28.05.2553 9.30 น. วัดอ้อน้อย วันวิสาขบูชา
ธรรมะหลวงปู่พุทธะอิสระ
เจริญธรรม เจริญสุข
วันนี้ต้องขออนุโมทนาในบุญคุณงามความดี และจิตใจเอื้ออารีที่ท่านมาใส่บาตร
ข้าวสาร อาหารแห้ง
และหลายคนเป็นร้อย มาปฏิบัติธรรม ตั้งแต่เมื่อวาน ทนต่อการบีบคั้น ฝนตก ไม่เอื้อ…
ต้องถือว่าเป็นการทดสอบบารมี จิตวิญญาณแกร่งต่อสถานการณ์ ไม่ท้อแท้
เป็นกระบวนการธรรมชาติที่ทดสอบเรา เพื่อให้เข้าถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า
ที่จริงไม่ได้ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพานวันเดียวกัน แต่เผอิญช่วงจังหวะ มันตรงกันพอดี
คนโบราณถือว่าเป็นความมหัศจรรย์ยิ่ง
มหาบุรุษเกิดขึ้นแล้วในโลก เป็นที่พึ่งของมนุษย์ หมู่มาร เทวดา พรหม
สิ่งที่หลวงปู่อยากพูดไม่ใช่เรื่องประสูติ ปรินิพพาน เพราะมันห่างไกล
แต่สิ่งที่อยากพูดคือ เรื่องตรัสรู้ รู้ทุกข์ เหตุเกิดทุกข์………
ทำไมต้องรู้ทุกข์ก่อน
อะไรทำให้พระองค์รู้ทุกข์ ก่อนที่พระองค์รู้ทุกข์ ปัญหาแห่งความทุกข์
ปัจจัยแห่งความทุกข์ มันได้รับทุกข์อยู่
คนก่อนหน้านั้นไม่รู้เหรอ เรื่องความทุกข์
พระองค์ทรงตรัสรู้ ทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ ดับทุกข์ หนทางดับทุกข์
ก่อนหน้านั้นพวกชนิล สมาบัติเป็นคุณอันยิ่ง สูงสุดของมนุษย์ธรรมดาแล้ว
แต่ทำไมยังไม่เห็นทุกข์
สมาบัติ สมาธิ กรรมฐาน ทำให้เห็นทุกข์ เหตุปัจจัยแห่งทุกข์หรือ
ก่อน 29 พรรษา พระองค์ก็เสพกามสุข ในฐานะเป็นราชา ก็คงจะมากกว่าคนธรรมดาสามัญ
ทำให้เราตั้งข้อสงสัย
เวลาหลวงปู่คิดเรื่องพุทธธรรม จะไม่คิดตามกรอบ จะคิดนอกกรอบ
เป็น ธรรมดาของคนที่เสพอะไรมากๆ จะเกิดความเบื่อ
ทำให้ต้องคิดถึงคำสอน
การอยู่ในประเทศอันสมควร มีปราชญ์ การทำบุญไว้ดีแล้วแต่ปางก่อน
4 อสงไขย แสนมหากัป ทำให้พระองค์ทรงเบื่อ
ที่หลวงปู่อนุโมทนาพวกเราที่ได้ถือศีล บวช ฟังธรรม
ทั้งหมดเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดนิพพิทาญาณ คือความเบื่อในแม้ทิพยสมบัติ
สั่งสมอบรมจิต เจริญปัญญา
ยิ่งราชาสมัยก่อน แต่พระองค์ก็ยังทรงเบื่อทิพยสมบัติ
เพราะการเจริญศีล สมาธิ ปัญญา ทำให้พระองค์เบื่อ
ที่พวกเราทำ เป็นการสั่งสมอบรมเจริญศีล จิต ปัญญา ธรรม อบรมสั่งสมภาวนา
ให้เรารู้ถึงความเป็นจริง ทำให้เห็นทุกข์
เจริญธรรม เจริญศีล เจริญจิต เจริญภาวนา
ถ้าเป็นฤษี ถือว่า เป็นตบะ ข่มอำนาจ
แต่ไม่สามารถมีปัญญาแยกแยะ ว่าทุกข์มีอยู่จริง
แค่ช้างกระดิกหู งูแลบลิ้น หลายๆ ชาติ เห็นตามความเป็นจริง เกิดความเบื่อ
หลวงปู่กำลังสอนว่า สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม เรามีกรรมเป็นกำเนิด
คนไม่มีพละ ไม่มีศรัทธา จะไม่สะสมกุศลกรรม แต่จะทำตามใจตนเอง
คนที่ทุกข์มี 2 ประเภท
1 ไม่มีสิทธิ์เลือก โง่ ไม่รู้จักเลือก แม้ไม่โง่ แต่ไม่มีช่องให้เลือก
2 ตั้งใจเลือก คือพวกบำเพ็ญตน บำเพ็ญเอาชนะความคิด ด้วยความทุกข์ มีปัญญาสั่งสมบารมี เพื่อให้คนอื่นมีความสุข
ทุกข์ เพราะโง่ ไม่มีปัญญา หนีทุกข์
ทุกข์ เพราะมีปัญญา
หลวงปู่สมัครใจรับทุกข์ เพราะเป็นการสั่งสมบารมี ตอนทำรู้สึกเพลิน
แต่เสร็จแล้ว ช่วยเอารถมารับกูหน่อย ขากูปวดไปหมดแล้ว
แต่หลังจากนั้น ชั่งมันเถอะ มันเป็นสังขาร
หลวงปู่ทำมีเป้า ต้องการสั่งสมบารมี เป็นพระโพธิสัตว์ พระพุทธเจ้าในอนาคต
หลวงปู่จะคิดอยู่ตลอดเวลาว่า ทำไมพระพุทธเจ้ารู้ทุกข์
เพราะไม่ได้อบรมเจริญธรรม ทาน ศีล จิต ภาวนา ฤษีที่ปฏิบัติได้ญาณ เค้าทำได้แค่ชั่วขณะหนึ่ง ชั่วชีวิตหนึ่ง แต่พระพุทธเจ้าทรงทำ 4 อสงไขย แสนมหากัป
แสดงว่าพระองค์ทรงมีมหาปณิภาณอันยิ่ง
ตื่นเช้าหิวข้าว แสบท้อง ไม่ใช่เห็นทุกข์ แต่เป็นสัญญา เรียกว่าสันชาติญาณในการแสวงหาเหยื่อ เป็นความคุ้นเคย
ต้องมีการวิเคราะห์ คือ ตรึก
กลั้นเยี่ยว เป็นทุกข์โดยสัญญา ไม่ใช่ทุกข์ด้วยปัญญา
โศลกของหลวงปู่ ทุกเรื่องที่มีอยู่ในตัวเจ้า จงคิด แล้วเรื่องที่คิดจะไม่มีให้เจ้าคิด
เพราะฉะนั้น ทุกเรื่องเจ้าต้องคิด แล้วเรื่องที่คิดจะไม่มี คือต้องคิดจนกระทั่งจบทุกเรื่อง
จนไม่มีเรื่องให้คิดแล้ว
เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจะไม่วิเศษเลย ไม่น่าไหว้เลย ถ้าพระองค์เห็นเหมือนคนอื่นๆ
มีหูทิพย์ ตาทิพย์
สิ่งที่มนุษย์ยุคนั้น ไม่เห็น คือความทุกข์ที่มีอยู่
หลวงปู่เขียนบทโศลก มีหูไว้ฟังเสียงหัวใจตัวเองกันบ้าง และนั่นแหละคือสวรรค์ และนิพพาน
มันเลยจะห่างจากความเป็นจริง
พวกเรา ทุกข์โดยความจำเป็น ไม่ใช่โดยสมัครใจ
ความทุกข์อย่างเดียวที่เราไม่รู้จัก อยู่กับมัน เรื่องบางเรื่อง แค่คลายมือก็หายปวดแล้ว
นิ้วล็อก เพราะนอนเกร็งอยู่ทั้งคืน
สรุปรวมๆ คือ ทำเหตุปัจจัยของการเจริญปัญญาให้ได้
เจริญ ธรรม ศีล ภาวนา จิต ให้ได้ จะเกิดนิพพิทาญาณ ความเบื่อหน่าย
เวลาหลวงปู่ทำงาน จะคิดว่า นี่คือการบำเพ็ญภาวนา บำเพ็ญสัจจะ อธิษฐาน
เราสมัครใจที่จะทุกข์ ความทุกข์จะเบาลง
หลวงปู่จึงทำตรงนั้นจบ ตรงนี้ต่อ ตั้งแต่เช้ายันดึก
เพราะว่าเรากำลังบำเพ็ญ เราก็มีความสุข ถ้ามันจบ เราสำเร็จ
ตั้งใจทำ กับ จำใจทำ
เวลาหลวงปู่ทำงาน จะรู้ว่า แค่ไหนพอ จารพระ ไม่ทำยา
บางครั้งเค้าเตรียมยาไว้ แต่หลวงปู่รู้ว่า วันนี้ไม่พร้อมปรุง เพราะต้องใช้พลังจิตสมาธิมาก
ก็จะเอาไว้ก่อน เก็บ
รู้จักหยุด วาง ทำในเวลาที่สมควร
ถ้าเราไม่สมัครใจทำ เหมือนเข็นครกลงเขา เรื่องเล็กจะกลายเป็นเรื่องใหญ่
ใจต้องประกอบด้วย ทาน ศีล ภาวนา ปัญญา และอำนาจของจิต
ถ้ามีสิ่งเหล่านี้ จะมีฐานที่ตั้งของจิต
คำว่า ดี เดี๋ยวนี้ เป็นคำแสลงของสังคม เมื่อเช้าดูโทรทัศน์ มันเถียงคำว่าความดี ว่า ดีแค่ไหน ดี มีข้อจำกัดความข้อไหน
ดีในที่นี้คือ
-ไม่เบียดเบียนตน
-ไม่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน
ที่พระพุทธเจ้าศักดิ์สิทธิ์จนถึงปัจจุบัน เพราะพระองค์ทรงรู้ชีวิตของเราเห็นทุกข์ เห็นเหตุแห่งทุกข์
พระองค์ทรงสอน อัตตาหิ อัตโน นาโถ ไม่ได้สอนให้พึ่งคนอื่น ให้พึ่งตนเอง
ไม่ได้สอนให้เราพึ่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
แต่ที่เราต้องพึ่ง เพราะเราไม่แข็งแรงพอที่จะพึ่งตัวเอง
เดี๋ยวนี้ คนมีตังค์ ดี
คนไม่มีอัปรีย์
คนในชาตินี้อ่อนแอหมด ต้องพึ่งคนอื่น
เพราะฉะนั้น คนที่เป็นที่พึ่งเรา เป็นพระเจ้าเราหมด เป็นคำสอนที่ใช้ไม่ได้
ถ้าเชื่อในคำสอนของพระพุทธเจ้า ต้องพึ่งตนเองได้
แต่มัวแต่อ้อนวอนพึ่งพระเจ้า
1 หัว คิดออก คิดไม่ออก มัวแต่รอคนอื่น
พระอานนท์ แอบไปร้องไห้ เมื่อพระองค์ใกล้ปรินิพพาน
พระองค์กล่าวกับพระอานนท์ว่า ธรรมและวินัย คือสำนึก สติปัญญา มีศีล คุณธรรม เจริญปัญญา
ธรรมะมีอยู่ในตัวเรา ขึ้นอยู่กับตัวเราทำ แล้วขึ้นอยู่กับกรรม
ทำกรรมดี ได้ผลดี
ทำกรรมชั่ว ได้ผลชั่ว
พุทธทาส เรียก ธรรมะ ว่า ธรรมชาติ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แตกสลายในที่สุด
ธรรมะ คือสิ่งธรรมชาติ สิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติ ไม่เปลี่ยนแปลง
คุณธรรมของคนรักษาศีล
- สติ
- หิริ โอตัปปะ
-อินทรีย์สังวร
แม้เราไม่รู้ศีล ก็รักษาศีลได้ทุกข้อ
ธรรม และวินัย ไม่ได้อยู่ในตู้ อยู่ในตัวเรา
ถ้าคิดว่าชีวิต คือ การบำเพ็ญ ไม่นาน
เราจะเข้าใจ ว่า ชีวิตนี้ ไม่มีอะไร ไม่ได้อะไร ไม่เหลืออะไร กูตายแน่
วางแล้วว่าง
เข้าใจ รู้จัก สงบ เย็น
คนที่สมัครใจทุกข์ เค้าจะรู้จักวาง ว่าง
สติต้องตั้งมั่น
สมาธิมั่นคง
ศีล ทาน แข็งแรง
วันนี้ อย่ามองว่าเป็นการบูชา ถือว่าสั้นเกินไป
แต่มองว่า เป็นการสั่งสมอบรมปัญญา จะทำให้ทำได้ยาวนาน แล้วเราจะแข็งแรงมากๆ
ไม่ว่าอะไรจะมา เราจะบอกได้ทุกเรื่อง
เปลี่ยนความคิดจากถือว่า เป็นการบูชา
เปลี่ยนเป็นวันที่เรามาปฏิบัติบูชา ได้ทุกขณะตลอดเวลา ทุกลมหายใจ
ถ้าเอกลักษณ์ สัญลักษณ์อยู่ไม่ได้ ชาติจะอยู่ได้อย่างไร
พระทำยา พระพุทธเจ้าบอกว่าไม่ผิด ถ้าทำด้วยความเมตตา แต่ผิดถ้ารักษาแล้ว ละโมบ อิจฉาริษยา
รวมๆ หลวงปู่อยากบอกลูกหลานว่า
ใช้ปัญญานำอารมณ์
อย่าใช้อารมณ์นำปัญญา มันคืออวิชชา ความโง่เขลา
อยากบอกว่า ยังไงก็แล้วแต่ สำนักนี้ก็ยังสอนให้เจริญปัญญา ให้คิด วิเคราะห์ ไม่ใช่สอนให้เชื่อ
28.05.53 14.15 น .หลังจากแจกมหาทาน 300 ครอบครัว
สังเกตหลวงปู่จะให้รับศีล ฟังธรรมก่อนแจก จะได้เปลี่ยนจากทุกข์จำใจ เป็นสมัครใจ
ปัญญาจะไม่เกิดกับคนคับแคบ ตระหนี่ ละโมบ เห็นแก่ตัว
เหมือนจอกแหนที่อยู่บนผิวน้ำ ยากที่แสงอาทิตย์จะทะลุลงใต้ผิวน้ำ
จอกแหนในที่นี้ คือ โลภะ โทสะ โมหะ
ยากที่แสงอาทิตย์จะส่องทะลุทะลวงลงใต้ผิวน้ำ
ถ้าทำลายจอกแหน 3 สามารถส่องลงใต้ผิวน้ำได้
เจริญปัญญา เป็นเครื่องเกื้อกูล ส่งเสริม สนับสนุนปัญญาได้
จะสละแบ่งปันอย่างไร
ให้ ในที่นี้ คือ ให้โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน
เวลาทุกข์ก็เพียงแค่เราไม่ใช่จำใจทุกข์ แต่สมัครใจทุกข์
จำต้องทุกข์ ทุกข์เป็นประจำ ไม่ใช่สมัครใจทุกข์ ความทุกข์แบบนี้วางไม่ได้
สงเคราะห์แต่ญาติก็ไม่ได้
เสียสละบ้าง เหล่านี้เป็นกระบวนการสร้างปัญญา
การให้ การเสียสละ การแบ่งปัน พระพุทธเจ้าสอนให้เรา ถือเป็นข้อแรก ถือเป็นข้อที่สำคัญ
พระพุทธเจ้าสอนให้เราเสียสละ แบ่งปัน
สังคมมนุษย์มีพลัง เป็นปึกแผ่น มีสันติสุข
สรุปคือ รู้จักให้ เสียสละ แบ่งปัน
ที่สุด คือ กำลัง น้ำใจ ให้อภัย
ล้างห้องน้ำ เป็นการสั่งสมบารมี
มนุษย์ใจกว้าง จะมีพลังเหลือเฟือ
ทุกคนเป็นเทพแห่งความสำเร็จได้ ถ้ามีน้ำใจ
หลวงปู่สอนตลอด10 กว่าปี คือทำงานให้ลดเขี้ยว ลดงวง แต่เดี๋ยวนี้ ยิ่งทำ ยิ่งมีอัตตา
หลวงปู่ไม่รู้คนอื่นคิดอย่างไร แต่เวลาหลวงปู่ทำงานมีความสุข คิดว่าเป็นโอกาสที่เราได้ทำงาน
ใครจะว่าหลวงปู่เป็นเทพเจ้าอะไรก็แล้วแต่
กูยอมรับอยู่ข้อเดียว คือ เทพเจ้าขี้ข้า บริกรยิ่งใหญ่
จะรู้สึกเกรงใจรับบริการ ดีใจเมื่อได้ให้ ทุกข์ใจเมื่อได้รับ
รับบ่อยๆ มากๆเข้า จะใหญ่ขึ้น ตัวกูใหญ่ จะกลายเป็นผู้มีอีโก้ นางโก้ สูง
ดูแล้วไม่โก้ สำหรับผู้ที่หยิ่งยะโส
รู้ว่ายิ่งทำประโยชน์ ยิ่งอ่อนน้อมถ่อมตน ประดุจดั่งน้ำที่อยู่ตีนเขา
30-40 ปีที่รับใช้พระพุทธศาสนา เห็นคนหลากหลาย
ทำไป ๆ ตัวกูสำคัญ
สุดท้ายกูอับเฉา
เค้ามีแต่ว่ายิ่งรู้มาก ยิ่งเล็ก จะยิ่งอยู่สบาย
นี่ยิ่งรู้มาก ยิ่งโต ความบีบคั้นรอบตัวจะมาก
นี่ยิ่งทำ ยิ่งอวด ยิ่งมีคุณค่า แต่ขาดคุณธรรม
อโรคยาศาลา - ที่รักษากายและใจ
หน้าที่แรก เข้าไปตามโรงเรียน ให้นักเรียนในโรงเรียนมีสำนึกในหน้าที่ ตอบแทนแผ่นดิน
สอนให้เด็กสำนึกในแผ่นดินเกิด อาจให้ทุนการศึกษา ค้นหาช้างเผือก หลวงปู่จะหาทุนให้เอง
มูลนิธิอโรคยา ดึงเอาสำนึกที่มีอยู่ลึกๆ ขึ้นมาตื้นๆ
15.00 น.- 16.30 น.
ขั้นนี้เรียกว่า ปราณมีโอสถพิเศษ คือกายกรรมฐาน เรียกธรรมกาย ไม่ใช่แถวรังสิต
ถ้าถึงขั้นที่เห็นทุกอย่างเป็นเส้นตรง