30 ต ค 2554  8.35 น.  ธรรมะวันทอดกฐินวัดอ้อน้อย โดยองค์หลวงปู่พุทธะอิสระ


เจริญธรรม เจริญสุข ท่านสาธุชนพุทธบริษัททุกท่าน
ยังอยู่ดีอยู่ไม๊
ขอบใจมากที่อุตส่าห์มา ไม่ใช่มาง่าย หลวงปู่รู้ว่า ไม่ใช่มาง่าย
ในฐานะที่ออกไปแจกของน้ำท่วม ถนนหนทางไม่ใช่มาได้ตรง .....
ขอขอบใจในน้ำใจที่มีกับอาวาสนี้
ขอขอบใจในศรัทธาที่จะเกื้อกูลพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์....
เมื่อวาน ยังคุยๆ ว่า มาน้อยก็ดี จะได้กลับไปทำกับข้าว มาน้อย แต่คนเยอะ....
หลวงปู่สั่งพวกที่มาช่วย ว่า พวกมึงห้ามหยุด ห้ามป่วย ห้ามลา....ห้ามตาย ตราบใดที่กูยัง.....
ทุกคนก็เสียงแหบแห้ง...แต่ก็ลำบากน้อยกว่าพี่น้องชาวบ้าน...
น่าอนาถ....เรายังอยู่ได้ อยู่ดี ก็แบ่งปันความสุขให้แก่ผู้ร่วมเกิด แก่ เจ็บ ตาย
เดี๋ยวจะรับกฐินให้เสร็จก่อน 11 โมง ...แล้วแจ้งข่าวนี้ ให้โรงครัวหุงข้าว
เมื่อวาน แกงไว้แล้ว แกงคั่วสับปะรด กับแกงส้ม คือทำเท่าที่เค้ามีมาให้
สำคัญที่สุดคือ ....ไปแจกที่ไหน มีแต่คนถามว่า น้ำมีไม๊
คิดว่า ทำยังไง ...สั่งให้ซื้อ ถุงมา ร้อยกิโล น้ำใส่ถุง ๆ ละ 20 โล ใส่ออกไปแจก
ให้ประกาศว่า น้ำกินได้...กรอกน้ำทั้งวัน สั่งให้ทหาร 2 คน ผู้พันชาคริต ส่งมา 40 กว่านาย
ถ้าไม่ได้ทหารจากผู้พัน หลวงปู่ก็ไม่มีคนพอ...ไม่รู้ว่าจะพูดยังไง
ถ้าศูนย์....บอกว่าตรงไหนไม่ท่วม นั่นแหละ ตรงนั้นท่วม
น่าสงสาร คนอพยพมา 3 รอบ เที่ยวนี้ให้ไปชลบุรี ...จากธรรมศาสตร์มารังสิต
ดอนเมืองไปสนามกีฬา  ...ไม่รอด จะให้ไปชลบุรี
ไม่เอาแล้ว ตายดีกว่า ตายตรงนี้...ลำบากหนักหนาสาหัส
สีอะไร ก็ป่วยหมด
...บอกลูกหลานว่า นับตั้งแต่วันนี้อีก 1 เดือน ข้าวจะยาก หมากจะแพง
ถ้าเจือจานแบ่งปันกันเหมาะสม ก็ไม่ขาด แต่บ้านเรา คนรวยก็ตุน
ที่จริง น้ำไม่น่าขาด ถ้าเจือจาน ...รู้จักวิธีบริหารจัดการ
เผอิญผู้บริหารเค้ากองเป็นภูเขา...คุยกับทหาร เพิ่งออกแจกเมื่อวาน
หลวงปู่ไปแจก 2 สัปดาห์ ยังไม่มีใครเข้าไปเลย เราก็ทำเท่าที่ทำได้
รถราวัดมีเท่าไหร่... 10 ล้อ เฟืองก็เจ๊ง...เดี๋ยวอ้ายหมูแซวอีก ..เชิญมารับยาตีนกัดน้ำ
ทุกคนทำงานหนักมาก..ไปกับหลวงปู่ คือ หลวงปู่ลุย...
แล้วพวกบอกว่า ไม่ลุย ไปได้ หลวงปู่สั่งทิ้งเลย ไม่ได้
....บางทีไปแล้ว มันไม่ได้ของ มันจะคว่ำเรือ ทั้งๆ ที่เรานั่งอยู่หัวเรือ
เฮ้ย อย่าไปถือสา มันคงเครียด ......เราต้องเผื่อแผ่ เอาใจเขามาใส่ใจเรา
บางบ้านแย่มาก  ไม่มีใครช่วย...
มีนักการเมือง พรรคนี้มันสันดานจริงๆ ตรงไหนเป็นโคก มันเอาเต็นท์ไปกาง
ไม่มีของ มีแต่ป้ายชื่อ คนไปต่อไม่ได้ ก็ไปแจกตรงนั้น ....
มันหน้าด้าน หน้าหนาจริงๆ แล้วมันเป็นอย่างนี้จริงๆ ไปตรงไหนก็เจอ
เมื่อกี้ อ่านจดหมาย ขอส้วมจากบางเลน เดี๋ยวต้องทำ รีบส่งไปแจกเค้า
มันสารพัด ลูก เครื่องอยู่เครื่องใช้ ...ยาน้ำกัดเท้า ขี้ผึ้งเทพโอสถ ทำไม่รู้จักพอ
ทุกข์ไปอีกเดือน 2 เดือน จนกว่าอะไรจะดีขึ้น
มีคนถาม ทำไงน้ำจะแห้ง
ไม่ยาก รัฐบาลลาออก 15 วัน น้ำแห้ง...ให้ไหลบ่า ดินมากกว่าน้ำ...
แต่ละบ้านก็กั้นบ้านของตน ...ปล่อยให้ไหลบ่า อย่างดีก็แค่ครึ่งน่อง
...ที่ไหนที่กัก ท่วมทุกที่ ขนาดรถเอ็มซี จะไปกับน้ำ ..พวงมาลัยต้องประคองให้ดี
คนขับบอก หลวงปู่ครับ ผมจะจับพวงมาลัยไม่อยู่ ...น้ำมาปะทะกับรถแรงมาก
มันทุกข์ยาก เพราะว่า ไม่รู้วิธีจัดการ
ที่ท่วมรุนแรง ..คือให้นโยบายจำนำราคาข้าว ไม่กล้าให้น้ำเข้านา ก็กัก
ทุ่งรับน้ำก็ไม่มี น้ำไม่มีที่ไป ก็เข้าบ้าน..นี่คือความเสียหายที่ตามมา
เพราะฉะนั้น ถ้าอยากให้น้ำแห้งเร็ว..เทวดาไม่เยี่ยว พระสมุทรไม่หนุน พระธรณีซึมซับ
นี่เทวดาเยี่ยว พระธรณีไม่ซึมซับ พระสมุทรก็ปฏิเสธไม่ยอมรับน้ำ ก็เลยหนุน
แล้ววิธีบริหารจัดการก็ไม่พัฒนา
หลวงปู่พูดเป็นเดือนแล้ว ...ที่เชื่อหลวงปู่ กั้น ก็ไม่เป็นไร ที่ไม่เชื่อก็เจ๊ง จบ
ขอบใจที่มาเต็มศาลา ขออนุโมทนา...เงินกฐินปีนี้ หลวงปู่ขอผาติกรรมจากสงฆ์
ไม่ต้องเข้าวัด...จัดอาหารแห้ง ...สิ่งจำเป็น แจกจ่ายให้ชาวบ้าน
เดี๋ยวโรงครัวประกอบอาหารเลี้ยงต่อ เดี๋ยวก็ต้องไปทำต่อ ...ขอท่านทั้งหลายอนุโมทนา
ส่วนกฐินอีก 2 วัดที่อำเภอบันนังสตา ที่วัดเขาน้ำตกกับที่ลำอีซู ก็ต้องไปให้เค้า เพราะเป็นเจตนาของผู้ทอด แต่ส่วนของวัด ชาวบ้านให้ ก็ไม่เอา เอาไปให้ชาวบ้าน
ก่อนอื่นขอเล่าที่มาของกฐิน กำหนดไว้ในหนังสือ ประวัติกฐิน พิมพ์แจกเมื่อปี 2537
ยังใช้ได้เป็นวินัยบัญญัติ ...เป็นกฐินทาน มีคำกล่าวไว้ดังนี้ว่า
        แต่ปางหลัง     ครั้งสอง      พระทรงศรี      
จอมมุนี                 โลกนาถ       แพร่ศาสนา
ประทับวัด             เชตวัน         อันโอฬาร              
ณ เมืองสา-            วัตถี             บุรีรมย์
       ถึงวัสสา-        นาฤดู         มีหมู่สงฆ์
สามสิบองค์          เดินทาง      อย่างขื่นขม
จากเมืองท่า          ปาฐา          อุราตรม
หมายบังคม         ยุคลบาท     พระศาสดา
     แต่พอถึง         สาเกต       ประเทศน้อย
วันเดือนคล้อย    เข้าปุริ-       มพรรษา
ทุกอกองค์         อัดอั้น         ตันปัญญา
หยุดไคลคลา     จำพรรษา     ครบสามเดือน
      ครั้นถึงวัน    ปวารณา     พรรษาแล้ว
ดังได้แก้ว           ดีใจ           หาใดเหมือน
ต่างรีบร้อน       คลาไคล     ไม่แชเชือน
ก็คล้อยเคลื่อน   เข้าเขต      เชตวัน
      ตลอดทาง    ต่างย่ำ    โคลนเปรอะเปื้อน
ด้วยเป็นเดือน   พิรุณลา   คราวสันต์
ไตรจีวร      เปียกเปื้อน  เหมือนเหมือนกัน
รีบผายผัน  เฝ้าบาท  พระศาสดา
     พระพุทธองค์    ทรงมี      ปฏิสันถาร
พระบรรหาร    หวานเสนาะ   เพราะนักหนา
ดำรัสตอบ      ขอบใจ         ในเจตนา
ที่อุตส่าห์      บากบั่น       ด้วยมั่นใจ
     ทอดพระเนตร   สังเกตผ้า   กาสาสงฆ์
แต่ละองค์       มัวหมอง  ไม่ผ่องใส
จึงเอื้อนโอษฐ์   โปรดบัญญัติ   ตรัสวินัย
ประทานให้     สงฆ์ที่ได้   ปวารณา
       จำพรรษา  มาบรรจบ   ครบไตรมาส
อนุญาต       ให้เสาะ           แสวงหา
ผ้าสำหรับ    จะทำ            จีวรา
แล้วนำมา    เย็บย้อม        เป็นจีวร
     ภายในเพ็ญ   เดือนสิบสอง  ให้ครองได้
บัญญัติไว้      แล้วพระองค์       ทรงสั่งสอน
ให้หมู่สงฆ์    ช่วยกัน         ไม่เกี่ยงงอน
หาไม้ท่อน     มาทำ          เป็นสะดึง
     สมัยนั้น    การจะทำ     เย็บปะผ้า
จักต้องหา     อาศัยไม้       สะดึงขึง
ไม้สะดึง       ซึ่งทำ         ให้ผ้าตึง
เป็นอันหนึ่ง  ที่สำคัญ    ในวงงาน
     ไม้สะดึง     ซึ่งบาลี   เรียกกฐิน
ประกอบชิ้น    จีวร       เป็นสัณฐาน
จึงเรียกว่า       ผ้ากฐิน  แต่โบราณ
รวมทั้งกาล    เวลา      ทำผ้าไตร
    เรียกกันว่า  กฐินกาล  งานกฐิน
เขตสุดสิ้น      เดือนสิบสอง     เพ็ญผ่องใส
ให้พระสงฆ์    ตกลงกัน        ว่าฉันใด
ยกผ้าที่          ทำเสร็จให้     ได้ครอบครอง
       มอบแก่พระ   ภิกษุ      เพียงรูปหนึ่ง
เป็นพระซึ่ง   สงฆ์ยอม  พร้อมถวาย
เป็นพระผู้     งดงาม     ตามวินัย
นอกนั้นไซร้   สาธุโน   โมทนา
      เช่นนี้เรียก   ว่าสงฆ์   กรานกฐิน
เป็นสุดสิ้น      ปฐมเหตุ   เทศนา
ต่อมามี      มหาอุ-   บาสิกา
วิสาขา   นามกระเดื่อง  เรื่องใจบุญ
     ได้รู้เรื่อง   เริงรื่น   ฉ่ำชื่นจิต
ด้วยนางคิด    ที่จะ     สนับสนุน
จึงจัดหา  ผ้ากฐิน  สิ้นเงินทุน
ด้วยการุณย์  ในพระสงฆ์  ทรงวินัย
     ทอดถวาย  เป็นรายแรก  หนึ่งในโลก
จึงอาโภค    เพียบพูน  บุญมไหย
บัดนี้เล่า    พวกเรา     ชนชาวไทย
ก็พร้อมใจ   กันทอด  กฐินทาน
     เอาเยี่ยงอย่าง  แม่นาง  วิสาขา
ด้วยศรัทธา   พร้อมพรัก  สมัครสมาน
เพื่อบูชา  ไตรรัตน์  อันโอฬาร
ให้ยืนนาน วัฒนา  ชั่วฟ้าดิน
     ผลผลา   อานิสงส์   จงสัมฤทธิ์
แด่ญาติมิตร   ชื่นชม  สมถวิล
เป็นอันจบ  ครบเครื่อง  เรื่องกระบิล
เรื่องกฐิน    ย่อเค้า    เท่านี้เอย
9.05 น.
ปุจฉา  .....
วิสัชนา    คนที่ทำอะไรไม่สำเร็จ  อย่ามองว่าเราใช้สมรรถภาพไม่เต็มที่
บางครั้งสิ่งที่ตัวเองทำ ไม่ตรงกับเป้าประสงค์...
วิเคราะห์แล้ว ผลกรรมในอดีตไม่ได้สนับสนุน...
อดีต เป็นคนอิจฉาตาร้อน เห็นชาวบ้านดี ก็ไม่สนับสนุน
พอตัวเองทำดี ก็ไม่เกิดผล
เค้าจึงมีคำกล่าวว่า ปัตตานุโมทนามัย บุญเกิดจากการอนุโมทนา
วันตัดลูกนิมิตร หลวงปู่กล่าวไว้ว่า บุญคือ เครื่องยังให้สำเร็จถึงสมบัติทั้งปวง
คนมีบุญ ทำอะไรก็สำเร็จประโยชน์
คนไม่มีบุญ ทำให้ตาย ก็ไม่ได้...ทำเรือแทบตาย ทำเสร็จ น้ำลด
เห็นเค้าทำอะไร แล้วเราอยากทำบ้าง....
เรื่องบุญนี่  มีปัญญา มีโอกาส ทำไว้เถอะ
อย่างที่หลวงปู่บอก คนฉลาดใช้ทรัพย์ อย่างมีสติปัญญา
คนโง่เขลา ใช้ทรัพย์เพื่อ กิน กาม เกียรติ ใช้ทรัพย์ในทางล้างผลาญชีวิต
คนฉลาด ใช้ทรัพย์เพื่อประโยชน์ในชีวิตปัจจุบัน และใช้ในอนาคต
ใช้ทรัพย์ให้เกิดทาน ศีล ...ใช้ทรัพย์ให้เกิดประโยชน์
เหมือนอนาถบิณฑกะเศรษฐี....
คนโง่ใช้ทรัพย์......แม้ไม่ขัด ไม่สน ก็ไม่สำเร็จประโยชน์
เรากำลังรับกรรมในสิ่งที่เรากระทำ..ตอนภาคเหนือน้ำท่วมใหม่ๆ....
แผ่นดินไทย ปราชญ์โบราณ ท่านผูกพระเวทย์ ..ผูกความรักใคร่สมัครสมานกับท้าวจาตุมฯ
ท้าวหิรัญพนาสูร ท่านเป็นตัวแทนของยักษ์....
ใครคิดร้าย ทำร้ายราชวงค์ ...ที่สุดจะมีอันเป็นไป แผ่นดินนี้ศักดิ์สิทธ์นัก
ลองไปกางแผนที่ดู ที่ท่วม ...สีแดง....
วัดอ้อน้อยสีขาว
จำไว้อย่างว่า  ชั่วชีวิตหลวงปู่ เมื่อไหร่ที่เราพึ่งคนอื่น เราจะอ่อนแอ
พึ่งตัวเอง จะแข็งแรงทางกาย ใจ และสติปัญญา
ถ้าหลงปู่ขอพรจากสวรรค์ และฟ้าดิน...ขอให้ 2 ขา ยืนได้ แข็งแรง  2 มือ ทำได้ทุกเรื่อง
1 หัว คิดออก  1 ตัวตั้งมั่น แล้วเราจะทำได้ทุกเรื่อง
งั้น เราต้องพึ่งตัวเองให้ได้
ชีวิตไม่สิ้น ก็ดิ้นได้
ใครมันอยากได้อะไร เอาไป แต่อย่าเอาชีวิตเราแล้วกัน ไม่ตาย ค่อยหาเอาใหม่
บอกไม่มีที่ไป มาวัดอ้อน้อย มีอาหาร 3 มื้อ มีหมอรักษาตลอด
อย่าใช้อารมณ์ อย่าเสพสิ่งเศร้าหมอง
เสพข่าวเพื่อให้รู้ ไม่ใช่เพื่อให้เกิดอารมณ์
เวลาหลวงปู่ดูข่าว เพื่อให้รู้ว่า ตรงไหนจะเอาไปช่วยได้
9.30 น. เริ่มพิธี
10.30 น.
เดี๋ยวโรงครัวประกอบอาหารเลี้ยงต่อ เดี๋ยวก็ต้องไปทำต่อ ...
ส่วนกฐินอีก 2 วัด ที่อำเภอบันนังสตา ที่วัดเขาน้ำตก กับที่ลำอีซู
ก็จะจัดสรรปันส่วนให้เหมาะสม จะเอาไปใช้ ที่อำเภอบันนังสตา ก็ไปสร้างโบสถ์ไว้
ปีนี้จบแล้ว เสร็จ ก็ยังขาดเงินอีกประมาณ ล้านเจ็ด เดี๋ยวหลวงปู่หาไปจนกระทั่งครบ
ขอท่านทั้งหลายอนุโมทนา
บุญทั้งหลายที่หลวงปู่ทำแล้ว ลูกหลานได้กระทำแล้วในอดีต ปัจจุบัน และจะมีต่อไปในอนาคต
ขอจงดลบันดาลให้ท่านทั้งหลาย รุ่งเรือง สำเร็จประโยชน์ มีความสุขสมบูรณ์
คิดหวังสิ่งใด สมความปรารถนา อายุยืนยาว สุขภาพแข็งแรง
ให้ร่ำรวย ได้ในสิ่งที่หวัง ทุกท่านทุกคนเทอญ