อาจจะด้วยปัญญาอันน้อย หากแต่ข้อความ ประโยคใดทำให้ผู้อ่านมีความฉลาด สว่าง จิตใจสงบขึ้น ผมขอยกคุณความดีทั้งหมดให้แก่หลวงปู่ และสิ่งสุดท้ายสิ่งที่หวังก็เพียงคำว่าบุญเท่านั้น ที่เกิดจากการได้มอบธรรมะให้กับท่านผู้อ่าน
เนื้อหาของข้อเขียน "ตามรอยพระพุทธะ ฉบับไตรภาค" จึงเป็นการรรวบรวม อรรถ ข้อธรรมะที่หลวงปู่ได้โปรดสั่งสอนแล้วผมจดจำ นำมาเรียบเรียง เพื่อทำความเข้าใจให้มากขึ้น รวมทั้งเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยต่างๆ เท่าที่ปัญญาจะจดจำมาได้ โดยผมได้แบ่งออกเป็น 3 ภาค คือ
๑ ภาคโลกียชน
๒ ภาคโลกุตตระ
๓ ภาคธุดงค์
ที่สำคัญที่สุดข้อเขียนนี้จะไม่ก่อประโยชน์อันใดเลย หากผู้ที่ได้อ่านไม่ได้นำมาปฏิบัติ ไม่ได้นำมาช่วยพัฒนาตนให้เป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน และด้วยความบริสุทธิ์ใจ จริงใจ และตั้งใจอย่างเดียวที่จะถ่ายเท ผ่องเท เล่าเรียนรู้ สิ่งที่เป็นประสบการณ์ทางวิญญาณ สู่กันฟัง ก็ได้แต่หวังว่า ประสบการณ์ทางวิญญาณอันเล็กน้อยที่มี คงมีประโยชน์กับท่านบ้าง ดังความหมายของคำว่า ผู้เรียนรู้ธรรม เจริญธรรม และแบ่งปันธรรม ซึ่งท่านผู้อ่านคงได้รับรู้ถึงวิญญาณของพระพุทธะ ไม่มากก็น้อย คงทำให้โรคร้าย สนิมร้ายๆ ของท่านและของผม ลดน้อยลงไปบ้าง
กรรมทำให้เราต้องมาเจอกัน ทำให้ต้องโคจรมาเจอกัน ผมเชื่อพระพุทธเจ้า เชื่อว่าทุกคนที่มาเจอกัน เคยทำบุญร่วมกันมาแล้วทั้งนั้น เชื่อกฎของกรรม การที่บุคคลทั้งหลายอยู่ต่างที่ ต่างทิศ ต่างถิ่น แล้วได้มีโอกาสมาเจอ คุรุองค์เดียวกัน ทำพิธีกรรมร่วมกัน ทำบุญร่วมกัน ฟังธรรม เรียนรู้ ธรรมจากคุรุองค์เดียวกัน ถือว่าสิ่งเหล่านี้มันเจอได้ยาก
ประสบการณ์ทางวิญญาณต่างๆ ที่เขียนขี้นมานี้ แม้จะเป็นช่วงเวลาอันไม่นานนักแต่ก็เขียนขึ้นมาจากความรู้สึกจริงๆ ที่ผมได้ประสบ และเรียนรู้จากคุรุผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคสมัยนี้ การที่ผมเขียนก็ใช่ว่าผมจะทำได้แล้ว รู้แล้ว เพราะผมไม่ถือว่าตัวเองต้องบริสุทธิ์ ต้องทำได้ ต้องบรรลุเสียก่อนถึงจะไปบอกคนอื่น แต่ผมถือว่าบอกไปด้วย ทำไปด้วย อย่างน้อยก็อาจบอกให้คนอื่นรู้ ทำได้ บรรลุได้ ไปพร้อมกับเรา ก็เพราะด้วย ๓ ไม่รู้ ดังที่หลวงปู่เคยสอนไว้ว่า ไม่มีใครรู้ว่าวิถีชีวิตของตนเองมีอายุยาวเท่าไร ไม่มีใครรู้ว่าการดำรงชีวิตอยู่จนบรรลุนั้นต้องใช้เวลาเท่าไร และไม่มีใครรู้ว่าทิศทางไหนคือหนทางแห่งการบรรลุของตน
ดังนั้นผมอาจจะรู้น้อย ฉลาดน้อยกว่า แต่ก็จะพยายามนำเสนอในสิ่งที่ดีที่สุด อย่างน้อยๆ ผมคิดว่าสิ่งที่เขียนคงได้ให้สาระบ้างไม่มากก็น้อย และหากสิ่งที่เขียนมีเนื้อหาข้อความประการใดที่ผิดพลาดก็กราบขออภัยด้วย
ด้วยจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์
สุริยันต์ วงศ์เมืองแก่น
๑๖ กรกฎาคม ๒๕๔๓
หนังสือเรื่อง "ตามรอยพระพุทธะ" นี้ เป็นการรวบรวมเรื่องราวจากประสบการณ์ทางวิญญาณของผู้ที่เข้าร่วมโครงการบวช เฉลิมพระเกียรติ ณ วัดอ้อน้อย(ธรรมอิสระ) อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม ระหว่างวันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๔๒ ถึง วันที่ 14 กุมภาพันธ์ ๒๕๔๓ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงเจริญพระชนมายุครบ ๗๒ พรรษา
เรื่องราวที่ปรากฏในหนังสือเล่มนี้ มีผู้เขียนซึ่งเป็นอดีตพระนวกะ จำนวน ๑๒ ท่าน ซึ่งแต่ละท่านได้บอกเล่า ถ่ายทอดสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นกับตัวเอง จนกลายเป็นประสบการณ์ทางวิญญาณที่ไม่อาจลืมเลือน ไม่ว่าจะเป็นความประทับใจ ความรัก ความผูกพัน ความเคารพ และความศรัทธา ที่มีต่อองค์หลวงปู่พุทธะอิสระ คุรุผู้ยิ่งใหญ่ในหัวใจของทุกคน
มูลนิธิธรรมอิสระเห็นว่าข้อเขียนทุกเรื่องที่ทุกท่านได้ร่วมกันถ่าย ทอดออกมาด้วยจิตสำนึกในคุณค่าของวิถีทางแห่งพุทธะนั้น เป็นสิ่งที่มีคุณค่า สมควรที่จะนำมารวบรวมเรียบเรียง จัดพิมพ์เป็นหนังสือ เพื่อเป็นประโยชน์แก่ชนรุ่นหลังต่อไป
เนื้อหาทั้งหมดในหนังสือเล่มนี้ จัดแบ่งออกเป็น ๒ ตอน ตอนแรก ผู้เขียนคือ สุริยันต์ วงศ์เมืองแก่น เนื้อหาแบ่งออกเป็น ๓ ภาค คือภาคโลกียชน ภาคโลกุตระ และภาคธุดงค์ ส่วนตอนที่สองมีเรื่องราวหลากหลาย โดยผู้เขียนคือ อดีตพระสิทธิชัย สนฺตกาโย, ภิกขุ จนฺทวํโส, พงษธร ตันติฤทธิศักดิ์, อดีตภิกษุ ปภสฺสโร, นวกะเฉลิมพระเกียรติ, ถิรธัมโม, ประสิทธิ์ เข้มนวล, ขวัญ ผ่องจิตวัฒนา, นรินทร์ บุญชู, ลบง ปานดอกไม้ และเกริกกฤษณ์ ศรีไพพรรณ
ท้ายนี้ มูลนิธิธรรมอิสระในฐานะที่เป็นผู้ดำเนินการจัดทำ ต้องขอขอบพระคุณทุกท่านที่ได้ร่วมแรงร่วมใจจนหนังสือเล่มนี้สำเร็จ และขอนำคำพรของ หลวงปู่พุทธะอิสระ มามอบให้แก่ทุกท่านดังนี้
..."การที่พวกเจ้าทั้งหลาย ได้พากันลิขิตขีดเขียนถ่ายทอดประสบการณ์ทางวิญญาณของตนเอง ให้ออกมาสู่สังคมของผู้ศึกษา พ่อถือว่าเจ้ากำลังทำทานอันยิ่งใหญ่ เพราะมันจะตรงกับหลักคำสอนของพระพุทธะผู้ยิ่งใหญ่ที่ได้ถ่ายทอดและสั่งสอน เอาไว้ว่า สัพพะทานัง ธรรมะทานัง ชินาติ แปลเป็นใจความว่า การให้ธรรมะเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง"...
มูลนิธิธรรมอิสระ
ตุลาคม ๒๕๔๓
จากใจ
บันทึกข้อเขียนนี้เป็นส่วนหนึ่ง หรือเศษเสี้ยวหนึ่ง ของผู้ที่มีประสบการณ์ไม่มากในการได้เข้ามาสัมผัส เป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ทางจิตวิญญาณ ที่ศิษย์มีกับหลวงปู่ ซึ่งผมคิดว่าเรื่องทางจิตวิญญาณของพระ พุทธะองค์นี้ คงต้องผ่านการสั่งสมมายาวนาน เท่ากับอายุขัยของหลวงปู่ ที่ท่านสืบวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ นับเนื่องมาไม่ว่าชาตินี้ ชาติที่แล้ว หรือชาติไหน ไม่ว่าในร่างนี้หรือร่างไหน หากเรานำเรื่องราวและประสบการณ์ ความรู้สึกที่เรามีกับหลวงปู่ มาเรียงต่อกัน มันอาจจะเป็นเรื่องราวทางจิตวิญญาณที่เล่าขานกันต่อไป
เรื่องราวของคุรุผู้มีใจอารี เรื่องราวของพระโพธิสัตว์อันยิ่งใหญ่ เรื่องราวของผู้สืบสายเลือดแห่งพระพุทธะ ผู้ลุถึงกาย จิต และธรรมอันศักดิ์สิทธิ์ ท่านผู้ชี้นำ สั่งสอน อบรม บ่มเพาะ กระตุ้นเตือน ปลุกเร้า ธรรมะที่แน่นิ่งอยู่ในกายและจิตของเราให้ออกมาโลดแล่นในวิถีทางที่เป็นเลิศ ในวิถีทางแห่งพระพุทธะ
ท่านผู้ที่เราก้มกราบแทบเท้าด้วยความรู้สึกที่มากไปกว่าความรัก ความเคารพ และความศรัทธา ผมไม่หวังที่จะเขียนยกย่อง สรรเสริญ ครูบาอาจารย์ จนเกินไปนัก หากแต่ต้องการให้ท่าน ผู้อ่านได้มีโอกาสเข้ามาสัมผัส เรียนรู้ ด้วยตัวของท่านเอง ท่านอาจจะมีประสบการณ์ทางจิตที่แตกต่างกันออกไป
ด้วยตระหนักสำนึกที่มีต่อพระศาสนา ครูบาอาจารย์ รวมทั้งเพื่อนผู้เกิด แก่ เจ็บ ตาย และจากคำของคุรุที่ท่านบอกกล่าวไว้ เหล่านี้จึงเป็นที่มาของข้อเขียนประสบการณ์ทางจิตวิญญาณที่ได้อยู่กับหลวง ปู่ ที่ชื่อว่า "ตามรอยพระพุทธะ" จุดประสงค์ก็เพื่อบอกกล่าว เล่าให้ฟัง ถ่ายทอด ถ่ายเท ออกมาสู่เพื่อนผู้ปฏิบัติธรรม และเพื่อนผู้เกิด แก่ เจ็บ ตาย ทั้งชนรุ่นนี้และรุ่นหลังต่อไป เพื่อให้รับทราบ สัมผัสว่า ครั้งหนึ่ง ณ ดินแดนสยามเรานึ้ได้มีคุรุผู้เจริญ คุรุผู้ประประเสริฐ มาถ่ายทอด ถ่ายเท อบรม สั่งสอนอะไรไว้
หากข้อความใดท่านผู้อ่าน อ่านแล้วเกิดความสงสัยไม่เข้าใจ ทำให้โง่มากกว่าเดิม กระผมขอน้อมรับความผิดนี้ เนื่องด้วยรับและถ่ายทอดคำสั่งสอนจากครูบาอาจารย์มาไม่สมบูรณ์นัก อาจจะด้วยปัญญาอันน้อย หากแต่ข้อความ ประโยคใดทำให้ผู้อ่านมีความฉลาด สว่าง จิตใจสงบขึ้น ผมขอยกคุณความดีทั้งหมดให้แก่หลวงปู่ และสิ่งสุดท้ายสิ่งที่หวังก็เพียงคำว่าบุญเท่านั้น ที่เกิดจากการได้มอบธรรมะให้กับท่านผู้อ่าน
เนื้อหาของข้อเขียน "ตามรอยพระพุทธะ ฉบับไตรภาค" จึงเป็นการรรวบรวม อรรถ ข้อธรรมะที่หลวงปู่ได้โปรดสั่งสอนแล้วผมจดจำ นำมาเรียบเรียง เพื่อทำความเข้าใจให้มากขึ้น รวมทั้งเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยต่างๆ เท่าที่ปัญญาจะจดจำมาได้ โดยผมได้แบ่งออกเป็น 3 ภาค คือ
๑ ภาคโลกียชน
๒ ภาคโลกุตตระ
๓ ภาคธุดงค์
ที่สำคัญที่สุดข้อเขียนนี้จะไม่ก่อประโยชน์อันใดเลย หากผู้ที่ได้อ่านไม่ได้นำมาปฏิบัติ ไม่ได้นำมาช่วยพัฒนาตนให้เป็น ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน และด้วยความบริสุทธิ์ใจ จริงใจ และตั้งใจอย่างเดียวที่จะถ่ายเท ผ่องเท เล่าเรียนรู้ สิ่งที่เป็นประสบการณ์ทางวิญญาณ สู่กันฟัง ก็ได้แต่หวังว่า ประสบการณ์ทางวิญญาณอันเล็กน้อยที่มี คงมีประโยชน์กับท่านบ้าง ดังความหมายของคำว่า ผู้เรียนรู้ธรรม เจริญธรรม และแบ่งปันธรรม ซึ่งท่านผู้อ่านคงได้รับรู้ถึงวิญญาณของพระพุทธะ ไม่มากก็น้อย คงทำให้โรคร้าย สนิมร้ายๆ ของท่านและของผม ลดน้อยลงไปบ้าง
กรรมทำให้เราต้องมาเจอกัน ทำให้ต้องโคจรมาเจอกัน ผมเชื่อพระพุทธเจ้า เชื่อว่าทุกคนที่มาเจอกัน เคยทำบุญร่วมกันมาแล้วทั้งนั้น เชื่อกฎของกรรม การที่บุคคลทั้งหลายอยู่ต่างที่ ต่างทิศ ต่างถิ่น แล้วได้มีโอกาสมาเจอ คุรุองค์เดียวกัน ทำพิธีกรรมร่วมกัน ทำบุญร่วมกัน ฟังธรรม เรียนรู้ ธรรมจากคุรุองค์เดียวกัน ถือว่าสิ่งเหล่านี้มันเจอได้ยาก
ประสบการณ์ทางวิญญาณต่างๆ ที่เขียนขี้นมานี้ แม้จะเป็นช่วงเวลาอันไม่นานนักแต่ก็เขียนขึ้นมาจากความรู้สึกจริงๆ ที่ผมได้ประสบ และเรียนรู้จากคุรุผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคสมัยนี้ การที่ผมเขียนก็ใช่ว่าผมจะทำได้แล้ว รู้แล้ว เพราะผมไม่ถือว่าตัวเองต้องบริสุทธิ์ ต้องทำได้ ต้องบรรลุเสียก่อนถึงจะไปบอกคนอื่น แต่ผมถือว่าบอกไปด้วย ทำไปด้วย อย่างน้อยก็อาจบอกให้คนอื่นรู้ ทำได้ บรรลุได้ ไปพร้อมกับเรา ก็เพราะด้วย ๓ ไม่รู้ ดังที่หลวงปู่เคยสอนไว้ว่า ไม่มีใครรู้ว่าวิถีชีวิตของตนเองมีอายุยาวเท่าไร ไม่มีใครรู้ว่าการดำรงชีวิตอยู่จนบรรลุนั้นต้องใช้เวลาเท่าไร และไม่มีใครรู้ว่าทิศทางไหนคือหนทางแห่งการบรรลุของตน
ดังนั้นผมอาจจะรู้น้อย ฉลาดน้อยกว่า แต่ก็จะพยายามนำเสนอในสิ่งที่ดีที่สุด อย่างน้อยๆ ผมคิดว่าสิ่งที่เขียนคงได้ให้สาระบ้างไม่มากก็น้อย และหากสิ่งที่เขียนมีเนื้อหาข้อความประการใดที่ผิดพลาดก็กราบขออภัยด้วย
ด้วยจิตวิญญาณอันบริสุทธิ์
สุริยันต์ วงศ์เมืองแก่น
๑๖ กรกฎาคม ๒๕๔๓