13 ส ค 2556  วิหารธรรม โดย องค์หลวงปู่พุทธะอิสระ 7.21 นาที
(กราบ)
เจริญธรรม เจริญสุข ท่านสาธุชนคนไอทีที่รักทุกท่าน

วันนี้ก็คงจะต้องมาทบทวนเรื่อง วิหารธรรม คือ

ธรรมอันเป็นเครื่องอยู่ของศาสนิกชนพุทธบริษัททั้ง

หลาย ที่เคยได้ให้โอวาทไว้ในช่วงเข้าพรรษาว่า ให้

สติพิจารณา สัพเพ ธัมมา อนัตตา ติ, สัพเพ ธัมมา

อนิจจา, สัพเพ ธัมมา ทุกขา ก็คือ มีสติพิจารณา

ความเป็นไปในสภาพธรรมทั้งปวง
คำว่า สัพเพ ธัมมา คือ ธรรมทั้งหลายทั้งปวง
อนัตตา คือ ไม่มีตัวตน
อนิจจา ก็คือ ความไม่เที่ยง
ทุกขา ก็คือ มันเป็นทุกข์
งั้น การที่เรามีสติระลึกอยู่เนืองๆ เรื่อง ธรรมทั้งปวง

มันไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน เป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวง ไม่มี

ตัวตน ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มันก็จะทำให้จิตเราถอนซึ่ง

ตัณหาและอุปาทาน ความยึดถือในธรรมทั้งหลายทั้ง

ปวง
คำว่า ธรรมทั้งหลายทั้งปวง นี่มันหมายรวมไปถึง

ธรรมในส่วนที่เป็นกุศลและธรรมในส่วนที่เป็นอกุศล

แต่กระบวนการที่จะรับรู้ได้ถึงคำว่า ธรรมทั้งหลาย

ทั้งปวงไม่มีตัวตน ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ได้นั้น ไม่ใช่อยู่

ดีๆ แล้วมันจะรับรู้ มันต้องสั่งสม อบรม ตัวรู้ ก่อน

แล้วกระบวนการสั่งสมอบรม ตัวรู้ ก็คือ การสร้างสติ

ซึ่งสติเนี่ย พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแยกแยะเอาไว้ 2

สถาน หรือ  2 ชนิด ก็คือ มิจฉาสติ กับ สัมมาสติ
มิจฉาสติ ก็คือ สติที่เราหาอยู่หากิน หาเลี้ยงดูครอบ

ครัว เอาชีวิตรอด หรือว่า ไม่รอด อะไรก็ตามที แม้

กระทั่ง การดำรงค์ชีวิตอยู่ในการที่จะคดโกงเค้า

สำเร็จประโยชน์ ปล้นเค้าได้ประโยชน์ หรือว่า ทำไร่

ไถนาเหล่านี้ ก็จัดว่าเป็นมิจฉาสติ เหตุผลก็เพราะว่า

ยังเป็นสติที่ยังสัมปยุตไปด้วยอวิชชา ตัณหา และ

อุปาทาน คือ ยังประกอบไปด้วยอารมณ์ของความรัก

ความโลภ ความโกรธ ความหลง ยังประกอบไปด้วย

เจตสิก คือ เครื่องปรุงจิตที่เป็นส่วนอกุศล คือ ไม่ฉลาด
แต่ถ้าเป็นสัมมาสติ ก็คือ สติที่ต้องไม่ประกอบไปด้วย

อารมณ์อะไร มีแต่ ตัวรู้ เฉยๆ ไม่ประกอบไปด้วย

ความรัก ไม่ประกอบไปด้วยความโลภ ไม่ประกอบ

ไปด้วยความหลง ไม่ประกอบไปด้วยโมหะไม่

ประกอบไปด้วยอุปาทานในขันธ์ทั้ง 5 เป็นแต่ ตัวรู้

เรียก สติ ตัวนั้นว่า ท่านผู้รู้
เมื่อเรามี ท่านผู้รู้ ตัวรู้ และพร้อมที่จะ รับรู้ เราจึงจะ

เอา ตัวรู้ ท่านผู้รู้ แล้วพร้อมที่จะรับรู้ ไป รับรู้ เรื่อง

ธรรมทั้งหลายทั้งปวง ทั้งธรรมในส่วนที่เป็นกุศล

และธรรมในส่วนที่เป็นอกุศล เราจึงจะพิจารณาเห็น

สภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริงได้
งั้น สิ่งที่อยากจะเตือนท่านที่รักทั้งหลายว่า ก่อนที่เรา

จะกระโดดข้ามไปพิจารณาเรื่อง สัพเพ ธัมมา

อนัตตา, สัพเพ ธัมมา อนิจจา, สัพเพ ธัมมา ทุกขา

มันจะไม่สำเร็จประโยชน์เลย ถ้าเราไม่มี ท่านผู้รู้ ตัวรู้

และพร้อมรับรู้ นั่นก็คือ ตัวสติ
งั้น จึงจะเห็นได้ว่า ตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา

หลวงปู่พยายามจะพร่ำสอน บอกกล่าว ชี้นำ แล้วก็ตัก

เตือนให้ลูกหลานและท่านที่รักทั้งหลาย พยายาม

สร้างสติให้มากๆ มีสติให้มากๆ เจริญสติให้มากๆ

แล้วก็จะได้รู้จักว่า สติที่เป็นเรื่องถูกต้อง เรียกว่า

สัมมาสติ หน้าตาเป็นยังไง สติที่มันไม่ถูกต้อง เรียกว่า

มิจฉาสติ หน้าตามันเป็นอย่างไร เมื่อถึงคราวเรารู้จัก

ตัวรู้ ท่านผู้รู้ อย่างชัดเจน รู้อย่างโจรก็เรียกว่า รู้ รู้

อย่างนักปราชญ์ก็เรียกว่า รู้
งั้น เราก็จะเลือกคบเอา รู้แบบนักปราชญ์ แต่ รู้แบบ

โจร เราจะไม่รู้ เราจะไม่เลือกที่จะรู้ อย่างนี้เป็นต้น

แล้วก็เอาความรู้ระดับนักปราชญ์ หรือ รู้อย่างนัก

ปราชญ์นั่นแหละ มาพิจารณา สัพเพ ธัมมา อนัตตา,

สัพเพ ธัมมา อนิจจา, สัพเพ ธัมมา ทุกขา เพื่อให้

เห็นว่า ธรรมทั้งหลายที่เรายึดถือกัน ไม่ว่าจะเสียงด่า

เสียงชม เสียงนิยมยกย่อง เสียงสรรเสริญ หรือไม่ก็

สภาพรอบกายเราเนี่ย มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เกิดขึ้น

ตั้งอยู่ ดับไปอย่างไร
แล้วเมื่อเข้าใจตามนี้แล้ว มันก็จะพัฒนาไปสู่

กระบวนการที่สติ เมื่อแกร่งกล้า กล้าแข็งแล้ว มันก็

จะสามารถทำจิตให้ผ่องแผ้ว และผ่องใสได้ เหมือนๆ

กับเมื่อเช้าตอนเดินบิณฑบาตร  ก็เห็นหมาตัวหนึ่ง

ของวัด มันเดินหางตกๆ เหมือนกับป่วย ซึ่งตอนนั้น

กำลังรักษาจิต ทำจิตไม่ให้กระเพื่อมตามอาการที่ตา

เห็น หูฟัง จมูกได้ ลิ้นรับ และกายสัมผัส ใจก็ไปจับอยู่

ที่หมา พอตาเห็นหมา ก็จับอยู่ที่หมา  เอ้อ หมาตัวนี้

ทำไมมันป่วย มันป่วยเป็นเพราะอะไร ทำไมมันถึง

ป่วย แล้วเมื่อป่วยแล้ว มีใครดูแลรักษามั้ย จิตมันก็

เริ่มที่จะสร้างปัญหา สร้างความเศร้าหมอง สร้าง

ความสมเพชเวทนา สร้างความสงสาร สร้างความ

วิตกกังวล แล้วก็สร้างกระบวนการตำหนิติโจทย์ต่อ

ไปว่า สมภารทำอะไรอยู่ พระทำอะไรอยู่ ชาวบ้านทั้ง

หลายเห็นหมาป่วย ทำไมไม่ดูแลรักษา จิตมันก็จะ

กระเพื่อมตามไป ความผ่องแผ้วของจิต มันก็จะหายไป
เดินไปได้สักพัก ก็ระลึกรู้ได้ นึกขึ้นได้ว่า เอ๊ นี่ไม่ถูก

ล่ะ นี่ ไม่ใช่ล่ะ เรากำลังจะเป็นผู้ไปเดินโปรดสัตว์ งั้น

เราต้องแข็งแรงทางจิต แข็งแรงทางกาย แข็งแรง

ทางวาจา และแข็งแรงทางใจ สัตว์ทั้งหลายจะได้เป็น

ที่พึ่ง สัตว์ทั้งหลายจะได้พึ่งพาอาศัยเราได้ เค้าใส่ข้าว

ใส่น้ำให้เรากิน ก็เลยกลับมาดูจิต แล้วก็ทำให้จิต

ผ่องแผ้ว ผ่องใสในขณะที่เดินบิณฑบาตร
กระบวนการอย่างนี้ มันจะไม่เกิดขึ้น หรือจะเกิดขึ้น

ไม่ได้เลยถ้าเราไม่มีท่านผู้ รู้ ตัวรู้ และพร้อมรับรู้

นั่นก็คือ สติและสัมปชัญญะ
งั้น มันต้องฝึกอย่างยิ่ง ต้องพิจารณาอย่างยิ่ง

สั่งสมอย่างยิ่ง พยายามอย่างยิ่ง แล้วก็มีความเพียร

อย่างยิ่ง เหมือนที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสไว้ว่า

วิริเย ทุกขมัจเจติ บุคคลล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร
ขอทุกท่านที่รับชมรายการไอที internet นี้ จง

มีความเพียรตั้งมั่น แล้วก็หมั่นที่จะรักษาสติ สร้างสติ

ทำให้เกิดสติ และเจริญในสติ เพื่อจะนำเอาสติที่เป็น

สัมมาสติ สติที่เป็นนักปราชญ์ราชบัณฑิตไปพิจารณา

ธรรมทั้งหลายทั้งปวงให้ลุล่วง ให้ทะลุปรุโปร่ง ให้เข้า

ใจถึงสภาวะธรรมแล้วเราจะได้ไม่ตกเป็นทาส ไม่อยู่

ในอำนาจของธรรมทั้งหลายทั้งปวงนั้น
เจริญธรรม