05.09.2553     14:30 น.  ธรรมะต้นเดือน  วัดอ้อน้อย   

เจริญธรรม เจริญสุขท่านสาธุชนคนดีที่รักทุกท่าน

ทำไมวันนี้มากหน้าหลายตา มารับพระเหรอ ไม่ล่ะมั๊ง
วันนี้เหนื่อย ที่จริงจะออกมาตั้งแต่บ่ายโมง เห็นบริษัท 2 บริษัทเค้ามา present งาน เรื่องความคืบหน้า ก็เลยปล่อยเค้า

ตัดต้นไม้ฆ่าเวลา เดี๋ยวนี้ไม่ได้ตีกริช ก็หันมาตัดต้นไม้ ต้องหางานทำ  เป็นคนที่ไม่ว่าง
รู้ไม๊ว่า เวลาหลวงปู่นั่งรถ กูนั่งท่าไหน มึงลองทายซิว่า กูนั่งท่าไหน ให้ทาย ใครทายถูก เดี๋ยวจะแจกพระองค์นึง แจกจริงๆ ไม่ถูก  ไม่ถูก  ไม่ถูก มึงเดาไปให้ตายก็ไม่ถูก อาม่า นั่งท่าไหน กูนั่งท่านี้ นั่งทับมือตัวเอง เพราะอะไรรู้ไม๊ มันจะได้ว่าง มือจะได้ไม่ต้องทำอะไร เวลานั่งรถ จะนั่งทับมือตัวเอง เดี๋ยวมันซน มันชีพจรลงมือหรือเปล่า ไม่แน่ใจ

เมื่อเช้าเจริญสติ เสร็จแล้ว ออกมารำกระบองยืดเส้น สั่งให้เค้าทำกับข้าว อุ่นขาหมู
กลับจากบิณฑบาตเสร็จ ขี้ยังไม่ทันขี้ งานรออยู่ ผัดพริก ผัดกระเพรา ผัดพะแนง เหลืออีก 10 นาที 8 โมงครึ่ง สรงน้ำ ฉันน้ำในห้องน้ำ มันไม่มีเวลาไง เสร็จแล้วออกมา หากล้วยฉัน 1 ลูก น้ำมะพร้าว 1 แก้วแล้วก็กระวีกระวาดมารักษาคนไข้ รักษาไข้เสร็จ ฉันเสร็จ นึกว่าจะพัก คนโน้นมาคนนี้มา ไม่ได้ มาตัดต้นไม้ เดือนนี้หาได้ 6 ล้าน รู้ไม๊กูจ่ายเท่าไหร่ จ่ายไป 8 ล้านกว่า มีความสุข กูมีความสุขมาก ไม่เป็นไร ลูก เหลือไม่เหลือไม่รู้ล่ะ

พอดีไปทำบุญกับเค้าด้วย  เออ เอาบุญมาฝาก ตั้งจิตอธิษฐานไว้ว่า ปัจจัยที่ได้จากขายหอมจัง  2-3 เดือนทีก็จะไปถวายพระศาสนา ไปถวายวัด เที่ยวนี้ถวายวัดโพธิ์งาม 5 แสน  เมื่อเที่ยวที่แล้วก็ไปถวายวัดจินดา 5 แสน ก่อนหน้านั้นอีก 2 เดือนกว่าก็ไปถวาย วัดหลวงพ่อน้อยอีก 5 แสน  รวยไม๊ เออ กูน่ะรวยเสมอ  เสร็จแล้วกลับมาทำกับข้าวขายต่อ เออ กูก็ผัดกับข้าวไป กูก็ขำตัวเองไปนะ ไอ้ห่า มันจะได้สักเท่าไหร่เนี่ย มันจะคุ้มกับ 5 แสนที่กูให้ไปไม๊เนี่ย ไม่คุ้มหรอก ลูก แต่ว่ากำไร ไปขายกับข้าวที่เมืองทองธานี ขายให้เค้าขายราคาถูก ขายจานละ 25 บาท ถามว่า หมดหรือยัง อ้ายตั้มบอกยังไม่หมด มันจะ 6 โมงแล้ว เอ้า ไม่หมดก็ลดราคาซิว่ะ ลดแล้วขายเท่าไหร่หลวงปู่ ขายมันไปเลย 20 บาท รับรองเดี๋ยวหมด ซักพักมันโทรมา เรียบ เออดีกว่าของเหลือ ขายบ้าง แจกบ้าง แล้วมันถามมาคำว่า แล้วจะได้อะไร กูได้ของกูน่ะ อย่างน้อยกูก็ได้บุญ คนกินของกู ก็ไม่รู้เป็นขี้ข้ากูไปกี่ชาติ เอ้า เรื่องจริง เราได้กำไรใจ กำไรบุญ กำไรคุณงามความดี ไม่ต้องอะไรมาก คิดให้มันได้กำไร มันก็กำไรไปหมด ไม่ต้องไปคิดให้มันขาดทุน ถ้าคิดขาดทุน มีเงินมากก็ขาดทุน ขาดทุนอารมณ์ ให้เค้ากินบ้าง แจกบ้าง

แล้วก็ทำอะไรอีกหว่า อ้อ ไปช่วยเค้า พอดีไปทอดผ้าป่า จบ เจ้าคณะอำเภอ เค้าก็ปรารถว่า อยากให้หลวงปู่จัดจัดปริวาสกรรม เพราะเค้าเห็นว่าหลวงปู่จัดปริวาสแล้วรักษาพระวินัยอย่างเคร่งครัด อยากให้คณะวิปัสสนาไปช่วยทำ หลวงปู่ก็ถือโอกาศได้ช่อง เพราะคณะวิปัสสนา หลังจากหลวงปู่ออกมาจากผู้บริหารเป็นประธานแล้ว เค้าก็ไม่ค่อยทำงานกัน สตางค์ก็หาไว้ให้นะ  สตางค์ก็มีอยู่ที่ศูนย์ร่วมๆ ล้าน ก็ใช้ไปสุรุ่ยสุร่าย ไม่เป็นประโยขน์ต่อศาสนา ก็เลยถือโอกาส เอา มหาอานนท์ ผมให้ท่านเป็นเลขาฯ ก็ทำงานให้เป็นประโยชน์ ครูบาอาจารย์มอบสมบัติ ก็ไม่รักษาสมบัติ จะผลานสมบัติโดยปล่อยให้ไม่เกิดประโยชน์ไม่ได้ ลองไปหาวิธีติดต่อรับงานนี้เข้ามา เพราะว่าปริวาสมันอยู่ตั้ง 10 วัน 10 คืน ปัจจุบันนี้พอหลวงปู่ออกมา เค้าก็ไปสอนกรรมฐานกันกับพระใหม่ ก็ได้แค่ 2 วัน หรือไม่บางปีก็วันเดียว

เพราะงั้นพอจัดปริวาสปุ๊บ พระจะมาอยู่ ไม่ได้อยู่วัดนี้หรอก ลูก อยู่วัดอื่น อยู่ตั้ง 10 วัน เพราะฉะนั้น 10 วัน 10 คืนเนี่ยมีเวลาสอนเยอะแยะ แล้วได้ประโยชน์มหาศาลต่อศาสนา  ได้บุญอักโข แล้วเราก็ได้ทำงานรับใช้พระศาสนา อย่าไปขี้เกียจเพื่อจะอุทิศชีวิตให้แก่ศาสนา  เราเป็นข้าในพระผู้มีพระภาคเจ้า  เป็นสาวกของพระองค์ ก็ต้องทำงานแทนพระองค์ ต้องทำงานให้พระองค์

เพราะงั้น อย่านิ่งดูดายเอาแต่ความสบายใส่ตัว แล้วไม่คิดทำงาน ก็เข็นให้พระทำ พระเค้าก็เห็นหลวงปู่เอาจริงเอาจัง  กระตือรือร้น ถีบ ยัน ดัน อัดอะไร ก็กลับมาทำ ก็รวมตัวกันกลับมาทำงานปริวาส รู้สึกออกพรรษาแล้ว 2-3 วัน จึงจะจัดกัน

10 วัน 10 คืน ก็ถือว่าเป็นงานพระศาสนาที่หลวงปู่ก่อตั้งขึ้น แล้วก็ชอบที่จะทำเพราะเป็นการฝึกสอน อย่างน้อยพระกว่าจะสิกขาลาเพศออกไป บวชมาใหม่ๆ อยู่วัดอาจไม่มีใครสอนอะไร ก็มาเข้าปริวาส ก็ได้มีโอกาสได้ฟังคำสอน ได้ปฏิบัติธรรม 10 วัน 10 คืน ก็ยังเป็นประโยชน์ต่อตนแล้วก็ศาสนา แล้วก็สร้างศรัทธาอันซื่อตรง อันถูกต้องให้แก่ศาสนา

พอเสร็จเรียบร้อยแล้ว มหาฯ เค้าถาม พระเค้าถาม แล้วจะมีเวลาเหรอ  เวลาน่ะมันมีเท่ากัน 24 ชั่วโมง  ปัญหาว่าจะบริหารให้มันเกิดกำไร คุ้มค่า มีประโยชน์มากน้อยแค่ไหน คนอื่นอาจจะดูว่า ไม่มีเวลา แต่หลวงปู่เวลาเหลือเฟือ เวลามากพอ ถ้ายังมีเวลาหายใจ ก็ต้องมีเวลาทำงาน ยิ่งเป็นงานเพื่อประโยชน์สุขส่วนรวม เพื่อพระศาสนา เพื่อสาธารณะ มันมีเท่ากัน ส่วนจะทำไม่ทำมันนั้น ไม่เท่ากัน บางทีก็ไม่ค่อยมีเวลาหายใจเหมือนกัน เมือ่วานซืนนี้ยังเอาจมูกหาลมหายใจอยู่เลย ลมหายใจมันหายไปไหน อยู่ดีๆ ลมหายใจมันขาด  มันเหนื่อยมากๆ มันก็ไม่ไหวเหมือนกันบางทีมันก็หายใจไม่ทัน

เมื่อวานซืนนี้ ไม่ได้บิณฑบาต นอนๆ อยู่มันหายใจไม่ทัน ทำอะไรต่ออะไรกว่าจะเลิก
ก็มืด ดึก สรงน้ำเสร็จไปในห้อง เอ้ ลมหายใจมันหายไปไหนว่ะ เปิดหน้าต่างก็แล้ว เปิดพัดลม เปิดแอร์ เอ้ ทำไมมันไม่มีลมหายใจ ตายล่ะ หายใจไม่ออก คือไม่ใช่หายใจไม่ออก แต่หายใจไม่ทัน สภาวะหายใจอาจจะล้มเหลวหรือเปล่า  ไม่แน่ใจ เหนื่อยมากๆ แต่ไม่เป็นไร กูอยู่ได้

เมื่อครู่นี้ เห็นพวกอโรคยาบ่นเรื่องการให้ทุนการศึกษา หลวงปู่ก็นึกในใจ พวกนี้มันทำงานเอาเงินเป็นตัวตั้ง ไม่ได้ ทำงานเอาใจเป็นตัวตั้ง หลวงปู่ทำงาน ไม่เคยคิดเรื่องเงินเป็นตัวตั้ง ไม่ว่าจะทำอะไร ดูตัวอย่างเช่น ถวายรูปในหลวง ตั้ง 35000 รูป ถึงวันนี้ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า เอาเงินมาจากไหน ถวายไปทั่วประเทศ พร้อมกรอบรูปพร้อมเสร็จ คนเค้าบริจาคมาซักกี่ตัง แล้วยังไม่ได้ใช้ของเค้าเลยนะ คนที่บริจาคมาเนี่ย เพราะว่า ตั้งใจไว้ว่า เงินที่เค้าให้มาสำหรับรูปในหลวง  เราจะไม่เอาไปใช้อย่างอื่น จะนำขึ้นทูลเกล้าถวายพระองค์ท่าน แล้วก็ไม่ได้ไปแตะต้อง ไม่ได้ใช้ แต่ก็ทำจนสำเร็จ เพราะว่า มีจิตอันสบายบริสุทธิ์

ไม่จำเป็น ลูก อย่าเอาเงินมาเป็นตัวตั้งในการทำงาน เมื่อไหร่ที่คิดเอาเงินเป็นตัวตั้ง เราจะไม่ได้ทำงาน เพราะมันจะกลัวไปหมดไง มันจะกลัวอ้ายนั่นอ้ายนี่ กลัวอ้ายโน่น มันจะปวดหัวจี๊ดจ๊าด  นั่งปวดหัวก็หมดไปแล้ว 24 ชั่วโมง อ้ายคนที่ไม่ได้ปวดหัว ทำแล้ว มันเดินไปตั้ง 24 ไร่ 24 โรงเรียน อย่างนี้เป็นต้น

เพราะงั้นเวลาทำอะไร อย่าคิดเหมือนชาวบ้านคิด  เออ อาจจะเป็นเพราะกูไม่ใช่ชาวบ้านก็ได้ หลวงปู่คิดไม่เหมือนคนอื่นคิด คืออาจจะบอกว่า ท่านเป็นพระนี่ ท่านก็ง่าย บ้านไม่เช่า ข้าวไม่ซื้อ อะไรก็ฟรีไปหมด เอ๊ย มันง่ายอย่างมึงคิดก็ดีสิ  มันไม่ง่ายอย่างที่คิดหรอกลูก เป็นพระนี่  มีข้อจำกัดหลายเรื่องมาก ที่มันทำอะไรไม่ได้

เพราะงั้นอยากจะบอกว่า ทำไปเฮอะ ไม่ต้องกลัวว่า จะหาเงินไป support ไปจ่ายค่าบี้ยบ้ายลายทาง ไปจ่ายทุนการศึกษาเค้า ไม่ได้ ไม่มี ไม่ต้อง หลวงปู่เชื่อในความบริสุทธิ์ใจ เชื่อในสิ่งที่ตัวเองทำ แล้วก็เชื่อในความบริสุทธิ์ใจของลูกหลานที่ทำ ถ้าทำโดยไม่มีเล่ห์เพทุบาย  ไม่เสแสร้ง ไม่เอาหน้าเอาตา ทำแบบเสียสละ จริงใจ เทวดาไม่กล้าให้กูอดหรอก เทวดาถ้าปล่อยให้กูอดล่ะ ตกสวรรค์ ไม่กล้าหรอก ทำไปเฮอะ ไม่ต้องกังวล สำคัญว่า ต้องทำให้มันจริงๆ จังๆ

อย่างที่บอกไว้ วันที่ไปปลูกป่าในโรงเรยน เพื่อฝึกให้เด็กมีความรักในธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม บอกกับเค้าว่า น้องหนู รู้ไม๊ว่า การปลูกต้นไม้นี่ คือการสร้างพระเจดีย์ มันเป็นเจดีย์ของบุญ วันใดที่ต้นไม้มันโตขึ้น ผลิดอกออกผลออกใบ สัตว์มากินผล แมลงมากินใบ เจ้าของคนปลูกได้บุญไม๊  เออ หมู หมา กา ไก่ มาอยู่ นก หนูมาอาศัย ได้บุญไม๊ เออ ได้บุญ ไม้อายุเท่าไหร่ ใครมาอาศํยไม้ต้นนี้ เราก็ได้บุญเท่านั้น

เพราะฉะนั้น นี่มันเป็นเจดีย์ มีชีวิต แล้วเป็นเจดีย์ที่อุทิศให้แก่แผ่นดิน ไม่ต้องลงทุนอะไร แค่ทุกคนช่วยกันคนละต้นสองต้น แล้วเฝ้าดูแล รดน้ำ พรวนดิน เอาใจใส่ ทะนุถนอม  เป็นความสุขในใจจะตายไป การมองดูต้นไม้ที่ตัวเองปลูก แล้วมันโตขึ้นอย่างบางทีหลวงปู่พอเหนื่อยๆ มากๆ เข้า ก็จะหามุมสงบๆ ไปอยู่ท้ายนาโน่น กูจะขับรถ Ferrari ไปอยู่ท้ายนา อ้าว อรหันต์เค้ามี Benz  กูก็มีรถ Ferrari ขับ พูดถึงอรหันต์ เออ หม่อมแม่ชักไม่ค่อยแน่ใจ โทรฯมาถามว่า ใช่เหรอ ลูกชั้นจริงหรือเปล่าเนี่ย  อ้าว กูจะไปรู้เหรอ กูไม่ได้คลอดมากับมือ กูจะไปบอกได้ยังไง ใช่หรือไม่ใช่ หลวงปู่ขับไปท้ายวัด แล้วก็หันมามอง เออ ต้นไม้กูโต เขียวชะอุ่ม มันภูมิใจ มันเกิดปิติสุข ภาคภูมิใจ เรามีกำลังใจที่จะทำงาน  เพราะว่าสิ่งที่เราทำ มันเห็นผล เห็นเขียวชะอุ่ม พืชพันธุ์ธัญญาชาติ สัตว์เล็กสัตว์ใหญ่มาได้อยู่อาศัย เออ เราเป็นร่มโพธิ์ ร่มไทร บางครั้งก็กลายเป็นร่มมะพร้าว ร่มตาลได้เหมือนกัน

เพราะฉะนั้นก็เลยอยากบอกว่า ทำไปเถอะ ลูก ไม่ต้องกลัวเหนื่อย ถ้าทำเพื่อพลีต่อแผ่นดินแล้วเหนื่อย ไม่เสียหาย ลูก มันไม่เสียไป ไม่สลาย คือมันอย่างน้อยหลวงปู่ก็บอกว่า จะปลูกต้นไม้ลงแผ่นดิน ต้องปลูกต้นไม้ลงในใจคนก่อน ปลูกให้มันชุ่มฉ่ำ ชุ่มชื่น เจริญในหัวใจ เราต้องรู้สึกได้ว่า ต้นไม้แต่ละต้น มันให้ชีวิตจิตวิญญาณ และความอิสระเสรีภาพ ความผ่อนคลายและชีวิตชีวาแก่เราได้มากแค่ไหนก่อน ต้องรู้สึกให้ได้อย่างนั้นก่อน แล้วทีนี้เวลาเราปลูกลงไป เราก็จะรักมัน

เดี๋ยวนี้หน้าโรงงาน ปลูกต้นไม้เพียบเลย ไม่ใช่อะไรหรอก จีนมันจะกลับประเทศไง แล้วมันขายไม่ออก มันขายไม่ได้ กูก็เป็นอาเสี่ยใหญ่ ดัง เดี๋ยวมันก็โทรฯมาแล้ว ช่วยมาเหมาไปหน่อย ช่วยที พาสปอตขาด เออ จะกลับเมืองจีนแล้ว หลังเดาะ อะไรของมันก็ไม่รู้ เราก็ไปดู...  เท่าไหร่...   5 แสน ....  มองไปมองมา  แสนห้า.... หา... เออ เอ้า มึงว่ามันให้กูไม๊  เออ  มีหรือมนต์กูจะไม่ได้  อืม สงสารมึง กูให้มึงอีก 5 หมื่นก็แล้วกัน  เออ พอซื้อมา มีคนมาซื้อแล้ว 2 ต้น แสนนึง ดูหมองกูเห็นไม๊

นี่เมื่อวานนี้ เมื่อเช้านี้ ขายได้กี่ต้น  เออ  ต้นละพันห้า  เออ เค้าถามว่า ยังมีอีกไม๊  ยังไม่พอใจขาย เก็บไว้ก่อน อ้ายตั้มบอกไม่ยกออกมาอีกเหรอ  ไม่เอา ฟอร์มมันยังไม่ดีไง ฟอร์มมันยังไม่สวย  เลี้ยงให้มันได้ฟอร์มดี สวยๆ
ไม้ดัดเนี่ยมันฝึกสมอง มันทำให้ความจำดี มันทำให้เกิดจินตนาการ เวลาตัดไม้ 
มีความคิด มีจินตนาการ จิตเราจะจดจ่อไม้ที่ดัด แล้วกูก็จะตั้งชื่อ สมภาร อ้ายต้นไหนมันยุ่งมากๆ ก็จะตัดเยอะ กูก็จะตั้งชื่อ สมภารวัดอ้อน้อย ต้นไหนที่ดูมันเรียบร้อย กูก็จะตั้งชื่อคนนั้น คนนี้ ดูไม่ต้องตัดเยอะอะไร ไม่ต้องประดับมันมากไง ทุกวันกูตัดหัวมันทุกวัน ตัดมันเรื่อย ตัดตรงนั้นตรงนี้ เล็มไปเรื่อย เค้าถึงได้มีคำตอบว่า เอ้  หลวงปู่ไปญี่ปุ่น อะไรก็ไม่ซื้อ ดันซื้อแต่ตะไกรเล็กๆ มาอันนึง  นี่คือเป้าประสงค์ พราะกูรู้ว่า เดี๋ยวกูจะต้องมาเหมาต้นไม้ กูรู้อนาคตพอสมควร กูจะได้ใช้มัน มันเป็นประโยชน์ต่อศาสนา ลูก ก็ดีกว่าไปเอาเงินเค้าเปล่าๆ หลวงปู่รู้สึกกระดากที่จะไปขอเงินเค้าเปล่าๆ เราก็มีข้อแลกเปลี่ยน
มีของแลกเปลี่ยน เค้าพอใจซื้อ เค้าซื้อ ถ้าเราพอใจขาย เราขาย แต่ซื้อขายก็ไม่ใช่เอาเงินใส่กระเป๋าเรา เป็นประโยชน์ต่อศาสนา เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม เงินส่วนหนึ่งก็แบ่งปันส่งไปช่วยเค้าสร้างโบสถ์ที่บันนังสตา เพราะว่า ตอนนี้ เค้าทำหลังคาแล้ว เหลือแต่พื้น ทำเสร็จแล้ว ข้างฝาเสร็จแล้ว เหลือแต่ประดับภายใน ก็เดี๋ยวปีนี้ก็จะไปทอดกฐินให้เค้าอีกรอบนึง ก็คิดว่าน่าจะจบ ไม่เป็นไร แบ่งๆ ไป ลูก  ทำ รวย กูรวยมหาศาล ใครจะรวยเท่ากูไม่มี  8 ล้านจะไปหาที่ไหนจ่ายเค้า ไม่เป็นไร สบายมาก เพราะงั้นก็แบ่งบุญให้ลูกหลานทุกคนแล้วกันให้มีส่วนในความร่ำรวยของครูบาอาจารย์หลวงปู่  เออ เดี๋ยวให้ถามปัญหา ให้ถาม 5 ข้อ

อ้อ มีประสบการณ์เล่าให้ฟัง ที่จริงควรจะต้องเล่าก่อนด้วยซ้ำ
เริ่มต้นจากการฝึกวิชาปราณโอสถ แล้วก็ลม 7 ฐาน
สมัยก่อนที่หลวงปู่เข้าไปอยู่ในถ้ำพระโพธิสัตว์   เรียนรู้วิชาลม 7 ฐานจากผนังถ้ำ
วิชาลม 7 ฐาน พอฝึกไปแล้วในระดับหนึ่ง มันจะเกิดพลังขึ้นภายใน แล้วมันจะเหมือนกับลูกโป่งที่มันพองขึ้นๆ แล้วเหมือนกับตัวเราจะระเบิดออกมา

แต่พอมาอยู่วัด มาควบกับคำว่า ใช้วิชาปราณโอสถ เราก็จะจัดสรรพลังที่มันพองขึ้นๆ ให้มันกระจายไปทั่วหลอดเลือด ไขกระดูก และท่อต่อมหมวกไตในร่างกาย เรียกว่า กระจายพลังไปทั่วสรรพางค์กาย มันช่วยอะไรได้บ้าง บางครั้งหลวงปู่เปลี้ยๆ เพลียๆ มันไม่ไหวจริงๆ ก็ต้องใช้มัน ถามว่าทำไมไม่ใช้ทุกเวลา ก็เพราะว่ามันไม่ค่อยมีเวลาที่จะทำ ก็ต้องใช้ช่วงเช้ามืด ตื่นนอนขึ้นมาจะทำ กว่าจะกลางคืน เย็น กว่าจะเสร็จก็ปาเข้าไป อย่างเมื่อคืน นอนตี 1 กว่า เพราะว่ากว่าจะจัดรายการวิทยุเสร็จ 4 ทุ่ม ถึง 5 ทุ่ม กว่าจะจบเรียบร้อย ทำอะไรต่ออะไรปาเข้าไปตี 1 แล้วก็มาตื่นเอาตี 4 นอนกี่ชั่วโมงล่ะ เออ ดูที่ตากูยังบ้องแบ้วอยู่เลย กลางวันก็ไม่ได้พัก ไม่ได้อะไร

เพราะฉะนั้น ฝึกเพื่อให้มันเกิดคุณภาพกับชีวิต ไม่ใช่ฝึกเพื่อเอาไว้ไปคุยกัน เห็นคนชอบเอาไปคุยกัน ฝึกปราณโอสถ ฝึกลม 7 ฐาน ฝึกแล้วเอามาคุยกันเฉยๆ  ไม่ต้องมาโอ้อวด อวดความรู้ ความสามารถ ความวิเศษ ไม่ใช่ แต่ฝึกเพื่อให้เป็นที่พึ่งของชีวิตตัวเอง
ใช้สำหรับดูแลสุขภาพพลานามัย พฤติกรรม กาย วาจา ใจ ของตน สำคัญว่า เราจะถึงปราณชนิดนั้นได้หรือไม่ ถึงพลังเหล่านั้นได้หรือไม่ ที่จริงแล้ว มันน่าจะถึงได้แล้ว ถ้าเราไม่โอ้เอ้ ไม่ยืดยาดจนเกินไปนัก ถามว่า อะไรคือความโอ้เอ้ ยืดยาดเพราะว่า ยังมีคนเดินผิดจังหวะ ยังมีคนกำหนดจิตให้ตรงกับจังหวะก้าวและลมหายใจไม่ถูก ถ่เป็นอย่างนี้ ก็ถือว่า โอ้เอ้ ถ้าจะสอนเลยไปถึงขั้นที่ 9 ที่ 10 มันจะไม่มีจังหวะให้เดินแล้วไง จังหวะมันจะอยู่ในใจ แล้วทีนี้มันจะไปทำอะไร มันก็จะกว้าอยู่ในอากาศ เหมือนกับตะกายอากาศ ไม่มีเครื่องหมาย ไม่มีนิมิตร มันยิ่งยากใหญ่

เพราะงั้นต้องทำอย่างไรที่จะทำให้เราไม่เคลื่อนออกจากกรรมฐานที่กำลังเจริญเลย ไม่เคลื่อนจากจังหวะ ไม่เคลื่อนจากลมหายใจ ไม่เคลื่อนจากการก้าว ไม่เคลื่อนจากการถ่ายน้ำหนัก แล้วก็จิตกับกายไม่เคลื่อนจากกัน บางทีให้เดินๆ ไปสักพัก เดี๋ยวไปแล้ว ไม่รู้ไปไหน ก็ต้องแหกปากเรียกกลับมา โวยวาย เตือน แล้วเรื่องนี้ไม่ใช่เป็นเฉพาะคนใหม่ คนเก่าๆ อ้ายที่คุยว่า กูอยู่จนสนิมเขรอะขึ้นหน้าก็เป็น ที่จริงโทษไม่ได้ เพราะว่า ทั้งชีวิตเราเสพแต่เครื่องเร้าสิ่งล่อที่มันเป็นเครื่องหมักหมม หมักดองสันดาน แล้วก็นำพาจิตวิญญาณให้ไปหาเครื่องสร้องเสพ มันจึงยากต่อการที่จะ control ควบคุมให้มันสงบ และเย็นสบาย ผ่อนคลายได้

เหมือนกับตอนที่หลวงปู่ไปทอดผ้าป่า เจ้าอาวาสวัดเทพนิมิตร เค้านั่งโต๊ะเดียวกันฉันอาหารกับหลวงปู่ ฉันสร็จ เค้าก็เห็นหลวงปู่นั่งว่างๆ เค้าก็เลยถามปัญหา เค้าบอกว่า เมื่อเช้าผมปฏิบัติธรรม พอเจริญสติไป คือ เค้าเคยมาเรียนกรรมฐานกับหลวงปู่ รู้สึกจะเป็นวิปัสสนาจารย์รุ่น 1 ที่จริงเค้าเป็นศิษย์ฤษีลิงดำ ท่านฤษีลิงดำ เค้าก็รู้จักพระองค์ที่ 10 แล้วก็เลยถือโอกาศ อ้าว อาจารย์ตาย ก็เหลืออาจารย์ปู่ หน้ากูนี่เหมือนอาจารย์ปู่ขนาดนั้นเลยเหรอ แก่ขนาดนั้นเลยเหรอ เค้าถามว่า เวลาเจริญสติ คือ เจริญกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ควรจะรักษาอะไรเป็นอันดับสูงสุด และอันดับแรก

หลวงปู่ก็บอกว่า อันดับแรก ก็คือ กาย
อันดับที่ 2 คือ ใจ

อ้าว แล้วเวทนากับธรรม
เวทนากับธรรมล่ะ เวทนา เป็นสิ่งที่ล่องลอย ไม่อยู่กับที่ ส่วนธรรม เป็นของสุขุม ลุ่มลึก ยากต่อการจะเข้าถึง ถ้าจิตไม่สงบระงับ เพราะงั้นกายกับใจมันอยู่กับตัวเราอยู่ แล้วมันเป็นของหยาบที่จับต้องได้

แล้วรักษาอะไรเป็นเรื่องสุดยอด ก็บอกกับเค้าว่า  รักษาสิ่งที่เป็นเรื่องสุดยอด คือ รักษาใจ สุดยอกแห่งการรักษา รักษาใยให้ผ่อนคลาย โปร่งเบาสบาย

เหมือนกับเมื่อวานนี้ หม่อมแม่ของอรหันต์โทรฯ มา แหม พักนี้มันเครียด มีปัญหา
ปวดหัว ปวดหูไปหมด ดีนะไปค้นเจอหนังสือสุญญตสมาธิ สอนตั้งแต่เมื่อไหร่
ทำไมไม่ชวนบ้างน่ะ  เราก็เลยได้ช่อง จะชวนได้ยังไง เดี๋ยวก็ลูกชายมาโวยวาย หาว่าไปดึงหม่อมแม่มานอกลัทธิ เค้าบอกว่า แค่อ่านสุญญตสมาธิ อ้ายที่มันหนักๆ หัวอยู่ เครียด มันโล่งไปหมดเลย แล้วอ่านไปจบหรือยัง  อ่านได้ 2 หน้าเท่านั้นแหละ แล้วทำไงต่อ  หลับ  เอ้า ก่อนหน้านั้นมันนอนไม่หลับไง นอนไม่หลับ พออ่านสุญญตสมาธิ

สุญญตสมาธิ คืออะไร สอนไปแล้ว จำได้ไม๊ มองสรรพสิ่งในโลกให้เป็นของว่าง  มีความว่างเป็นอารมณ์ เพราะงั้นทุกอย่างมันโล่งไปหมด ปัญหา 600 ล้าน ปัญหารีสอร์ทเจ็ง อะไรทั้งหลายของเค้า มันโล่งหายไปหมด หลับสนิท เช้าตื่นขึ้นมาสบาย แล้วทำไมเวลาจะสอน ไม่บอกบ้าง แน่ะ ยังต่อว่าเราอีก  บอกอีห่าเอ้ย ตอนกูสอน มึงก็ไม่โผล่หัวมา ตอนสอนก็ไม่โผล่หัว ทีนี้ดันจะมาโวยวาย

รวมๆ สรุป ก็คือ ธรรมะที่สอนไปมันใช้รักษาโรคได้ ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นปราณโอสถอย่างเดียวหรอก แม้แต่บทโศลก เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มีคนเขียนหนังสือมา ไม่ใช่เขียนมาหาหลวงปู่หรอก เค้าเขียนใส่ internet  แล้วคนเค้าลอกมาให้ เค้าบอกว่า อ่านบทโศลกที่หลวงปู่เขียนแล้วเค้าร้องไห้ ทำให้รักพระพุทธเจ้า แล้วเข้าใจชีวิตได้เยอะขึ้น เค้าอ่านครั้งหนึ่ง แล้วก็กลับมาอ่านอีกครั้งหนึ่ง แล้วทุกวันนี้ ก็ใช้บทโศลกนั้นเป็นกระบวนการในการศึกษาธรรมะ การเรียนธรรมะ

มันคือ ประสบการณ์ที่ศักดิ์สิทธิ์ของครูที่จารึกเอาไว้ เพราะงั้นอะไรที่มันเป็นภูมิธรรม ลูก อะไรที่เป็นริ้วรอยแห่งคำสอน คำบอกกล่าว คำเรียกขานของครูบาอาจารย์ มันคือต้นแบบในการที่จะก้าวเข้าไปสู่เป้าหมายของชีวิตที่ชัดเจนได้ แล้วมันก็เป็นยารักษาโรคได้ในระดับหนึ่ง สามารถจะผ่อนคลาย โปร่งเบาสบาย

วันนั้น มีคนเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย  มันมานอกเวลา หลวงปู่กำลังตัดต้นไม้อยู่ อุตส่าห์ตะกายมาจากอุทัยธานี มันมืดแล้วนะ 6 โมงกว่าแล้ว ปกติกูก็จะเดินหนีล่ะ จะบอกว่า นี่ไม่ใช่เวลากูรักษาไข้ แต่อุตส่าห์ตะกายมา ผู้เฒ่า  เฒ่า อายุเท่าไหร่  68   68 แล้วเคยเห็นคนตายบ้างไม๊  เคย  พ่อแม่ตายหรือยัง  ตายหมดแล้ว  แล้วมีลูกกี่คน  ลูกคนโตผู้ชาย คนรองผู้หญิง คนเล็กตาย  อ้าว แสดงว่าไม่จำเป็นว่าเกิดก่อนต้องตายก่อน เกิดทีหลังก็ยังตาย เมื่อคนเกิดทีหลังก็ยังตาย แล้วมึงเกิดมาตั้งนานแล้ว ทำไมจะไม่ตาย แล้วจะให้ทำยังไง กลับไปเตรียมตัวตาย  ไหนล่ะยา เค้าจะมาเอายามะเร็งนะ บอกว่าเตรียมตัวตาย
เออ ไปนั่งอยู่หัวตอไม้ แล้วไปท่องว่า  เตรียมตัวตาย เออ นั่งอยู่สักเกือบ 15 นาที  แล้วเดี๋ยวกูจะจ่ายยา ท่องให้ดังในหัวอกเลย ดังในหัวสมอง ดังในประสาท

เตรียมตัวตาย  แล้วความตายเป็นธรรมชาติ ความตายเป็นของจริง ทุกอย่างต้องไม่พ้นความตาย โลกนี้มีแต่ความว่าง ตายแล้วไม่เหลืออะไร เราก็ไม่มีอะไร สุดท้ายไม่ได้อะไร กูตายแน่ ไม่มีอะไร ไม่ได้อะไร ไม่เหลืออะไร กูตายแน่

15 นาทีผ่านมา  ไม่เอายาแล้ว เค้าบอกว่า มันเหมือนกับว่า มันปวดที่มีอยู่ ระบมไปทั่วสรรพางค์กาย มันหายไปหมด มันเหมือนกับตัวเค้ากับโรคมันต่างกัน มันแยกออกจากกัน  เหมือนกับถอดมีดออกจากฝัก

เห็นหรือเปล่า ธรรมะเนี่ย คำว่า ไม่มีอะไร ไม่ได้อะไร ไม่เหลืออะไร กูตายแน่เนี่ย กูจะพิมพ์ นี่วันนี้กูยังไม่ได้แบบเลย กูให้ใครไปเขียนแบบ หา  อโรคยามูลนิธิ ใช่ไม๊  แล้วยังไม่เห็นแบบเลย วันนี้ใครเอามาให้กูดูทีว่ะ  ก็ตัวมันเล็กขนาดนั้นแล้ว ใครจะไปแหกตาอ่าน เขียนให้คนอ่านสิ ใส่แล้วให้คนอ่านรู้สึกได้ มันเป็นยาอย่างหนึ่ง เออ มีอานิสงส์นะลูก มันท่องอยู่เนี่ย  68 นั่งท่อง  อ้ายจิโรจน์ ต่อไปนี้ มึงต้องท่อง 4 ตัวนี้ ไม่ท่องก็ให้เมียพูดกรอกหู ไม่มีอะไร ไม่ได้อะไร ไม่เหลืออะไร กูตายแน่ เออ ท่องไปเรื่อย ใจมันจะวาง ลูก ใจมันจะง่วงแล้วสบายๆ  เอ้าจริงๆ ไม่เชื่อ ลองดูก็ได้  แต่อย่าท่องแต่ปาก จงเข้าถึงอารมณ์ของความไม่มีอะไรให้ชัดเจน
ไม่มีอะไรได้อย่างไร ก็คือ  อือ มันมีอะไรล่ะ ชีวิตเรามันจะมีอะไร ปัจจุบันนี้มันจะมีอะไร ที่ผ่านมาออกจากท้องแม่ มีอะไรมา มีไม๊  เออ แล้วเมื่อเราจะตาย มีอะไรไม๊ มันก็ไม่มีอะไร ออกจากท้องแม่ ไม่มีอะไร อยู่ปัจจุบันที่มีอยู่ ก็ถือว่ากำไรแล้ว จะโวยวายอะไร อยู่มาก็ลูกตั้ง 4 คน เมียก็คนนึง สมบัติก็ตั้งมาก  เออ รถราม้าช้าง บ้านช่องก็มี ก็เยอะขนาดนี้ จะตายแล้วจะเหลืออะไร ไม่เหลืออะไร เราได้อะไรสำหรับตัวเรา เราก็ไม่ได้อะไร แล้วเราตายไม๊ ก็ตายจริงๆ

วิเคราะห์มัน ใช้ปัญญาเข้าให้ถึงองค์คุณแห่งคำภาวนา อย่าแค่ภาวนาแต่ซาก หลวงปู่เดินๆ ไป บางช่วงไม่รู้ใครมันเอาขวดมาทำแตกอยู่ข้างทางเดินเวลาบิณฑบาต เหยียบป๊อกเข้าไป ไอ้ห่า นึกในใจ มีสติในกาย กายนี้ไม่ลำบากเลย มีสติในวาจา วาจานี้ไม่ลำบากเลย มีสติในใจ ใจนี้ก็ไม่ลำบากเลย เออ เดินไปได้จนกลับ ดูไปดูมา เอ้ กระเบื้องมันหายไปไหนว่ะ หรือมันยัดเข้าไปในฝ่าเท้าแล้วก็ไม่รู้ ปล่อยมัน ชั่งมัน เดี๋ยวร่างกายมันผลักดันออกมาเอง อะไรที่เป็นส่วนเกิน มันขับออกมาเอง มึงอย่าไปทำอย่างหลวงปู่นะ มันคนละเรื่องกันนะ  เอ้า ไม่อย่างนั้นก็ต้องเดินลากขา ขากระเผกไปเรื่อยสิ  เออ พอคิดได้อย่างนี้ เวทนาก็ไม่เกิดไง 
เออ มีสติทรงไว้ในกาย กายนี้ไม่ลำบาก
มีสติในวาจา วาจานี้ไม่ลำบาก
มีสติในใจ ใจนี้ไม่ลำบาก  อย่างนี้เป็นต้น
ธรรมะเป็นยา ลูก เป็นยากายก็ได้ เป็นยาใจก็ได้ ทำให้มันมีชีวิตชีวาขึ้นมา อย่าทำให้ธรรมะตายซากอยู่เฉพาะแค่ตำรา คัมภีร์ หรือคำสอนของครูบาอาจารย์ เอาล่ะ ให้ถามปัญหาซัก 5 ข้อ แล้วจะได้ปฏิบัติธรรม

ปุจฉา  ลูกชายต้องทานยาถ่ายตั้งแต่อายุ  2 ขวบครึ่ง ถ้าไม่ทานจะถ่ายไม่ออก ทานมาแล้ว 2 ปี จะทำอย่างไรให้ถ่ายได้โดยไม่ต้องทานยา

วิสัชนา  มีแม่โง่ๆ อย่างนี้ กูไม่เกิดมาเป็นลูกมันหรอก จริง ทำไม ก็หาอาหารที่มีกากใยให้กินสิ อย่าให้กินแป้ง น้ำตาลเยอะนัก ไขมัน  กินพวกกล้วย ผลไม้ พวกซุปผัก ให้กินอาหารอ่อนๆ เค้าจะได้ถ่ายระบายได้ อะไรที่เค้าจะกินอาหารกรุปกรอบ พวกมาม่า พวกเส้นหมี่ พวกนี้มันเข้าไปในลำใส้ ไปดูดน้ำในลำใส้ ในกระเพาะนะ มันยิ่งทำให้ท้องผูก พวกแป้ง  พวกน้ำตาลที่มันย่อยยาก ถ่ายลำบาก ก็อย่าให้กินเยอะนัก เอาแค่ประมาณพอดี คุมอาหารให้ได้ เดี๋ยวระบบขับถ่ายก็จะดี อาหารเป็นยา อย่าไปมองว่า ต้องอาศัยยาทั้งชาติ เค้าอายุขนาดนี้ยังสามารถปรับตัวได้เยอะ เพราะงั้นต้องปรับอาหาร ไม่ใช่ให้กินตามใจปาก แล้วสุดท้ายมันก็ลำบากตูดอย่างที่เป็น กินอาหารให้เหมาะกับลำใส้เด็กที่กำลังพัฒนา
ก่อนนี้บราณเค้าเลี้ยงดี กินนมแล้วให้กินกล้วย แล้วก็เพิ่มข้าวบดเข้าไป พออายุมากขึ้น 6 เดือน 7 เดือน 1 ปี ก็เอาข้าวบดกับกล้วย กูนี่เลี้ยงเด็กมาจนโอ้โฮ้ เอวแทบเป็นหนาม ต้องไปถามย่า แกขยันไปเก็บใครมาให้เลี้ยงก็ไม่รู้ เลี้ยงจนเอวเป็นหนาม บางทีก็แบเบาะมา เราก็ต้องมาป้อนนมป้อนน้ำ ถึงขนาดบางวันบางทีไม่มีนม ต้องเอาน้ำข้าวชงใส่น้ำตาล แต่มันก็อ้วนเอาๆ
เพราะฉะนั้น อยากบอกว่า ให้กินอาหารที่มีกากใย ถ้าจะกินข้าว ก็กินพวกข้าวกล้อง ทำให้ลำใส้มันคุ้นเคยกับอาหารอ่อนแล้วย่อยแล้วดูดซึมได้ ขับถ่ายได้ง่าย ยาอย่าไปให้กินจนกลายเป็นนิสัย กินยาถ่ายมากๆ รู้ไม๊ มันเป็นพิษ มันมีผลต่อเยื่อบุผนังลำใส้ วันหลัง เยื่อบุลำใส้จะบางลงๆ ทีนี้เมือกที่มันอยู่กับเยื่อบุที่ทำให้เกิดสารหล่อลื่นโดยธรรมชาติ มันจะหายไป แล้วทีนี้พออาหารที่มีกากคมๆ จะไปขูดผนังลำใส้ ก็เกิดอาการบาด แล้วกากอาหารของมนุษย์มันมีเชื้อจุลทรีย์ เชื้อโรคเยอะแยะ มันก็เข้าไปในลำใส้ที่มีแผลเปิด ทีนี้อะไรจะเกิด ก็เป็นมะเร็งมะรังเกิดตามมา เพราะงั้น พ่อแม่น่ะรังแกลูก

เหมือนเมื่อคืนที่จัดรายการวิทยุ พวกเด็กที่มันไปตีกันยิงกัน จับลูกมาติดคุกน่ะ ไม่ถูก มันต้องเอาแม่มัน ครูมัน พ่อมันมาด้วย เออ แล้วอย่าเอาเด็กติดคุก ไม่ได้ทำให้เกิดประโยชน์ ให้มันไปทำงานรับใช้ประเทศ รับใช้สังคม แล้วคุมความประพฤติทั้งพ่อแม่ ทั้งตระกูลมันเลยล่ะ ให้มันทำงานรับใช้สังคม ให้มันไปกวาดขยะ ล้างส้วม ทำความสะอาด มันจะได้สำนึก เอาไปจับติดคุก ขนาดยิงคนตาย พ่อแม่มันแทนที่จะสำนึก กลับหาทนายแต่งไปสู้ความ เหมือนลูกตัวเองไม่ผิด นี่ก็คือพ่อแม่รังแกลูกไง ให้ท้ายในทางที่ผิด เมื่อวานเลยด่าซะสะใจไปเลย คนโทรฯมา ท่านพูดถูกใจมาก สายเกือบไหม้ รับสายมืทัน ขนาดดึกๆ แล้วนะ มันยังอุตส่าห์ตั้งใจฟัง

เลยอยากบอกว่า ไอ้วิธีที่ตำรวจจับเด็กไปติดคุกน่ะ ขอทีเถอะ ไม่ได้ทำให้ชาตินี้เจริญขึ้นเลย แล้วคนยิงคนตายจะบอกว่าไม่ได้เจตนา ไม่ใช่ เพราะว่า รถเมล์ไม่มีพ่อแม่มันนั่งอยู่ มันเป็นที่ชุมชน ที่สาธารณะพึ่งพาอาศัย เพราะฉะนั้นการยิง การปา การทำลายก็เท่ากับทำร้ายคนในที่ชุมชน ในที่โล่งแจ้ง จิตใจมันหยาบกระด้างอย่างนี้ ไปติดคุกมันก็ไม่ได้ประโยชน์ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอะไร ดีไม่ดี ไปเรียนวิชาชั่วๆ กลับมาอีก สังคมเดือดร้อนเสียหายอีก จับมันลงทัณฑ์ศาลพิพากษามุงไปล้างถนน กวาดขยะ เก็บขี้หมา
อะไรก็ว่าไป เอาเป็นหมู่บ้าน เป็นตำบล ชี้ให้มันไปเลย มึงไปเก็บขยะคลองเตย 3 เดือน
อ๊วก  แล้วทุกวันต้องมีเจ้าหน้าที่ ถ้าไม่สะอาด ตี 1 ตี 2 เรียกมาเก็บ มันต้องอย่างนั้นแล้วเรียกมาทั้งตระกูล ครูมันด้วย ครูมันสอนวิชา มันสอนลูกหลาน ลูกศิษย์ไม่ดี พ่อแม่ ครู ต้องมีส่วนรับผิดชอบ ไม่ใช่ปล่อยปละละเลยแล้วไม่สนใจ

ปัญหาอย่างนี้ มันไม่ใช่แก้ด้วยคนใดคนหนึ่ง มันต้องแก้โดยองค์รวม สำคัญว่า ต้องมีปัญญาแก้ อย่าใช้อารมณ์แก้ แล้วก็อย่าใช้ความอะไร บางทีบางครั้ง คำว่า นิติรัฐ มันต้องรักษาดุลยภาพของสังคมให้ได้ ถ้ามีนิติรัฐแล้วไม่สามารถรักษาดุลยภาพของสังคมได้ มันก็ไม่ใช่นิติรัฐ คือกฏหมายที่รักษารัฐบ้านเมืองให้สงบเย็น มันก็ไม่ใช่ ถ้าดุลยภาพของสังคมมันเสื่อมเสีย เสียสมดุลย์ แล้วเด็กติดคุก ไม่เคยมีคนไหนที่ติดคุกออกมาแล้ว คือ ร้อยละ 70 – 90 ด้วยซ้ำที่จะพัฒนาตัวเองได้ดี หรือเข้าไปสู่สังคมได้ดี  มันจะมีปมด้อยอยู่ในหัวใจอยู่เนืองๆ เพราะงั้นไม่เห็นด้วยกับการพาเด็กไปติดคุก เพราะหลวงปู่อบรมสอนเด็กติดคุกมาเยอะมาก บางทีมันก็มาบวช เราก็เห็นสภาพมันแล้ว แต่ละคนก็มีประสบการณ์ชั่วๆ ในวิญญาณในคุกออกมาเล่ากัน ยังเป็นที่สนุกปาก และภาคภูมิใจเหลือเกิน ใครได้ฆ่าคน ใครได้ปล้นคน ใครได้ข่มขืนคน มันกลายเป็นต้นแบบที่ไม่ดีที่ให้เด็กพวกนี้ที่จะไปเรียนรู้ศึกษา

ปัญหาของสังคม มันต้องช่วยกันระดมความคิด แก้ปัญหา ไม่ใช่อย่างใดอย่างหนึ่ง จบ ลูก

ปุจฉา  สวดมนต์ นั่งสมาธิทุกคืน แต่เวลาที่อยากจะออกจากสมาธิ ความรู้สึกก็จะหายเหมือนนั่งหลับ แต่รู้ตัวว่าไม่ได้หลับ
วิสัชนา  นั่นแหละหลับ  เอ้า จริง มันตื่นแค่ดวงสองดวง ที่เหลือ 98 ดวง มันดับ เพราะว่าอิริยาบทหนึ่งที่จะสำเร็จประโยชน์ได้ มันไม่ใช่สำเร็จเพราะจิตหนึ่ง แต่มันหลายพันอารมณ์อยู่ในจิตหนึ่ง แต่เราเข้าใจและจำและสำคัญว่า เรากำลังทำอิริยาบทที่ต้องการ คือ กรรมฐาน เอ้ เรากำลังรู้ตัวนี่ แต่ทำไมรู้สึกเฉยๆ วูบไป หลับไป นั่นแหละ หลับ แต่สัญญาความทรงจำ มันจำจิตหนึ่งที่รู้สึกประทับใจไว้ จดจำไว้

กว่าหลวงปู่จะพูดได้วลีหนึ่งนี่ ประกอบด้วยพันจิตหมื่นจิต จึงจะได้ 1 วลี 1 ประโยค ที่สื่อความหมายกันได้ ถ้าเมื่อใดในพันจิตหมื่นจิตออกไปเสียที่อื่น 99 หรือ ออกไปเสียที่อื่น 100 200 จิต สิ่งที่พูดก็ชักไม่รู้เรื่อง มันไม่มีพลัง จะพูดตะกุกตะกัก มันจะติดๆ ขัดๆ เพราะฉะนั้นให้เข้าใจองค์ประกอบ กิจกรรมแห่งพฤติกรรมของจิต และพฤติกรรมของกาย วาจา ว่า ทั้งหมด มันไม่ใช่จิตดวงเดียวใน 1 พฤติกรรม ใน 1 อิริยาบท ใน 1 วาจา  มันประกอบด้วยจิตเป็นพันๆ ล้านๆ ดวง

เพราะฉะนั้นหลวงปู่จึงต้องเตือนตลอดเวลาไง การที่ลูกหลานเดินเคาะจังหวะ หรือเวลาเดินป๊อก ให้เดินในสายธารแห่งจังหวะ อย่าให้มันเคลื่อน มันหลุดออกจากสายธารนั้น เพราะถ้ามันเคลื่อน หลุดออก ก็แสดงว่าเราไม่ได้อยู่ในทางแล้ว เราเคลื่อนหลุดออกจากทางแล้ว เมื่อเป็นอย่างนี้ มันก็ไม่ใช่แล้ว แล้วก็จะบอกตัวเองว่า ไม่ได้หลับนะ รู้ตัวนะ รู้ตัวว่าหลับน่ะสิ เพราะว่ามีแค่จิตดวงสองดวงที่ไม่หลับ ที่เหลือนั้นอีก 99.99 มันไปเสียแล้ว มันหลับไปแล้ว ธรรมชาติของจิตต้องเข้าใจ ถ้าไม่เข้าใจ เราไม่มีสิทธิ์จะพิชิตโลกทางจิตได้เลย

 

05.09.2553     (บ่าย)  หลังปฏิบัติธรรม  ธรรมะต้นเดือน  วัดอ้อน้อย   

วันนี้ลูกหลานได้เรียนรู้อำนาจที่แท้จริง อำนาจที่แท้จริงไม่ใช่อำนาจจิต ไม่ใช่อำนาจเดช ศักดา ตบะ เดชา หรือ บารมีใดๆ แต่อำนาจที่แท้จริง คืออำนาจแห่งความรัก ความเมตตา และความปรารถนาดี ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสไว้ชัดเจนว่า เมตตา คือเครื่องค้ำจุนโลก และสรรพสัตว์ทั้งปวง ไม่มีอำนาจใดจะยิ่งใหญ่เท่าอำนาจพลังแห่งความเมตตา เพราะฉะนั้นลูกหลานต้องเข้าถึงอำนาจนั้นให้ได้ พระควัมปะติ หรือพระปิดตาจึงจะสำเร็จประโยชน์ ไม่ใช่แค่อานุภาพ เดช ศักดาอย่างเดียว เพราะอำนาจที่ได้จากพลังเยอะ ฤทธิ์มาก ตบะใหญ่ สุดท้ายก็ต้องแพ้ภัยตัวเอง ซึ่งจะแตกต่างจากอำนาจที่ได้มาจากความอนุเคราะห์ ความรัก ความเมตตา ความการุณ ความปรารถนาดี ความจริงใจ

เพราะอย่างนี้ไง โบราณเราจึงสอนกันว่า น้ำร้อนปลาเป็น น้ำเย็นปลาตาย
น้ำเย็นก็คือ อำนาจแห่งความเมตตา
น้ำร้อนก็คือ ความบีบคั้น ความทุรนทุราย ด้วยเดช ด้วยตบะ ที่ใช้คำว่า อำนาจบาตรใหญ่
ซึ่งผู้ใดถ้ามีอำนาจนี้ ก็น่ากลัว พอคนกลัว ก็ไม่อยากเข้าใกล้
ซึ่งจะต่างจากอำนาจแห่งความเมตตา ซึ่งจะไม่น่ากลัว แต่จะมีคนอยากเข้าใกล้
แล้วคน สัตว์ ธรรมชาติ สรรพชีวิต สรรพวัตถุทั้งหลาย ก็จะกลายเป็นปราการป้องกันเค้าเองโดยไม่ต้องสู้รบตบมือกับใคร

เพราะฉะนั้น บทภาวนาที่ว่าด้วยเรื่อง สัตว์ทั้งปวงจงเป็นสุข สัตว์ทั้งปวงจงพ้นทุกข์ ลูกหลานต้องเข้าถึงมันให้ได้ ไม่ใช่สักแต่ว่า ภาวนา
แล้วการเข้าถึงมันคือ อะไร ผลตอบแทนและวิถีแห่งความสำเร็จในการเข้าถึงองค์ภาวนานี้ ก็คือ ความเย็นภายในใจ เหมือนน้ำที่ชะโลมจิตใจที่เร้าร้อน เหมือนบุรุษ สัตว์ผู้มีกำลังและเดินไปกลางทะเลทรายยามเที่ยงวัน แต่เผอิญก็มีฝนตกลงมาห่าใหญ่ มันต้องเย็นให้ได้ขนาดนั้น แม้ร้อนยามเที่ยงวัน ก็บัดดลเกิดฝนตกเย็นฉ่ำทันที

เคล็ดในการทำพระปิดตา ต้องทำ 2 อย่างนี้ควบคู่กันไป จึงจะได้ เดช ได้ศักดา
ได้อานุภาพ ได้พลัง พลังในที่นี้ คือ พลังแห่งความเมตตา ความรัก ความปรารถนาดี โบราณเค้าจึงเรียก พระปิดตาหาลาภ หลายคนอาจจะคิดว่า ปิดตาแล้วมันจะหาได้อย่างไรมองไม่เห็น  ก็ปิดตาแล้วลาภมันมา ก็แสดงว่า ต้องมีอานุภาพ มีพลังพิเศษ
คำว่า ลาภ ในที่นี้ คือ มีมิตรเป็นลาภ มีญาติเป็นลาภ มีค้าขายเป็นลาภ มีโชคมีชัยเป็นลาภสักการะ

เพราะฉะนั้นจะทำให้เกิดอานุภาพ ต้องเข้าให้ถึงพลัง 2 ชนิดนี้
เปรียบอานุภาพแห่งเหมือนพลังร้อน
เมตตาเหมือนดั่งพลังเย็น

2 สิ่งนี้ต้องอยู่กับพระปิดตา ก่อนจะอยู่กับพระปิดตา ต้องอยู่กับใครก่อน  ตัวเราก่อน เออ ที่พระพุทธเจ้าเรียก นิกไคหะ กับ ปักไคหะ ข่มในเวลาที่ควรข่ม ยกในเวลาที่ควรยก
เป็นหลักที่อยู่ในวิถีโลกที่พระพุทธเจ้าสอนเอาไว้

เพราะฉะนั้น โบราณเวลาเค้าทำพระปิดตา จึงมีพิธีที่ขลัง เข็มแข็ง และศักดิ์สิทธิ์ มีกระบวนการรายละเอียดเยอะแยะมากมาย ไม่ใช่ทำแล้วก็ปั๊ม แล้วก็ขายกันอยู่ทุกวันนี้ มันคนละเรื่องกัน กว่าจะสำเร็จประโยชน์ ต้องมีไอร้อน ไอเย็นปรากฏขึ้นในพระปิดตา คือมีพลัง 2 ชนิด อยู่ในพระปิดตา แล้วกว่าจะถึงพลัง 2 ชนิด คนทำก็ต้องถึงพลังนั้นแล้ว ต้องเป็นเจ้าของสมบัติชนิดนั้นแล้ว จึงจะถ่ายเทสมบัตินั้นให้แก่ผู้อื่นได้ เอ้า พอแล้ว