14 พ ค 2554 13.10 น. ถอดเทป ธรรมะก่อนวันไหว้ครู โดยหลวงปู่พุทธะอิสระ (46 นาที)
เจริญธรรม เจริญสุข ท่านสาธุชนคนดีที่รักทุกท่าน
ถือบวชกันหมดหรือยัง
ใครที่ยังไม่บวช ก็จัดที่พักที่ผ่อนให้เรียบร้อย
ฝนฟ้ามา หาที่หลบฝน หลบน้ำให้ดี
วันนี้ พวกเรามาชุมนุมประชุมพร้อมกัน ด้วยความหมาย 2 อย่าง
ก็คือ ความหมายอย่างแรก ก็คือ
การมาแสดงความกตัญญู กตเวทิตา
ในวันพรุ่งนี้ เป็นไหว้ครูประจำปีของวัดอ้อน้อย
ซึ่งมี ครูหมอ ครูว่าน ครูยา ครูพระเวท แล้วก็ครูกรรมฐาน
งั้นก็ปรารภเหตุปัจจัยที่ 2 ก็คือ
ระลึกถึงวันประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ซึ่งก็เคยได้บอกไปหลายครั้งแล้วว่า
ถ้าเราอยากจะนึกถึงพระพุทธเจ้า
อย่านึกถึงแค่วันตรัสรู้ ประสูตร หรือ ปรินิพพาน
จงนึกถึงตัวตนแท้จริงของพระผู้มีพระภาค
ตัวตนแท้จริงของพระผู้มีพระภาค จะอยู่ที่เสื้อที่ใส่ว่า
พระผู้มีพระภาค พระองค์ทรงเป็นผู้ไม่มีอะไร ไม่ได้อะไร ไม่เหลืออะไร
พระองค์เป็นสัญญลักษณ์ของความว่าง
เป็นสัญญลักษณ์ของความไม่มี ไม่เหลือ ไม่ได้
ไม่มี แม้กระทั่งรูปกาย
ถ้าเราเข้าถึงความว่างชนิดนั้นได้
เราก็ถึงซึ่งพระพุทธเจ้า ผู้เป็นครูอันสูงสุดของพวกเรา
แต่ถ้าเราเข้าถึงความว่างชนิดนั้นไม่ได้
เราก็ยังเพียงแค่ผู้ได้ยินพระนาม หรือ
เป็นเพียงแค่ผู้รู้จักยี่ห้อของพระพุทธเจ้าเฉยๆ
งั้น การที่เราจะมาระลึกถึงสถานที่ประสูติ สถานที่ตรัสรู้ สถานที่ปรินิพพาน
มันก็ไม่ได้ผิด ไม่ได้เสียหายอะไร
เพราะว่า มันเป็นกระบวนการสร้างให้เกิดศรัทธาปสาทะ
แต่เราอายุไม่น้อยแล้ว มัวแต่มาสร้างศรัทธาอยู่
แต่ไม่มีปัญญา เดี๋ยวก็ผลุบๆ โผล่ๆ
ก็อาจจะตายไปซะบ้าง ป่วยไปซะบ้าง ร่างกายแย่ไปซะบ้าง
จิตใจ สติปัญญาซบเซาไปเสียบ้าง
ศรัทธาบ้าง ไม่ศรัทธาบ้าง เดี๋ยวจะวุ่นวายใหญ่
เดี๋ยวก็ทุกข์คติเป็นที่ไป
เพราะงั้น มันก็ต้องควรทำจิต ทำใจ ทำสันดาน ทำวิญญาณของตน
ให้ถึงพระพุทธเจ้าองค์แท้อย่างแท้จริง
นั่นแหละ เป็นเรื่องไม่ประมาท
มัวแต่มาเจอพระพุทธเจ้าองค์ปลอม หรือว่าสมมุติพระพุทธเจ้าอยู่เนืองๆ
มันก็จะไม่ได้ ไม่ได้มีสาระอะไรมากนัก
อย่างนี้ก็ไปสู่สุขคติภพ สวรรค์
ก็ยังไม่ถือว่า เข้าถึงพระพุทธเจ้าอยู่ดี
เพราะงั้น วันนี้ พวกเรามากันด้วยดำริ 2 อย่าง คือ
ดำริร่วมกันแสดงความกตัญญู กตเวทิตา
การจะแสดงความกตัญญู กตเวทิตา มันก็จะต้องดูว่า
บุคคลผู้แสดง ผู้รับความกตัญญูนั้น
เป็นบุคคลที่มีคุณอันเหมาะสมหรือเปล่า
เป็นคนที่ควรให้การกตเวทิตาไม๊
รู้คุณและตอบแทนบุญคุณได้ไม๊
หลวงปู่ชั่วชีวิตเชื่อว่า อาจจะผิดไปบ้าง ก็ไม่แน่ใจ
แต่เชื่อว่า ได้ทำหน้าที่ของครูที่ดีอยู่ทุกลมหายใจอยู่แล้ว
หรืออาจจะมีบางคนอาจจะเคยพูด แล้วบอกว่า
อาจจะเป็นเพราะว่า ความที่คิด เรื่องที่ทำ คำพูด
ไม่แน่ใจว่า อาจจะไม่ถูกเสมอไป
อาจจะมีข้อบกพร่องบ้าง
แต่โดยสำนึกของความเป็นครูในจิตวิญญาณของหลวงปู่แล้ว
ไม่เคยขาดสูญ
เมื่อครูได้ทำหน้าที่ของความเป็นครูอย่างตรงไปตรงมา ชัดแจ้งเห็นปานนี้แล้ว
ก็ต้องถามกลับไปว่า พวกท่านทั้งหลายได้ทำหน้าที่ของศิษย์
ที่สำนึกบุญคุณของครูได้มากแค่ไหน
และทำหน้าที่ของศิษย์ที่สำนึกบุญคุณของครูได้อย่างตรงไปตรงมา
จริงจัง แล้วก็เต็มใจเนี่ย
มันก็ต้องน้อมเอาคำสอน อันดับต้นเลย ก็คือ
น้อมเอาคำสอนของครูบาอาจารย์ไปใช้ให้เกิดประโยชน์
2 ก็คือ ทำหน้าที่ของศิษย์ที่ดี อันจะพึงมีต่ออุปการะที่ครูได้ให้
ศิษย์ที่ดีอันจะพึงมีต่ออุปการะที่ครูได้ให้มีอะไรบ้าง
ก็ต้องอ่อนน้อมถ่อมตน เชื่อถ้อยฟังคำ อยู่ในโอวาท
มีสัมมาคารวะ กตัญญู รู้คุณ กตเวทิตา ตอบแทนคุณ
แล้วก็รู้จักพัฒนาตนอยู่เนืองๆ อันนี้ เป็นประโยชน์ตนนะ
พัฒนาตนอยู่เนืองๆ
อย่าขาดการพัฒนา
เพื่อให้คำสอนของครูบาอาจารย์นั้น สามารถพิสูจน์ทราบได้
และดำรงสืบเนื่องต่อไปได้
แล้วก็ประการสุดท้าย
ก็ทำหน้าที่ของตนให้ถูกต้อง ในความหมายของการเป็นศิษย์
หลวงปู่เชื่อว่า หลวงปู่ได้ทำหน้าที่ของครูมาก็ไม่น้อยนะ
ขึ้นอยู่กับพวกเราน่ะ ได้แสดงหน้าที่ของศิษย์ได้มากแค่ไหน ในข้อว่า หน้าที่
เมื่อวานนี้ ทำนู่น ทำนี่ ทำตั้งแต่หลังวัดไปยันหน้าวัด
ก็สุดท้าย ก็ไม่ไหวทำ ก็ไปสอนเค้าทำยาด้วย สอนเค้าต้มยา
เพราะว่า เดี๋ยวจะทำยาแจก ต้มยา ยาต้มสูตรใหม่แจก
แล้วก็สั่งไว้ว่า หลังจากพวกท่านต้มยาแล้ว
ก็อย่าลืมไปล้างถนน ล้างหน้าเต็นท์ ทำความสะอาด กวาดให้เอี่ยม
แล้วตั้งแต่เมื่อวานเย็นนี่ ก็ไม่ได้มาเจริญพระพุทธมนต์
เพราะฝนตกที่ลานโพธิ์
ปกติ ฝนไม่ตก ก็จะมาเจริญพระพุทธมนต์ที่ลานโพธิ์ประจำ
ก็ไม่ได้เข้ามาในวัด เพราะมัวแต่ทำงานอยู่ข้างนอกวัด
ก็เลยไม่ได้เข้ามาดูว่า ข้างในเป็นยังไงบ้าง
เมื่อกี้นี้ นั่งรถเข้ามา เลยเห็นพื้นยังซกมก พื้นหน้าศาลายังมีขี้ดิน ขี้หิน ขี้ทราย
ยังไม่ได้มีการชำระล้าง
ก็จะถามกลับไปว่า บรรดาศิษย์ทั้งหลายเนี่ย
จะทำหน้าที่อะไรได้บ้าง
กลับออกไปช่วยบริหารจัดการหน้าที่ของศิษย์ให้เรียบร้อยก่อน
ให้เหมาะสม แล้วจึงจะมาหาครู
รู้แล้ว ก็กราบพระ แล้วไป
ไปได้แล้ว
ถ้าใครคิดว่า ยังเป็นศิษย์ของกู แล้วจะมาไหว้ครู
ก็ไป
ถ้าใครยังไม่คิดว่า เป็นศิษย์ เป็นแค่มาเป็นแขก
ก็นั่งฟังต่อไป
ไป
ขอเรียนเชิญทุกท่านกราบพระพร้อมกัน
จะแสดงภาระกรรมหน้าที่ของศิษย์อันดีที่จะพึงทำต่อครูให้เห็น เป็นที่ประจักษ์
อย่าแอบทำ
ทำให้เห็นเป็นที่ประจักษ์
ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย
แล้วก็อยากจะบอกว่า การแสดงหน้าที่ของศิษย์ครั้งนี้ ในพิธีไหว้ครู
ต้องถือว่า เป็นตำนานที่ต้องจำ และจารึกเอาไว้
เพราะว่า เป็นครั้งสุดท้ายของชีวิตของครูคนนี้แล้ว ที่จะมีการไหว้ครู
งั้น กลับไปทำหน้าที่ซะ
อะไรที่ยังเห็นว่ายังไม่เรียบร้อย
ควรทำ ก็ทำ
อะไรที่เห็นว่า ยังควรปรับปรุงพัฒนาให้ดีได้
ก็ใช้กึ๋น ใช้ปัญญาของตนว่า เราจะช่วยเหลือเกื้อกูลอะไรตรงไหนได้บ้าง
แม้ที่สุด หน้าที่ของศิษย์ที่ดี ก็คือ ไม่ทำตนเป็นภาระให้แก่คนอื่น
แล้วการทำตนเป็นที่พึ่งของคนอื่น
ก็เป็นหน้าที่ของศิษย์ที่ดี ที่จะทำให้แก่ครูได้ด้วย
ความหมายของศิษย์ที่ดี มันมีกว้างขวาง หลากหลายมาก
แต่เราก็ชอบที่จะเห็นคนอื่นทำ มากกว่าเราจะลงมือทำ
เพราะงั้น เมื่อเราไม่ลงมือทำ เราก็จะไม่ได้
ไม่ได้ในส่วนที่เราควรจะกระทำ
(เข้าใจว่า มีคนเข้าไปหาท่าน)
ไม่เคยทำหน้าที่ เอาอะไรมาวุ่นวาย
ดูที่โต๊ะ ตั่ง เตียง เก้าอี้ อะไรที่มันควรจะต้องกระจาย ขยาย
เช็ด กวาด ถู อะไรได้ก็ คนละไม้คนละมือ ลูก
เสร็จเรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวเย็นค่อยมารวมกัน
เจริญพระพุทธมนต์เย็น
คิดว่าทำหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์ก่อน
การไหว้ครู ไม่ใช่เพียงแค่เอาขันมาวาง
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อยู่ในขันใบเดียว
แล้วก็มาวาง จบ
ไม่ใช่
อ้ายนั่น มันไหว้หลอกๆ
ไหว้จริงๆ มันก็คือ ต้องไหว้ทั้งกายและจิตใจ
พวกที่นั่งอยู่ในศาลานี่ ก็คือ แขก
ไม่ใช่ศิษย์กู
ผู้ที่เป็นศิษย์กู ก็คือ พวกที่ออกไปทำภาระกรรม และหน้าที่ของลูกศิษย์
อันจะพึงมีต่อครูบาอาจารย์ อย่างสำนึกด้วยกตัญญู รู้คุณ
และคิดจะตอบแทนบุญคุณ
ด้วยกรรมวิธีที่ตนควรจะกระทำได้
เพราะเชื่อว่า ชั่วชีวิตตลอดเวลาที่ผ่านมา
ครูคนนี้ไม่เคยบกพร่องในหน้าที่ของการทำดี
ให้คนอื่นดู เป็นครูให้คนอื่นเห็น
ไม่เคยที่จะไม่ทำตัวเป็นต้นแบบ
เพราะงั้น ศิษย์ไม่ใช่เพียงแค่ว่า
เอาดอกไม้ ธูป ทียน มาใส่พาน
แล้วก็มานั่งไหว้ แล้วก็จบ เลิกกัน
ปีนึง สอนทั้งปี ได้ ดอกไม้ ธูป เทียน 1 พาน
แค่นั้นก็มีคุณค่าเหลือหลายแล้ว
อ้ายวิธีสอนศิษย์แบบนี้
หรือว่า ทำอุปการะคุณ รับอุปการะคุณ แบบนี้
มันทำให้รู้สึกห่างเหินต่อศิษย์กับครู
ทำให้รู้สึกได้ว่า ครูรับจ้าง จะอะไรกันนักหนา
ชั้นก็จ้างแกสอน
แกกะชั้นก็ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่า แกได้รับจ้าง แล้วแกก็ทำหน้าที่สอน
งั้น ที่นี่ ไม่มีครูรับจ้าง
มีครูที่สำนึก มีแต่ครูที่มีสามัญสำนึก
ไม่ใช่มีครูที่มารอรับจ้างใคร
เมื่อครูมีสำนึกเห็นปานนี้
ศิษย์ทั้งหลายก็ควรจะต้องแสดงสำนึก ระลึกถึงคุณของครูให้มาก
ด้วยการทำอุปการะคุณหลากหลายที่จะพึงกระทำได้
เป็นภาระกรรม เป็นกิจกรรม เป็นกิจวัตร เป็นการงาน
เป็นเรื่องเป็นราวที่พอจะแบ่งเบาภาระกรรมของครู
ไม่ใช่เพิ่มภาระกรรมให้ครู
ไม่ใช่มายัดเยียดปัญหาและภาระกรรมให้ครูอยู่เนืองๆ
อยู่ทุกเรื่อง อยู่ทุกเวลา ทุกเรื่องราว
แน่นอนล่ะ ปุถุชนมันก็ไม่สามารถจะมีสติปัญญาแก้ไขปัญหา
มีครูเอาไว้ก็เพื่อจะช่วยเหลือเกื้อกูล
แต่เมื่อถึงคราวอันศักดิ์สิทธิ์
ถึงเวลาอันแสดงพฤติกรรมที่เราควรจะนอบน้อม
กตัญญู รู้คุณ กตเวทิตา ตอบแทนคุณ
สำนึกในหน้าที่
ทำดีตามที่ครูสอนให้เป็นที่ประจักษ์
มันก็ควรจะต้องแสดงให้เต็มเม็ดเต็มหน่วย เต็มที่ เต็มเรี่ยว เต็มแรง
เหมือนครูที่ได้ทุ่มเททั้งชีวิต
ในการที่พร่ำสอนศิษย์อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย เต็มที่ เต็มเรี่ยวแรง
ไม่ใช่เต็มที
ไม่อยากจะทวงบุญคุณ
แต่อยากให้ได้ระลึกถึงว่า
ครูคนนี้ ไม่เคยผลัดวัน ประกันพรุ่ง ที่จะสอนศิษย์
ไม่ว่าจะในสถานการณ์บีบคั้น แร้นแค้น ทุรนทุราย
หนักหนา ทรมาน ทุกข์ยาก ป่วยไข้ ไม่สบาย หรืออย่างไร
ก็ไม่เคยผลัดวัน ประกันพรุ่งที่จะสั่งสอนอบรม
มาพูดนี่ ก็ไม่ใช่มาทวงบุญคุณ
แต่ครูคนนี้อยากเห็นความงดงามดีๆ ซักครั้งหนึ่งในชีวิตที่มีต่อศิษย์
ผู้ได้แสดงออกอย่างจริงใจ ไม่เสแสร้ง ไม่มีมายากาลสาไถ
ไม่ได้ทำเอาหน้า ไม่ได้ทำเพราะอยากให้ครูเห็น
แต่ทำเพราะนี่คือ สำนึก
สำนึกนี่มันเกิดอยู่ในหัวใจใครแล้ว
มันไม่ว่า กับต่อหน้าหรือลับหลัง
มันก็จะทำได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน
เหมือนอย่างที่หลวงปู่สอนเณรว่า
สิ่งที่เณรจะต้องทำให้เกิดขึ้นเป็นประจำอยู่เนืองๆ แล้วก็ต้องทำให้มีอยู่
ก็คือ ฝึกครูภายในให้ขึ้นมาสอนเรา
เพราะใครก็ไม่มีเวลามากพอที่จะสอนเราได้ 24 ชั่วโมงเท่าตัวเราเอง
แล้ว 24 ชั่วโมงที่เราจะสอนตัวเราได้
ครูคนนั้น ก็คือ ครูคนแรก ก็คือ ครูสำนึก
สำนึกในมโนธรรม ในหัวใจเราว่า
เราต้องมีอุปการะคุณ
ต้องทำอุปการะคุณต่อผู้มีคุณต่อเราอย่างไร
ตอบแทนคุณแก่ท่านอย่างไร
สำนึกว่า เราจะทำหน้าที่อย่างไร
สำนึกดีๆ ที่เราคิดจะทำพูด ให้อย่างตรงไปตรงมา ถูกต้อง
รักษาความถูกต้องเอาไว้อย่างไร
สำนึกในภาระกรรมที่เรามีต่อตนและคนรอบข้างมากน้อยแค่ไหน
ถ้ามีครูสำนึกแล้ว ครูสติ ครูปัญญาที่จะเกิดตามมา
มันก็จะเอื้ออำนวยประโยชน์ให้ตนและคนรอบข้าง
แต่ถ้าไม่มีครูสำนึก
มีปัญญา ก็เอาเปรียบคนอื่น
มีสติ ก็เป็นสติมหาโจร
ที่จะเห็นประโยชน์ตนเป็นใหญ่ ไม่ใส่ใจประโยชน์ส่วนรวม
เพราะมันขาดสำนึกไง
เพราะงั้น ครูพวกแรกที่เราต้องสร้างให้เกิดขึ้น
คนแรก ก็คือ ครูสำนึก
ครูสำนึกดีๆ ที่มีมโนธรรมในหัวใจ
ครูสำนึกดีๆ ที่ชื่อ กตัญญู รู้คุณ กตเวทิตา ตอบแทนคุณ
ครูสำนึกดีๆ ที่ชื่อว่า หิริ ความละอายชั่ว โอตัปปะ ความเกรงกลัวบาป
ครูสำนึกดีๆ ที่ชื่อว่า ทำหน้าที่ รับผิดชอบหน้าที่ ถูกต้องในหน้าที่
ซื่อตรงในหน้าที่ อย่างแข็งแรงและตรงไปตรงมา และจริงใจ
กว่าพวกมึงจะเข้ามาในวัดนี้
1 สัปดาห์ที่ผ่านมา ครูคนนี้ก็เหนื่อยหนักหนาสาหัส
ตั้งแต่หลังวัดยันหน้าวัด ไม่เคยยุดนิ่ง
ถึงกับลงทุนไปยกกระถาง ขุดดิน จัดศาลา ย้ายพระ
ทำทั้งหมดก็เพื่อจะหวังว่า เดี๋ยวศิษย์ที่น่ารักจะเข้ามาวัด
ศิษย์ที่ปรารถนาใฝ่เรียน ใฝ่รู้ ที่ขยันหมั่นเพียรที่จะศึกษา
ได้มาแล้ว จะได้เจริญหู เจริญตา เจริญใจ สะดวกสบาย ในตามอัตภาพ
ไม่อยู่อย่างอึดอัด ขัดเคือง ฝืดเคืองมากเกินไป
ให้เห็นความเพียบพร้อม พอเหมาะ พอควร
สะอาดสะอ้าน มีระเบียบ เรียบร้อย
ครูคนนี้คนเดียวก็ทำไม่ได้ ก็ต้องไปเข็น ไปเข่นคนรอบข้าง
ให้มาขยัน มาช่วยทำ
ก็มีคุณพระทั้งหลาย เค้าก็ช่วย ทหาร คนงาน
ของดีๆ น่ะ แสดงออกมานะ ลูก
ไม่มีใครเค้าว่า
ถ้าเมื่อไรที่เราไม่แสดงดี ความอัปรีย์มันก็จะล้ำหน้า
เพราะคนเรามีดีกับอัปรีย์เนี่ย เท่ากัน
ถ้าฉลาด ก็เอาดีนำ แล้วเบียดบังอัปรีย์ให้น้อยลง
แต่ถ้าโง่เขลา ก็จะเอาอัปรีย์นำ ดีก็จะเหลือน้อยลง
งั้น ถ้าเราไม่รู้จักที่จะบริหารจัดการตัวเรา ที่จะเอาดีนำหน้าเสียบ้าง
อัปรีย์มันก็จะล้ำหน้าไปอยู่เรื่อยๆ
เมื่อถึงวันหนึ่ง เมื่ออัปรีย์มันนำจนเต็มที่
เราก็จะกลายเป็นคนไม่ดีในสายตาของสังคม และคนรอบข้าง
คนเราเห็นแก่ตัวมากไป บางทีบางครั้ง กลายเป็นตัวน่ารังกียจ
แล้วก็อันตรายกับคนรอบข้าง แม้นที่สุด ก็อันตรายสำหรับตัวเอง
คนที่อันตรายสำหรับตัวเอง มันก็ยากที่จะเข้าใกล้ล่ะ
คิดจะบูชาครูคนนี้
จงนึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าสอนเรื่อง การบูชาไว้ 2 อย่าง
แล้วพระองค์ก็ทรงสรรเสริญการบูชาอย่างเดียว
นั่นคือ ปฏิบัติบูชา
อามิสบูชาเนี่ย พระองค์ไม่ทรงสรรเสริญ
คือวันนี้ ก็เหมือนกัน
ไม่จำเป็นต้องเอาอามิส หรือสิ่งของมาถวาย มาให้
ให้ทำให้ได้ในสิ่งที่สอน แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว
ดูว่า อะไรที่เราพอทำได้ตามกำลัง และสติปัญญาของตน
ไม่ต้องเห็นช้างขี้ แล้วไปขี้ตามช้าง
ดีของแต่ละคนมันไม่เท่ากัน
บางคนมีดี ก็แบก แบกของหนัก 50 กิโล
แต่บางคนมันทะยานแบกให้เท่าเค้า เดี๋ยวก็หลังหัก
ก็อาจจะไม่แบก ใช้ลาก ใช้เข็น
บางคนไม่แบก ไม่ลาก ไม่เข็น
แต่ใช้หยิบ ใช้เช็ด ใช้ถู
มันก็ดีทั้งนั้นแหละ ลูก
มันดี แต่ดีคนละภาระ
ความดีไม่มีการขาย อยากได้ต้องทำเอาเอง
ครูคนนี้ ไม่ใช่ครูใจดีนะ ลูก
เป็นครูใจร้าย
เป็นครูที่ไม่ใช่ใจดีที่จะปล่อย ช่างมัน ปล่อย ช่างหัวมัน
ถ้าปล่อย ช่างมัน ช่างหัวมัน น่ะ มันง่าย ลูก
ศิษย์ทุกคนก็จะชอบ ไม่ต้องกระตือรือร้น ทุรนทุรายมาก
ก็ยืดไป สันหลังยาวไป ขี้คร้าน ขี้เกียจไป
ใครได้ดี ก็ต้องถีบตัวเอง
ไม่ใช่ได้ดี เพราะคำสอนครู
แต่ครูคนนี้ อยากเห็นทุกคนได้ดี
จึงหาทุกวิธีที่จะพยายามสอน
แม้มันจะเหนื่อยหนัก สาหัส ลำบากลำบน หรือเบาสบาย
แต่ก็ระลึก คิดอยู่เสมอว่า เมื่อครูที่ดีได้ศิษย์
ต้องทำทุกวิถี แม้จะป่นกระดูกของศิษย์ให้เป็นแป้ง
เพื่อให้ศิษย์ได้ลุถึงความเป็นผู้รู้ ตื่น และเบิกบาน ก็ต้องทำ
ชั่วชีวิตกู พูดคำไหน คิดอย่างนั้น ทำ พูด คิด เรื่องเดียวกัน
สอนเมื่อ 30 ปี เขียนไว้อย่างไร แม้ปัจจุบันก็ยังทำอย่างนั้น
ตรงไปตรงมา
ถ้าเป็นครูคนอื่น ก็คงจะขี้คร้าน
อายุมากเข้า ก็ขี้เกียจ ปล่อยมัน หมดแรงแล้ว
แต่ครูคนนี้ ไม่ใช่
ยิ่งแก่มาก ยิ่งรู้มาก ก็ยิ่งเห็นความบกพร่องได้มาก
ก็ยิ่งต้องชี้มาก จู้จี้มาก ตำหนิมาก
เหมือนกับพ่อแม่ที่อยู่ในบ้านเราล่ะ
เราก็ไม่ค่อยชอบหน้าพ่อแม่เราเท่าไหร่นัก
เราก็จะมาบ่นว่า แก่ ขี้บ่น จู้จี้
แต่หารู้ไม่ว่า นั่นถ้าเค้าเป็นคนโหดร้าย เห็นแก่ตัว
รักสบาย เอาตัวรอด ไม่ใส่ใจความเป็นอยู่ ถูกผิดของลูกหลาน
เค้าก็ไม่จำเป็นจะต้องมาสนใจ จ้ำจี้จ้ำไชให้เหนื่อย
แค่เอาตัวรอด ก็สบายแล้ว
แต่คนแก่เหล่านั้น ก็อาจจะคิดว่า ไม่ได้
เราอยู่คนเดียว ตัวไม่รอด ก็ต้องอาศัยคนอื่น
แต่ครูคนนี้ ไม่ใช่
ครูคนนี้อยู่คนเดียว ก็อยู่รอด
ที่ไหนก็อยู่รอด
งั้น ครูคนนี้ ไม่ต้องการศิษย์
แต่ถ้าได้มาแล้ว
ศิษย์อย่าบ่น ไม่ได้
จะมาโวยวายไม่ได้ว่า โหดเหลือเกิน รุนแรงเหลือเกิน
เขี้ยวเหลือเกิน ทรมานเหลือเกิน
ก็ไม่ได้มาขอร้องให้เป็นศิษย์
มีแต่พวกมึงมาขอร้องกู ให้เป็นครู
งั้น กูก็ต้องทำหน้าที่ของครูอย่างตรงไปตรงมา ชัดแจ้ง
แล้วก็ถูกตามพระธรรมคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค
ต้องไม่บิดพลิ้ว บิดเบือน
ถ้าเป็นคนอื่น เค้าก็นิ่งๆ เฉยๆ ให้ลูกศิษย์รัก
ยิ้มอย่างเดียว ไปฉีกยิ้มแจกศิษย์ ให้ศิษย์สบายใจ
ปลอมประโลมไปเรื่อยๆ
เดี๋ยวมันก็ตายไปเอง
แต่ครูคนนี้ ไม่ได้
จะปล่อยให้มันตายไปเองไม่ได้
จะให้กาลเวลากลืนกินสรรพสิ่ง
กัดกินชีวิตมึงโดยที่ไม่มีคุณค่า ก็ไม่ได้
ทุกชีวิตมีค่าเสมอสำหรับครูคนนี้ ที่ต้องพัฒนาได้
ไม่ว่าจะชีวิตแก่ที่สุดหรือเด็กที่สุด
มีสิทธิ์เท่าเทียมกัน ที่จะต้องพัฒนาให้ได้
สิ่งที่ลูกหลานกำลังทำ นั่นแหละคือ กระบวนการไหว้ครู
อย่างนี้แหละ เค้าเรียกว่า ไหว้ครูจริงๆ
ไหว้ครูที่พร้อมไปด้วยทั้งกายและจิตใจ
ด้วยสำนึก ด้วยสติ และปัญญา
ไม่ใช่ไหว้ครูแค่ดอกไม้ ดอกมะเขือ ขัน สตางค์
นั่นไม่ได้ศักดิ์สิทธิ์
นั่นเป็นเพียงแค่พิธีกรรม
ไม่ใช่เรื่องที่เราจะต้องกระทำแล้ว
มันก็ไม่สามารถทำลายความเลวระยำ หรือความเอาเปรียบ
คับแคบ ตระหนี่ เห็นแก่ตัวของเราให้มันหมดไปได้
มันไม่สามารถทำลายความอหังการ มมังการ อีโก้ อ้ายโก้ ของกูไปได้
ยิ่งถวายขัน ยิ่งไหว้ครู ก็ยิ่งตัวโตมากขึ้น
นั่นไม่เป็นที่พึงปรารถนาของครูคนนี้
ครูคนนี้ ไหว้ครูแล้ว ต้องตัวเล็กลง
ยิ่งไหว้ ก็ยิ่งเล็ก
โต๊ะ เตียง ตั่ง อะไรที่จะใช้นั่ง เช็ด ถู ซะบ้าง ลูก
มันมีคราบดิน อิฐ ทราย ฝุ่นจับ
ตั้งแล้วก็เช็ด ผ้าชุบน้ำเช็ด
ภาระกรรมเช่นนี้แหละ
เค้าเรียกว่า ภาระกรรมที่ ไหว้ครูอันศักดิ์สิทธิ์
เป็นภาระกรรมที่เราจะรู้สึกภาคภูมิใจที่จะไปเล่าให้ลูกหลานได้ฟังว่า
เวลาพ่อแม่ไปไหว้ครูเนี่ย พ่อแม่ไม่ได้เพียงแค่ไปถือขัน
ข้าวตอก ดอกไม้ ธูป เทียน ไปถวายครู
พ่อแม่ต้องลงไม้ลงมือ ทำภาระกรรมของศิษย์อันกตัญญู
ต่อครูบาอาจารย์ อย่างสำนึกของผู้มีคุณ
ที่จะทดแทนบุญคุณอย่างชัดแจ้ง ตรงไปตรงมา
แล้วเป็นประโยชน์ตนและคนรอบข้าง
แล้วก็ให้ตราตรึงจารึกเป็นตำนานไว้เลยว่า
พิธีไหว้ครูของวัดอ้อน้อยในปีสุดท้ายปีนี้
เป็นปีที่ทำให้ทุกคนสำนึกระลึกได้ว่า
การไหว้ครูที่ชัดแจ้งและแท้จริงนั้น
ไม่ใช่เพียงแค่มีดอกไม้ แล้วก็ขัน
ใครที่ยังไม่มีอะไรจะทำ
ก็ยังไม่สำเร็จประโยชน์ในการไหว้ครู
งั้น แสดงว่า เราจะต้องหาอะไรที่จะทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวม
เพื่อความวัฒนาถาวร ของภาระกรรมแห่งศิษย์ที่พึงกระทำต่อครู
ด้วยความกตัญญู กตเวทิตา
ทำอะไรได้ ก็ทำ ลูก
เสร็จแล้ว เดี๋ยวก็พัก อาบน้ำอาบท่า
5 โมงตรง ก็มาพร้อมกันในศาลา เพื่อเจริญพระพุทธมนต์
ยังมีเวลาอีกประมาณ ซัก 2 ชั่วโมงกว่าๆ
ตอนนี้ บ่าย 2 โมงตรง
3 ชั่วโมงนะ ลูก
จัดเตรียมที่พักที่อยู่ให้เรียบร้อย
ตรงไหนที่มันเปียก มันแฉะก็เลื่อนเคลื่อนไป
อยู่ในสนามหน้าศาลา ก็อยู่ได้ ลูก
อย่าไปอยู่ที่อับที่ทึบ
แล้วคนมันจะบอกว่า ไกลห้องน้ำ
ทางนี้ก็อยู่ได้ ตรงที่ว่างตรงศาลาตะวันออก
ก็ใกล้ๆ ห้องน้ำ
ปีนี้ เป็นปีพิเศษที่มีวันไหว้ครู อันตรงและใกล้เคียงกับวันวิสาขะ
หลังจากวันไหว้ครูไปแล้ว ก็จะมีกิจกรรมของวิสาขะ
คิดไว้นานแล้วว่า วันวิสาขะปีนี้ จะสอนเรื่อง สุญญตสมาธิ
เพื่อให้ลูกหลานทุกคน
ได้เข้าถึงองค์พระผู้มีพระภาคเจ้าองค์แท้ อย่างชัดแจ้ง
ว่าพระพุทธเจ้าองค์จริงๆ นั้น
ท่านไม่มีอะไร ไม่ได้อะไร ไม่เหลืออะไร
เหมือนกับที่พระองค์ทรงสอนศิษย์พราหมณ์โมคราชว่า
ดูก่อน โมคราชพราหมณ์ ถ้าเธอปรารถนาจะไม่ให้มัจจุราชเห็นเธอ
เธอจงเห็นซึ่งความว่างเป็นอารมณ์
เมื่อใดที่เธอเข้าถึงซึ่งความว่าง มัจจุราชก็จะไม่เห็นเธอ
นั่นก็คือ จะเป็น อมตะ
ความตายก็ไม่เข้ามาพรากเราออกจากอะไร
เพราะเราไม่มีอะไร
คำว่า มัจจุราชไม่เห็นเรา ในขณะที่เราอยู่ในความว่าง
ก็เพราะเราไม่มีอะไรจะให้ใครมาพราก
ไม่มีญาติ ไม่มีพ่อ ไม่มีแม่ ไม่มีผัว ไม่มีเมีย
ไม่มีสมบัติ ไม่มีพี่ ไม่มีน้อง ไม่มีแก่ ไม่มีสาว
ไม่มีหนุ่ม ไม่มีผู้สูงศักดิ์ ไม่มีผู้ต่ำชั้น
แม้ที่สุด ไม่มีตัวเรา
แล้วมัจจุราชจะมาเอาอะไร
เมื่อใดที่เราเข้าถึงความไม่มีอะไรอย่างชัดแจ้ง
และความไม่มีอะไรอย่างจริงจังถาวร
นั่นแหละ เมื่อนั้นแหละ เราก็คือ พระพุทธะองค์หนึ่ง
แต่ก็ไม่ได้หมายถึงว่า การสนอให้ไหว้สังเวชนียสถานเป็นเรื่องไม่ดี
เพราะนั่นเป็นกระบวนการยังให้เกิดศรัทธา
ถ้าจะว่าไปแล้ว ก็เหมือนกับเด็กอนุบาล
ที่จะต้องคลานเตาะแตะ ต้วมเตี้ยม
ก็ต้องฝึก ค่อยๆ ฝึกไปเรื่อยๆ
แต่เรานี่มันไม่ใช่เด็กแล้วนี่
บางคนต้องพยุงปีกมากันแล้ว
ยังมานั่งสร้างศรัทธาอยู่เฉยๆ
มันจะเสียชาติเกิด เกินไปหรือเปล่า เสียเวลาไปไม๊
อุตส่าห์ตะกายมาตั้งไกลได้มาพบครูบาอาจารย์
แทนที่จะซึมซับ สำเหนียก
นำเอาความรู้ไปฝึกหัดปฏิบัติให้เข้าถึงองค์พระพุทธะที่แท้จริง
กลับมายึดติดอยู่เพียงแค่ของปลอมๆ หลอกๆ
นี่ทำภาระกรรมนี่เสร็จ 5 โมงตรง ก็อาบน้ำอาบท่าร
พระก็สรงน้ำสรงท่า แล้วมาพร้อมกันในศาลา
เพื่อเจริญพระพุทธมนต์
ใครที่ยังไม่ได้มาบวช ก็ขอเข้าพิธีบวชซะ ที่จะถือศีล 8
หาข้าวหาปลากินซะก่อน ลูก ในโรงครัวเค้ามีอาหารเลี้ยง
มาแต่ไกล บางทียังไม่มีอาหารรองท้อง
จัดที่พัก ที่หลับที่นอนให้ดี
ศาลาทิศตะวันออก ในวันพรุ่งนี้ เค้าจะใช้สำหรับเลี้ยงพระ
ใครที่เอาเต็นท์ เอากลด มากาง ก็เว้นไว้ก่อน
ถ้าจะกาง ก็คงจะอยู่ได้ล่ะ ลูก แต่ถึงเวลาเช้า ก็ต้องรีบเก็บ
เพราะเค้าจะใช้ที่เลี้ยงพระ เลี้ยงเณร
14 พ ค 2554 19.00 น. ถอดเทป ธรรมะหลังเจริญพระพุทธมนต์เย็น 1
วันก่อนวันไหว้ครู
โดยหลวงปู่พุทธะอิสระ
จิตนี่มันไม่ได้ฝึกกันง่าย ลูก
มันต้องคอยพยายามประคับประคองมัน
บางทีเราคิดว่าอยู่กับมัน อยู่กับมนต์ อยู่กับความตั้งมั่น
แว๊บนึงมันก็ไป เผลอมันก็ไป
ถ้าไม่ขยันที่จะดึงมัน ดันมัน ฉุดกระชากลากไว้บ้าง
เดี๋ยวมันก็ไปอีก
งั้น ฝึกจิตนี่ เค้าว่า ฝึกลิงยาก ฝึกจิตยากเป็นพันเท่า
ลิงว่าไวแล้ว จิตนี่ไวกว่าเป็นหมื่นเท่า
เพราะงั้นต้องใช้สติ ใช้สมาธิ ใช้ปัญญามากๆ
ต้องหากุศโลบาย หากระบวนการ
ถ้าเราคิดว่า จะเป็นผู้ฝึกตนจริงๆ
มันต้องทำทุกเรื่องที่เป็นเรื่องฝึก
ทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิต เราต้องฝึกให้ได้ทั้งหมด
แต่ถ้าคิดว่า ฝึกเป็นบางที บางโอกาส
ถ้าอย่างนั้นก็ลำบากหน่อย
ถ้าถึงคราวที่จะทำให้มันสงบ ก็ยาก
แล้วมันก็จะได้บางทีบางโอกาส
เมื่อได้ความทุกข์ ได้ความทุกข์ไม่แน่ใจว่ามันจะฟุบก่อนได้
หรือว่าฟลุ๊คก่อนแล้วจึงได้หรือไม่
หรือได้ด้วยความฟลุ๊คหรือเปล่า
ส่วนใหญ่มันจะฟลุ๊คก่อนได้ คือใกล้ตาย แล้วก็มาคิดได้
งั้นการฝึกจิต คนฉลาดที่ฝึกจิต
พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้
จิตตัง กันตัง สุขาวะหัง
ผู้ฝึกจิตดีแล้ว ย่อมนำความสุขมาให้
วัน 2 วันข้างหน้านี้ หลังจากไหว้ครูแล้ว
จะสอนเรื่องสุญญตสมาธิ เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา
งั้นก็ให้ทุกคนเตรียมอุปกรณ์ กระดาษ ปากกา ดินสอเอาไว้
เพื่อทุกคนจะได้เข้าถึงพระพุทธเจ้าองค์แท้ ต้องทำให้ได้
จะได้ ไม่ได้ ก็ขึ้นอยู่กับความพยายาม
วันนี้ เรามาช่วยกันไหว้ครู
ครูมนุษย์
ที่เมื่อตอนบ่ายให้ไปทำ เป็นกิจกรรมการงานเพื่อบูชาครูน่ะ
เค้าเรียก ไหว้ครูมนุษย์
ไหว้แล้วรู้สึกยังไงบ้าง
ได้ลงมือทำแล้ว เป็นยังไงบ้าง
ลักษณะอาการอย่างนี้
เค้าเรียกว่า เป็นพิธีไหว้ครู
ถึงแม้ว่าจะเป็นการไหว้ครูมนุษย์ก็ตามที
แต่มันก็ทำได้ถูกวิธี ตามวิถีของพระผู้มีพระภาคเจ้า
อย่างที่บอกไว้เมื่อกลางวันน่ะ
พระพุทธเจ้าทรงยกย่องการบูชาเอาไว้ 2 อย่าง
อามิสบูชา กับ ปฏิบัติบูชา
อามิสบูชาเนี่ย พระองค์ไม่ค่อยยกย่องยอมรับเท่าไร
ทรงชี้ให้พระอานนท์ได้ดูว่า
อานนท์เอย เรา ตถาคตไม่ได้สรรเสริญอามิสบูชาเลย
ตรงกันข้าม อานนท์ เรา ตถาคตสรรเสริญปฏิบัติบูชา
ปฏิบัติบูชา เป็นการบูชาที่พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญ
ครูก็สรรเสริญ
ถ้าเอาพระธรรมคำสั่งสอน เอาโอวาทของครูบาอาจารย์
เอาถ้อยกระทงความ ความรู้ ความเข้าใจ ที่เราได้จากครูบาอาจารย์
ไปลงมือประพฤติปฏิบัติ
ครูทั้งหลายก็สรรเสริญ นิยมยกย่อง
ถ้าเราทำได้อย่างนั้น ก็ถือว่า เป็นการบูชาครู
วันนี้เราไหว้ครูมนุษย์
พรุ่งนี้ เราจะไหว้ครูเทพ ครูฤษี
นั่นก็เป็นพิธีกรรมอีกอย่างหนึ่ง
งั้น ไหนๆ ปีนี้เป็นปีสุดท้ายของการไหว้ครู
ก็ให้มันเป็นปีสุดท้ายของตำนานในการเรียนรู้วิธีไหว้ครูที่ถูกต้อง
เราจะไหว้ครูให้ถูกต้องที่ควรจะเป็นในพระพุทธศาสนา
และควรจะเป็นของครูบาอาจารย์คนนี้ ที่อบรมสั่งสอนมาคืออะไร
ที่ผ่านมา เราไหว้ครูกันไม่ค่อยถูกต้อง
เราชอบใช้อามิสเป็นเครื่องไหว้
งั้น ก็เปลี่ยนวิธีคิดเสียใหม่
ถ้าจะไหว้ครูคนนี้ ต้องไหว้ด้วยปฏิบัติบูชา
ไหว้ด้วยการประพฤติ ปฏิบัติตามคำสั่งสอน
ครูบาอาจารย์สอนอะไร ทำอย่างไร
เป็นต้นแบบแบบไหน
ก็ทำ
ทำให้ได้ ให้เกิดประโยชน์
นั่นแหละ เค้าเรียกว่า เป็นการเคารพ ศรัทธา บูชาครูที่ถูกต้อง
เดี๋ยวจะให้ไปพัก 20 นาที แล้วก็มาฟังพระไตรปิฎก
เดี๋ยวมหาอานนท์มาอ่านพระไตรปิฎกให้ฟัง
ฟังพระไตรปิฎกแล้ว ก็เสวนาคุยอะไรกัน ก็ตามแต่อัธยาศัย
ใครที่มาใหม่ ที่ยังไม่ได้บวช ขอศีล
ก็ใช้ช่วงเวลาไปพัก จัดการขอศีลซะ
พรุ่งนี้เช้าตื่นตี 5 พร้อมกันในศาลา เจริญพระพุทธมนต์ ปฏิบัติธรรม
8 โมงครึ่ง มาเริ่มพิธีไหว้ครูเทพ
ไปพัก