14 มี ค 55 18.20 น. ถอดซีดี แสดงธรรม ณ. ธนาคารไทยพาณิชย์
สาขาชิดลม โดยองค์หลวงปู่พุทธะอิสระ
• อุทิศส่วนกุศล เรามีบุญแล้ว จึงอุทิศ
• ธรรมะเบื้องต้น ดูได้จากความเป็นผู้ซื่อตรง
เจริญธรรม เจริญสุข ท่านสาธุชนคนไทยพาณิชย์ และญาติโยมพุทธบริษัทที่รักทุกท่าน
..........
สรุปแล้ว ก็ยังไม่รู้จะพูดเรื่องอะไร ก็เพราะไม่ได้บอกให้พูดเรื่องอะไร
มองหน้าเค้า เค้าก็ถามว่า จะให้ถวายผ้าไตรเลยหรือเปล่า ก็แสดงว่า จะให้กลับล่ะ
ที่จริงแล้ว ลำดับพิธีกรรม ...อันนี้ (โต๊ะหมู่บูชาพระ) เค้าตั้งเอาไว้โชว์หรือ เอาไว้ให้
ใช้ ถ้าตั้งเอาไว้ให้ใช้ ก็ต้องมีการบูชาพระรัตนตรัย จุดธูป จุดทียน ถ้าจุดไม่ได้ เพราะเป็น
ห้องแอร์ ก็ต้องมีการกล่าวคำบูชาพระรัตนตรัย แล้วจึงจะสมาทานศีล เค้าเรียก รับศีล หลัง
จากรับศีล แล้วก็อาราธนาธรรม หลังจากอาราธนาธรรม แล้วจึงจะแสดงธรรม
ก็ที่นั่งงง ก็ไม่รู้จะให้ทำยังไงต่อ ไง
คือ ลำดับพิธีเค้ามี เดิมที เค้ามีลำดับพิธีเป็นอย่างนี้ แต่ว่าไม่จำเป็นเสมอไป แต่ถามว่า
กิจกรรม พิธีกรรมศาสนาเนี่ย มันเป็นกิจกรรมเบื้องต้นที่เราจะเข้าไปสู่ความละเอียดอ่อน
ของจิตใจที่จะไปสู่กระบวนการรับสัจธรรม พุทธธรรม ที่จะทำให้จิตนี้มันสุขุมคัมภีรภาพ
และเยือกเย็นสงบได้
มันเหมือนกับเราล้างหม้อ ล้างจาน เอาไว้ใส่กับข้าว ใส่แกง ถ้าหม้อ จาน มันไม่ได้รับการ
ล้างในเบื้องต้น มันสกปรกซกมก หรือแก้วน้ำมันสกปรก แล้วไปใส่น้ำใส ก็คงจะยาก
เพราะงั้น พิธีกรรม กิจกรรม โบราณเค้าสร้างขึ้น ก็เพื่อจะล้างจิตในเบื้องต้น ทำให้เราเข้าใจ
ที่จะปรับตัวเอง พัฒนาตัวเอง และเตรียมตัวเองที่จะเข้าไปสู่กระบวนการเรียนรู้ ศึกษา สั่งสม
อบรม ปัญญาสืบไป
แต่ถ้าเราจะปฏิเสธเสียเลย เพราะเราเป็นผู้ช่ำชอง เชี่ยวชาญ ชำนาญ แก่กล้า วิชาเยอะแล้ว
ถึงเวลา ก็เอาล่ะ นิมนต์เทศน์ ลุยเลยหลวงพ่อ ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่เป็นไร ก็บอกกันก็แล้วกัน
อาตมาจะได้ลุยมันจบๆ แต่นี่ ไม่บอกอะไร แล้วถามว่า จะถวายจีวรหรือยัง ก็ยังงง สุดท้าย
ก็ยังไม่รู้ เค้าจะให้มาพูดเรื่องอะไร ให้มาพูดเรื่องอะไร
(ธรรมะกับชีวิตประจำวัน)
อ้าว ก็ลอกทางนู้นเค้ามาสิ
.....
ก็รวมกันซักวันที่เดียวกันก็ได้ ไม่ต้องเดือดร้อนพระมาหลายเที่ยว อ้าว เค้ามีสายต่อมา
พ่วงมาหรือเปล่า
ไม่มีเหรอ
ตอนเสื้อแดง ก็ไม่นิมนต์มา
ที่จริง วันนี้ ชั้นไม่ค่อยสบาย เพราะปวดหัวเยอะมาก แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะเมื่อคืน ก็กลับดึก
เดี๋ยววันนี้ ก็คงกลับดึกอีกแหละ
เดี๋ยวชั้นเปิดโอกาสให้คุณถามปัญหาดีกว่า ใครอยากถามอะไร อะไรที่อยากถาม อยากคุย
ถ้าจะพูดธรรมะกับชีวิตนี่
มันต้องถามว่า ทำอะไร ธรรมะข้อไหน คุณมีหน้าที่อะไร และจะไปใช้อย่างไร
งั้น ที่นั่งอยู่นี่ ก็มีหลากหลายหน้าที่ หลายภาระกรรม
งั้นธรรมะ มันก็จะไม่เหมือนกันล่ะ แต่ละคนก็จะไม่เหมือนกัน
บางคนก็เป็นคนหลงๆ ลืมๆ ขี้หลงขี้ลืม มีธรรมะ ก็คือ มีสติ
บางคนไม่ใช่ขี้หลงขี้ลืม แต่ขี้น้อยใจ ขี้โมโห ขี้ฉุนเฉียว อ้ายอย่างนี้ ก็ต้องมีเมตตา
อ้ายบางคนเป็นคนที่มักง่าย มักมาก อยากได้ อย่างนี้ ก็ต้องรู้จักมีจาคะ การบริจาต รู้จักเสีย
สละแบ่งปัน และมีน้ำใจ
งั้น รวมๆ สรุปก็คือ ธรรมะกับชีวิต แต่ละชีวิต มีธรรมะแตกต่างกัน แต่ละคนมีความจำเป็น
ที่จะต้องศึกษา เรียนรู้ เพราะธรรมะ โดยคุณศัพท์ แปลว่า เครื่องชำระ เครื่องฟอก คนเรียน
รู้ธรรมะ ก็ต้องแสดง เราต้องรู้ว่า เรามีความสามารถ มีมลทิน มีของที่ไม่ดีอยู่ในใจเรา
ขนาดไหน อย่างไร และชนิดใด เราจึงต้องอาศัยผงซักฟอก อาศัยกระดาษทราย หรือ
อาศัยฆ้อน อาศัยเครื่องเจียหิน เพื่อจะไปเอาของไม่ดีออก
งั้น ธรรมะมันจึงแตกต่างกัน เหมือนดังกระดาษทราย ผงซักฟอก หรือน้ำ หรือเครื่องเจีย
หรือฆ้อนทุบ ธรรมะกับสิ่งทำความสะอาดเหล่านี้ ไม่ได้แตกต่างกัน แต่ที่มันแตกต่างก็คือ
คนที่จะมาใช้กับมันว่า เรารู้ไม๊ว่า กิเลสเราระดับนี้ เราจะใช้ฆ้อนทุบหรือ จะใช้กระดาษ
ทรายขัด หรือจะใช้น้ำสะอาดเฉยๆ
ถ้าใช้คำว่า ธรรมะกับชีวิต มันก็คงตอบโจทย์ไม่ได้ เพราะในที่นี้ ไม่ใช่มีชีวิตเดียว มันมีตั้ง
หลายชีวิต แล้วแต่ละชีวิตก็มีธรรมที่แตกต่างกัน มันต้องใช้กระบวนการชำระที่แตกต่างกัน
แต่ถ้าฟังให้มันเพลินๆ ไป ให้มันจบเวลาไป โดยไม่คิดว่า จะมาแก้สถานการณ์ แก้ปัญหา
ของตนได้ ก็ได้แต่ฟังเฉยๆ เพราะมันไม่ตรงใจ ไม่ตรงประเด็น ไม่ตรงวิถีทางที่เราจะไป
ชำระล้าง มันเหมือนกับเราปวดหัว แต่เราไปเอายาหม่องทาหัวแม่โป้งตีน มันหัวเหมือนกัน
แต่มันคนละหัว หัวแม่โป้งเท้าอย่างนี้ มันก็ไม่ได้
งั้น มันก็เลยต้องหาวิธีว่า เอาให้ตรงใจเราดีกว่า ใครมีปัญหาอะไร ถามเถอะ ใครสงสัยอะไร
อยากรู้อะไร ต้องการจะเรียนรู้ศึกษาอะไร แต่ละคนมีความต้องการและปรารถนาแตกต่าง
กัน ก็ให้ถามแล้วกัน ชั้นจะพยายามตอบเท่าที่ตอบได้ เชิญ
ปุจฉา ช่วงที่ผ่านมา อ่านหนังสือธรรมะเยอะมาก จนเริ่มรู้สึกเบื่อทุกอย่าง รู้สึกทำอะไรก็
ไม่มีประโยชน์ ไม่มีสาระอะไร อยากตายขึ้นมาอย่างจริงจัง กลัวมาก เพราะไม่เคยรู้สึกมา
ก่อน เคยได้ยิน ฆ่าตัวตาย ต้องฆ่าไปอีก 50 ชาติ มีความสับสน งงกับโลกว่า ทุกอย่าง
เป็นมายาไปหมด...
วิสัชนา คุณอ่านหนังสืออะไร
ผู้ถาม ก็หนังสือธรรมะ หลายเล่มครับ เล่มนู้น เล่มนี้
หลวงปู่ แต่ไม่เคยอ่านของวัดอ้อน้อย ใช่ไม๊ ถ้าคุณอ่านของวัดอ้อน้อยแล้ว คุณจะอยากมี
ชีวิต ลองไปเปลี่ยนแนวอ่าน ก็ดี
ผู้ถาม ผมว่า มีอะไรผิดพลาดอยู่
หลวงปู่ ผิดพลาดตรงที่ไม่ได้อ่านหนังสือวัดอ้อน้อย
นี่ ไม่ได้มาประกาศขายหนังสือ เพราะชั้นพูดเสมอว่า มีชีวิต มีลมหายใจได้พลัง ใช้พลัง
สร้างสรรค์การงาน หมดชีวิต สิ้นลมหายใจ ไร้พลัง ก็ยังดำรงผลงาน
งั้น ชีวิตคือ การเรียนรู้ศึกษา ชีวิต มันคือกระบวนการที่ต้องบริหารจัดการและพัฒนา ถ้า
เมื่อใดที่เรามีชีวิต และไม่เรียนรู้ศึกษา ไม่บริหารจัดการ และไม่พัฒนา มัน คือสิ่งที่ไร้ชีวิต
มันเหมือนกับก้อนหิน ยืนอยู่ นั่งอยู่ เดินอยู่ นอนอยู่ มันไม่มีคุณค่าอะไรมากไปกว่าก้อน
หินข้างทาง
งั้น นี่คือ ความหมายของคำว่า คุณยังไม่ได้อ่านธรรมะของวัดอ้อน้อย ถ้าคุณอ่านธรรมะ
หรือหนังสือธรรมะของวัดอ้อน้อย คุณจะรู้คุณค่าของชีวิตว่า มันมีมากมายเกินกว่าที่จะคิด
แค่มีลมหายใจ มีพลัง แล้วคุณไม่ใช้พลังสร้างสรรค์การงาน ก็เหมือนกับคุณมีชีวิตอยู่
เหมือนกับ เคยฟังไก่ขันตอนเช้าไม๊ ถ้าคุณอ่านหนังสือธรรมะ วัดอ้อน้อย คุณจะรู้ว่า ไก่ขัน
ตอนเช้า เค้าบอกว่า ภาษาไก่ขันตอนเช้าเค้าร้องว่า โอ๊ก อี โอ๊ก โอ๊ก ถ้าแปลเป็นภาษาไทยก็
อยู่ไป ก็รกโลก จะรู้อย่างนี้
เพราะมีชีวิต มีลมหายใจ ได้พลัง แต่ไม่เอาพลังมาสร้างสรรค์การงาน กลับกินๆ นอนๆ
แล้วพ่นลมออกไปกับสิ่งไร้สาระ แสดงว่า ชีวิตนี้ ไร้ค่ามาก ไม่เห็นคุณค่าของการมีชีวิต
คุณลองหลับตา ถามแม่คุณก็ได้ว่า กว่าจะเบ่งคุณออกมาจากท้องนี่ ลำบากขนาดไหน
แล้วกว่าจะเลี้ยงคุณโตในท้อง ใช้เวลาตั้ง 9 เดือน ไม่ต้อง 9 เดือน คุณลองเอาบาตรหนักๆ
สักประมาณ 1 กิโล แล้วมาผูกไว้ที่ท้องสัก 9 เดือน แล้วคุณจะรู้สึกว่า แม่คุณลำบาก
ขนาดไหน
ชั้นเคยสอนเณรนะ เณรที่ไปบวชที่วัด เณรเค้าได้รับสินบนจากแม่ แม่เค้าทำงานการบินไทย
เป็นพนักงาน แล้วก็มีลูกเป็นวัยรุ่น แม่เค้าไม่ค่อยมีเวลาดูแลลูก ก็อยากให้ลูกมาบวช พระ
จะได้สอน หลวงปู่จะได้สั่ง ไม่รู้เค้าตกลงกันอีท่าไหน พอถึงเวลาใกล้สงกรานต์ เณรก็
โทรศัพท์เรียกแม่มา แม่ก็มาเยี่ยม โยมแม่ เณรจะสึกแล้ว โยมแม่ก็บอก อยู่ต่อไปอีก ลูก
อย่าเพิ่งสึกเลย เวลายังอยู่อีกตั้ง 15 วัน เพราะที่นี่เค้าบวชเดือนหนึ่ง
อ้าว ก็ไหนบอกแล้วไงว่า ยอมบวชให้ จะสึกเมื่อไหร่ ก็ขอให้ได้สึก พูดไม่รู้เรื่องเลยหรือไง
มันตวาดแม่มัน เราก็ฟัง
พอตกเย็น หลวงปู่ก็ประกาศ ตอนนั้นมีเณรบวช 300 กว่าองค์
เณร ไปหาบาตรมา หลวงปู่ให้เณร 300 กว่า หาก้อนหินหรือหาผ้า หาอะไรยัดใส่ไว้ใน
บาตร แล้วไปชั่งให้ได้ 1 กิโล เสร็จแล้ว ก็เอาผ้าอาบมาด้วย แล้วหลวงปู่ก็ให้มันเอาบาตร
คว่ำใส่ท้องแล้วก็พัน เย็นวันนั้น หลวงปู่ทำให้เณร 300 มีท้องหมดทุกคน ท้องหมดทุก
คนเลย
คุณลองหลับตา นึกดูท้องโตๆแล้วมานั่งคุกเข่า พอกราบที ก็เสียงปุก ท้องมันกระแทกกับ
พื้นไง เพราะบาตรมันโตไง ท้องกระแทกกับพื้น กราบ 3 เที่ยว ก็ 3 ปุก ดังลั่นทั้งศาลา
เวลานั่งสวดมนต์ ก็นั่งไม่ได้ มันจะคุกเข่าก็ไม่ถนัด ของมันถ่วงอยู่ที่ท้อง วันนั้น หลวงปู่นำ
สวดมนต์นานผิดปกติ ประมาณซักชั่วโมงกว่า มันก็บิดไปบิดมา เราก็สังเกตดู
พอถึงเวลาสวดมนต์จบ มันก็มาขอ หลวงปู่ครับ ผมขออนุญาตเข้าห้องน้ำ
ไปสิ
ผมจะไปขี้ครับ
เอ้า ก็ไปสิ
บาตรครับ
มันก็ชี้ ท้องๆ ก็ที่วัดมันไม่มีส้วมนั่ง มันมีส้วมยองๆ แล้วส้วมยองๆ ท้องโตๆ มันนั่งไม่ได้
มันค้ำหัวเข่า มันก็ชี้ไปที่ท้อง
ท้อง ทำไม
ก็ท้องโตอย่างนี้ ไปนั่งขี้ได้ยังไง แล้วจีวร สบง
เราก็เลยถาม อีตอนแม่มึงปวดท้องขี้ เค้าเอามึงออกก่อนเข้าไปนั่งขี้หรือเปล่า ถามว่า ส้วม
บ้านเป็นไง
ส้วมบ้านผม ก็เหมือนกับส้วมวัด
ตอนแม่มึงท้องมึง งั้น แม่มึงงัดมึงออกก่อนไปนั่งขี้หรือเปล่า
ไม่ครับ
เออ อย่างนั้น มึงก็ไปนั่งขี้ให้ได้แล้วกัน
มันหายไปพักหนึ่ง กลับมา กลิ่นหึ่งมาเลย
คืนนั้นทั้งคืน หลวงปู่ให้รัดอยู่ทั้งคืน ผลปรากฏว่า กลางคืนมันนอน ปกติ เด็กๆ ก็รู้อยู่ มัน
ไม่นอนปกติ บางคนก็ชอบนอนคว่ำ บางคนก็นอนตะแคง บางคนก็นอนหงาย แต่พอมัน
ดิ้นทีไร ก็เสียงดังปุกปักๆ ท้องมันอัดกับพื้นไง
สุดท้าย เช้าขึ้นมา เราก็นำสวดมนต์ เณรรู้สึกเป็นไงบ้าง
ลำบากครับ
คืนเดียว มึงก็บ่นลำบาก แล้วแม่มึงตั้ง 9 เดือนเนี่ย แม่มึงท้องอยู่ตั้ง 9 เดือน ขนาดมึง
คืนเดียว ท้องคืนเดียว ยังลำบากขนาดนี้ แล้วแม่มึงท้องมึงตั้ง 9 เดือน ไม่ลำบากยิ่งกว่านี้
เหรอ แล้วใครช่วยปลดเปลื้องความทุกข์ของเค้า แค่ที่จะบวชให้แม่ซัก 15 วัน เดือนหนึ่ง
ปีหนึ่งกูว่ายังไม่พอด้วยซ้ำไป กับการที่มึงแค่ท้องแค่คืนเดียว มึงยังบ่น ทุกอย่างลำบาก
ขนาดนี้
เช้ารุ่งขึ้นอีกวัน แม่มา แม่ ลูกเณรไม่สึกแล้ว อยู่ต่อจนครบ
แล้วตอนหลัง มันโตขึ้นแล้ว มันก็มาบวชพระต่อ
งั้น คุณค่าของชีวิต มันดูอยู่ตรงไหน ต้องดูลึกไปถึงตอนที่เราอยู่ในท้องแม่ว่า แม่เลี้ยงดูเรา
ทะนุถนอม แล้วเราได้ให้อะไรกับแม่บ้างหรือยัง เราได้ทำอะไรให้แม่มีความรู้สึกภาคภูมิ
ยินดีเป็นสุข ภูมิใจที่มีลูกอย่างเรา แล้วทำให้เค้ารู้สึกปลาบปลื้มปิติ มีความสุขสมบูรณ์กับ
ภาระกรรมและหน้าที่ที่เราได้กระทำ เป็นลูกกตัญญูครบสมบูรณ์แล้วหรือยัง
ถ้ายัง แล้วจะมาฆ่าตัวตาย ไม่ใช่ห้าสิบชาติที่ไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์
ห้าร้อยชาติ
เพราะอะไร ก็เพราะอัตภาพมนุษย์เราไม่อยากได้ เมื่อไม่อยากได้ ก็ไม่ควรจะได้ ก็อยู่เป็น
เดรัจฉานต่อไป 500 ชาติ เป็นหนอนขี้ เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัมภเวสี แต่มนุษย์น่ะ
ไม่มีสิทธิ์ได้ เพราะอะไร
ก็เพราะคุณไม่ชอบไง ไม่ชอบอัตภาพความเป็นมนุษย์ ก็ไม่ควรจะได้ แล้วมนุษย์นี่ ไม่ใช่
เลวร้ายนะ เพราะเทวดา เวลาเค้าหมดบุญ เค้าจะขอพร พวกเทวดาทั้งหลาย เวลาเค้าหมดบุญ
เค้าจะมีกลิ่นตัว มีเหงื่อซึม เค้าจะมีสีผิวกายเศร้าหมองลง เค้าจะมีพฤติกรรมคือ อยากอาหาร
ต้องการกินอาหารมากขึ้นรวมๆ สรุปก็คือ เป็นสัญลักษณ์ของการหมดบุญของเทวดา แล้ว
พวกเทวดาเวลาหมดบุญ เพื่อนเทวดาเค้าจะมารวมกันแล้วให้พร
พรของเทวดา เค้าจะให้กันแค่ 3 ข้อ
ขอท่านจงไปสู่สุขคติ
ขอท่านจงเป็นผู้มีโชค
แล้วก็ ขอท่านจงเป็นผู้รุ่งเรือง
แล้วสุขคติของเทวดา ไม่ได้เกิดในชั้นเทวดาสูงขึ้น หรือชั้นพรหม แต่จงเป็นมนุษย์
พวกเทวดานี่ ถือว่า เพศของมนุษย์เป็นเพศสุขคติภพ
เพราะอะไร
มันเลือกทำดี ก็ได้ เลือกทำชั่ว ก็ได้
ถ้าคนฉลาด ก็เลือกทำแต่ดี ละชั่ว
อ้ายคนโง่หน่อย ก็ทำชั่ว ปฏิเสธดี
เพราะงั้น ความเป็นมนุษย์นี่ มันมีโชคด้วย
โชคขั้นต่อมา คือ ได้พบปราชญ์ พบบัณฑิต พบครูบาอาจารย์ พบพระพุทธเจ้า พบพร
อรหันต์ แล้วก็พบศาสนาของผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
อย่างนี้ ก็ถือว่า เป็นผู้มีโชค
รุ่งเรืองก็คือ ได้ฟังธรรมจากท่านผู้รู้เหล่านั้น แล้วมีสติปัญญารุ่งเรือง เจริญ
นี่คือ พร 3 ข้อ ที่พวกชาวสวรรค์เค้าให้พรกัน
งั้น ถ้าวันนี้ เราเป็นมนุษย์ แล้วเราบอกว่า เราอ่านหนังสือธรรมะ แล้วเราจะฆ่าตัวตาย ธรรม
เมาหรือเปล่า อ่านผิดวัดมั๊ง ลองเปลี่ยนไปอ่านวัดอ้อน้อยดูบ้าง เผื่ออยากจะมีชีวิตอยู่ จบ
ใครจะถามอะไรอีกไม๊ ไมค์มี
ปุจฉา กรณีที่คุณแม่เสียชีวิตไปแล้ว จะทำบุญด้วยวิธีใดที่จะส่งผลบุญให้ถึงคุณแม่ได้ ให้
ได้อยู่ในภพภูมิที่สูงขึ้น
วิสัชนา อีตอนมีชีวิตอยู่ได้เลี้ยงดูท่านไม๊
ผู้ถาม ทำ ในฐานะของลูกได้ดีที่สุดแล้วค่ะ
หลวงปู่ งั้น ก็ภาคภูมิใจได้แล้ว บางคนตอนแม่มีชีวิตอยู่ ปีหนึ่งโผล่ไปครั้งหนึ่งให้เห็นหน้า
เดือนหนึ่ง โทรศัพท์ไปเที่ยวหนึ่ง หรือไม่ก็บางที ไม่เคยเห็นหน้าเลย แต่พอตาย ก็มาเคาะ
ข้างโลง แม่ กินข้าว แม่กินน้ำ ซึ่งไม่ได้ประโยชน์อะไร
ณ.วันนี้ ถ้าแม่เราตายขณะเรามีชีวิตอยู่ แล้วเราทำภาระกรรมและหน้าที่ของเราสมบูรณ์
แบบ และแม่เราไม่ได้มีกรรมอันหนัก ซึ่งเป็นอุปฆาตกรรม และมีความภาคภูมิใจกับการที่
เราเป็นลูกที่ดี ทำให้แม่ไปสู่สุขคติได้นะ แม้จะใช้คำว่า สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม กรรม
ย่อมจำแนกสัตว์ให้ดีชั่วเลวหยาบ เรามีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่
มา และมีกรรมเป็นที่ไป พ่อแม่เราก็หนีวัฏฏะแห่งกรรม ห้วงแห่งกรรมนี่ ไม่พ้นหรอก
งั้น ถ้าถามว่า เราจะทำบุญอย่างไร จะอุทิศผลบุญให้กับแม่ได้ ก็ทำบุญตามกาล ตามสมัย
หรือไม่ก็ใส่บาตร เวลาที่เราสามารถที่จะทำได้ตามเหตุตามปัจจัย ใส่บาตรแล้วก็อุทิศส่วน
กุศล
ส่วนจะได้ ไม่ได้ อย่าไปคิด คิดแล้วมันปวดหัว ปวดหมอง
ถามว่า เพราะอะไร
เพราะพระพุทธเจ้าบอกว่า เป็น อจินไตย เป็นเรื่องที่ยากที่จะไปวิเคราะห์
ด้วยเหตุผลว่า มนุษย์หรือว่าสัตว์ที่ตายแล้ว ไม่มีว่าไม่เป็นเปรต
บุญของญาติที่จะอุทิศให้ จะต้องเป็นเปรต แล้วจึงจะได้
เพราะสัตว์นรก มีความทุกข์เป็นอาหาร
สัตว็เดรัจฉาน ก็มี ก้อนข้าว และหยดน้ำ
อสุรกาย ก็มี มูตรคูต อุจจาระ และปัสสาวะ เป็นอาหาร
เทวดา ก็มีผลบุญของญาติ เป็นอาหาร
แล้วก็อีกประเภท คือ เปรต 11 ประเภท
เทวดาก็จัดเป็นเปรต หนึ่งในจำพวก 11 ประเภทที่ได้รับบุญจากญาติ
งั้น เราก็ไม่รู้ว่า แม่เรา พ่อเรา บุพการีเรา จะไปเกิดในที่ใด
ก็ทำเอาเฮอะ ส่วนจะได้ ไม่ได้ ก็อยู่ที่อัตภาพ
แล้วถามว่า ไม่ได้ แล้วบุญเราจะหายไม๊
ไม่หายนะ คุณ
เมื่อถึงคราวที่เค้ามาอยู่ในอัตภาพนั้น เค้าก็จะมาดูว่า เออ ญาติเรามีทำบุญให้บ้างไม๊
เออ ถ้ามี เค้าก็จะรับไป
แต่ถ้าไม่มี ก็อดไป
งั้น ไม่ต้องห่วงว่า ทำบุญแล้ว พ่อแม่เราจะไม่ได้รับ
แต่ถ้าว่า จะรับช้า รับเร็ว ก็อยูที่อัตภาพเค้าพร้อมจะรับหรือไม่
ในขณะที่เค้าเป็นเดรัจฉาน เป็นสัมภเวสี อย่างนี้ ไม่ได้รับนะ
เพราะเดรัจฉาน มันมีก้อนข้าวหยดน้ำเป็นอาหารนะ
บุญของเราก็ยังไม่หมดนะ รอไปจนกว่าญาติเรา บิดา มารดา หรือบุพการีเราจะสิ้นชีพลง
แล้วก็ไปเกิดในภพภูมิที่พร้อมจะรับบุญได้ จบ
มีใครถามอะไรไม๊
ปุจฉา สวดมนต์ในใจได้ไม๊คะ
วิสัชนา ได้ทั้งนั้นแหละ คุณ ถ้าสวด บางทีบางครั้ง สวดมนต์ด้วยปาก แต่ใจไม่อยู่กับมนต์
เค้าก็ไม่เรียกว่า สวด แต่ถ้าสวดมนต์แล้ว มีใจรวมกับมนต์ มนต์กับใจรวมเป็นหนึ่ง อย่างนี้
เค้าเรียกว่า มนุษย์มีมนต์ ไม่ใช่มนุษย์ต้องมนต์
งั้น การสวดมนต์ ไม่จำเป็นต้องตะโกนเสียงดัง แต่การสวดเสียงดัง ก็เป็นเรื่องการฝึกลิ้น ฝึก
วิธีการอ่านอักขระ ฝึกการออกเสียงให้มันถูกต้อง
มันก็ไม่ได้มีข้อจำกัดว่า จะต้องสวดเสียงดัง หรือสวดในใจ สวดในใจ ก็เป็นภาวนาอย่างหนึ่ง
สวดเสียงดัง ก็จัดเป็นภาวนาอย่างหนึ่ง ไม่ได้เสียหาย จบ
ปุจฉา อุทิศส่วนกุศลกับแผ่เมตตา ต่างกันอย่างไร
วิสัชนา แผ่เมตตานี่มันเป็นเรื่องของจิต จิตที่เป็นอารมณ์ สภาวะที่มีความปรารถนาดี รัก
และปรารถนาให้สัตว์ทั้งปวงเป็นสุข พ้นทุกข์ร้าย
แต่อุทิศส่วนกุศลนี่มันเจาะจงบุคคลเป็นผู้รับ เช่น เราอุทิศส่วนกุศลให้กับพ่อแม่ กับญาติ
กับบุคคลผู้ใกล้ชิด กับบุพการี กับผู้มีคุณ
ส่วนแผ่เมตตานี่ ไม่จำกัดบุคคล ใครก็ได้ที่มารับของเรา
อุทิศส่วนกุศลส่วนใหญ่ เค้าจะเรียกรวมว่า อุทิศส่วนกุศล แล้วก็แผ่เมตตา
แต่จริงๆ แล้ว แผ่เมตตาไปโดยกว้าง มันมีความกว้างขวาง ไม่เจาะจงบุคคลหรือสัตว์ เป็นผู้
รับ
แต่อุทิศส่วนกุศล ส่วนใหญ่ เค้าก็จะขอผลบุญนี้ จงสำเร็จแก่ญาติ ของญาติชื่อนั้นชื่อนี้ จงมา
รับผลบุญของเรา อย่างนี้เป็นต้น
มันจะแตกต่างกันอย่างนี้ แล้วส่วนใหญ่ อุทิศส่วนกุศล เรามีบุญแล้ว จึงอุทิศ เหมือนกับมี
ตังค์ในกระเป๋า แล้วจึงให้ จึงบริจาค แต่แผ่เมตตา ไม่จำเป็นต้องมี เช่น เราตั้งความ
ปรารถนาดีต่อบุคคลทั้งหลาย ทั้งมิตร แม้กระทั่งศัตรู มีความรักอันเสมอกัน อย่างนี้เค้า
เรียกว่า เป็นผู้เจริญเมตตาและแผ่เมตตา จบ
ปุจฉา เวลาเราสวดมนต์เพื่อให้จิตใจสงบ มีสมาธิ มีสติ ไม่ฟุ้งซ่าน ควรทำอย่างไรคะ
วิสัชนา ก็อยู่กับมนต์ ปากสวดมนต์ ใจรู้มนต์
ผู้ถาม คือเวลาสวดมนต์ ใจมันไม่อยู่กับมนต์
หลวงปู่ ก็นี่แหละ มันเลยไม่ได้เป็นผู้สวดมนต์ไง ก็แสดงว่า เราโกหกพระพุทธเจ้า โกหก
พระพุทธรูป โกหกตัวเอง เพราะเราไม่ซื่อตรงต่อตัวเอง ด้วยเหตุผลว่า เราไม่ฝึกที่จะซื่อตรง
บางที ใจคิดเรื่องหนึ่ง ปากพูดอีกเรื่องหนึ่ง แล้วก็มือไปทำอีกเรื่องหนึ่ง มันก็เลยชีวิตเราก็
คนละเรื่องตลอด ถ้าคิดอย่างไร ทำอย่างนั้น ทำอย่างไร พูดเช่นนั้น คิด ทำ พูดเรื่องเดียวกัน
เราก็กลายเป็นคนตรงไป ตรงมา เป็นผู้ซื่อตรง
ธรรมะเบื้องต้น ดูได้จากความเป็นผู้ซื่อตรง
แต่ถ้าหากว่า ไม่ซื่อตรง แล้วบอกว่า เป็นผู้มีธรรมะขั้นสูง
ไม่ใช่ มันสอบไม่ผ่านตั้งแต่ขั้นแรก
คนมีธรรมะเบื้องต้น ต้องตรงไปตรงมา ต้องซื่อตรง ไม่ใส่หน้ากาก ไม่เสแสร้ง ไม่ต้อง
แกล้งสาธยาย แต่มันตรงไปตรงมาจริงๆ ใจคิดอย่างไร ปากพูดอย่างนั้น ปากพูดอย่งไร มือ
ก็ทำเช่นนั้น คิด ทำ พูด เรื่องเดียวกัน จบ
ปุจฉา ถ้าอยากบวช แต่ต้องดูแลพ่อแม่ ควรทำอย่างไรครับ ระหว่างทางโลกกับทางธรรม
วิสัชนา ก็ไม่เห็นยากนี่ ทุกวันนี้ แม่ชั้นก็อยู่ที่วัด ไม่ได้เสียหายอะไร พระพุทธเจ้า
อนุญาตกุลบุตรผู้มาบวช เลี้ยงดูพ่อแม่ได้ แต่ไม่ต้องไปเลี้ยงเมีย เลี้ยงเมียไม่ได้ เลี้ยงสีกา
ไม่ได้ เลี้ยงลูกไม่ได้ แต่เลี้ยงดูพ่อแม่ได้ ไม่ได้เสียหาย
สมัยก่อนก็มี ในพระสุตตันตปิฎก ภิกษุผู้เข้ามาบวช พ่อแม่แก่เฒ่าแล้ว แต่ตัวเองมีศรัทธา
และปรารถนาจะพาพ่อแม่พ้นจากทุกข์ภัยแห่งวัฏฏะ บิณฑบาตรได้ ก็แบ่งส่วนหนึ่งให้พ่อ
ให้แม่ ชาวบ้านเค้าก็มาติเตียน ตำหนิ แล้วภิกษุทั้งหลายก็โจทย์จัน พระองค์นี้ บวชแล้ว เอา
อาหารไปเลี้ยงฆารวาส คฤหัส พระศาสดาทรงเรียกมาถามว่า คฤหัส ฆารวาสท่านผู้นั้นเป็น
ใคร เป็นพ่อแม่ พระพุทธเจ้าก็ทรงเปล่งสาธุการ ว่า ดีแล้ว จงทำต่อไป ก็เป็นเรื่องที่บุตร
กตัญญูจะต้องกระทำ
มีบุคคลผู้เดียวที่พระพุทธเจ้าอนุญาตให้พระเลี้ยงได้ ก็คือ พ่อกับแม่ ไม่ได้เสียหาย จบ
ปุจฉา ขออนุญาตถาม 2 ข้อ จากคำถามเมื่อครู่ว่า สวดมนต์ชอบคิด….
หลวงปู่มีวิธีการอะไรแนะนำให้เวลาสวดมนต์ ใจไม่วอกแวก
อีกข้อ ทำบุญ ทำสังฆทาน แล้วลืมไม่ได้กรวดน้ำ...
วิสัชนา ที่จริงการสวดมนต์ ทำให้ใจไม่วอกแวก ว่างๆ อาทิตย์ต้นเดือน อาทิตย์กลางเดือน
ไปที่วัดดูบ้าง ชั้นมีวิธีเยอะแยะที่จะทำให้จิตอยู่กับกาย กายรวมกับจิตโดยที่มันไม่วอกแวก
เราอาจจะสวดมนต์ถอยหลังก็ได้ สวดช้าๆ ก็ได้ นะ โม ตัส สะ ภะ คะ วะ โต 3 จบก็ดีกว่า
อิติปิโส ภควา อรหังสัมมา แล้วไม่รู้เรื่องอะไร ใจเลื่อนลอย เข้าใจหรือเปล่า เออ ช้าๆ แล้ว
ใจมันจะอยู่กับสิ่งที่เราทำ
ชีวิตเรามันเร็วจนกระทั่งกลายเป็นความผิดพลาด แล้วก็รับความผิดพลาดยาวนานจนต่อ
เนื่องจนเป็นนิสัย จนเป็นสันดาน แล้วคิดว่า ความผิดพลาด เป็นเรื่องถูกต้อง เพราะงั้น ทำ
ให้มันช้าลง มันก็น่าจะถูกต้องได้มากกว่ารวดเร็ว
นั่นคือ กระบวนการสวดมนต์ที่ใจจะรวมกับกายได้
ส่วนถวายสังฆทาน แล้วลืมกรวดน้ำ นึกได้เมื่อไหร่ ก็กรวดได้เมื่อนั้น ไม่จำเป็นว่า ทำวัน
นั้นแล้วต้องกรวดวันนั้น ที่เค้านิยมว่า ทำวันนั้นแล้วกรวดวันนั้น ก็เพราะว่า เค้าห่วงว่า ผู้ที่
ต้องการอาหาร ญาติของเราที่วายชนม์ไปแล้ว เค้าจะอดอยาก ก็รีบๆ ที่จะให้ มันเหมือนกับ
เราทำกับข้าว แล้วเอาไปตั้งไว้ที่โต๊ะ แล้วลูกจะมาหยิบ ผัวจะมากิน อย่าเพิ่ง ยังไม่ถึงเวลา
อ้ายประมาณนี้แหละ
มันก็เลยรู้สึกผิดอยู่ในหัวใจ
งั้นก็ ทำร้อนๆ ก็รีบๆ กินซะ ให้มันจบๆอย่างนี้ มันจะมีความรู้สึกไม่ได้แตกต่างกัน จบ
ปุจฉา หลวงปู่ มีคำถาม 3 ข้อ ค่ะ
ข้อแรก จะหายจากโรคที่เป็นอยู่ได้อย่างไร
หลวงปู่ แล้วชั้นจะรู้ไม๊ คุณเป็นโรคอะไร
ผู้ถาม เป็นโรคเครียดค่ะ เบื่ออาหาร
หลวงปู่ เหรอ เครียดลงข้อเลยเหรอ ปวดเมื่อยตามข้อมือ ข้อเท้าไม๊
ผู้ถาม ปวดตรงหัวเข่าค่ะ
หลวงปู่ เครียดลงข้อ เคยว่ายน้ำไม๊
ผู้ถาม เคยค่ะ
หลวงปู่ เออ ไปว่ายทุกวัน ว่ายให้ได้ทุกวัน ว่ายน้ำ เล่นกีฬา เล่นดนตรีเป็นไม๊
ผู้ถาม เล่นไม่เป็นค่ะ
หลวงปู่ เออ ฝึกเล่นดนตรี แล้วก็หากะลามาใบ ไปตีนสะพานลอย จะได้หายเครียด เออ
ใช้ความเครียดเป็นอาชีพไปเลย คือ ต้องอย่าขังตัวเองไว้กับโลกส่วนตัว ให้ไปอยู่กับโลกที่
มันมีพัฒนาการทางวิญญาณและอารมณ์บ้าง คือ เอากายมาเป็นตัวตั้งในการพัฒนาจิต ก็
ว่ายน้ำ เล่นดนตรี เล่นกีฬา เย็บปักถักร้อย แม้ที่สุด ทำสมาธิ สวดมนต์ ก็คลายความเครียด
ได้ จบ
ปุจฉา (คนอื่นถาม)
หลวงปู่ อ้าว ไหนว่าจะถาม 3 ข้อ เอ้อ เครียดจริงๆ นะเนี่ย ไม่บอกก็รู้แล้วล่ะ
ผู้ถาม หลวงปู่คะ ปกติจะเป็นคนกลัว และไม่มั่นใจในตัวเอง
หลวงปู่ นั่นเป็นอาการร่วมของโรคเครียด ที่จริง ไม่ใช่อาการร่วม โรคเครียดมันเป็นปลาย
เหตุ สมมุติฐานของโรคเครียดก็มาจากไม่มั่นใจตัวเอง ความวิตกกังวล ความขี้กลัว ขี้ระแวง
สงสัย แต่หาคำตอบไม่ได้ สุดท้ายก็เครียด
งั้น เราต้องเชื่อในสิ่งที่เรามี รู้จักสร้างความเชื่อมั่นในตัวเอง เชื่อในศักยภาพของชีวิต เชื่อ
ในความรู้ ความสามารถของเรา แล้วก็กล้าทำในสิ่งที่เชื่อ ทำให้ตัวเองรู้สึกมั่นใจในชีวิตตัว
เราเองให้มาก แล้วเราก็จะรู้ว่า ทุกอย่างมันไม่ได้ยากอย่างที่คิด จบ
ข้อ 3 ค่ะ คือ อยากบวชค่ะ แต่ว่า ไม่รู้ว่า
หลวงปู่ บวชอะไร
ผู้ถาม บวชชีพราหมณ์
หลวงปู่ บวชได้ วัดไหน ก็บวชได้ ถือศีล 8 จะไปยากเย็นอะไร มาฆฯ วิสาขฯ
อาสาฬหฯ เข้าพรรษา บวชได้ ก็เลือกวัดหน่อยแล้วกัน เออ ระวังเหมือนคนนี้ อ่านหนังสือผิด
ก็อยากฆ่าตัวตาย บวชผิดวัด ก็อาจจะอยากตาย ก็ได้ ลองเลือกวัดหน่อย จบ
ปุจฉา เคยได้ยิน มีวิธีการเบิกบุญมาใช้ จริงหรือเปล่าคะ ที่เราสามารถเบิกบุญมาใช้ได้
วิสัชนา ใครเป็นคนสอน
ผู้ถาม เคยได้ยิน อ่านในหนังสือ
หลวงปู่ หนังสืออีกแหละ บอกให้เปลี่ยนแนวอ่านบ้าง มาอ่านหนังสือวัดอ้อน้อยบ้าง
แล้วจะรู้ว่า ของจริง คืออะไร แหม ยังกับธนาคารแน่ะ อ๋อ ทำงานธนาคาร เลยต้องเบิกบุญ
ได้มาบ้าง เงินยังเบิกได้ แล้วทำไมบุญเบิกไม่ได้ อ้าว แล้วไปเบิกกับใครล่ะ
ผู้ถาม เค้าบอกให้เราอธิษฐานจิตก็ได้ค่ะ ว่า เราเคยทำบุญ เราสามารถเบิกบุญมาใช้ได้
หลวงปู่ เงินนี่มันยังมีนายธนาคาร มีเสมียนตรา มีผู้ประกอบการ มีผู้เซ็นต์อนุมัติในการเบิก
แล้วบุญนี่ ใครเป็นคนเซ็นต์ล่ะ
ผู้ถาม ไม่แน่ใจค่ะ
หลวงปู่ อ้าว ไม่แน่ใจ แล้วจะไปเบิกกับใคร
ผู้ถาม แสดงว่า ไม่สามารถเบิกได้เหรอคะ
หลวงปู่ แสดงว่า ปัญญาอ่อน อ่อนชัดๆ เลย ไม่มีแข็งเลย จบ
ผู้ถาม มีอีกข้อหนึ่งค่ะ
หลวงปู่ เออ ถามบ่อยๆ เผื่อจะแข็งขึ้นมาบ้าง
ผู้ถาม คือยังไม่สามารถปล่อยวางความทุกข์ในใจได้จากการกระทำผิดของคนอื่น แล้ว
เก็บมาพูด คิดอยู่ในใจตลอด ทำยังไงเราถึงจะเลิกคิด
หลวงปู่ ทุกข์ของเค้า หรือ ทุกข์ของเรา
ผู้ถาม ทุกข์ของเราค่ะ
หลวงปู่ แล้วคนอื่นทำ หรือ เราทำ
ผู้ถาม คนอื่นทำค่ะ
หลวงปู่ ทำกับเราหรือ ทำกับคนอื่น
ผู้ถาม ทำกับเราค่ะ
หลวงปู่ อืม คิดซะให้มันกำไรได้ไม๊ อย่าคิดให้มันขาดทุน
คิดกำไร คือ คิดว่า ชาติก่อนเราทำกับเค้า ชาตินี้เราเลยมาโดนเค้าทำ
งั้น ถ้าจะให้มันหมดสิ้นไป ก็ต้องอโหสิกรรม
มันไม่ใช่เรื่องไม่ใช่ราวที่เราจะต้องมาแบกเอาไว้ ทุกคนน่ะที่นั่งอยู่นี่ ไม่มีใครไม่มีแผลเป็น
มันมีแผลเป็นกันทุกคน ไม่ว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่อย่าทำให้แผลเป็นมันมากจนกลาย
เป็นแผลกลาย แล้วมันจะเป็นเนื้อร้ายที่จะเกาะกินอารมณ์และจิตใจ แล้วก็ชีวิตเรา
งั้น แต่ละคนมีแผลเป็นทั้งนั้นแหละ หลวงปู่ก็มีแผลเป็น ใครๆ ก็มีแผลเป็น แต่ถามว่า แผล
เป็นมันแผลใหญ่ หรือแผลเล็ก แผลกว้าง แผลลึก แล้วถ้าเรามัวแต่นั่งเศร้าเฝ้าแต่เรื่องเก่า
ย้ำทำย้ำคิด สุดท้าย ชีวิตจะมีพัฒนาไม๊
ไม่ มันจะล่าช้า มันจะเหยอะแหยะ มันจะเลวร้าย มันจะหลงไหล มันจะล่มสลาย แล้วสุดท้าย
ใครช่วยเราได้ ดีไม่ดี อ้ายที่ทำกับเรา มันจะสะใจด้วยซ้ำ สมน้ำหน้า เพราะเจตนามันต้อง
การให้เป็นอย่างนี้ แล้วเราก็เป็นอย่างมัน
แสดงว่า เรามีชีวิตอยู่บนฟองน้ำลายที่กระดกบนปลายลิ้นมัน มันจะพูดให้เราเป็นยังไง มัน
จะทำให้เราเป็นยังไง มันจะชี้นำให้เราเป็นยังไง เราก็ต้องเป็นไปตามมัน อย่างนั้นเหรอ
งั้น ชีวิตเราจะมีประโยชน์อะไร
มีชีวิตอยู่ เพื่อให้คนอื่นมาปั่นหัว มีชีวิตอยู่ เพื่อให้คนอื่นมาไขลานเรา แล้วเราจะเดินตาม
กระบวนการปั่นหัว ไขลานเค้าอย่างนั้นเหรอ ทำไมไม่ยืนด้วยสองขาที่แข็งแรง หนึ่งตัวที่
ตั้งมั่น สองมือที่ทำได้ และหนึ่งหัวที่คิดออก และหนึ่งใจที่รับรู้ที่พร้อมที่จะเผชิญต่อทุกอย่าง
อย่างชาญฉลาด และแกล้วกล้า
ลืมมันเสียเถอะ ความทุกข์ หาความสุขที่จะมีในวันพรุ่งนี้ และขณะนี้ดีกว่า และเป็นความ
สุขที่เราสร้างสรรได้ รังสรรได้ ไม่จำเป็นต้องจมปลักอยู่กับแผลเก่าอยู่อย่างนั้น เดี๋ยวมันก็
เป็นแผลกลายไป แล้วสุดท้าย เราจะมีชีวิตอยู่ได้ยังไง
เอ้ย จิ๊บจ๊อย จบ เดี๋ยวก็เช้าแล้ว ลูก อย่าไปคิดอะไรมาก
มีใครถามอะไรอีก
ปุจฉา หนังสือปราณโอสถ เรียนรู้แล้ว สามารถรักษาโรคเครียดได้หรือเปล่าครับ
หลวงปู่ โรคอะไรนะ
ผู้ถาม โรคเครียดครับ
หลวงปู่ ได้ แต่โรคทรัพย์จางไม่ได้
ได้ ได้ง่ายมากด้วย
ผู้ถาม ใช้เวลากี่วันครับ
หลวงปู่ โอ ต้องลองดู แต่ละคนมันไม่เท่ากัน
ผู้ถาม โดยมาตรฐาน คนทั่วไปครับ
หลวงปู่ ไม่มีมาตรฐาน เพราะว่า คนไม่มีมาตรฐาน
คุณก็ปัญหาระดับหนึ่ง นั่งข้างๆ คุณก็อีกระดับหนึ่ง ยิ่งข้างหลังที่ถามเมื่อกี้ เบิกบุญด้วย ก็
อีกระดับ งั้นแต่ละคน มีปัญญาแตกต่างกัน งั้น จะบอก เอามาตรฐานอะไรมาสอนคน
ผู้ถาม โดยหลักของนักวิชาการ
หลวงปู่ อ้ายนั่น มันนักวิชาการ วิชาการที่ชาวบ้านเค้าใช้มาตรฐานในวิถีโลกเป็นตัวตั้ง
พระพุทธเจ้ายังไม่มีมาตรฐานในการฝึกว่า คนๆ นี้ ต้องฝึกกี่วันๆ
มันอยู่ที่กรรมของสัตว์ ปัญญาของคน
อยู่ที่การฝึกฝนตนว่า ได้มาก ได้น้อย
ถ้าถามชั้นว่า มีมาตรฐานอะไร
ก็ต้องถามคุณกลับไปว่า คุณมีมาตรฐานอย่างไร
คุณมีความเพียรอย่างยิ่งไม๊ มีศรัทธาอย่างยิ่งไม๊ มีปัญญาอย่างยิ่งไม๊ มีสติอย่างยิ่งไม๊
ถ้ามีความเพียร มีศรัทธา มีปัญญา มีสติ แล้วมีความตั้งมั่น สมาธิอย่างยิ่งไม๊
ถ้ามีอย่างนี้ ครบ 5 อย่าง เรียกว่า พละ 5 วันนี้ทำ ก็ได้วันนี้
แต่ถ้า 5 อย่างนี้มันไม่มี
ความเพียร ก็เดี๋ยวผลุบๆ โผล่ๆ
ศรัทธา ก็เชื่อบ้าง ไม่เชื่อบ้าง
สติ ก็ไม่ได้ตั้งมั่น
สมาธิ ก็ไม่มี
ปัญญาจะรอบรู้ วิเคราะห์อะไร ก็ไม่ค่อยได้
อย่างนั้น ก็รอไปอีกหน่อย
เพราะงั้น แต่ละคน ใครบอกว่า ที่มีวิชาการแล้วมีมาตรฐานน่ะ
แสดงว่า คนๆ นั้น ไม่รู้จักคน
ถ้ารู้จักคน ก็จะรู้ว่า แต่ละคนมันตกแต่งมาไม่เหมือนกัน
คุณมีลูกไม๊
มีครับ
มีกี่คน
2 คนครับ
แล้ว 2 คนนี้ มันเหมือนกันหมดไม๊
ไม่เหมือนครับ
นั่นสิ เห็นไม๊ ขนาดพ่อแม่เดียวกัน มันยังไม่เหมือนกันเลย แล้วมันจะเอาอะไรกับ
มาตรฐานแต่ละคน แล้วยิ่งร้อยพ่อพันแม่ มันจะเอามาตรฐานอะไรมาเทียบ ไม่มี
เอาเป็นว่า คุณพยายามทำเท่าที่คุณทำได้ด้วยความเพียร ด้วยศรัทธา ด้วยสติตั้งมั่น ด้วย
สมาธิสมบูรณ์ ด้วยปัญญารอบรู้ ชั้นเชื่อว่า คุณสำเร็จได้
ขนาดมหาสติปัฏฐาน 4 พระพุทธเจ้าบอกว่า 7 วันได้ 7 วันไม่ได้ ก็ 7 เดือน 7
เดือนไม่ได้ ก็ 7 ปี 7 ปีไม่ได้ ก็ตามไป 7 ชาติเถอะ ลูก อย่างนี้ เป็นต้น จบ
ปุจฉา ถ้ายังไม่มีโอกาสได้อ่านหนังสือของหลวงปู่ อารมณ์แบบนั้นเกิดขึ้นมา จะมีวิธี
ระงับอารมณ์นั้นอย่างไร
วิสัชนา อารมณ์แบบไหน อุ๊ย ถ้าอ่านหนังสือวัดอ้อน้อยแป๊บเดียว เดี๋ยวก็ไม่มีอารมณ์
ยังไม่มีบุญได้อ่านค่ะ
ยังไม่อ่านหนังสือ ก็ไปใส่เสื้อ
อ้าว ใส่เสื้อวัดอ้อน้อย
อ้าว จริ๊ง คนใส่เสื้อวัดอ้อน้อยนี่ ไม่ฆ่าตัวตายนะ เพราะว่า ในเสื้อเค้าเขียนไว้ว่า
ผู้มีสติในกาย กายไม่ลำบาก
ผู้มีสติในวาจา วาจาไม่ลำบาก
ผู้มีสติในใจ ใจนี้ก็ไม่ลำบาก
ยิ่งอ่านข้างหลัง ยิ่งแล้วใหญ่เลย
ไม่มีอะไร ไม่ได้อะไร ไม่เหลืออะไร กูตายแน่
อ้าว กูตายแน่ๆ แล้วกูจะไปฆ่าให้ตายเร็วๆ ทำไม
ไม่รู้ทำอะไร ก็เอาเสื้อไปใส่ ใส่เสื้อแล้ว ยังไม่รู้สึกดี ก็ซักแล้ว ก็ดื่มน้ำ จบ
ปุจฉา ถ้าไม่ได้กรวดน้ำ เพียงแต่กล่าวอุทิศส่วนกุศล ได้หรือไม่คะ
วิสัชนา ไม่เป็นไร ได้ ขอให้มีใจคิดจะให้ ไม่มีน้ำ ใช้ได้ทั้งนั้น จบ
ใครถามอะไรอีก มีไม๊ ไม่มีเหรอ
เอ้า พิธีกร ไม่มีแล้ว ถวายผ้าไตรได้แล้ว
ปุจฉา โรคเครียดนี่รักษา....
วิสัชนา เค้าก็ให้ยากดประสาท ยานอนหลับ
.......
พระพุทธเจ้าสอนชั้นว่า ธรรมใดเกิดแต่เหตุ พระศาสดาทรงแสดงเหตุและความดับเหตุ
แห่งธรรมนั้น เหตุแห่งความเครียดมันมาจากความไม่สบอารมณ์ ไม่สมหวัง ไม่ได้ดั่งใจหวัง
ไม่ได้ดั่งใจปรารถนา สรุปแล้ว มันมาจากจิต งั้น ต้องรักษาที่จิต
.....
หลักอะไรก็ได้ที่ทำให้เราพึ่งมันได้ ไม่ต้องไปผูกไว้ว่า ต้องเป็นอริยสัจ 4 เสมอ อย่างกรณี
ของน้องหนูคนนี้ อริยสัจ 4 ก็ใช้กับเค้าไม่ได้ เพราะเค้าไม่มั่นใจตัวเอง แต่เค้าก็เครียด ถูก
ไม๊ งั้นจะไปใช้อะไรตรงไหนได้ อริยสัจ 4 เพราะเค้าไม่มั่นใจตัวเอง
วิธีก็คือ แก้ด้วยการทำให้เค้ามั่นใจตัวเอง ให้เค้ามีความรู้สึกภาคภูมิในการที่เค้ามีชีวิตในสิ่ง
ที่เค้าทำ ในคำที่เค้าพูด ในสูตรที่เค้าคิด และให้มีความสำเร็จในชีวิตของเค้าอีกครั้งหนึ่ง แล้ว
เค้าจะรู้สึกภาคภูมิที่จะมีชีวิตต่อไป ความภาคภูมิมันเกิดขึ้น สมองก็หลั่งสารความสุขออกมา
เค้าก็จะมีอารมณ์ มีกระบวนการที่จะพัฒนาสืบต่อไปเรื่อยๆได้
เพราะงั้น อย่าไปมองว่า มันจะต้องมีหลักตายตัวสำหรับเรื่องนั้น เรื่องนี้ สำหรับแก้ปัญหา
เช่นนั้นเช่นนี้ ไม่ใช่หรอก แล้วยังไงต่อ
คุณฟังชั้น งงหรือเปล่าเนี่ย
ไม่งงครับ
ชั้นกำลังเริ่มงงกับคุณล่ะ
ไม่ ชั้นน่ะงง
มีอะไรอีก
ปุจฉา อยากจะให้หลวงปู่สอนธรรมะที่ใช้ในชีวิตประจำวันที่เราประสบทั้งทุกข์และสุขใน
แต่ละวันน่ะค่ะ
วิสัชนา ของใคร
ผู้ถาม ของทั่วๆ ไปน่ะค่ะ
หลวงปู่ ของทั่วไปไม่ได้ เพราะคนที่นั่งอยู่นี่ กิเลสไม่เหมือนกัน แต่ถ้าของคุณน่ะ แน่นอน
เลย คือ อย่าหงุดหงิด อย่าฉุนเฉียว อย่าจู้จี้ และรู้สึกที่จะผ่อนคลาย ทำจิตใจโปร่งเบาสบาย
แล้วก็เมตตาบ่อยๆ จบ เพราะแต่ละคนมีนิสัยจริตไม่เหมือนกัน
มีใครอีก
(ผู้ถามคนเดิม ยกมือขออนุญาต)
หลวงปู่ เฮ้ย อีหนู...เดี๋ยวเครียดใหญ่เลย เอ้า ข้างหลัง เอ้า ไมค์
ปุจฉา ถ้าเกิดเราอุทิศบุญกุศล และขออโหสิกรรม ถ้าคนที่เราขออโหสิกรรม เค้าไม่ให้ มัน
จะมีผลอะไรไม๊คะ
วิสัชนา มันก็เหมือนเจ้าหนี้กับลูกหนี้น่ะคุณ สองคนที่เป็นคู่กรณี ถ้าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่ยอม
ก็ไม่สามารถที่จะล้มเลิกการเป็นหนี้ได้ ต้องมีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดที่ต้องยิยยอม แล้วยอมกันทั้ง
สองฝ่ายพร้อมใจกัน ฝ่ายหนึ่งมันเริ่มต้น แต่มันเริ่มคนเดียวน่ะ มันไม่จบ มันต้องมีอีกฝ่าย
หนึ่งมาเริ่มต้นกับเรา
งั้น การอโหสิกรรมมันจะเกิดขึ้นได้ สมมุติคุณไปตบหน้าชาวบ้าน แล้วเราก็ไปแอบแผ่
เมตตา ขออโหสิๆ แต่ชาวบ้านบวมไปแล้ว อย่างนี้ มันจะจบไม๊
ไม่จบ เพราะงั้น คุณก็ต้องไปหาเค้า ยกมือไหว้เค้า ขออภัย พี่ เมื่อกี้เผลอไปหน่อย นึกว่า
หน้าผัว อะไรประมาณนี้ มันต้องเป็นอย่างนี้ มันถึงจะจบ แต่ถ้าไม่เป็นอย่างนี้ แล้วเราก็มา
แอบอโหสิๆ อย่างนี้ มันไม่จบ
แต่ถามว่า มันจะทำยังไง มันเป็นกรรมไปแล้ว
อโหสิกรรมจะเกิดขึ้นได้ ต่อเมื่อคู่กรณีของคุณยอมอโหสิ นั่นจึงจะสำเร็จประโยชน์ ไม่งั้น
ก็จะต้องใช้เวลา ถ้าเค้าเป็นคนกระทำกับเรา เราก็อโหสิ เค้าก็ถือว่าเป็นผู้ทำกรรมกับเรา เรา
อโหสิให้แล้ว ก็คือ จบ เพราะว่า คุณเป็นเจ้าหนี้ เป็นโจทย์ ไม่ใช่เป็นจำเลย จบ
มีใครถามอะไรอีก
ปุจฉา อยากให้หลวงปู่แนะนำผม ทำยังไงจะได้โง่น้อยลง แล้วจะได้เข้าใจเปลือก กะพี้
แก่น ของไตรสิกขา ทาน ศีล สมาธิ ปัญญามากขึ้น
วิสัชนา เริ่มต้นจากการสะสมให้น้อยหน่อย รู้จักมีจาคะ คือการบริจาคให้เยอะขึ้น แล้ว
มองโลกให้เป็นของกลาง กว้างๆ และว่างๆ แล้วเราก็จะเข้าใจสัจธรรมของชีวิตได้ดีขึ้น จบ
มีใครถามอะไรอีก
ปุจฉา ผมจะขอถามเกี่ยวกับประสบการณ์ทางวิญญาณของหลวงปู่หน่อยครับว่า ทำไม
พวกปีศาจ นางไม้ เปรต อสุรกาย ชอบปรากฏกายตอนกลางคืนครับ ทำไมจึงไม่เห็น
ตอนกลางวัน
วิสัชนา เออ เดี่ยวเจอจะถามให้ จบ
ผู้ถาม ฟังหลวงปู่มาเยอะแล้ว หลวงปู่ก็เจอบ่อยๆ
หลวงปู่ ก็นั่นสิ ก็ยังไม่ได้ถามไง เดี๋ยวเจอ จะถามให้ ทำไมถึงไม่มากลางวัน จบ
ใครจะถามอะไรอีก
เอ้า เชิญ เครียดอีกแล้วเหรอ อีหนู
ปุจฉา ถ้าหนูบวชนี่ จะหายเครียดไม๊คะ
หลวงปู่ ถ้าหนูบวช จะหายเครียดไม๊เหรอ
บวชไม่ใช่เป็นคำตอบว่า เราจะหายเครียด ไม่หายเครียด เพราะการบวชคือ การที่จะต้อง
การมาสร้างบารมีธรรม หรือ เนกขัมมะปฏิบัติ ศีลปฏิบัติ และก็ทำตนให้เป็นคนที่มีสาระใน
ชีวิต รู้จักเรียนรู้ ศึกษาวิชชา ลุถึงปัญญา ที่จะนำพาชีวิตให้ได้ เพราะฉะนั้น โรคเครียด ไม่
ใช่เป็นคำตอบว่าเราบวชแล้วจะหายเครียด
แต่ถามว่า อาการเครียด มันมาจากตรงไหน มันมาจากใจ ก็ทำให้ใจนี้มันสงบได้ มันก็ไม่
เครียดแล้ว งั้น การบวช ก็ถือว่า เป็นกระบวนการหนึ่งที่จะนำพาไปสู่กระบวนการเอาความ
เครียดให้น้อยลง เท่านั้นเอง แต่อย่าไปมองว่า ถ้าบวชแล้ว ไม่เครียด ก็มีเยอะแยะไป พระ
ผูกคอตาย ถามว่า ทำไม เครียด อ้าว ใช่หรือเปล่า ลงข่าวหนังสือพิมพ์น่ะ น่าอาย เพราะ
อะไร ทำใจไม่ได้ไง ธรรมะมันไม่ซึมเข้าไปในหัวใจ ไม่ปฏิบัติธรรม ไม่สนใจธรรม ไม่
ศึกษาธรรม ไม่ลงมือกระทำ ได้แต่จำเฉยๆ ไม่ก็ไม่ได้เป็นประโยชน์
เพราะงั้น หลวงปู่จึงบอกว่า บวชไม่ใช่คำตอบว่า เราจะหายเครียด จบ
มีใครจะถามอะไรอีก
หลวงปู่คะ เรามีวิธีอะไรที่จะทำให้เรานั่งสมาธิได้นานขึ้น ไม่เคยได้นั่งสมาธิได้นานๆ
เหมือนคนอื่นเค้า
หลวงปู่ ก็นั่งเก้าอี้
ผู้ถาม คือ หนูจะรู้สึกว่า คุยกับพูดได้นาน แต่นั่งสมาธิ หนูจะสั้นมาก แล้วหนูก็ไม่ไหวแล้ว
หนูก็ลืมตาขึ้นมาเลย คือมันนั่ง มันไม่นิ่งค่ะ
หลวงปู่ คำว่า นั่งนาน ไม่เกี่ยวกับกับคำว่า นั่งแล้วใจนิ่ง หรือนั่งนิ่ง นั่งนิ่งบางทีนั่งหลับก็นั่ง
ได้นานนะ เออ ถ้าถามว่า จะทำยังไงให้เรามีสมาธิตั้งมั่นอยู่ได้นาน อย่างนี้ ก็ไม่จำเป็นว่า
เราต้องนั่ง บางที เรายืนก็ได้ เดินก็ได้ เมื่อไรที่เราตั้งใจที่จะทำการงาน นั่นแหละ เรามี
สมาธิแล้วล่ะ แต่เป็นสมาธิระดับขณิกสมาธิ แต่ถ้าทำบ่อยๆ ฝึกบ่อยๆ ทำตนให้เป็นคนเชื่อ
มั่น และตั้งมั่นอยู่ในสิ่งที่ตัวเองกำลังทำได้อย่างยาวนาน นั่งยืน ไม่วอกแวก ไม่สับสน
ขณิกสมาธิจะพัฒนาเข้าไปสู่อุปจารสมาธิ
งั้น ไม่จำเป็นต้องมานั่งเฉยๆ แต่การนั่งเฉย มันเป็นรูปลักษณ์อย่างหนึ่งที่จะทำให้เราตัดวิถี
ทางของทางโลกที่ไม่ต้องให้มายุ่งกับเรา เราต้องการโลกส่วนตั๊วส่วนตัวที่เราจะอยู่กับการ
งานทางจิต นั่นเรียกว่า กรรมฐาน
งั้น มันต้องฝึก ต้องฝึกบ่อยๆ ไม่ใช่นานๆ ทำที ฝึกบ่อยๆ ฝึกเรื่อยๆ ฝึกจนเป็นนิสัย ฝึกจน
กลายเป็นสันดาน
มีใครถามอะไรอีก ไม่มี เลิก เอ้า ไมค์
ปุจฉา เวลาที่เราสวดมนต์ มีพิธีหรืออะไร เค้าจะกล่าวคำบวงสรวง เราจะรู้สึกคล้ายๆ ขน
ลุก..
วิสัชนา องค์จะเข้า องค์จะเข้า ของจะขึ้น อะไรประมาณนั้นน่ะ คุณนี่เป็นผู้มีศรัทธาจริต
พวกศรัทธาจริตจะเป็นอย่างนี้ องค์จะเข้า ของจะขึ้น น้ำหูน้ำตาไหล อะไรประมาณนี้ พวก
ศรัทธาจริตพวกศรัทธาจริตจะใกล้ๆกับพวกปัญญาอ่อน
อ้าว จริงๆ นะ เป็นคนเชื่อง่ายไง ใครพูดอะไรก็จะเชื่อ หูเบา ยิ่งทำอะไรให้ดูขลัง ศักดิ์สิทธิ์
เชื่อไปหมด วิธีแก้คือ ต้งฝึกปัญญา ต้องฝึกปัญญาเยอะๆ ศึกษา สั่งสม อบรม เจริญปัญญา
มากๆ มันก็จะแก้ศรัทธาจริตได้ จบ
มีใคถามอะไรอีก
ผู้ถาม เวลาปล่อยปลา....
หลวงปู่ จะพูดอะไรกับปลา
ผู้ถาม ก็แผ่เมตตา....
หลวงปู่ ปกติ เวลาจะปล่อยปลา ต้องพูดกับปลาด้วยเหรอ
ผู้ถาม .....
หลวงปู่ เค้าเรียกอธิษฐาน ก็ไม่มีอะไร ปล่อยปลา ก็คือปล่อย จบ พูดกับมัน ก็ไม่รู้เรื่อง
หรอก ..ปล่อยคลองเนี่ยนะ อุ๊ย อย่าปล่อยเลย ตาย อยู่ได้ที่ไหน ดำปี๊ดปี๋ ชั้นยืนดู ไม่เห็น
มันขาวสักที ไปปล่อยไหน
ผู้ถาม ไปปล่อยข้างวัดครับ
หลวงปู่ อ๋อ นึกว่าปล่อยคลองนี้ ขอร้องเถอะ ต้มในหม้อเสียดีกว่า มันจะได้ไม่ทรมาน
ผู้ถาม แล้วเราทำบุญอย่างอื่นล่ะครับ
หลวงปู่ ทำบุญอย่างอื่น ทำบุญอะไรล่ะ
ผู้ถาม ถวายสังฆทาน ถวายไปแล้ว ไม่พูดอะไรเลย ไม่อธิษฐานอะไรเลย
หลวงปู่ ก็ดี พระท่านจะได้ไม่ปวดหัวด้วย รับแล้ว จะได้ไม่ต้องพูดอะไรเลย กลับเถอะโยม
ชั้นจะได้นอน มันก็ไม่เห็นจำเป็นต้องพูดอะไรนี่ หรือคุณจะพูดอะไร
ผู้ถาม ขอบุญนี้สำเร็จแก่
หลวงปู่ อ๋อ สรุปแล้วคือ คุณบอกว่า คุณอยากสื่อความหมายว่า หลังจากทำบุญแล้วไม่ได้
กรวดน้ำแผ่เมตตา ก็ถือว่า คุณขี้เหนียวไปหน่อย ไม่คิดถึงคนอื่น
แต่ถามว่า มีใจอยากทำไม๊
มี แต่ไม่แบ่งบุญให้ใคร
อย่าลืมว่า เราก็มีญาตินะ แล้วเราก็ไม่แน่ใจว่า ญาติของเราจะเป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็น
เดรัจฉาน มีพราหมณ์มาถามพระพุทธเจ้าว่า ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระศาสดาผู้
เจริญ มีหรือไม่พระเจ้าค่ะที่ญาติของมนุษย์และสัตว์ไม่เป็นเปรต พระพุทธเจ้า บอกไม่มี
แม้แต่ญาติเรา ตถาคต ยังเป็นเปรตก็มี
เพราะฉะนั้น อย่าไปคิดว่า ญาติเราไม่มีใครเป็นเปรต ไม่มี เราจะมีมากมีน้อยด้วยซ้ำไป
งั้น ที่แน่ๆ ได้บุญมาก็แบ่งบุญให้แก่ญาติ กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลบ้าง เราจะได้มีอย่างน้อยก็
มีกัลยาณมิตร มีบริวาร ไม่ใช่อยู่ดีๆ ไม่ให้ใครเลย อย่างนี้ เหนียว ตระหนี่ จบ
ปุจฉา เวลานั่งสมาธิ รู้สึกมีอะไรอยู่ข้างกายหนู เดินไปเดินมา เวลาไม่นั่งสมาธิ จะมอง
เห็นผีบ่อยๆ
หลวงปู่ เห็นกลางวัน กลางคืน
ผู้ถาม กลางคืนค่ะ
หลวงปู่ อืม ทีหลังเห็นแล้ว ก็ถามว่า ทำไมไม่มากลางวัน
กลางคืนหนูจะเห็นบ่อยๆ ค่ะ
เหรอ หล่อไม๊ ผีหล่อไม๊
เป็นผีหนุ่ม
ก็นั่นสิ แสดงว่า ผีเจ้าชู้ ผีสาวไม่เคยเห็นล่ะนะ
เคยเห็นผีท้องกลม แต่ไม่มีหัว
ผีท้องกลมด้วยเหรอ สำนักตั้งอยู่ที่ไหนเนี่ย
ไม่ได้สำนัก
เอ้ย สำนักหมอผีเก่าไม่ใช่เหรอ
ไม่ค่ะ
อ้าว แล้วทำไมเห็นผี
ไม่รู้ค่ะ แล้วเวลาหนูนั่งสมาธิ จะมีคนเดินไปเดินมา
เค้ากลัวเราหรือเปล่า ผี
ไม่รู้เหมือนกันค่ะ คือ อยากจะถามว่า หนูต้องทำยังไงคะ ที่หนูเห็น เค้าต้องการอะไร
เออ เดี๋ยวชั้นเจอ จะถามให้ว่า มึงต้องการอะไร แล้วทำไมคุณไม่ถามเองล่ะ
พอจะพูด เค้าก็หายไป
เหรอ พูดกับผีนะ เออ ลองทำมาให้ดูหน่อยซิ
เค้าก็มายืนธรรมดา
เออ แล้วทำไง เออ เที่ยวนี้ ถามสิ เจอแล้วก็ถาม นี่ๆๆ ชื่ออะไร มาธุระอะไร มีอะไรไม๊
หวยงวดนี้ออกอะไร ที่จริงมันไม่ใช่ทั้งหมด อุปาทานหรือเปล่า
ไม่ค่ะ อันนี้เห็นหลายคน
หลายคนด้วยเหรอ
ส่วนมากหนูจะเห็นบ่อย
ที่นี่ มีไม๊
จะมีเสียงเด็กวิ่งไปวิ่งมา
ตุ๊กแกหรือเปล่า ที่บ้านมีตุ๊กแกไม๊
ไม่มีค่ะ
แล้วชั้นจะตอบยังไงล่ะ เอาไว้ชั้นเจอมันแล้ว จะถามให้แล้วกัน มันชื่ออะไรนะ
แล้วที่เรานั่งสมาธิแล้ว จิตไม่นิ่ง เห็นด้วย
หลวงปู่ เห็นนู้น เห็นนี่ ไม่ใช่สมาธิแล้วล่ะ ถ้าเห็น ก็แสดงว่า ไม่ใช่สมาธิ สมาธิ มันต้อง
เห็นธรรมะ เห็นธรรมะ คือ เห็นกรรมฐานที่กำลังทำ นั่งภาวนาพุทโธ ก็อยู่กับพุทโธ หายใจ
เข้าออก ก็อยู่กับลมหายใจ แต่เห็นนั่นเห็นนี่ แสดงว่าไม่ใช่แล้วล่ะ
อ้ายที่เห็น ไม่ได้หลับตา
เหรอ
แต่ตอนหนูนั่งสมาธิ คนเดินวูบไปวูบมา เป็นความรู้สึก
แค่รู้สึกเฉยๆ ใช่ไม๊ เอ้า รู้สึกแล้ว ทำไมหัวไม่มี ท้องกลม
อ้อ เห็นอันนั้น คือเห็น 2 อย่าง คือเห็นตัวตนเวลาหนูนั่งสมาธิ ก็เป็นอีกแบบ คือ มีคนเดิน
ไปเดินมา
หลวงปู่ สรุปง่ายๆ ก็คือ กรวดน้ำให้เค้าก็แล้วกัน เอาไว้เจอ เดี๋ยวจะถามเค้า มาทำไม
มีใครถามอะไรอีก มีไม๊
ที่จริง การเห็นผี ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้นะ เพราะว่า โลกของวิญญาณกับโลกของมนุษย์
มันห่างกันแค่เส้นผมบัง สัตว์ทุกชนิด ตายแล้วก็ไปเกิด ส่วนจะไปเกิดเป็นอะไร ก็แล้วแต่
กรรมนำพาไป
ที่ว่า ผีๆ โดยศัพท์แล้ว เค้าเรียก สัมภเวสี เป็นภพหนึ่งของสัตว์ที่ได้รับทุกขเวทนา หรือว่า
ได้รับกรรมที่ต้องไปเกิด สัมภเวสี แปลว่า อะไร
สัมภเวสีแปลว่า ผู้ล่องลอย ผู้แสวงหาชาติภพเกิด คือ ไม่มีที่อยู่เป็นหลักแหล่ง แล้วก็ไปเรื่อย
เปื่อย
แล้วถามว่า มีอยู่ทั่วไปไม๊
มี แม้ในห้องนี้ ก็มี มีทั่วไปแหละ
ถามว่า ทำไมไม่สามารถรับรู้สัมผัสได้
ก็แล้วแต่เค้าจะแสดงตนหรือไม่แสดงตน หรือแล้วแต่บุคคลผู้นั้นจะมีพัฒนาการทางอารมณ์
ทางจิตวิญญาณระดับไหน จบ
ใครอยากถามอะไร เชิญ เดี๋ยววันนี้ ไม่มีใครกล้าเข้าห้องน้ำ
มีไม๊ ไม่มี เลิกนะ
ปุจฉา มีคำกล่าวว่า ถ้าเราปล่อยสัตว์อะไรไป เราก็ไม่ควรทานสัตว์นั้น จริงหรือเปล่าคะ
วิสัชนา ชั้นก็ไม่แน่ใจ แต่คนเค้าก็เชื่อกันอย่างนั้น ปล่อยปลา ก็อย่ากินปลา แต่ไม่กินปลา
ช่อน ดันไปกินปลาดุก อะไรประมาณนี้ มันก็ปลาเหมือนกัน แต่รวมๆ สรุป ก็คือ การให้ชีวิต
การปล่อยปลา คือให้ชีวิต ก็ย่อมเป็นเจ้าของชีวิต ผู้ให้ความสุข ก็ย่อมเป็นเจ้าของความสุข
งั้น การให้ชีวิตสรรพสัตว์ ก็ถือว่า อายุขัยเราก็จะยืนยาว สุขภาพก็จะแข็งแรง อานิสงส์มัน
เป็นอยู่อย่างนั้น แต่เรื่องที่บอกว่า ปล่อยอะไร ไม่กินอย่างนั้น ก็แล้วแต่ความเชื่อของแต่ละ
คน จบ
มีใครถามอะไรอีกไม๊
วันนี้ ชั้นมาทำให้พวกคุณงงไม๊
ถามไป ถามมา อย่างนี้ เข้าใจไม๊ มันจะตรงกว่าที่ชั้นจะเหวี่ยงแห แล้วก็พูดเปรอะเลอะ
เทอะไป แล้วคุณก็นั่งฟัง แล้วก็เพลินอารมณ์ ก็หลับสัปหงก คือ รู้บ้าง ไม่รู้บ้าง ชั้นว่า อย่างนี้
มันจะตรงต่อโรคของแต่ละคนที่เค้าเป็นอยู่
ถ้าไม่มี ก็พอเถอะ กว่าจะถึงวัด ก็ 3-4 ทุ่ม
โอ้ย แล้วไม่รู้รถจะหลุดออกไปจากที่นี่เมื่อไหร่ รถติดมากๆ
(เจ้าหน้าที่ธนาคาร ถวายจตุปัจจัยไทยธรรม)
ของที่เป็นของใช้บางอย่าง พระพุทธเจ้าห้ามไม่ให้รับในยามวิกาล รับแล้วจะเป็นอาบัติ เก็บ
ไว้เป็นภาระกรรมของพระผู้เก็บ แล้วเป็นอาบัติแก่ผู้ใช้ เราไม่เข้าใจ เวลาถวายของพระ
แล้วพระไม่รับ ก็กลายเป็นว่า พระหยิ่ง
ความจริง พระไม่รับ เพราะถือว่า ของอันนั้นไม่ควรเป็นของถวายในเวลาวิกาล
แต่ถามว่า ไม่ถวายแล้ว อะไรได้ไม๊
ได้ ก็เพียงแค่กล่าวคำถวายให้แก่พระสงฆ์ว่า ข้าพเจ้าขอถวายของนี้แก่พระสงฆ์ พระองค์
นั้นก็จะรับไปเข้าคลังสงฆ์ เจ้าหน้าที่ภัณฑาคาริก เค้าจะทำการเก็บแล้วเบิก โดยเฉพาะที่วัด
ชั้น แม้แต่สตางค์ พวกเราถวาย ก็ไม่ใช่ของชั้น เพราะว่า เป็นของสงฆ์ทั้งหมด
แต่ของอย่าง ในนั้นมันมีนม มีน้ำตาล ของกินของใช้รวมๆ ถึงแม้จะเป็นชองสงฆ์ ผู้รับเอา
ไปใช้ไม่ได้ เป็นอาบัติแก่ผู้รับ
ให้เข้าใจพระวินัย พระไม่ค่อยอธิบายเรื่องพระวินัย กลัวว่าอธิบายไปแล้ว จะอดไง มันก็
เลยทำผิดกันมาอยู่ตลอด มันก็เลยทำให้พระวินัยเราหดไปๆ
ก็พวกน้ำปานะ
แล้วอย่างของใช้
ของใช้อะไรบ้างล่ะ พวกรถ
นั่นก็ของใช้
ของใช้ในชีวิตประจำวันค่ะ
อะไรบ้าง
อย่างไฟฉาย ยาสีฟัน แฟ็บ
ยาสีฟัน ก็จัดเป็นยามกาลิก รับแล้วไม่เกิน 7 วัน แต่ไม่รับ สามารถเปิดใช้ สามารถใช้ได้
ตลอ บางอย่างเป็นยามกาลิก รับแล้ว อยู่ได้ไม่เกิน 7 วัน บางอย่างมันเป็นปานะ บางอย่าง
เป็นอัฐบาน คือ น้ำที่คั้นด้วยมือ ปานะ คือ น้ำที่ต้มแล้วปรุงรส อันนี้ ก็อยู่ข้ามคืนไม่ได้
มันหลายเรื่อง สรุปรวมๆ ก็คือ ไม่ควรถวายของที่เกินเวลาต่อพระสงฆ์ด้วยมือ ยกเว้น ยก
ไปแล้ว ก็กล่าวคำถวายเฉยๆ แล้วพระสงฆ์ท่านก็จะให้เจ้าหน้าที่เก็บเข้าคลังอะไรอย่างนี้ ใช้
ได้ แม้ถวายด้วยมือ ท่านก็ต้องไปทำพิธีเสียสละ ก็คือ บอกกล่าวกับพระสงฆ์ ต้องประชุม
สงฆ์บอก ท่าน ผมรับสิ่งนี้มา ท่านจงรับสิ่งนี้ เอาไปสู่คลังสงฆ์ อ้ายอย่างนี้ ไม่เป็นไร
แต่พระเดี๋ยวนี้ เค้าไม่ทำอย่างนี้ แล้วไง
พอไม่ทำอย่างนี้ หวงปู่ก็เลยแก้ปัญหาว่า ของทุกชิ้นที่รับเข้ามาภายในวัดนี้ จะต้องเป็นของ
กลางทั้งหมด แม้กระทั่งปัจจัยแล้วก็เงินทอง รวมๆสรุป ก็คิอ ของที่พวกคุณถวายทั้งหมด
ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สินเงินทองทั้งหลาย หลวงปู่รับแล้ว ยกให้เป็นสมบัติของวัดและ มูลนิธิฯ
เพื่อใช้ในกิจกรรมบวชพระบวชเณร ภาคฤดูร้อนที่จะถึงนี้ ขอท่านทั้งหลายอนุโมทนา
ตั้งใจกรวดน้ำ ว่าตาม แล้วรับพร
อิทัง.....
โชคดี ลูก ธรรมะรักษา
กราบลาพระ อะระหัง สัมมา
.......... ให้สำเร็จประโยชน์ สมปรารถนา