ครั้งหนึ่งหลวงปู่ได้มาธุดงค์อยู่ในถ้ำไก่หล่น ตำบลหนองพลับ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และได้ปรารภธรรมให้ลูกหลานฟัง ความว่าดังนี้...
       
       หลวงปู่ได้มาทำอะไร เพื่ออะไร รู้สึกว่าที่ที่มามีความวุ่นวายก็เลยหลบมาเพื่อความสบายใจ ในช่วงสามวันแรกก็สบายกายสบายใจ แต่ความจริงแล้วไม่สบายกายเลย ต้องหยอดน้ำข้าวต้ม ให้น้ำเกลือเข้าโรงพยาบาล เป็นไข้ตัวร้อน เพราะมีคนมารบกวนมากมาย นิสัยหลวงปู่ชอบอยู่อย่างสงบ สร้างวัดไว้ใหญ่โตยังไม่อยากจะอยู่ในวัดไม่อยากเป็นสมภารเจ้าอาวาส ไม่อยากจะเสวยสุขที่ไหน อยากมีอิสระเสรีภาพ แม้มีบางคนถามว่า หลวงปู่เป็นใคร มาจากไหน เป็นปัญหาโลกแตก คนที่อยู่กับหลวงปู่มา ๕ ปี ๑๐ ปี ยังไม่มีใครรู้ว่าหลวงปู่มาจากไหน ถ้าหากพวกเราจะทายกันว่า หลวงปู่เป็นหลวงปู่เทพโลกอุดร เป็นหลวงปู่จร พระผี พระโพธิสัตว์ ฯลฯ ถามว่ายอมรับไหม หลวงปู่ไม่ยอมรับ และไม่ยอมรับว่ามาจากไหน บางคนอาจสงสัยว่าเป็นพระเก๊หรือเปล่า หลวงปู่ไม่ได้เป็นหลวงปู่เพราะชาวบ้านยกย่อง ตั้งให้ แต่เป็นหลวงปู่เพราะมีคุณธรรม คนเราถ้ารักจะคบกัน ขอแค่มีความจริงใจต่อกัน เอื้ออาทรซึ่งกันและกัน แค่นั้นก็น่าจะพอใจ จำเป็นด้วยหรือที่จะต้องทราบชื่อเสียงเรียงนามที่มาที่ไป
       
       ดังคำโบราณกล่าวไว้ว่า "คนจะแก่ แก่ความรู้ ใช่อยู่นาน"เปรียบดังสมัยพระพุทธเจ้ายังทรงมีพระชนม์อยู่ อนาถบิณฑิกเศรษฐี ผู้สร้างเชตวันมหาวิหารถวายพระพุทธเจ้า เมื่อลูกสาวคนเล็กเจ็บป่วยเศรษฐีคนนี้จึงไปเยี่ยมลูกสาว ฝ่ายลูกสาวเห็นจึง ถามว่า "มาแล้วหรือน้องชาย" พ่อตกใจ ทำไมเรียกน้องชาย แสดงว่าอาการไข้คงหนักถึงขั้นประสาทหลอนแน่ จึงเข้าไปหาพระพุทธเจ้าแต่ไม่พบพระพุทธเจ้าพบแต่พระสารีบุตร พระสารีบุตรยิ้มแล้วบอกว่า ที่ลูกสาวเขาเรียกนั้นถูกต้องแล้ว เพราะว่าคุณธรรมของท่านเป็นเพียงแค่พระโสดาบัน แต่คุณธรรมของลูกสาวท่านเป็นถึงขั้นพระสกิทาคามีแล้ว เพราะฉะนั้นเขาจึงควรเป็นพี่ใหญ่ของท่าน เป็นพี่สาวของท่านโดยคุณธรรม ในศาสนานี้เขาถือกันว่าคนที่จะแก่มีอายุ มิใช่แก่แต่ตัว แต่แก่ความรู้ความเป็นครู แก่โดยคุณธรรมเป็นครูให้เขาเห็น ทำทุกอย่างให้เป็นนั่นแหละคือหลวงปู่ ถ้าอยากพิสูจน์เรื่องนี้ ก็ลองถามคนที่อยู่ใกล้ชิดหลวงปู่ว่า ระยะเวลาเป็นเดือนเศษที่มาอยู่ที่นี่ หลายคนคงจะรู้ว่าหลวงปู่เป็นหลวงปู่เพราะอะไร หลายคนคงจะรู้ว่าหลวงปู่ไม่ได้เป็นหลวงปู่เพราะริมฝีปากชาวบ้านยกย่อง ที่พูดนี่มิใช่ต้องการยกตัวเอง หรือไม่ใช่ให้ใครยอมรับ แต่เพราะได้ยินพูดกันอยู่เป็นประจำ วิจารณ์กันอยู่เป็นปกติว่าเป็นพระเก๊หรือเปล่า มาหลอกกันกินหรือไม่ มาหากินหรือเปล่ามาบอกบุญเรี่ยไรจริงหรือไม่ฟังแล้วลำบากใจ เพราะตั้งแต่เกิดมาในชีวิตอุตส่าห์หนีมาอยู่ถึงยอดเขาหนีซองเรี่ยไร หนีซองฎีกา นีตู้บริจาค ยังมาเจอในถ้ำอีก มีบางคนถามว่า ทำไมไม่ชอบเงินก็เงินคืองู หลวงปู่เคยพกเงินไหมหลวงปู่ไม่เคยพกเงิน มีพกแต่พระสติ มีพระสติอยู่ที่ไหนก็มีพอกินอยู่บนยอดเขายังมีไอศกรีมกิน พวกเรามีพระสตางค์ แต่เมื่อไปอยู่บนเขาก็ไม่มีใครแบกของไปขายให้ แต่หลวงปู่มีพระสติก็มีกินสมบูรณ์พูนสุข สดชื่นเบิกบาน ป่วยก็ไม่นาน มีชีวิตอยู่ ไม่ได้รบกวนให้ชาวบ้านรำคาญจนเกินไป เพราะการมีพระสติจะระแวดระวังให้กับตัวเอง ไม่เคยมีอุบัติเหตุ ไม่เคยหกล้มหัวทิ่มไม่เคยให้ใครมาถ่มน้ำลายรดหน้า ไม่เคยเพลี่ยงพล้ำหรือประมาทไม่สบประมาทคนอื่นเขาด้วยความขาดสติ
       
       พระสติมีความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าพระที่พวกเราห้อยคอเสียอีกถ้าไม่มี พระสติอยู่ในหัวใจ ต่อให้แขวนพระสมเด็จไว้เต็มคออาจจะโดนใครตีตาย เพราะไม่มีสติปัองกันตัว ไม่มีสติระแวดระวังตัว ไม่มีสติจะระลึกได้ว่าคำพูดใดควรพูด คำพูดใดควรงดพูด คำพูดอะไรควรแสดง และคำพูดอะไรไม่ควรแสดง กิริยาอะไรควรแสดง กิริยาอะไรไม่ควรแสดง พระสารีบุตรจึงกล่าวว่า ธรรมที่มีอุปการะมากและยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกคือ "สติ" เพราะคนมีสติ คิดอะไรไม่พลาดทำอะไรไม่ผิด คิดก็ไม่ผิด พูดก็ไม่ผิด เพราะอำนาจของพระสติดีกว่าพระสมเด็จฯ แม้คนแขวนพระเต็มคอแต่ขาดสติ เห็นนอนอ่านหนังสือพิมพ์ตายกลางถนนก็มากมี ตกหลุมตกท่อ ถูกตีตายเพราะความลำพองทรนง จองหอง อวดดี อยากลองของก็มากมาย เพราะฉะนั้นอำนาจของพระสตินอกจากทำให้เราอยู่รอดปลอดภัย รู้จักใช้ มีกินแล้ว ยังมีงานดีมีชีวิตอย่างโปร่งใส สุขสบายตั้งแต่หัวจรดเท้า เรียบร้อย เพียบพร้อมสวยงาม มีเสรีภาพและอิสระ คนมีสติสามารถกำจัดข้าศึกทั้งหลายทั้งปวง และเอาชนะอารมณ์ต่างๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นความโกรธ จากตาที่พบเห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รับรส กายสัมผัสได้ เพียงขอให้มีสติประจำตัวและอยู่ในหัวใจ จะป้องกันระวังภัยได้ทั้งสิ้น ไม่ปล่อยให้อารมณ์ใดๆ ฉุดกระชากลากถูไป
       
       ผู้มีพระสตินอกจากปลอดภัย ยังทำอะไรได้ไกลกว่า ดีกว่าสมบูรณ์กว่า มีประโยชน์มากกว่า พระสติมีอยู่กับใครไม่เปลืองสุขภาพไม่เป็นโรคประสาท ไม่เป็นโรคจิต ไม่โอ้อวดจนเกินไป มีคนพูดว่าหลวงปู่ขนาดนอนให้น้ำเกลืออยู่ยังหัวเราะได้ ก็เพราะอำนาจของพระสติ เราจะหัวเราะได้ทุกถิ่น ทุกที่ ทุกทาง ด้วยความสบายใจ เพราะเรามีสติป้องกันภัย ไม่ปล่อยเวทนากล้าแข็งเกินไปจนนอนละเมอเพ้อพก ร้องโอดโอยไม่เข้าท่า นั่นแสดงว่าขาดสติ พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า ถ้าใครตายอย่างขาดสติก็เลวบัดซบ จะต้องตกนรกอเวจี เพราะฉะนั้นพวกเราจงรู้ไว้ว่า พระอะไร ก็ไม่ศักดิ์สิทธิ์เหมือนพระสติที่อยู่ในหัวใจพวกเรา จงจำไว้ว่าถ้าขาดสติตัวเดียว ใครก็ช่วยไม่ได้ พระพุทธเจ้าก็ช่วยไม่ได้ แต่ถ้าเรามีพระสติ ไม่ต้องพกพระอะไรเลย แม้แต่พระสตางค์ก็อาจจะไม่ต้องพก ถ้าเราทำดีเพียบพร้อมสมบูรณ์แบบ จนคนอื่นเขาเคารพเลื่อมใส กราบไหว้บูชา มาอยู่ที่นี่เดือนเศษแล้ว ใครๆ ที่อยู่ใกล้ชิดจะสังเกตได้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างเปี่ยมไปด้วยอำนาจพระสติ ทั้งนั้น ตอนนั้นมาไม่มีสตางค์สักสลึง มีโครงการอยากจะทำอะไรมากมาย ก็ไม่มีสตางค์ไม่เคยไปเรี่ยไรเงินจากใคร สั่งห้ามคนที่มาทำงานว่า ห้ามไปบอกบุญใคร ด้วยอำนาจของพระสติตอน นี้มีเงินและใช้ไปสี่หมื่นกว่าบาท เพราะอำนาจของพระสติจึงไม่ต้องพกสตางค์ ใช้ทุกๆ อย่างอย่างมีประโยชน์ ปราศจากโทษ ทุกอย่าง เรียบร้อย เพียบพร้อม สวยงาม ที่ทำนี่ไม่ใช่จะมาเสพสุขเป็นสมภารเจ้าอาวาส ที่วันนี้มาบอกเพราะ....
       
       ความเป็นหลวงปู่มิใช่อยู่ที่รูปร่าง ดาบที่จะคมมิใช่อยู่ที่ลักษณะของดาบ แต่อยู่ที่เนื้อเหล็ก และอยากจะรู้ว่าเป็นเหล็กดี ไม่ดี ต้อง ตีดู บุคคลที่จะเป็นครูที่วิเศษไม่จำเป็นต้องแสดง มีวิชาโบราณเรียกแบบนี้ว่า... "บุคคลที่เข้าถึงขั้นไร้รูป ไร้ลักษณ์ ไร้ร่องรอย" หรือที่เขาเรียกว่า"งำประกาย" ใครที่จะทำความรู้จักถึงบุคคลที่ เข้าถึงวิชานี้ยาก หลวงปู่เคยกล่าวว่า คนในแผ่นดินนี้ถ้าใครรู้จักหลวงปู่ละก็ นั่นแหละยอดคน คนที่อยู่ใกล้ๆ หลวงปู่เคยเรียกหลวงปู่ว่า "มนุษย์ไร้อารมณ์" หลวงปู่บอกไม่ใช่ อย่างนี้ต้องเรียกว่า "คนหมื่นอารมณ์" เดี๋ยวหลวงปู่หัวเราะได้ เดี๋ยวก็ทำให้คนร้องไห้ เดี๋ยวก็ทำให้เขาสบายใจ ใครที่อยู่ใกล้หลวงปู่จะไม่เครียดและไม่เสียสติ หลวงปู่ไม่อวดอำนาจ ไม่ไปแสดงออกตามหน้าหนังสือพิมพ์ว่าเป็นพระ ไม่เคยบอกใครว่าเป็นพระ ไม่เคยเขียนบอกไว้ที่หน้าผากเลยว่าเป็นพระ พระสติทำให้เรารักษาพระอยู่ข้างใน ความเป็นพระไม่ต้องแสดงมาก บางคนมาหาหลวงปู่แล้วอาจจะไม่พอใจกลับไป และพูดว่าพระอะไรพูดจาไม่ดี พูดไม่กลัวว่าคนฟังจะโกรธ พูดแบบขวานผ่าซาก อาจจะได้ยินแบบนั้นก็ได้ แต่ก็สบายใจและภูมิใจที่ทำได้ หรือใครจะเอาแบบอย่างก็ได้
       
       หลวงปู่เคยแสดงธรรมที่ปราจีนบุรี ด้วยภาษาพูดแบบมึงๆ กูๆ สมภารเจ้าอาวาสวัดหนึ่งคิดเลียนแบบภาษาที่หลวงปู่พูด เมื่อกำนันมาเยี่ยมอายุรุ่นพ่อประมาณ ๖๐ ปี เจ้าอาวาสก็วางมาดถาม ไปว่า "เออ ว่าไง ไอ้กำนัน มาแต่เช้าเลยหรือ" กำนันได้ฟังแล้วจึงพูดกลับไปว่า "แล้วมึงจะเอายังไงกะกูวะ ไอ้สมภาร" หลวงปู่นั่งอยู่ใต้ถุนได้ยินแล้วหัวเราะก๊าก เดินเข้าป่าไปเลย อยากจะเอาอย่างหลวงปู่ อยากเป็นปู่น้อย ชีวิตที่ขาดศิลปะการจะพูดจา จะตำหนิติเตียน จะตักเตือนใคร ถ้าไม่มีศิลปะ ถึงด่าแบบไพเราะ เขาก็จะคิดว่าหยาบ แต่ถ้าพูดด้วยความรู้สึกเอื้ออาทร เต็มไปด้วยความเมตตาการุณย์ และออกมาจากหัวใจบริสุทธิ์ ไม่ต้องไปปรุงแต่งให้เป็นมายาการ ไม่ต้องไปอวดว่าเราพูดจาเพราะเสนาะหู พูดจาดี พูดให้คนอื่นเชื่อ ทุกอย่างไม่ว่าจะพูดอะไรออกมาจากใจแล้วละก็มันจะมีเสน่ห์ถึงจะฟังแล้วไม่ ระรื่นหู แต่มันมากไปด้วยค่าและราคาของคำพูดและคนฟัง ฉะนั้นจงจำไว้ว่า ความจริงจัง เป็นสิ่งสำคัญ หลวงปู่เคยเขียนบทโศลกไว้ที่วัดอ้อน้อย ที่หน้าหอฉันว่า "ลูกรัก สัจจะและความจริงใจ เป็นเครื่องเสริมสร้างบุคลิกภาพ และความสำเร็จ" ในชีวิตหลวงปู่ไม่เคยโกหกใคร ไม่เคยโกหกแม้กระทั่งตัวเอง คำพูดที่เตือนเขาไม่ว่าจะเป็นคำด่าหรือคำชมก็พูดออกมาจากหัวใจที่นิยมแต่ ความเป็นจริง เป็นคำพูดที่ออกมาจากใจเพื่อที่จะให้คนเชื่อถือ จะเชื่อหรือไม่ก็ตาม หากเราพูดออกมาจากใจจริงอยู่แล้วคนฟังจะรู้สึกว่าเป็นคำพูดที่เต็มไปด้วย ความเอื้ออาทร.........ของจริงไม่จำเป็นต้องไปเติมแต่งกลิ่นและสีเสียงให้ ไพเราะ แต่ถ้าของโกหกมันจำเป็นจักต้องทำให้ผู้อื่นเชื่อถือ จึงต้องเติมแต้มกลิ่นสีเสียงให้ สวยหรู งามสง่า แสนไพเราะ เพื่อให้ใครเขายอมรับและศรัทธา ตลอดชีวิตหลวงปู่ไม่ได้บวชเพื่อให้ชาวบ้านมาศรัทธา ไม่ได้บวชเพื่อให้ใครเขามาเคารพบูชา ไม่ได้บวชเพื่อให้ใครมา สักการะกราบไหว้ หรือมาให้ทำอะไรมากมายขอเพียงทำหน้าที่เป็น ผู้เผยแพร่สัจธรรมปลดปล่อยความเป็นทาสของอารมณ์ทั้งหลายก็พอแล้ว การกระทำเหล่านี้รวมเรียกกันว่า "หลวงปู่"ซึ่งใครก็สามารถจะเป็นได้ ขอเพียงมีความศรัทธา ความจริงใจอย่างจริงจังต่อทุกสิ่งทุกอย่าง เราจะเป็นได้หมด ทั้งยังเป็นผู้ที่น่าศรัทธา มีเสน่ห์ มีความสุข มีความพร้อมที่จะให้ผู้อื่นมาเคารพเราได้ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพราะพระสติเป็นตัวสำคัญอะไรจะศักดิ์สิทธิ์เท่า พระสติเป็นไม่มี ถึงพระพุทธเจ้าจะนั่งอยู่บนกระหม่อมถ้าเราไม่มีสติ พระพุทธเจ้าก็อยู่กับเราไม่ได้ รดน้ำมนต์เอย ของขลังเอย เหล่านี้จะดีไม่ดีเอาเสียเลย ถ้าเราขาดสติ กรรมวิธีของครูอาจารย์ทั้งหลาย อาจจะเป็นเครื่องกระตุ้นเพื่อให้เรามีสติ
       
       สรุปแล้ว พระสติเป็นอำนาจอันสำคัญ เป็นกำลังอันยิ่งใหญ่ ดลบันดาลให้เรามีชีวิตยืนยาวและเกริกไกร ยิ่งใหญ่ในหัวใจของใครได้เสมอและยังความศรัทธาให้เกิดขึ้น ใครพบเห็นก็มีเสน่ห์ มีอำนาจวาสนา มีบารมีมีพลังในตัวเรา และป้องกันภัยทั้งหลายได้.. มีชีวิตอย่างผู้มีสติ เพื่อจะได้ใช้ชีวิตอยู่อย่างผู้มีศิลปะ