พระธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นของศักดิ์สิทธิ์ เรื่องทางโลกเขาเรียกว่าเครื่องย้อมจิต
มีลาภ เสื่อมลาภ มีนินทา มีสรรเสริญ เป็นเครื่องย้อมจิตทำให้จิตฟู จิตกระเพื่อม
จิตสุข จิตทุกข์ จิตวุ่นวาย มียศ เสื่อมยศ มีของชอบ ของชัง ยอมรับ ปฏิเสธ
วิถีแห่งโลก ก็คือวิถีแห่งเครื่องย้อม ส่วนวิถีเครื่องฟอกคือวิถีแห่งพระธรรม ผู้ปฏิบัติธรรม
ผู้เรียนรู้ธรรม ผู้แจ่มแจ้งในธรรม คนผู้นั้นต้องมีเครื่องฟอกจิต ต้องไม่ปรากฏความขุ่นข้องหมองใจ
มลภาวะใดๆ จิตควรและพร้อมต่อการงาน ไหว้ตัวเองได้และทำตนให้คนอื่นไหว้ได้
นั่นคือความหมายของคนมีธรรมมะ
มีคนถามเยอะแยะว่าปฏิบัติธรรมเป็นเครื่องฟอกจิตแล้วทำไมคนที่อยู่กับพระธรรมมาชั่วชีวิต
ยังคิดคดอยู่ได้ คนที่เรียนรู้พระธรรมมาตลอดชีวิตทำไมจึงยังทำไม่ดี คิดไม่ดี พูดไม่ดีอยู่ได้
หลวงปู่ตอบไปว่า คนเหล่านั้นเพียงแค่ลูบคลำพระธรรม เขาไม่ได้ลงมือกระทำ
หากเขาลงมือกระทำพระธรรมจะทำให้เขาปลอดภัยจากเครื่องร้อยรัด
พระธรรมนี้อยู่กับใครจะไม่ทำให้เศร้าในขณะที่คนอื่นร้องไห้ ไม่เสียในขณะที่คนอื่นเสีย มีชัยชนะ
อันดับแรกคือชนะตัวเอง ชนะอารมณ์ ชนะตัวเอง ชนะจิตวิญญาณที่หลุดลงไปในกระแสโลก
มีตาเห็น หูฟัง จมูกได้กลิ่น ลิ้นรับรส กายถูกต้องสัมผัส มีพระธรรมจะไม่ตกเป็นทาสของสิ่งเหล่านี้
รวมแล้ว พระธรรมคือกระบวนการบริหารจัดการชีวิตให้ได้ดีมีประสิทธิภาพ
นอกจากนั้นพระธรรมยังเป็นเครื่องตอบปัญหา-ชีวิตได้อย่างวิเศษ ชีวิตคือปัญหา
ทุกชีวิตที่เกิดมามีปัญหาทั้งนั้น และพระธรรมก็คือเครื่องแก้ปัญหาชีวิต ชีวิตคือการตั้งคำถาม
ชีวิตใดที่ไร้คำถาม นั่นเป็นชีวิตที่ไร้ชีวิต ชีวิตคือการตั้งคำถาม และพระธรรมคือเครื่องตอบคำถาม
นอกจากนี้พระธรรมยังเป็นวิถีให้ชีวิตนี้มีศิลปะ คนมีพระธรรมจะรู้จักเติมแต้มกลิ่นสี เสียง
แสงให้กับชีวิต ให้ดูสดใสใหม่เสมอ ไม่เบื่อ ไม่เหนื่อยหน่าย ไม่รำคาญ ไม่ฟุ้งเฟ้อ ฟูมฟาย
มีชีวิตอย่างสม่ำเสมอ เป็นไปอย่างเอกภาพ อยู่ในเอกภพอย่างเอกบุรุษหรือเอกสตรี
นี่คือความหมายของพระธรรมที่ทำให้เรามีศิลปะในการชีวิต ชีวิตนี้มีศิลปะ
นอกจากนี้พระธรรมยังทำให้เราสลัด ตัดหลุด และไม่ปล่อยให้อะไรมาฉุดให้อยู่
ปลดปล่อยวิญญาณสันดานเราให้มีเสรีภาพและมีอิสระ ไม่ตกเป็นทาสของอะไรๆ
เรื่องที่ทำ คำที่พูด สูตรที่คิด การงานและหน้าที่ ผู้มีพระธรรมจะรู้จักวาง ปล่อย เบา
ถึงเวลาทำก็ทำด้วยสุดหัวใจ ถึงเวลาวางก็ปล่อย ไม่เก็บงำไปทำชั่วชีวิต
มันจึงเป็นองค์กรหรือองค์ประกอบชีวิตให้ได้ดีมีประสิทธิภาพสูงสุด
รวมๆ ก็คือคนที่ศึกษาพระธรรม เรียนรู้พระธรรม ปฏิบัติธรรม จะต้องมีกระบวนการ
แต่สิ่งที่เราเห็นในพระศาสนา ข่าวคราวที่เสียหายเพราะคนเหล่านั้นเรียนพระธรรมเพื่อสอบ
เพื่อจดจำแต่ไม่ได้ลงมือกระทำ จึงไม่ได้อานิสงฆ์จากการปฏิบัติธรรม
เราไม่จำเป็นต้องเรียนพระธรรมวันละหลายสิบเล่ม ไม่ต้องเรียนทั้ง 84,000 ข้อ
เอาแค่คำว่า สติ ความระลึกได้ สัมปชัญญะความรู้ตัว ในหน้าแรกของพระบวชใหม่
เพียงเรียนหน้าเดียวนี้อานิสงฆ์ของความมีสติ การทำ พูด คิดจะไม่ผิดพลาดเลย
แค่เรียนและปฏิบัติคำว่าสติเพียงอย่างเดียวนี้ ความกาลี อัปรีย์ จัญไร จะไม่ปรากฏเลย
แต่ทุกวันนี้ เรียนเพื่อสอบเฉยๆ ได้ปริญญาหลายสิบใบแต่พึ่งตัวเองไม่ได้
เรากำลังเรียนไกลเกินไปหรือเปล่า เรียนสิ่งที่ไม่ใช่ชีวิต เรียนแล้วใช้ไม่ได้ พึ่งตัวเองไม่ได้
ถ้าเราเรียนอย่างนี้ก็เป็นขี้ข้าเขาทั้งชาติเพราะพึ่งตัวเองไม่ได้
ฉันไม่เข้าใจว่าพวกนักวิชาการเขาคิดอะไรกัน