8 พ ค  2554 14.00 น. ถอดเทป ธรรมะอาทิตย์ที่ 2 โดยองค์หลวงปู่พุทธะอิสระ

• วิชาปราณโอสถ คือ คุณของพระรัตนตรัย เปรียบดังโอสถ ธรรมะของ

พระพุทธเจ้า เป็นอะไรก็ได้ ที่อยากให้เป็น
• การมองอะไร อย่ามองแค่ผิวเผิน อย่ามองแค่ความฝัน จงมองในโลกแห่ง

ความเป็นจริง
• ศรัทธาในพระรัตนตรัย มันไม่ใช่ศรัทธาแค่บางครั้งบางที แต่มันต้อง

ศรัทธาทุกนาที ทุกลมหายใจเข้าออก
เจริญธรรม เจริญสุข ท่านสาธุชนคนดีที่รักทุกท่าน
ก่อนอื่นต้องขอแสดงความขอบคุณขอบใจในน้ำอกน้ำใจ ที่พวกท่านเสียสละเวลาอันมีค่ามา

แสดงความคิดเห็น แสดงความมีส่วนร่วมในความเป็นอยู่ของชุมชนคนวัดอ้อน้อย ต้องถือ

ว่าชุมชนคนวัดอ้อน้อย เพราะว่าพระสงฆ์ที่อยู่ในอาวาสนี้ก็ถือว่าเป็นชุมชน เป็นกลุ่มก้อน

ของบุคคลที่มาอิงอาศัยสถานที่ ก็เป็นธรรมชาติ ธรรมดาที่มันจะต้องแสดงความมีส่วนร่วม

และอยู่ร่วม เป็นสิ่งที่แสดงความขอบคุณ ก็คือ ขอบคุณที่พวกเรามีส่วนร่วมในการนำเสนอ

ความคิด
หลวงปู่ตั้งใจจะให้มันเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว เพราะอยากจะทำวัดนี้ให้มันเป็นวัดมหาชน

โอกาสหน้าจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ ให้ประธานมูลนิธิอโรคยาศาลา พาไปขายในตลาดหลัก

ทรัพย์ ขายหุ้นวัดอ้อน้อย
เพราะงั้นก่อนจะผลักดันเข้าตลาดหลักทรัพย์ ก็ต้องมีซีอีโอ ที่ได้รับการยอมรับ จริงๆ แล้ว

มันควรจะต้องให้ทุกคนมีส่วนร่วม ส่วนหนึ่ง หลวงปู่มองว่า ทุกท่านที่ออกมาแสดงความคิด

เห็น ได้ทำหน้าที่ของศิษย์ที่พึงมีสำนึกในคุณของครูบาอาจารย์ และได้ทำหน้าที่รับใช้ครูบา

อาจารย์ ได้แสดงความกระตือรือร้น ไม่อยากจะใช้คำว่า เดือดร้อน เดือดเนื้อร้อนใจ แต่

ใช้คำว่า กระตือรือร้นที่จะแบ่งเบาภาระของครูบาอาจารย์ ทำภาระกรรมภาระกิจที่ครูบา

อาจารย์มอบหมาย แม้แต่บางเรื่อง เวลาทำออกมาแล้วจะดูเว่อร์ไป ดูหรูอลังการณ์ก็ตามที

หลวงปู่นอนๆ ฟังพวกมึงคุยกันแล้ว ก็ทำให้นึกว่า
ไม่รู้ว่า กูจะตาย แล้วเกิดอีกซักกี่สิบชาติ จึงจะได้เจอสมภารพันธุ์ใหม่อย่างที่พวกมึงตั้ง

เขียนกันขึ้นมา
มึงลองบอกดูซิว่า กูจะรออีกกี่สิบชาติกว่ากูจะได้เจออ้ายสมภารพันธุ์ใหม่ สมภารนะ หลวง

ปู่ใช้คำว่า สมภารไม่ใช่เจ้าอาวาส
เพราะเจ้าอาวาส ก็คือเจ้าของสถานที่ เป็นเจ้า นั่งอยู่เป็นเจ้า แต่คำว่า สมภาร คือผู้รับ

สัมภาระ หรือรับภาระ พูดง่ายๆ เป็นภาษาชาวบ้าน ก็คือ ขี้ข้าพระสงฆ์ แล้วเราจะมีขี้ข้า

พระสงฆ์ ที่มีคุณสมบัติ ตั้ง 11-12 ข้อ ขนาดนี้เนี่ย มึงบอกกูซิว่า กูจะเกิดแล้วตายอีกกี่

ร้อยชาติ เฮอะ มีไม๊  ไม่มีแล้วมึงพูดทำไม
เฮอะ พูดมาลอยๆ เฉยๆ
เฮอะ เฮีย มึงพูดมาทำไม
อย่างนั้นมึงก็บวชมา มึงบวชมา แล้วมาเป็นสมภาร บ้านมึง เมียมึงเดี๋ยวหาผัวใหม่ ลูกก็

เดี๋ยวหาเมีย
เออ นั่งนอนฟังอยู่ ก็เดี๋ยวให้อ้ายเชาวลิตบวชมาแล้วเป็นสมภาร ดู ดูว่ามันจะทำได้ครบ 12

ข้อนี่ไม๊
เออ ไม่ได้ตำหนิหรอก ลูก แต่นึกว่า เออ วิธีมุมมองของชาวบ้านที่มองเข้ามาหาพระ ในมุม

มองสายตาของชาวบ้าน คิดว่า มันต้องสูงส่งวิเศษเลอเลิศ ประเสริฐศรีอย่างที่เราสาธยายมา

12 ข้อนี่อยู่เสมอ รู้ไม๊ว่า คนที่เข้ามาแล้ว เราเรียกว่า พระเนี่ย มันก็คือ ลูกชาวบ้านที่เข้า

มาบวช ลูกชาวบ้านที่เข้ามาแปลงกาย ลูกชาวบ้านที่เข้ามาเปลี่ยนเครื่องทรง แต่ไม่แน่ใจว่า

เปลี่ยนนิสัยหรือเปล่า
เราชอบตั้งอะไร ความหวังเกี่ยวกับสมภารนี่มันสูง หรือเกี่ยวกับพระสงฆ์นี่สูงมาก สูงจน

บางทีบางครั้งเค้าทำไม่ได้ เราก็รู้สึกผิดหวัง แล้วก็ล้มละลายในอารมณ์
จริงๆ แล้ว มันไม่ใช่ พัฒนาการของมนุษย์ พัฒนาการของชีวิตนักบวช พัฒนาการของผู้ที่

ถือบวช มันยังมีขั้นตอนเยอะแยะมากมาย ลูก อย่างที่เคยเล่าให้ฟัง เคยบอก เคยสอนบ่อยๆ

ว่า คนที่บวชเข้ามา เค้ายังไม่เรียกว่าพระ เค้าเรียกว่าอะไร ภิกษุ คือผู้ขอ ผู้เห็นภัยในวัฏฏะ

สงสาร เพราะงั้น คนเห็นภัยในวัฏฏะ คนขอเค้ากิน มันต้องลดความยะโส อวดดี เหย่อหยิ่ง

ทรนง จองหอง คนที่เห็นภัยในวัฏฏะนี่จะไม่มัวเมา ไม่ประมาท ไม่ขาดสติ
จากภิกษุก็พัฒนาขึ้นมาสู่ความเป็นนักบวช แปลว่า ละ วาง ปล่อย เว้น ความชั่ว ทางกาย

วาจา ใจ
จากนักบวชก็พัฒนามาสู่ความเป็นสมณะ อันแปลว่า สงบกาย สงบวาจา สงบใจนี้ จึงจะ

เรียกว่า สมณะ คือ ผู้สงบ
แล้วจากสมณะก็พัฒนาขึ้นไปอีก ไปสู่ความเป็นพระ ซึ่งแปลว่า ประเสริฐ ดีเลิศ แล้วก็งาม

พร้อม
ทีนี้แหละ มันก็จะเกิดสมภารพันธุ์ใหม่ เกิดมนุษย์พันธุ์ใหม่ เกิดบุคคลพันธุ์ใหม่ ที่อ้าย 12

ข้อนี่น้อยไปสำหรับมนุษย์พันธุ์ใหม่
แต่เวลานี้ กูอายุขัยก็ปาเข้าไปขนาดนี้แล้ว บวชมาในพุทธศาสนาก็ไม่ใช่น้อยแล้ว ยังไม่เคย

เห็นมนุษย์พันธุ์ใหม่ ยังไม่เคยมี มีแต่พวกมึงฝันเอา ฝันเอา ฝันเอาแล้วถามว่า จะเจอไม๊
เจอไม๊ ไม่เจอ แล้วมึงฝันทำไม ฝันทำไม ฝันเฟื่องทำไม ลูก
กูอีกล่ะ  มึงจะเอาอะไรกับกู แค่นี้กูก็แย่อยู่แล้ว ตับหย่อน ตับทรุดอยู่ทุกวัน ยิ่งหน้าร้อนๆ นี่

ยิ่งตับหย่อน หน้าร้อนส่วนใหญ่ ตับมันจะหย่อน พอตับหย่อน มันก็จะทรุด เค้าเรียกว่า ตับ

ทรุด พอตับทรุด คนเป็นโรคตับก็จะทรมานล่ะ
งั้นก็เลยอยากบอกว่า อ้ายสมภารพันธุ์ใหม่ที่เรารังสรร ปลุกเสก ปั้นแต่งกันขึ้นมาเนี่ยนะ

ไม่รู้ว่าชาติไหนกูจะได้เห็น แล้วถ้าได้มีจริงๆ นะ โอ้โฮ้ คงจะเป็นสวรรค์ของกูล่ะ
ใคร มึงเหรอ
มึงอย่ามาตอแหลแถไถ
แก่แล้วก็กะล่อนไปเรื่อยล่ะ
เออ ตั้งแต่เข้าพรรค โนโหวต เออโหวตโน ระวังหัวจะโน
เพราะงั้นก็เลยอยากถามว่า อ้ายความคิดหวังที่เรามีต่อนักบวชในศาสนานี้ บางทีมันก็เว่อร์

เกินความเป็นจริง ลืมพัฒนาการของมนุษย์ไป ไม่ใช่ว่าผ้าเหลืองห่ม มาลัยคล้องกับอะไร

แล้วมันจะศักดิ์สิทธิ์ ไม่ใช่ มันต้องมีกระบวนการ มีวิธีการ มีมาตรการ มีหลักการ
คำว่า ศักดิ์สิทธิ์ แปลว่า สำเร็จประโยชน์ คนห่มเหลืองแล้วไม่ได้สำเร็จประโยชน์ทั้งหมด

หรอก ลูก ถ้ามันสำเร็จประโยชน์ทั้งหมด กูคงไม่เหนื่อยขนาดนี้หรอก ไม่ได้เหนื่อยขนาดนี้
ถ้ามันสำเร็จประโยชน์ทั้งหมด มันก็ไม่มียันตระ 1 นิกร 2 พุทโธ 3 อะไรสารพัน

สารพัด เยอะแยะมากมาย
เพราะงั้นมันไม่ได้สำเร็จประโยชน์ทั้งหมดด้วยสี ด้วยการโกนหัว แต่มันสำเร็จประโยชน์

ได้ด้วยการลงไม้ลงมือกระทำ ฝึกปรือ ศึกษา สั่งสมอบรม เรียนรู้
แต่ก็ขอบใจ ขอบใจที่พวกเราพยายามจะสรรหาความฝันงามๆ ออกมาแชร์ กัน
แต่มันยังฝันอยู่ ไม่ใช่เป็นของจริง ยังไม่ใช่ของจริงของวิถีทางของศิษย์พุทธะที่คิดได้
การที่หลวงปู่ให้ลูกหลานทุกคนได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นที่จะเลือกบุคคลที่จะ

เป็นสมภารหรือ คุณสมบัติของสมภาร มีเป้าประสงค์อยู่ 2 อย่าง
1 ให้เรามามีส่วนร่วมในความอยู่ได้ อยู่ดี มีสุข อยู่รอด และก็ปลอดภัยของสาธารณะ

ธรรมนี้  แล้วมีส่วนร่วมในองค์กรที่เราเข้ามาพึ่งพิงอิงอาศัย
2  ได้แสดงศักยภาพ สมรรถนะ สติ ปัญญา ของผู้ที่ได้แสดงออกมาว่า มันอยู่ในขั้น

ไหนๆ แสดงว่าเรายังอยู่ในขั้นเพ้อฝันอยู่  ไม่ได้อยู่ในขั้นแห่งความเป็นจริงของศิษย์พุทธะ

ถ้าศิษย์พุทธะ ทำ พูด คิด อะไร ต้องมีหลักการ มีมาตรฐาน มีกระบวนการ มีที่มาที่ไป ไม่

ได้ยืนอยู่บนความหลอกล่อ เหลวไหล ลื่นถลาแล้วก็เพ้อฝัน แต่มันยืนอยู่บนความเป็นจริง
ถ้าเรามีความเป็นจริงอยู่ในวิถีคิด เข้าใจ รู้จัก ตามความเป็นจริง เราก็จะรู้ว่า สถานภาพของ

คนและชุมชนนี้ มันอยู่ในระดับไหน ขั้นไหน ที่เราจะนำเสนอให้มันเหมาะสมกับสถานภาพ

เรียกว่า ถ้าหากจะวางยา ก็ให้ตรงต่อโรค ไม่ใช่ปวดหัว ก็ทายาหม่อง เป็นแผลก็ทายาหม่อง

ปวดท้องก็ทายาหม่อง ขี้ไม่ออก ก็ทายาหม่อง เป็นลมก็ดมยาหม่อง สุดท้ายยาหม่องทำทุก

โรค รักษาทุกเรื่อง อย่างนี้ไม่ถูก
เพราะงั้น ต้องยืนอยู่บนหลักการ และพื้นฐานของความเป็นจริง
ถามว่า ผ่านไม๊ จริงๆ แล้วกูตั้งใจว่า ถ้ามึงแสดงความคิดเห็นผ่าน กูแจกพระนะ แล้วเผอิญ

มันไม่ผ่าน เก็บพระเข้าที่เหมือนเดิม
กูนอนฟังอยู่เนี่ย ไม่มีใครผ่านเลย กูตั้งใจนะ แล้วนัดแล้วใช่ไม๊ ใช่หรือเปล่า นัดว่าให้พวก

สอบกรรมฐานให้มาให้หมด แล้วผลปรากฏว่า สอบไม่ผ่าน เพราะเพ้อฝันไง หลงละเมอ

เพ้อพก
การคิดอย่างนี้นะ แสดงได้ แต่ต้องอีก 10 ชาติหน้า ไม่ใช่ปัจจุบันชาตินี้ หรือไม่ก็เดี๋ยว

มาม๊า ปาป๊า ให้ทำพิมพ์อีกซัก 20-30 พิมพ์ ผลิตออกมา
พูดอย่างนี้ไม่ได้มายกตัวเองสูงส่ง แต่จะบอกว่าที่พูดมาทั้งหมดน่ะ อ้ายกติกา หลักการ

กฏเกณฑ์ที่นำเสนอมา คุณลักษณะของสมภารของอาวาสนี้เนี่ย มันไม่มีจริง บุคคลพันธุ์นี้

ยังไม่มีชีวิตอยู่ มันยังไม่เกิด แล้วไม่รู้อยู่ขุมไหนด้วยซ้ำ แล้วพูดทำไม เสียเวลาไปตั้งครึ่งวัน

2 ชั่วโมง 3 ชั่วโมง หา
ตัดยังไง ก็ไม่มีซักข้อ ก็กูพยายามดูแล้วเนี่ย ลองเอามาอ่านให้ฟังซิ อ้าย 12 ข้อ อ่านซิๆ
อ่านอีกรอบ ทบทวนความจำ
คุณเชาวลิต  ทั้งหมดนี้นะครับ หลวงปู่ครับ เป็นการระดมสมอง เพราะงั้น การที่จะเอามา ก็

ต้องมีการกลั่นกรองแล้วก็มารวม
หลวงปู่  จะระดมอย่างไร ก็ให้ยืนอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง
คุณเชาวลิต  เดี๋ยวจะอ่านให้หลวงปู่ฟังนะครับ นี่เป็นความคิดเห็นของญาติธรรมเรานะครับ

ไม่ใช่ของผมนะครับ
หลวงปู่   ไปน้ำใสๆ เลย
1 มีเมตตาและเป็นที่พึ่งของคนในวัด
2 มีความอ่อนน้อมถ่อมตน กตัญญู ขันติ
3 มีความรับผิดชอบสูง และไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค
4 มีเหตุผล และมีความซื่อสัตย์สุจริต
5 มีความเป็นผู้นำ ใจคอหนักแน่น และบริหารจัดการงานได้เป็นอย่างดี
6 ไม่เห็นแก่ตัว
7 มีจิตอาสาและเป็นนักพัฒนา
8 มีความสามารถในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
9 มีมนุษยสัมพันธ์ดี
10 มีศรัทธาในพระรัตนตรัย
11 เป็นผู้สำรวมต่อ รูป รส กลิ่น เสียง
12 เป็นผู้มีความเพียร
13  มีไตรสิกขา
14  มีหิริ โอตตัปปะ
15  มีสัมมาวาจา ใช้คำพูดเป็นประโยชน์
16 เป็นพหูสูตร
17 มีสัมมาทิฐิ
อ้ายมนุษย์พันธ์นี้ มันมีอยู่ในวัดนี้ไม๊
คุณเชาวลิต  มีอยู่องค์หนึ่งครับ
หลวงปู่  พวกมึงกำลังเอาห่วงมาผูกคอกู  กูจะไม่ยอมผูกห่วงใครๆ ใดๆทั้งสิ้น เพราะงั้น อย่า

เอาห่วงมาโยนให้
คุณเชาวลิต   เมื่อกี้ ผมได้วิจารณ์แล้วนะครับว่า ที่จะมอบให้หลวงปู่ ผมได้พูดแล้ว ผม

บอกว่า ขนาดเป็นเจ้าคณะตำบล ท่านก็ลาไปแล้ว จะเอาอะไรไปให้ท่านอีกเหรอครับ ท่าน

มีภาระในการสร้างอีกเยอะแยะ
หลวงปู่  แม้ไม่มีภาระในการที่จะซ่อมสร้างอะไร กูก็จะไม่ยอมรับภาระกรรมใดๆ ของ

ตำแหน่งแห่งที่หรือ ยศถาบรรดาศักดิ์ใดๆ
เพราะฉะนั้น อย่ามาหวังจะให้ไปเป็นผู้ไปครองตำแหน่งไหนๆ อย่างนี้ต้องใช้คำว่า บังอาจ

สมควรจับไปกุดหัว เออ เพราะไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง
เพราะงั้น อยากจะบอกว่า อ้ายที่พูดมาทั้งหมดนะ มนุษย์พันธ์นี้ ไม่มี มันต้องรอไปอีก 10

ชาติ
ไม่รู้ว่า 10 ชาติแล้วกูจะได้ไม๊ เออ อ้ายมนุษย์พันธุ์อย่างนี้
เพราะงั้น ต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง เวลาจะแสดงความคิดเห็นอะไร ก็จะคิดเห็น

ในความเป็นจริง อย่าคิดเพ้อฝัน อย่าเอาความฝันมาใส่ในความคิด ไม่งั้น เราก็จะแยกไม่ได้

ว่า อะไรคือฝัน อะไรคือคิด เพราะฝันกับคิด มันคนละเรื่องไม๊
คิดนี่มันจะนำมาซึ่งการกระทำ
แต่ฝันนี่ไม่ใช่นะ เพราะมันทำไม่ได้
เพราะความฝันนั้น มันมาจากเหตุปัจจัย 4 อย่าง คือ
เทพบันดาล
จิตอาวรณ์
ลางสังหรณ์
ธาตุพิการ ลมกำเริบ
มันมาจากเหตุปัจจัยเหล่านี้ ซึ่งมันไม่มีอะไรที่จะทำให้เกิดผล สัมฤทธิ์ผลได้เลย มันไม่ใช่

เรื่องง่าย
คุณสุนันทา   กราบนมัสการค่ะ ท่าน
หลวงปู่  แล้วอีกอย่าง กูก็ไม่ใช่ลูกศิษย์ยายชีอะไรแก้กรรมด้วย เออ ไม่ใช่พวกเดียวกับยาย

ชีแก้กรรม ยายชีแก้กรรมให้ชาวบ้านไปทั่ว กรรมตัวเองยายชียังแก้ไม่ได้เลย ไม่รู้จะแก้

ตกหรือเปล่า แล้วไงต่อ
คุณสุนันทา   ท่านก็ต้องมีรองเจ้าอาวาสซัก 4 รูป
หลวงปู่    เอาผัวมาบวชสิ
คุณสุนันทา    ตายแล้วค่ะ
หลวงปู่   ผัวตายแล้ว อ้าว ลูก มี 4 คน ไม่ใช่เหรอ
คุณสุนันทา   ก็แบ่งหน้าที่กันสิคะท่าน แล้วความฝันที่พวกเราตั้งไว้ ก็จะเป็นอย่างนั้นล่ะค่ะ
หลวงปู่  โธ่ ยังเชื่อในความฝันอีก หากินทางฝัน เอ้า ก็ลองดู ถ้าพยายามก็ แต่กูเชื่อในสิ่งที่กู

เห็น
หลวงปู่เชื่อในสิ่งที่หลวงปู่เห็น ทำในสิ่งที่เชื่อ
คุณสุนันทา   แต่ดิชั้นดูแล้วนะคะ แต่ละข้อ ท่านก็มีอยู่แล้ว หิริ โอตตัปปะ ตั้งแต่ข้อ 9 ลง

มา มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี แต่ข้อนี้ก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่
หลวงปู่   เอ ยังไงวะ
คุณสุนันทา  แล้วข้อที่ 10 มีศรัทธาในพระรัตนตรัย นี่ก็ ถ้าไม่มีศรัทธา ก็ไม่ได้มาบวช

นะคะ อันนี้ พระก็มีอยู่แล้ว เป็นผู้สำรวมต่อ รูป รส กลิ่น เสียง ข้อนี้ก็มีครบอยู่แล้ว ทำไม

ถึงจะปฏิเสธว่า รอชาติหน้าอีก 10 ชาติ ล่ะคะเนี่ย เป็นผู้มีความเพียร ท่านก็สอนอยู่ทุก

วันพระวันโกน สอนอยู่แล้ว เป็นผู้มีไตรสิกขา ก็มีกันครบ มีหิริ โอตตัปปะ มีสัมมาวาจา
หลวงปู่   ปิดไมท์ของยายชีทศพรซิ
คุณสุนันทา  มีสัมมาทิฐินี่คะ ท่านมีหมดแล้ว แล้วจะไปปฏิเสธตรงไหน ทุกข้อมีหมดแล้ว

นะคะ
หลวงปู่   นี่ยกตัวอย่างให้ฟังว่า มีศรัทธาในพระรัตนตรัย
คุณสุนันทา   ทราบค่ะ
หลวงปู่   คำว่า ศรัทธาในพระรัตนตรัย นี่ไม่ใช่ศรัทธาแบบผลุบๆ โผล่ๆ เพราะคุณสมบัติ

ความหมายแห่งคำว่า  ศรัทธาในพระรัตนตรัยเนี่ย มันยกสถานะภาพของจิตจนถึงเป็นพระ

อริยบุคคลเบื้องต้นคือ เป็นพระโสดาบัน แล้วศรัทธายังไงที่เรียกว่า ศรัทธาในพระรัตนตรัย
คุณสุนันทา   ถ้าไม่ศรัทธาแล้วจะมาบวชได้ไง
หลวงปู่   ปิดไมท์ยายชีทศพรซิ ใครปิดไมท์
คุณสุนันทา   สุนันทาค่ะ
หลวงปู่  เออ สุนันทา อ๋อ ไม่ใช่ทศพรเหรอ
คำว่า ศรัทธาในพระรัตนตรัย มันไม่ใช่ศรัทธาแค่บางครั้งบางที แต่มันต้องศรัทธาทุกนาที

ทุกลมหายใจเข้าออก
รวมๆ โดยสรุป ก็คือ ยังฝันอยู่ ยังไม่ใช่ความเป็นจริง เอาความเป็นจริง ความเป็นจริงของ

คนที่ห่มผ้าเหลือง แล้วเข้ามาอยู่ในพระพุทธศาสนา แล้วมีพัฒนาการระดับไหน หันมามอง

โลกแห่งความเป็นจริง อย่ามองโลกแห่งความเพ้อฝันและการคาดเดา
อ้ายโลกแห่งความเพ้อฝันและการคาดเดา มันอยู่ในตำรา ลูก ไม่ใช่ของจริง
อ้ายที่พูดๆ มาทั้งหมดเนี่ย เป็นคุณลักษณะของมหาบุรุษ
เป็นคุณลักษณะของบุคคลผู้พ้นจากอัตภาพแห่งความร้อยรัดทั้งปวง
เป็นคุณลักษณะของบุคคลที่น่าจะมีวิถีทำ วิถีพูด วิถีคิดที่เป็นวิถีแห่งโลกกุตตระภูมิ โลกกุ

ตตระธรรม หรือมีจิตวิญญาณที่อยู่ในขั้นตอนที่จะพัฒนาจนไม่มีอะไรเหลือพัฒนาแล้ว
แต่ที่เรากำลังพูดคำว่า สมภาร หรือ สัมภาระเนี่ย มันยังไม่อยู่ในขั้นตอนนี้ มันยังจะต้องหัว

ทิ่มหัวตำ หัวมงกุฏ ท้ายมังกร แต่เป็นเรื่องที่ต้องเสียสละ แบ่งปัน เป็นเรื่องที่ต้องพยายาม

จะฝึกปรือตัวเอง เป็นเรื่องที่จะทำประโยชน์ให้มาก ประโยชน์ให้มากกว่าประโยชน์ตน

หรือประโยชน์ให้เท่าเทียมกัน
เป็นเรื่องของการที่จะพยายามใช้ความเพียรเยอะขึ้น ในการที่จะประกอบกิจกรรมที่เป็น

ประโยชน์สาธารณะให้มากขึ้น
สถานภาพอย่างนี้ เป็นสถานภาพที่มีอยู่จริง เป็นอยู่จริง เกิดขึ้นจริงในชีวิตจริงของบุคคล ที่

เป็นปุถุชนและเป็นปัจจุบันธรรม
พระในวัดนี้ ยังไม่มีใครเป็นพระอริยะเจ้า ยังไม่มีใครเป็นมหาบุรุษ
อย่าเอาตำรามหาบุรุษมาทียบกับปุถุชน ไม่งั้นมันจะทำให้เรามองข้ามโลกแห่งความเป็นจริง

ถึงเวลามันเพลี้ยงพล้ำ เราก็สิ้นหวัง สิ้นไร้ไม้ตอก หรือไม่ก็สิ้นศรัทธา
เอาโลกของความเป็นจริงของชีวิต
เอาโลกของความเป็นจริงของสิ่งรอบกาย
เอาโลกของความเป็นจริงของมนุษย์คนหนึ่งที่เข้ามาห่มผ้าเหลือง โกนหัว  5 ปี 10 ปี

20 ปี 30 ปี ที่มีพัฒนาการที่เราพอจะสัมพันธ์สัมผัสได้ มากน้อยแค่ไหนอย่างไร
นั่นแหละคือ เอามาเป็นบรรทัดฐาน แล้วสแกนเข้าไป ไม่ต้องถึงกับใช้คำว่า สแกนกรรม

ไม่ต้องถึงขั้นนั้น
เอาเป็นว่า พยายามที่จะมองหาเหตุหาผล สอบสวน สืบสาว หาเรื่อง หาเหตุ หาเหตุปัจจัยให้

ชัดเจนว่า คนผู้นี้มีนิสัยแบบนี้ มีพฤติกรรม มีกิริยาวาจา ความรู้ ความสามารถเช่นนี้

แล้วสามารถพัฒนาไปสู่ความเป็นผู้นำ พึ่งตัวเองและทำให้เป็นที่พึ่งของคนอื่นได้มากน้อย

แค่ไหน อย่างไร
แต่ละคนมีข้อจำกัด เฉพาะของตนๆ อยู่แล้ว มันไม่ได้กว้างเกินกว่าที่เราจะวิเคราะห์ ศึกษา

เรียนรู้ เวลาที่เค้าขึ้นมาพูด มาคุย
ก่อนที่จะวิจารณ์อะไร ถ้าเป็นกูนะ ขอให้หลวงพี่ทั้งหลายขึ้นมานั่ง แล้วก็ตั้งปัญหาคำถามว่า

สมมุติว่า มันมีปัญหาอย่างนี้
หลวงพี่ ก มีความเห็นอย่างไร
หลวงพี่ ข มีความเห็นอย่างไร
หลวงพี่ ค จะแก้ปัญหานี้ได้ไม๊ อย่างไร
แล้วจึงจะกล้าวิจารณ์ตามความเป็นจริง
มึงรู้ไม๊ว่า วิจารณ์แบบนี้ นรกกินกะบาลนะ เพราะมันไม่อยู่บนพื้นฐานแห่งความเป็นจริง

กูถึงไม่แจกพระมึงวันนี้ไง ไม่มีที่มาที่ไป จะใช้คำว่า ศิษย์กูได้ยังไง ไม่ชัดเจน
ถ้าอยากจะรู้ ก็ไม่ยาก รู้เขารู้เรา ก็จัดพระทั้งหมดมานั่ง แล้วเราตั้งปัญหาถาม ดูว่า นี่ มี

ปัญหาอย่างนี้ ท่านแก้ยังไง โอ้ย ไปลงคะแนน อ้ายโนโหวต โหวตโน นี่ ตัวแสบเลยล่ะ
 ปิดไมท์ ไม่ต้องอธิบาย กะล่อน
เพราะงั้น รวมๆ สรุป ก็คือว่า ยังวิเคราะห์ไม่ได้บนพื้นฐานแห่งความเป็นจริงในปัจจุบัน ยัง

ใช้ไม่ได้
ให้โอกาสอีกครั้ง อาทิตย์หน้า เอาใหม่ อ้าว อาทิตย์หน้าไหว้ครูเหรอ
สมควรจะไหว้ครู ดีไม๊เนี่ย มีศิษย์โง่ๆ อย่างนี้
เรื่องง่ายๆ แค่นี้ ยังขาดหลักการ เหตุผล และปัจจัยของผู้นำ ขาดสภาวะการใช้ปัญญา
ใช้แต่สัญญา และความคุ้นเคย ความทรงจำ  คาดเดา เผื่อว่า อาจจะ ใช่มั๊ง และตั้งความฝัน

เอาไว้ในใจ โดยไม่ยืนอยู่บนพื้นฐานแห่งความเป็นจริง ไม่มองโลก หรือวิถีโลกแห่งความ

เป็นจริงในปัจจุบันว่า มนุษย์เหล่านี้เป็นยังไง วิธีคิดแบบไหน คำพูดของเค้าเป็นอย่างไร

แล้วเราจะได้เอามาวิเคราะห์ เป็นหลักการ และเหตุผลในการที่จะสร้างบรรทัดฐานและ

มาตรการในการปฏิบัติสืบไป
ผู้ที่มีหลักสัมมาทิฐิ มีเหตุ มีผล  ธรรมใดเกิดแต่เหตุ พระศาสดาทรงแสดงเหตุ และความดับ

เหตุแห่งธรรมนั้น
มึงรู้ได้ยังไงว่า บรรทัดฐานที่มึงตั้งขึ้น คนพวกนี้ทำได้ แล้วจะรู้ได้ยังไงว่า เค้าทำไม่ได้ ถ้า

มึงไม่ถาม ไม่สอบ ไม่ทวน
อย่างนี้จะมาเป็นลูกศิษย์กูได้ไง ยังอีกไกล ยังใช้ไม่ได้ ไม่แจกพระ กูว่า จะให้วุฒิบัตร ก็ไม่

ให้ รอไปก่อน 10 ชาติ
การมองอะไรน่ะ ลูก อย่ามองแค่ผิวเผิน อย่ามองแค่ความฝัน จงมองในโลกแห่งความเป็น

จริง  ใส่เสื้อไว้ทำไม กูอยากจะรู้ มึงใส่แล้ว มึงอ่านบ้างหรือเปล่า ใส่แล้วเอาไว้ซักเฉยๆ

หรือไง ทีหลังมันอ่านแล้วไม่รู้เรื่อง ก็ซักแล้วเอาน้ำที่ซักมากรอกปาก เผื่อมันจะซึมเข้าไป

ในกระแสเลือดบ้าง จะได้รู้ว่า จะต้องคิดอย่างไรอย่างมีที่มาที่ไป ต้องเข้าใจหลักการและ

เหตุผล
กูก็เห็นบางคนบางที ก็ยกประเด็นขึ้นมา ก็ถือโอกาสวิจารณ์พระ รู้ได้ยังไงว่า เค้าเป็นอย่างที่

เราวิจารณ์ แค่มาเช้ามาเย็น เช้ากลับ เย็นมา ก็บอกว่า นี่คือ ใช่ ถูกต้องแค่พอเหมาะพอสม
เพราะงั้น ต้องถาม พระพุทธเจ้าทรงสอนด้วยหลักกาลามสูตร
อย่าเชื่อในสิ่งที่เห็น
อย่าเชื่อในสิ่งที่ฟัง แม้ที่สุด อย่าเชื่อในสิ่งที่ลูบคลำจับต้องได้
อย่าเชื่อในสิ่งที่ครูบาอาจารย์สั่งสอนอบรม
แม้ตำราและคัมภีร์ และนี่ครูของเรา หรือ แม้เชื่อกันต่อๆ มายาวนาน
แต่จงเชื่อเมื่อเราสามารถทดสอบพิสูจน์ได้
และจะเชื่อได้ยังไงว่า แต่ละคนสามารถมันทำได้ตามหลักการ 17 ข้อ ของเรา จะบอกว่า

ให้มาวิจารณ์ วิเคราะห์กันเอง
เราเชื่อคนอื่นพูดเหรอ ทำไมเราไม่เชื่อในสิ่งที่เราทดสอบด้วยตัวเราเองล่ะ
อยากจะรู้ ก็นิมนต์ท่านมานั่งสิ ตั้งปัญหาขึ้น ที่ถามๆ มาเนี่ย พัฒนาได้ไม๊ แก้ปัญหาได้ไม๊

มีมนุษยสัมพันธ์ไม๊ มีความละอายชั่ว หิริ โอตตัปปะ ความเกรงกลัวบาปไม๊ มีขันติ ความ

อดทน มีความเสงี่ยม อ่อนน้อมถ่อมตนไม๊ ถามได้นี่ สอบถามได้ ทบทวนได้ มีปัญหา ก็ตั้ง

ขึ้นให้แก้
ถ้าแก้ได้ ก็ถือว่าผ่าน แก้ไม่ได้ ก็คือจบ
แล้วก็เปิดเผย ไม่ต้องกลัวว่า ใครจะไปหมกเม็ด หรือจะไปแอบลงคะแนนช่วยเหลือกันและ

กัน
เพราะงั้น ยังเพ้อฝันไม่เลิก ลูกหลานกูยังเพ้อฝันไม่เลิก ต้องเลิกเพ้อฝันเสียที และยืนอยู่บน

พื้นฐานของความเป็นจริง
เหมือนๆ กับที่เมื่อคืนนี้ หลวงปู่อบรมพระหลังจากสวดมนต์ กูไม่ลงโบสถ์หรอก อ้าย

อาจารย์จำเริญเค้ามาบอกให้ลงโบสถ์เถอะ กูไม่ลงโบสถ์ กูลงต้นโพธิ์ สวดมนต์เสร็จ กูก็

อบรมพระ แล้วกูก็บอกพระว่า  ผมได้ค้นพบถึงหลักมหาปณิธานอิทธิบาท 4 ของพระ

พุทธเจ้าแล้ว
มีกลเม็ดกุศโลบาย และอุบายวิธีที่ซ่อนอยู่ในเงื่อนงำของมหาปณิธานอิทธิบาท 4 
เรื่องของเรื่องก็คือ มีอยู่พักนี้ตับมันเจ็บบ่อยๆ แล้วนอนไม่ได้ ท้องมันโต ตับมันช้ำ ก็ลุกขึ้น

มานั่ง แล้วก็ทบทวนมหาปณิธานอิทธิบาท 4 ทำให้รู้ถึงกลเม็ดเด็ดพรายของมหาปณิธาน

อิทธิบาท 4 ว่า
เมื่อใดที่จิตนี้ดำรงสติ ดำรงสมาธิ และมีปัญญาเป็นเลิศ และทุกขณะจิตมีปัญญาล้วนๆ
เหมือนกับแสงนีออนที่ไม่มีความมืดเข้าไปแทรกเลย มีแต่ความสว่างล้วนๆ เนี่ย ชาติก็ไม่

เข้าแทรก ชราก็ไม่เข้าแทรก มรณะก็ไม่เข้าแทรก พยาธิก็ไม่กำเริบ เพราะมีแต่ความสว่าง

คือ ความมืดไม่สามารถเข้าแทรกระหว่างกึ่งกลางของนีออนที่กระพริบได้ฉันใด จิตของผู้ที่

เจริญ สติ สมาธิ และปัญญาทุกขณะ ทุกดวง ทุกกระบวนการเกิด ดับ มันก็ไม่ทำให้เกิด ชาติ

ชรา มรณะและพยาธิใดๆ เข้าชำแรกแทรกได้
เมื่อจิตเข้าสู่วิถีแห่งสติ สมาธิ ปัญญาอย่างสมบูรณ์ มันก็สามารถจะคอนโทล ควบคุม

ธรรมชาติทั้งภายในแล้วก็ภายนอกได้อย่างสมบูรณ์
แต่กว่าจะเป็นอย่างนี้ได้ ก็สาวเหตุให้พระเค้ารู้เมื่อคืนนี้ว่า การที่จะเจริญปัญญาได้นั้น ต้อง

มีสติตั้งมั่น ถ้าสติไม่ตั้งมั่น ปัญญาก็ไม่รุ่งเรือง เจริญ
แล้วการเจริญปัญญาก็ต้องรู้จักวิตกในกุศล คือ มีกุศลวิตก ตรึกอยู่แต่เรื่องของบุญ คุณงาม

ความดีและกุศล การจะตรึกเรื่องของบุญ คุณงามความดี ก็ต้องมีสติ
ในการจะมีสติได้อย่างตั้งมั่น มั่นคง ก็ต้องมีสมาธิเป็นตัวสนับสนุน
การจะมีสมธิสนับสนุนได้นั้น ต้องใช้ความเพียร ความเพียรเป็นอย่างยิ่ง เพียรต่อเนื่อง

เพียรเรื่อยๆ
เพียรอย่างเดียวก็คงอยู่ไม่ได้ ก็ต้องมีศรัทธา เดี๋ยวไปเจอตอเข้าก็เลิกเพียร
เพราะงั้น ต้องมีศรัทธาสม่ำเสมอ ศรัทธาสนับสนุน ความเพียรก็จะมีอายุขัยยาวนาน เราก็

สามารถจะดำรงสติ สมาธิ ปัญญา ได้อย่างต่อเนื่องยาวนาน
แล้วเพียร สติ สมาธิ ปัญญา เป็นคุณธรรมว่าด้วยเรื่องอะรไ พละ 5 อย่าง อินทรีย์ 5 
แล้วก็บอกกับเค้าว่า การที่ผมสอนพวกท่านทำกิจกรรมการงานหลากหลายสารพัดสารพัน

เนี่ย ก็เป็นกรบวนการสร้างความเพียร แล้วยิ่งถ้าทำงานด้วยความปรารถนา และมุ่งหวังว่า

จะฝึกปรือดัดกายจิตวิญญาณของตน ก็ยิ่งเป็นการงานที่สำเร็จประโยชน์และศักดิ์สิทธิ์

เพราะมันจะทำให้เกิดสติ สมาธิ และปัญญา อย่างสมบูรณ์
ไม่ใช่การงานที่มอมเมาและมัวเมาไปด้วยความรัก โลภ โกรธ หลง แต่เป็นการงานที่พัฒนา

ขับเคลื่อน และพัดผันไปด้วยสติ สมาธิ ปัญญา ประโยลชน์ตนและประโยชน์ท่านให้ถึง

พร้อม มันก็ยิ่งสั่งสมอบรมความเพียรให้เพิ่มพูนมากขึ้น
คนเราถ้ามีความเพียรมากขึ้น มีศรัทธาตั้งมั่น สมาธิก็ปรากฏง่าย สติก็ดำรงอยู่ ไม่เลอะเลือน

ปัญญาก็รุ่งเรือง เจริญ
มันก็จะตรงกับความหมายของคำว่า ฉันทะ วิริยะ จิตตะ และวิมังสา คือ อิทธิบาท 4
เมื่อเจริญธรรมแห่ง สติ สมาธิ ปัญญา ในคุณแห่งอิทธิบาท 4  มีความรัก
ฉันทะ แปลว่า จิตใจจดจ่อ รักใคร่ 
วิริยะ ความเพียรพยายาม
จิตตะ เอาจิตใจจดจ่อ
วิมังสา ใช้ปัญญาใคร่ครวญ พินิจพิจารณา
กรรมทั้งหลาย การทั้งปวงที่เรากระทำ พูด คิด มันก็เป็นกรรมและการกระทำที่เป็นกุศลวิตก

ตรึก และวิเคราะห์แต่กุศล
ทีนี้มันก็ต้องย้อนกลับมาถามตัวเราว่า ปีนึง วันนึง เดือนนึง นาทีนึง ชั่วโมงนึง เราตรึกและ

วิเคราะห์ในเรื่องกุศลกี่นาที กี่ครั้ง แล้วที่เหลือนอกนั้นเป็นอกุศลกี่เดือน กี่ปี กี่ครั้ง
เอาเป็นว่า ชั่วโมงนึง เราเคยคิดถึงเรื่องบุญกี่ครั้ง แล้วคิดถึงเรื่องบาปกี่ครั้ง ถ้าใน 1 ชั่วโมง

เราคิดแต่เรื่องบุญซักแค่แว๊บเดียว ช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น ที่เหลือนอกนั้น ราคะพาไป

โทสะพาไป โมหะพาไป โลภะพาไป อย่างนี้จะเรียกว่า เป็นผู้เข้าใกล้พระรัตนตรัยได้ไม๊ ได้

ไม๊ ไม่ได้
เพราะงั้น คนที่จะเข้าใกล้พระรัตนตรัยได้ ต้องไม่มีราคะพาไป โทสะพาไป โมหะพาไป

อวิชชาพาไป มีแต่วิชา มีแต่สติ สมาธิ ปัญญา มีแต่ตรึกแต่เรื่องบุญ คุณงามความดีทั้ง 1

ชั่วโมง อย่างนี้ต่างหากเล่า จึงจะเรียกยี่ห้อตัวเองได้ชื่อว่า เป็นผู้ถึงพระรัตนตรัย เข้าใกล้

รัตนตรัย
และอ้ายที่ตั้งความฝันและเลื่อนลอยขึ้นมาเนี่ย เข้าใกล้พระรัตนตรัยเนี่ย ถามกลับไปว่า 1

ชั่วโมงน่ะ มึงอยู่กับพระรัตนตรัยกี่ลมหายใจ อยู่กับบุญ บุญน่ะ คือ พระรัตนตรัย บุญกับ

พระรัตนตรัย เป็นอันเดียวกันไม๊ เป็นอันเดียวกันหรือเปล่า บุญนี่เป็นความดีไม๊ และพระ

รัตนตรัยเป็นความดีไม๊ แล้ว 1 ชั่วโมงเนี่ย คิดวิเคราะห์แต่เรื่องดีๆ กี่นาที ที่ไม่มีราคะ ที่

ไม่มีโทสะ ที่ไม่มีโลภะ ที่ไม่มีโมหะ น่ะกี่นาที กี่นาที
ถุย อีห่า มึงน่ะเหรอ ถึง 5 นาที 5 นาทีเชียวเหรอ ถึงเหรอ
เพราะงั้น อ้ายที่พูดมาทั้งหมด หลวงปู่จึงบอกว่า มันฝันไง เป็นความเพ้อฝัน
เราพูดเพราะว่า เราไม่รู้ว่า มันเป็นอย่างไร เราจึงพูด หรือพูดเพราะว่า ไม่เข้าใจว่า มันควร

แล้วจึงพูด หรือพูดเพราะไม่มีอยู่ในพื้นฐานแห่งความเป็นจริงในชีวิต เราจึงพูด
พูดเพราะไม่มีปัญญารู้ชัดตามความเป็นจริง
พูดน่ะเป็นเรื่องดี ลูก ทุกคนน่ะแสดงความคิดเห็นเป็นเรื่องดี แต่อยากให้แสดงความคิดเห็น

อยู่บนพื้นฐานแห่งความเป็นจริง อย่าเพ้อฝัน
รู้ไม๊ว่า แค่ธรรมประโยคเดียวว่า เป็นผู้ถึงซึ่งพระรัตนตรัย ก็ไม่มีสิทธิ์คิดชั่ว พูดชั่ว เพราะ

รัตนตรัยเป็นอารมณ์ เป็นลมหายใจ และคนที่เข้าถึงพระรัตนตรัย ก็คือ พระอริยเจ้า พระ

โสดา สกิทาคา อนาคา และอรหันต์ ทุกอย่างเป็นกุศลวิตกหมด ไม่ใช่อกุศลวิตก
ทุกอย่างไม่มีราคะขับเคลื่อน
ทุกอย่างไม่มีโทสะขับเคลื่อน
ทุกอย่างไม่มีโลภะขับเคลื่อน
ทุกอย่างไม่มีโมหะขับเคลื่อน
มีแต่วิชา ปัญญา สติ สมาธิ และศรัทธา ขับเคลื่อน
ไม่อย่างนั้น พระพุทธเจ้าจะเรียกธรรมข้อนี้ว่า เป็น พละ เป็นอินทรีย์ คือ ความเป็นใหญ่ได้

ยังไง
พละ คือ กำลัง
อินทรีย์ คือ ความเป็นใหญ่
เป็นใหญ่ในการตรึก
เป็นใหญ่ในการคิด
เป็นใหญ่ในการวิเคราะห์
เพราะงั้น ให้เข้าใจความหมายของพระพุทธ พระธรรม เสียให้ชัดเจน ชัดแจ้ง แล้วจงเข้าใจ
กลับไปต้มน้ำ ซักเสื้อที่แจกให้ ซื้อใส่ก็ตามที อ่านมันไม่ชัด ต้องต้มซด แล้วอย่าซักธรรมดา

ต้องใช้มือ ใช้ตีน ซักเลย เออ แล้วซดด้วย จะได้รู้ความหมายของคำว่า ไม่มีอะไร ไม่ได้

อะไร ไม่เหลืออะไร กูตายแน่
คนที่เข้าถึงความหมายนี้ได้เนี่ย ไม่ต้องทำอะไรแล้ว ลูก ไม่ต้องคิดอะไร ไม่ต้องแสวงหา

ครูบาอาจารย์ที่ไหน แม้หลวงปู่ก็ไม่ต้องหา เพราะว่ามันจะเป็นไปตามธรรมชาติ ตามเหตุ

ตามปัจจัย
มีเพียงแต่ว่า เหมือนกับคนดูเสือ อยู่บนภู ดูเสือ เดินไปเดินมา เหมือนกับคนดูละคร ดูหนัง

ดูแบบไร้อารมณ์ ไม่ใช่ดูแบบสนุกสนานรื่นเริง
เหมือนกับอะไรนะ เมื่อวันศุกร์ กูจัดรายการวิทยุ อีดอกส้ม ดอกทองอะไรนั่นแหละ มัน

ออกมาลอยหน้าลอยตา นี่กูไม่ได้ดูเค้านะ กูดูแต่ข่าว ได้ยินข่าว ได้เห็นข่าว เค้าก็ออกมา

ลอยหน้าลอยตา บอกให้พ่อแม่ผู้ปกครองคอยกำกับดูแลลูก
แหม อีสันขวาน มึงผลิตสินค้าออกมาแล้ว เป็นพิษต่อสังคม แล้วมาผลักภาระให้พ่อแม่รับ

ผิดชอบ แทนที่มึงจะแสดงความสำนึกรับผิดชอบ ขอโทษขอโพยสังคม มึงกลับมาบอกว่า

พ่อแม่ต้องดูแลกำกับ อ้าว อย่างนั้น มึงก็ไม่รับผิดชอบในสิ่งที่มึงทำ เอาแต่ประโยชน์ตน

เป็นใหญ่ ไม่ใส่ใจประโยชน์ส่วนรวม เอาแต่เงิน และความมันสะใจ แล้วมอมเมาประชาชน
เออ ผลิตสินค้าออกมา แล้วคนบริโภคแล้ว มันเลวร้ายเสียหาย มีพิษ แล้วยังลอยหน้าลอยตา

ให้ใช้ปัญญา เลือกบริโภค พ่อแม่ต้องช่วยกำกับดูแล
เอ้ย แสดงว่า มันก็เพิ่มงานให้พ่อแม่มากขึ้นอีก เค้าจะไปหากินเลี้ยงลูก ก็เลยไม่มีเวลา ต้อง

มานั่งเฝ้าลูก ดูละครมึงแสดง เล่นบทดอกทองตอแหล
เออ ดีว่ามันไม่สัมภาษณ์กู สัมภาษณ์กูล่ะ มึงจะหนาว กูจะด่าให้ถึงลูกถึงคนเลย ไม่รับผิด

ชอบต่อสิ่งที่ตัวเองกระทำ อย่างนี้ไม่ได้
รวมๆ สรุปก็คือว่า ยังใช้ไม่ได้ ลูก วิธีนำเสนอความคิดไม่ผ่านบททดสอบ ถือว่าการแสดง

ความคิดเห็นครั้งนี้ นอกจากจะให้มีส่วนร่วมในการเป็นอยู่ของสังคม ชุมชนคนวัดอ้อน้อย

แล้ว ก็ เป็นกระบวนการทดสอบสมรรถนะและสติปัญญาของลูกหลานว่า อยู่ในขั้นไหน

ระดับไหน
สรุปแล้วก็คือ ยังอยู่ในระดับฝัน ไม่ใช่เป็นความจริง ยังไม่ใช่ของจริง ยังทำอะไรไม่ได้
แสดงว่า ลูกหลานยังไม่เข้าใจ พุทธรรม สัจจธรรม ศีลธรรม และจริยธรรม
คำว่า หิริ ความละอายชั่ว โอตตัปปะ ความเกรงกลัวบาป
คนที่เข้าใกล้ หิริ ความละอายชั่ว โอตตัปปะ ความเกรงกลัวบาปเนี่ย ท่านว่าเอาไว้ในตำราว่า

งามยิ่งกว่าพญาช้างฉัตรทันต์เดินนวยนาดอยู่ท่ามกลางหมู่ดอกไม้ งดงามกว่าดอกไม้อีก
แล้วเมื่อมีหิริ ความละอายชั่ว โอตตัปปะ ความเกรงกลัวบาป แล้วไม่ต้องไปถามหาความ

อ่อนน้อมถ่อมตน ธรรมะที่ยกขึ้นมานี้ก็ขัดกันไปขัดกันมา คนมีความละอายชั่วกลัวบาป

มันก็มีความอ่อนน้อมถ่อมตน
งั้นยังไม่เข้าใจ ยังสอบไม่ผ่าน ไปทำมาใหม่ ไปหาวิธีใหม่ เดี๋ยววันวิสาขฯ เอาใหม่
ยัง กูยังไม่เลิก งานนี้กูจะต้องตามผลต่อ
อีกเรื่องหนึ่งก็คือ วันนี้ไม่ได้ตั้งใจให้มาวิจารณ์สมภาร หัวข้ออาทิตย์ที่แล้วบอกว่า มาพูดถึง

คุณสมบัติของผู้ที่จะเป็นสมภาร ไม่ใช่ให้มาวิจารณ์สมภาร เพราะว่า ถ้าวิจารณ์สมภาร กูมี

เรื่องวิจารณ์มากกว่ามึง แล้วกูก็วิจารณ์ให้มึงฟังบ่อยๆ
เพราะงั้น ไม่ใช่ให้มาวิจารณ์สมภาร แต่ให้มาพูดถึงคุณสมบัติที่ควรจะเป็นจริง มีจริง ทำได้

จริง
ก็อย่างที่พระทั้งหลายที่มาจากอาวาสอื่น เค้าบอกให้พวกเราฟังว่า วัดอ้อน้อยไม่เหมือนวัด

อื่นทั่วไป ถามว่า ทำไมไม่เหมือน ก็กูเป็นจอมโปรเจคไง
กูจะคิด นี่จะคิดอีกแล้ว คิดอะไร กำลังจะทำกองคาราวานข้างแกงจานละ 10 บาท สั่ง

เค้าทำรถ เดี๋ยวหมู่บ้านไหนยากจนก็ไป วันจันทร์ไปหมู่บ้านนี้ วันอังคารไปหมู่บ้านโน้น

เดี๋ยวกูทำกับข้าว พวกก็อาสาไปคนละวัน ไปนั่งตักกับข้าวขายจานละ 10 บาท คนมันจน

อาหารมันแพง แล้วคุณสุนันทาเค้าจะรับเป็นแม่งานจ่ายค่ากับข้าวให้ทุกวัน
อ้าว ทำไมเงียบล่ะ เออ หน้าบานเชียวนะ
เออ เนี่ยนะ ไม่ต้องไปสแกนกรรม รับรองทำแล้วได้กรรมดีแน่ แก้ความยากจนอดอยาก

ไปด้วยในตัว เราก็ขายด้วย กินด้วย เราจะได้ประหยัดไปอีก สบาย
รวมๆ สรุป ก็คือ วันนี้ ไม่สำเร็จประโยชน์ ไปทำมาใหม่ ไปคิดกันมาใหม่ ไปหาวิธีกรรม

ใหม่
วันวิสาขฯ นี่เริ่มเอาใหม่ ยืนอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง
เอ้า เปิดโอกาสให้ถามปัญหา  5 ข้อ แล้วเดี๋ยวปฏิบัติธรรม
ใครอยากถามอะไร เชิญ
ปุจฉา   อุกะปาทิ หมายถึงอะไร อยู่ในธรรมจักรฯ หรือเปล่า
วิสัชนา   อุปาทาน ความยึดถือ อุปาทาน แปลว่า ความยึดถือ จบ
ปุจฉา  อภิจารี แปลว่าอะไร
วิสัชนา   อภิษจารี ก็เป็นเทวอากาศ อากาศเทวดา อากาศเทวา แต่เป็นเหมือนกับสัตว์

หิมพานต์ชนิดหนึ่ง กึ่งนางอัปสรกึ่งเดรัจฉาน บางตัวหัวเป็นช้าง หางเป็นคน หรือว่า ตัวเป็น

คนหัวเป็นช้าง หรือไม่ก็ ตัวเป็นคน หัวเป็นปลา เค้าเรียกว่า อภิษจารี หรือบางทีบางขณะ

ก็จำแลงร่างเป็นมนุษย์คนธรรมดาทั้งหัวทั้งตัวเป็นคนหมด แต่เป็นอภิษมานะกาย
ปุจฉา  เจตภูต
วิสัชนา   เจตภูต คือสภาวะของจิตชนิดหนึ่ง เจตภูต เจตสิก จิตมีสภาพเหมือนกัน แต่ส่วน

ใหญ่ก็จะใช้คำว่า เจตภูต กับพวกสัมภเวสี อสุรกาย หรือสภาพจิตที่ได้รับทุกขลักษณะ มี

ทุกข์เป็นเจ้าเรือน พวกเลื่อนลอย ล่องลอยไปตามนภากาศ หรือพวกที่อยู่ในทุกขคติภพที่ได้

รับโทษทัณฑ์พวกนี้ เค้าก็จะใช้คำว่า เจตภูต
อีกอย่างหนึ่ง ก็ใช้กับอาการของคนที่เข้าขั้นตรีทูต ถ้าเป็นคนไข้ขั้นตรีทูต ก็คือ เหมือนกับ

เลือดออกทั้ง 7 ทวาร ขี้ เยี่ยว ออก อะไรอย่างนี้ เค้าจะเรียกพวกนี้ว่า เข้าขั้นตรีทูต แล้ว

เจตภูตก็จะออกจากร่างกาย เค้าจะไม่เรียกว่า วิญญาณออกจากร่างกาย เป็นศัพท์ของหมอ

แผนโบราณ แต่ในหลายๆส่วน ก็จะใช้เรียกกับวิญญาณล่องลอย จบ เจตภูตของคนตาย

เจตภูตของเปรต เจตภูตของอสุรกาย อย่างนี้
มีใครถามอะไรอีก
หมดคำถามก็เตรีมตัวปฏิบัติธรรม เออ จะสอบกรรมฐานนี่ อ้ายพวกที่มาเรียนกรรมฐาน

เมื่อพรรษาที่แล้วจัดกลุ่มกันมา กลุ่มละ 10 คน พร้อมเดินปฏิบัติธรรม ตั้งแต่ขั้นที่ 1

ถึงขั้นที่ 10 เดินอย่าให้ขาพลาด ใครพลาดหนึ่ง ทั้งฝูงตก
อ้าว กูทำแบบนี้ กูก็ทำแบบนี้กับเณร แต่เณรเค้าก็เดินรอดมาได้ มึงก็ไปเดินเอาก็แล้วกัน ก็

ไปซ้อมกันให้ดี
เออ ที่จริงการปฏิบัติธรรมเป็นเรื่องเฉพาะตน แต่ก็มีคนบ่นว่า ไม่เห็นสอบซักที กูก็อยาก

จะสอบหรอก แต่สอบทีไรก็เห็นไม่ผ่านซักที เสียเวลาเปล่า แล้วก็เสียเวลาคนเค้าจะมา

ฝึกปรือใหม่ๆ ด้วย
เอาเป็นว่า อย่างนี้ก็แล้วกัน เหมามาเป็นกลุ่ม ไปหาวิธีการไปทดสอบ เอาจับกลุ่มแล้วก็เดิน
แล้วก็ขอบใจคณะมูลนิธิทั้ง 2 มูลนิธิ ที่เสียสละเวลามาเสวนาหาคุณสมบัติของสมภารใน

ความฝัน กลับไปตื่นซักตื่นนึง แล้วก็กลับมาเสวนาใหม่ เอาของจริง แล้วเดี๋ยวจะให้พระมา

นั่งให้ซักว่า แต่ละรูปมีปัญหาแล้วจะแก้ไขปัญหาอย่างใด สัปดาห์หน้าจะแจ้งให้ทราบ
เคลียร์พื้นที่