แล้วหลวงปู่ก็กล่าวว่า "สมมติว่าฉันมีลูกแล้วลูกฉันมีโอกาสเป็นผู้เจริญในธรรมของพระพุทธเจ้า เป็นผู้ประกาศพระศาสนา เป็นผู้รักษาอุดมการณ์ของพระศาสดา เป็นผู้นำทางวิญญาณของมหาชนทั้งหลาย ไม่ว่าจะต้องเสียอะไร ทุ่มเทสักขนาดไหน ฉันก็พร้อมที่จะให้ทุกอย่างแม้แต่ชีวิต เพราะฉันคิดว่าลูกฉันอาจจะพาฉันให้เข้าไปสู่วิถีประเสริฐแห่งการได้เกิดมา เป็นคน แต่ นี่ฉันไม่เข้าใจว่าโยมคิดยังไง ถึงกล้าเอาที่ที่ชาวบ้านเค้าถวายให้พระศาสนาเพื่อให้ลูกตนเองสร้างวัด ฉ้อฉล ยักยอกให้เป็นประโยชน์แก่ตนเอง ถ้าฉันขอที่บ้านที่โยมอยู่ให้เป็นทางสาธารณะผ่ากลางบ้านคุณโยมจะคิดยังไง โดยฐานะที่ฉันเป็นลูกฉันควรจะต้องยินยอมเพื่อความกตัญญู แต่โดยสถานะที่ฉันเป็นสาวกของพระศาสดาเป็นผู้ประกาศพระศาสนา และเป็นผู้นำของที่นี่ ถ้าฉันยินยอมให้ญาติมาฉกฉวยโอกาส เบียดเบียนเอาที่ดินทรัพย์สินของวัด ไปเป็นประโยชน์ของพวกพ้อง เช่นนี้ฉันจะมีหน้าไปสั่งสอนใครได้ แน่นอนแหละ ขณะที่ฉันยังอยู่ที่นี่คงไม่มีใครกล้าว่า แต่ถ้าฉันไปจากที่นี่แล้วพวกโยมยังจะต้องอยู่ โยมยังจะกล้าฟังคำประณามและกล้าสู้หน้าแก่คนทั้งหลายได้อีกเหรอ แล้วชั่วชีวิตของฉันโยมก็คงจะรู้ดีว่า ไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลัง ฉันจะเป็นอยู่อย่างภาคภูมิใจและมั่นใจเสมอ เพราะฉันไม่เคยที่จะไม่ ซื่อตรงต่อตนและคนอื่น"
      
       โยมพ่อหลวงปู่นั่งก้มหน้าฟังด้วยความสำนึกผิด แล้วท่านก็ทำตาแดง พร้อมกับถามหลวงปู่ว่า "ท่านจะให้โยมทำอย่างไร ถ้าไม่มีทางให้เขา เขาก็จะต้องฟ้องร้องจะต้องมีเรื่องราวใหญ่โตแน่" หลวงปู่มองหน้าโยมพ่อ แล้วก็ส่ายหน้า "เห็นแก่หน้าที่ของความเป็นลูกอันจะต้องตอบแทนต่อผู้มีอุปการคุณ แล้วท่านก็ประนมมือขึ้นประกาศด้วยน้ำเสียงอันดังกังวานและมีอำนาจว่า "ภิกษุสงฆ์ทั้งหลายจงฟัง พระเณรทั้งหมดในเวลานั้นนั่งรวมกันอยู่ในศาลาด้วยได้พากันยกมือขึ้นประนมรับ แล้วหลวงปู่ท่านก็ได้ประกาศว่า "ข้าจักขอทำหน้าที่ของลูกที่ดีอันพึงมีต่อบุพการี ข้าขอขมาโทษต่อ พระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสงฆ์เจ้า โทษทัณฑ์อันใด อันจักพึงมีต่อการกระทำครั้งนี้ ข้าขอรับผิดแต่โดยดี ข้าขอให้การอนุญาตให้บุพการีของข้าใช้ที่ดินวัดเป็นทางสาธารณะ มีกำหนดเวลาให้แค่ชั่วอายุขัยของบุพการีข้า ภิกษุสงฆ์ ทั้งหลายเห็นควรขอจงสาธุการด้วยเถิด"
      
       พระเณรทั้งหมดได้พากันเปล่งสาธุการขึ้นพร้อมกัน แล้วหลวงปู่ได้กล่าวแก่โยมพ่อของ ท่านว่า "วันพรุ่งนี้ฉันจะเขียนหนังสือสัญญาอนุญาตให้ใช้ทางให้โยม เพื่อจะได้นำไปยืนยันแก่ผู้ซื้อที่ดินเค้า จะได้ไม่มีปัญหา" แล้วคุณโยมของหลวงปู่ก็ก้มลงกราบท่าน รุ่งขึ้นเข้าหลวงปู่ก็เขียนหนังสือขึ้นฉบับหนึ่ง ส่งให้หลวงตาสนิทนำไปให้แก่คุณโยมพ่อ
      
       หมดจากปัญหาคุณโยม หลวงปู่ก็สั่งให้พระเณรตระเตรียม สบงจีวร อุปกรณ์เครื่องใช้บาตร กลด ผ้ายาง เอาไว้พร้อมที่จะจัดบวชพระเณรภาคฤดูร้อนต่อไป ท่านสั่งว่าปีนี้เราคงจะจัดพิธีบวชพระเณรกันในกรุงเทพฯ เพราะสะดวกดี คนส่วนใหญ่ที่มาบวชก็เป็นคนกรุงเทพฯ บวชแล้วคงไปอยู่ระยอง แต่ยังไม่รู้ว่าจะไปบวชวัดไหน พอดีพระดำรงกับพระไพศาลได้เสนอขึ้นว่า ให้ไปบวชที่วัดเค้าคือวัดบางนา เค้าจะช่วยติดต่อเจ้าอาวาสให้ ครั้นได้วัดที่จะบวชแล้ว หลวงปู่ได้พาพระเณรส่วนหนึ่งไปจัดเตรียมสถานที่ พวกเราไปช่วยหลวงปู่จัดสถานที่ด้วยความตื่นเต้น เพราะจะได้ไปชายทะเล เมื่อไปถึงก็ไปหาที่ปักกลด ท่านสั่งให้เณรเดินไปเที่ยวตามชายหาด เมื่อเดินไปเจอไม้จะต้องแบกมาทุกครั้งที่เจอห้ามเดินต่อ ส่วนหลวงปู่กับพระก็ช่วยกันถางหญ้า เก็บขยะ พร้อมขุดหลุมไว้สำหรับให้พระเณรทิ้งขยะ กว่าหลวงปู่กับพระจะถางหญ้าเสร็จ ข้าพเจ้ากับพระเณรก็เก็บไม้ไผ่และไม้อื่นๆ ที่ลอยมาตามน้ำได้ พอที่จะทำปะรำสวดมนต์ และทำห้องส้วมได้ 7 ห้อง กิจกรรมทั้งหลายที่หลวงปู่ดำริจัดทำขึ้น ท่านจะทำให้พวกเราดูก่อนเสมอ ทุกเช้าท่านจะเป็นผู้เริ่มทำงานก่อน และทุกเย็นจะเลิกงานที่หลังเวลาฉันท่านจะแบ่งปันอาหารทั้งคาวและหวาน ในส่วนของท่านจะได้น้อยมาก เวลานอนท่านจะตื่นก่อน และนอนที่หลังทุกครั้ง จนพวกเราเห็นเป็นเรื่องปกติของท่าน แต่ถ้าวันใดท่านจะนอนก่อนตื่นทีหลัง และทำงานช้านั่นแสดงว่า ท่านกำลังป่วย
      
       ช่วงเวลาที่สามเณรภาคฤดูร้อนมาอบรมอยู่ที่ระยองนี้ ตอน กลางเดือนเมษา หลวงปู่ได้เรียกประชุมพระเณรทั้งหมดแล้วก็กล่าวว่า "วันนี้ผมคงจะต้องเดินทางกลับไปรดน้ำศพญาติ แล้วอาจจะอยู่ค้างคืนสัก 1 คืน กลับมาเราจะไปบิณฑบาตที่โรงเจในซอยแสนสุขกัน" พระเณรทั้งหมดแสดงสีหน้ากังวลใจ ข้าพเจ้ามิอาจจะคาดเดาถึงความกังวลเหล่านั้นได้ แต่ดูเหมือนท่านจะทราบท่านก็เลยกล่าวว่า ไม่ต้องกังวลไปหรอก ช่วงผมไม่อยู่จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น ส่วนเรื่องฝนผมจะเขียนเขตอาคม แล้วปักธงผ้าแดงเอาไว้ คราวใดที่ไม่มีใครเข้าไปในเขตอาคม และธงผ้าแดงไม่ล้มฝนจะไม่ตกเด็ดขาด (ที่ท่านต้องกล่าวเช่นนี้ก็เพราะตลอดเวลาที่พระเณรมาอยู่ฝนจะตกเกือบทุกวัน หลวงปู่ท่านจะต้องคอยเตือนให้พวกเราระวัง ว่าอีกกี่ชั่วโมงหรือกี่นาทีฝนจะตก)
      
       "สำหรับญาติผมนั้นมันถึงเวลาของเค้า ทุกคนมีกรรมเป็นของตนเองไม่มีใครหนีพ้นกฎของกรรมไปได้" ก่อนท่านจะเดินทางท่านได้แวะไปสั่งกับข้าว ให้พวกแม่ครัวได้รู้ว่า ขณะท่านไม่อยู่จะต้องทำอะไรบ้าง 1 วันกับหนึ่งคืนผ่านไปหลวงปู่ได้กลับมา ท่านได้แจ้งให้พวกเราทราบว่า โยมพ่อท่านตายแล้ว หนังสือสัญญาที่ระบุว่าอนุญาตให้โยมพ่อได้ใช้แค่อายุขัยเป็นโมฆะแล้ว รวมวันที่ทำหนังสือจนถึงวันตาย 3 เดือนพอดี ต่อไปนี้จะไม่มีใครมาเอาที่วัดไปเป็นทางสาธารณะได้อีกแล้ว ท่านบอกว่าหลังจากกลับไปวัดคงต้องลงมือก่อสร้างแล้ว จะซื้อที่ดินแปลงนั้นกลับคืนมา
      
       ข้าพเจ้ารวมทั้งพระเณรต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์กันว่า หลวงปู่ท่านทราบได้ยังไงว่า โยมพ่อจะตาย เพราะหลังจากวันที่เดินทางกลับมาจากระยอง โยมอี๊ดที่อยู่บ้านเดียวกับโยมพ่อหลวงปู่เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า โยมพ่อนอนดูโทรทัศน์อยู่ดีๆ ตอนกลางคืน เค้าก็ช็อกไปเฉยๆ คนในบ้านจึงนำส่งโรงพยาบาล นอนอยู่ถึงรุ่งขึ้นอีกวันก็เสียชีวิต หมอบอกว่าหัวใจล้มเหลวพอตอนบ่ายหลวงปู่ก็ไปถึงพอดีรับศพกลับมาบ้านพอดี พวกเราจึงต้องนั่งวิจารณ์กันว่า เหมือนอย่างกับหลวงปู่ท่านจะทราบทุกอย่าง ไม่ว่าการทำหนังสือสัญญา ท่านก็ระบุชื่อโยมพ่อให้เป็นผู้ใช้ทางได้คนเดียว อีก 3 เดือน ต่อมาหนังสือนั้นก็เป็นโมฆะ ท่านอยู่ถึงระยองโดยไม่มีใครมาบอก หรือแจ้งให้ท่านทราบ อยู่ๆ ท่านก็ประชุมพระแจ้งว่า "วันนี้ตอนเช้าญาติผมตาย ผมจะต้องไปรดน้ำศพ"
      
       แต่ที่แน่ๆ ท่านเป็นห่วงและรักพระศาสนายิ่งกว่าอะไรในโลก ดูจากสิ่งที่ท่านทำให้แก่พระศาสนา แม้แต่โยมพ่อเสีย ท่านยังไม่รู้สึกสะทกสะท้านเศร้าโศกเสียใจเลย ท่านกลับมาแล้วยังสอนให้พวกเราได้เห็นความปกติของชีวิต ว่ามีเกิด ก็ต้องมีตาย ไม่มีใครในโลกไม่ตาย ทุกคนต้องตายหมด อยู่ที่ว่าจะตายช้าตายเร็วเท่านั้น ท่านจะพูดเสมอว่า เราเป็นผู้ออกจากเรือน ไม่เกี่ยวข้องด้วยเรือนแล้ว" ท่านจะคอยเตือนพระเณรที่ทำอะไรไม่ค่อยเข้าท่าว่า "เมื่อไม่ได้เป็นคนสร้างให้พระศาสนานี้เกิดขึ้น ก็จงอย่ามาทำลายทุกครั้งที่ออกไปสู่สังคมหรืออยู่กับตนเอง จงสำนึกเสมอว่าเป็นเราเป็นผู้สืบทอดอายุขัยพระศาสนา"
      
       ในปี 2533 ต้นปี หลวงปู่ท่านได้เริ่มลงมือก่อสร้างถาวรวัตถุเป็นครั้งแรก จำได้ว่าสิ่งที่ท่านสร้างก่อนก็คือ หอฉันพร้อมโรงครัว ข้าพเจ้าจำได้ว่า การก่อสร้างอาคารทุกหลังภายในวัดนี้ ท่านเป็นผู้กำหนดรูปแบบตำแหน่งที่ตั้ง และควบคุมการก่อสร้าง ข้าพเจ้าเห็นท่านทำงานหนักมากขึ้น นอกจากจะคุมการก่อสร้างแล้ว ทุกวันตอนเย็นท่านยังต้องแบ่งเวลาให้กับการอบรมสั่งสอนพวกเราจนถึงเวลา 3 ทุ่ม แล้วจึงได้พัก รุ่งขึ้นแต่เช้าท่านก็จะเดินสำรวจดูงานที่ค้าง และที่จะทำต่อไป เพื่อจะได้มอบงานนั้นๆ ให้แก่ช่างเมื่อถึงเวลาทำงาน ซึ่งขณะนั้นวัดมีคนงานก่อสร้างทั้งหมด 30 คน หลวงปู่ท่านต้องคอยควบคุมดูแลให้งานเดินไปได้อย่างรวดเร็ว เร่งรีบ รวบรัด และเรียบร้อย ทั้ง 4 "ร" นี้ ท่านจะพูดสอนคนงานทุกคนเสมอ นอกจากท่านจะเป็นผู้นำทางวิญญาณในวิชาธรรมแล้ว ท่านยังสามารถแนะนำทักษะในการก่อสร้าง ดูท่านจะรอบรู้ในเชิงก่อสร้าง และสามารถชี้ถูกชี้ผิดให้แก่ช่างได้เป็นอย่างดีทีเดียว
      ฤดูกาลเข้าพรรษาผ่านไป ท่านได้ประชุมพระเณรแจ้งให้พวกเราเตรียมตัวที่ จะเดินทางไปธุดงค์ในทุ่งนามอญ โดย ท่านให้เหตุผลว่า ที่ต้องไปที่นี้ก็เพราะท่านรับปากแก่พระแก่รูปหนึ่ง ว่าจะไปช่วยปลดปล่อยญาติของพระแก่ให้พ้นจากการถูกจองจำด้วยเขตอาคม หลวงปู่ท่านจึงต้องเดินทางไปเพื่อไม่ให้เสียเวลาเปล่า ท่านจึงถือโอกาสนำพาพวกเราไปหาประสบการณ์ทางวิญญาณด้วย แล้วท่านก็กำหนดวันเดินทางโดยได้มอบหมายงานทั้งหมดให้แก่คนงานคนหนึ่ง ซึ่งท่านตั้งขึ้นเป็นหัวหน้าแล้วให้หลวงตาสนิททำหน้าที่เบิกจ่ายเงินค่า วัสดุก่อสร้างพร้อมกับจ่ายค่าแรงคนงานด้วย ท่านได้มอบเงินไว้ให้แก่หลวงตาสนิทเก็บไว้ 350,000 บาท แล้วยังสั่งสำทับว่าให้ระวังเงินจะหาย หลวงตาสนิทได้พูดเปรยขึ้นอย่างทีเล่นทีจริงว่า "ใครจะกล้าล้วงคองูเห่า" หลวงปู่ท่านหัวเราะหึๆ พร้อมกับกล่าวว่า "เออ แล้วกูจะดูว่ามึงเป็นงูเห่า หรือไส้เดือนกันแน่"
      
       วันออกธุดงค์ได้มาถึง มีพระติดตามหลวงปู่ 4 รูป คือ พระ ดำรง พระไพศาล พระหมี พระเพชร สามเณร 2 รูป คือเณรกบและข้าพเจ้า ก่อนจะไปหาหลวงปู่ได้สั่งหลวงตาว่า ท่านจะไปพักอยู่ที่ป่าลำอีซูในช่วงแรกๆ ถ้ามีธุระอะไรก็ให้ไปถามหาชาวบ้านแถวนั้น พวกเขาก็จะพาหลวงตาไปพบหลวงปู่เอง แล้วท่านก็นำพวกเราเดินธุดงค์ไปสู่จังหวัดกาญจนบุรี ไปทางอำเภอ บ่อพลอย ต.หนองรี จนถึงบ้านลำอีซูซี่งมีน้ำตกชื่อลำอีซู หลวงปู่ท่านพาพวกเราไปพักอยู่ที่น้ำตก อยู่ห่างจากหมู่บ้านประมาณ 4 กิโล
      
       ที่นี่บรรยากาศดี เห็นลำธารน้ำตกกลางหุบเขา ธรรมชาติยังบริสุทธิ์ไม่ค่อยถูกทำลาย ยังพอมีต้นไม้ใหญ่ๆ ให้เห็นบ้าง อาจเป็นเพราะทางรถยังเข้า ไปไม่ถึง ทุกอย่างของธรรมชาติก็เลยดูดี หลวงปู่สั่งให้พวกเราแยกย้ายกันหาที่ปักกลดพร้อมกับบอกว่า เราจะพักกันอยู่ที่นี่สัก 3-4 วัน เพื่อจะรอคนคนหนึ่งที่จะเดินร่วมทางไปทุ่งนามอญด้วย ทุกเช้าในขณะที่อยู่ที่น้ำตกท่านจะพาพวกเราเดินเข้าไปบิณฑบาตในหมู่บ้าน ออกจากที่พักตี 5 เดินไปถึงหมู่บ้านก็ 7 โมงเช้าพอดี วันแรกพอชาวบ้านได้เห็นว่ามีพระเณรมาธุดงค์ที่น้ำตก พวกเค้าก็ได้เตรียมอาหารเอาไว้รอเพื่อจะใส่บาตร พวกเรา ได้อาหารพอดี กับการขบฉัน วันต่อๆ มาปริมาณอาหารก็เพิ่มมากขึ้นจนเหลือเฟือ หลวงปู่ท่านได้สั่งให้นำข้าวตากแดดไว้บนลานหินกลางแจ้ง เพื่อจะได้เก็บเอาไว้ฉัน เมื่อยามเข้าป่าลึก เรื่องอาหารนี่ท่านจะสั่งให้สามเณรช่วยกันดูแล
      
       ช่วงที่ปักกลดธุดงค์อยู่ในหุบเขาลำอีซูอยู่นี้ ตอนกลางคืนพวกเราจะได้ยินเสียงมโหรีปี่พาทย์เสมอ พอรุ่งเช้ามีผู้ถามหลวงปู่ว่า เสียงดนตรีไทยมาจากไหน หลวงปู่ท่านบอกว่า"เทวดามาเล่นดนตรีกล่อมผม"
      
       พักอยู่ที่นี่ได้สัก 3 วัน หลวงตาสนิทก็มาหาพร้อมกับพาชาย หนุ่มคนหนึ่งมาด้วยพอมาถึงแกก็ละล่ำละลักบอกว่า "หมดๆ แล้วครับอาจารย์ เงินโดนขโมยไปหมดแล้ว"
      
       หลวงปู่ยิ้มแล้วก็มิได้พูดอะไร หลวงตาสนิทเห็นหลวงปู่ไม่แสดงกิริยาอาการใดๆ เลยก็ยิ่งกลัว แล้วก็บอกว่าผมผิดไปแล้ว ไม่น่าประมาทเลย พร้อมกับร้องไห้ หลวงปู่ก็เลยพูดว่า "น้ำตาไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา อย่ามาทำตัวเป็นเด็กทารก มึงเดินทางมาหากูก็เพื่อจะมาแสดงความอ่อนแอกระนั้นหรือ"
      
       แล้วท่านก็หันไปพูดกับชายหนุ่มที่มา เค้าเป็นคุณหมอ เป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลอยู่จังหวัดสุราษฎร์ธานี จะมาเดินธุดงค์หาประสบการณ์กับพวกเราด้วย หลวงปู่ท่านเรียกข้าพเจ้าเข้าไปสั่งว่า ให้ช่วยดูแล "คุณหมอชฎาวุฒิ" ด้วย แล้วท่านก็หันมาสั่งกับพวกพระเณรว่า อยู่ปฏิบัติธรรมที่นี่ไปก่อน ท่านจะไปแก้ปัญหาภายในวัดให้หลวงตาสนิทสัก 1 วันแล้วท่านก็จะเดินทางกลับ
      
       วันต่อมาท่านก็เดินทางกลับพร้อมกับบอกว่า วันพรุ่งนี้เราจะ เดินทางเข้าป่าลึกเพื่อไปหาทุ่งนามอญ ได้ยินพรานป่าพูดให้ฟังว่าอยู่ห่างจากที่นี่ประมาณ 40 กิโล ใกล้ชายแดนพม่าพอดี มีพระพูดขึ้นว่า ถ้างั้นก็เดินไปพม่าเลยก็ดี หลวงปู่ท่านยิ้มแล้วพูดว่า "เอาไว้พวกท่านนอนหลับแล้ว หูสามารถได้ยินเสียงมดเดินได้ก่อน ผมจะพาไปพม่า"
      
       ท่านหันมาถามข้าพเจ้าว่าข้าวที่ตากไว้มีมากพอที่จะแจกให้ทุกคนไว้ สำหรับเป็นเสบียงถึง 7 วันไหม ข้าพเจ้าตอบว่ามีมากพอ แล้วท่านก็สอนถึง วิธีการเอาตัวรอดขณะอยู่ในป่า รวมไปถึงสอนให้รู้จักชนิดของพืช ชนิดไหนกินได้ ชนิดไหนกินไม่ได้ ชนิดไหนเป็นยา