26 ก.พ. 2555 15.10 น. ถอดซีดี ระหว่างปฏิบัติธรรมะ สัปดาห์ที่4 โดยองค์หลวงปู่พุทธะอิสระ
• ขั้นที่ 4 อย่าลืมลมหายใจ เร็ว ก็หายใจทัน ช้า ก็หายใจทัน
ก้าวถูก ลมหายใจชัด จังหวะแม่น
• หยุดอยู่กับที่ เข้าถ้ำ หลับตา
• เข้าถ้ำ นั่นคือ ว่าง นิ่ง เสวยเอกัคคตารมณ์ ที่เรียกว่า สุญญตสมาธิ สมองว่าง อารมณ์ว่าง
• เอกัคคตา ก็คือ ฐานที่มั่นคง ที่เรียกว่า ฌาน
แล้วจะพัฒนาไปสู่คำว่า อุเบกขา คือ การวางเฉย
• เอกัคคตารมณ์ เค้าจะจัดอยู่ในอารมณ์ของสมถะ ก็คือ อารมณ์ฌาน
• อุเบกขารมณ์ เป็นอารมณ์วิปัสสนา เป็นของวิปัสสนา เพราะความเฉยได้ก็ต่อเมื่อมีปัญญา
• คนที่เข้าถึงอุเบกขารมณ์ คือ ได้ญาณแห่งวิปัสสนา
• คนที่เข้าถึงเอกัคคตารมณ์ คือ ได้ฌานของสมถะ
ใครไม่เคย ยกมือขึ้น ให้รุ่นพี่เข้าไปแนะนำ
เดินขั้นที่ 1
ทั้งวัน ทั้งสัปดาห์ ทั้งเดือน ทั้งปี ตลอดชีวิต หมกมุ่นอยู่แต่เรื่องสรรพกิจ
หมกมุ่น ปนเปื้อน หมุนวนอยู่กับเรื่อง ทุรนทุราย มีสาระบ้าง ไม่มีสาระบ้าง
แล้วมันบีบคั้นจิตใจ อารมณ์ ระบบประสาท พฤติกรรม กล้ามเนื้อ วิญญาณตน
ถ้าเรารู้สึกได้อย่างนั้น ก็จงเชื่อต่อไปว่า วิธีที่จะผ่อนคลายก็คือ ปฏิบัติธรรม เจริญธรรม
เพราะสิ่งเหล่านี้ ถ้าเราอยู่ใกล้ จะทำให้เราผ่อนคลาย กล้ามเนื้อผ่อนคลาย อารมณ์ผ่อนคลาย
จิตผ่อนคลาย วิญญาณผ่อนคลาย สมองผ่อนคลาย ทุกอย่างในร่างกายเราจะเบาสบาย ผ่อนคลาย
ถ้าเราเชื่อว่า การผ่อนคลายเป็นการพักผ่อน
ก็ต้องถือว่า การปฏิบัติธรรม เป็นคำตอบที่สำเร็จประโยชน์ เป็นที่พึ่งของเราได้
เมื่อเราเห็นว่ามันเป็นที่พึ่ง สำเร็จประโยชน์ถึงปานนี้ ก็ไม่ควรจะละทิ้งหรือทำแบบเล่นๆ
ทำจริงจัง ตั้งใจ จดจ่อแล้วก็จับจ้องที่จะทำ
ไม่งั้น เราก็จะเสียเวลาเปล่า เราก็จะเหนื่อยเปล่า เมื่อยเปล่า
แล้วก็หมดโอกาส ทำลายโอกาส ก็ต้องรอไปอีกเดือนหนึ่ง หรือสัปดาห์หนึ่ง
ซึ่งไม่รู้ว่า เราจะมีโอกาสแบบนั้นอีกหรือเปล่า
งั้น เมื่อวันนี้มา มีโอกาส ก็ต้องขวนขวาย อย่าเดินแบบทุรนทุราย ฟุ้งซ่าน..........
ขยับขึ้นขั้นที่ 2 ใครไม่เคย ยกมือขึ้น รุ่นพี่เข้าไปแนะนำ..........
ขยับขึ้นขั้นที่ 3 ใครไม่เคย ยกมือขึ้น รุ่นพี่เข้าไปช่วยแนะนำ............
ขยับขึ้นขั้นที่ 4 ใครไม่เคย ยกมือขึ้น รุ่นพี่เข้าไปแนะนำ
เร็ว ก็ให้หายในทัน ช้า ก็ให้หายใจทัน.........
อย่าลืมลมหายใจ ก้าวถูก ลมหายใจชัด จังหวะแม่น...........
ขยับขึ้นขั้นที่ 5 ใครไม่เคย ยกมือขึ้น รุ่นพี่เข้าไปแนะนำ...........
หยุดอยู่กับที่ เข้าถ้ำ หลับตา
เข้าใจความหมายของคำว่า เข้าถ้ำไม๊
นั่นคือ ว่าง นิ่ง เสวยเอกัคคตารมณ์ ที่เรียกว่า สุญญตสมาธิ สมองว่าง อารมณ์ว่าง..............
ใจว่าง กล้ามเนื้อทุกส่วนในร่างกายผ่อนคลาย ว่างหมด
มือไม่กำ ไม่เกร็ง แขนขาไม่ขมึงทึง ไม่ตึงเครียด
ทุกอย่างผ่อนคลาย อารมณ์ผ่อนคลาย จิตใจผ่อนคลาย
อยู่กับความว่าง เพ่งความว่าง เอกัคคตาเป็นอารมณ์เดียว คือ อารมณ์หนึ่ง ไม่มีอารมณ์อื่น
อย่างนี้ จึงชื่อว่า เข้าถ้ำ..........
สีหน้าของคนเข้าถ้ำ จะต่างจากคนที่อยู่นอกถ้ำ
คนที่อยู่นอกถ้ำ มันต้องเกร็ง มันต้องบิดเบี้ยว เพราะมันต้องเจอลมพัด เจอแสงส่อง เจอแดดเผา
เจอบรรยากาศรอบข้างบีบคั้น กล้ามเนื้อใบหน้า กล้ามเนื้อร่างกาย
แม้แต่หนังบนศีรษะก็ขมึงทึงตึงเครียด
แต่เมื่อเข้าไปในถ้ำแล้ว ทุกอย่างผ่อนคลายหมด
มันจะคนละหน้ากัน...................
ปวดตรงไหน เจ็บตรงไหน ให้ลมผ่านอยู่ตรงนั้น เพ่งลมผ่านอยู่ตรงนั้นให้ว่าง
ปวดหัว ก็ให้อยู่ที่หัว ผ่อนคลายที่หัว ประสาททุกส่วนผ่อนคลาย กล้ามเนื้อสมองไม่เกร็ง
เส้นเลือดไม่โป่งพอง ความดันในเลือดบรรเทลง เบาลง ชีพจรเต้นน้อยลง
ความดันในสมองลดลง............
กล้ามเนื้อต้นคอ ก็ไม่ขมึงทึงตึงเครียด
บางคนจะมีลมสว้าน คือ ลมที่ถ่ายออกจากสมองลงไปอยู่ลำคอ
เสียงกระดูกจะเลื่อนกรึ๊บกรั๊บ จะรู้สึกสบาย ตั้งแต่ต้นคอยันกระดูกสันหลัง.........
ค่อยๆ หย่อนตัวลงนั่งด้วยความว่าง อยู่กับความว่าง อาศัยความว่าง นิ่งอยู่กับว่าง
แม้ยังนั่ง ก็ยิ่งว่าง
เอกัคคตา คือ อารมณ์เป็นหนึ่ง หนึ่งเดียวของเราเวลานี้คือ ความว่าง
ไม่มีอารมณ์อื่นเข้ามาแทรก ถ้าแทรก ก็ไม่ใช่เอกัคคตา
และเอกัคคตา ก็คือ ฐานที่มั่นคง ที่เรียกว่า ฌาน
แล้วจะพัฒนาไปสู่คำว่า อุเบกขา คือ การวางเฉย.............
หายใจเข้า ภาวนาว่า สัตว์ทั้งปวงจงเป็นสุข
หายใจออก ภาวนาว่า สัตว์ทั้งปวงจงพ้นทุกข์...........
สูดลมหายใจเข้า กว้าง ลึก เต็ม
หายใจออก เบา ยาว หมด ผ่อนคลาย
ยกมือไหว้พระกรรมฐาน แล้วเข้าที่
ให้จำไว้เป็นเกร็ดความรู้ว่า
เอกัคคตารมณ์ เค้าจะจัดอยู่ในอารมณ์ของสมถะ ก็คือ อารมณ์ฌาน
อุเบกขารมณ์ เป็นอารมณ์วิปัสสนา เป็นของวิปัสสนา
เพราะความเฉยได้ ก็ต่อเมื่อมีปัญญารู้แจ้งแทงตลอดในสรรพสัตว์ สรรพสิ่ง สรรพชีวิตสรรพวัตถุว่า มันมีทุกอย่าง ทุกอย่างมันมีสามัญลักษณะเป็นองค์ประกอบ คือ ไม่เที่ยง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
มันจะวางเฉยได้ก็ต่อเมื่อรู้สิ่งเหล่านี้
เพราะงั้น จึงถือว่า เป็นวิปัสสนาญาณ
คนที่เข้าถึงอุเบกขารมณ์ คือ ได้ญาณแห่งวิปัสสนา
คนที่เข้าถึงเอกัคคตารมณ์ คือ ได้ฌานของสมถะ เรียกว่า ได้ตบะ ได้เดช ได้อานุภาพของจิต
เรียกว่า เป็นจิตตานุภาพ
เราชอบนำมามั่ว แล้วพูดปนกันว่า เป็นอารมณ์คล้ายคลึงกัน มาจากแหล่งที่เกิด กำเนิดวิชาเดียวกันซึ่งที่จริงแล้ว มันไม่ใช่
อุเบกขา ต้องมีปัญญา จึงจะวางได้
เอกัคคตา ต้องมีตบะ มีสมาธิ มีอารมณ์เดียว เรียกว่า จิตต้องมีพลัง มีเดช
วันนี้ ที่จริงอยากจะพูดถึงเรื่อง หน้าที่ของคณะสงฆ์ แต่พูดไปก็สองไพเบี้ย ออกอากาศแล้วทำให้คณะสงฆ์สะเทือน
ว่าที่จริงแล้ว หน้าที่ของผู้ออกจากเรือน ไม่เกี่ยวข้องด้วยเรือน คือ ผู้ที่บวชเข้ามาแล้ว มีปฏิญญา หรือมีคำอธิษฐาน หรือ องค์อยู่ในใจว่า ต้องการพ้นทุกข์เนี่ย เค้าจะไม่มายุ่งกับเรื่องชาวบ้าน
เค้าจะแสวงหาวิโมกธรรม ดูตัวอย่างเช่น อริยวงศ์อย่างท่าน อาจารย์มั่น อาจารย์ฝั้น อะไรพวกนี้
ที่จริง เค้าเข้าป่า เข้ารก ไปปฏิบัติธรรม ท่านชาอย่างนี้ เค้าไปอยู่ในป่า ในเขา เค้าไม่มาสนใจ
ถ้าจะออกมา เค้าก็ไม่มาใยดี ไม่มาสนใจ ใครจะมา ก็มา จะไป ก็ไป
แต่ต้องอยู่ตามกลด ถึงเวลาแสดงธรรม จบ ก็กลับ ไม่มาประจ๊อกประแจ๊ะ จ๋อแจ๋
ไม่มีใครมาต้อนหน้า ต้อนหลัง นั่นคือ ผู้แสวงหาวิโมกธรรม
อ้ายที่เป็นๆ อยู่ทุกวันนี้ เค้าเรียกว่า พระประดับ พระประดับ เรียกว่า เอาไว้ประดับ
บอกแล้วว่า เอาไว้เป็นสัญญลักษณ์
ถ้าพระโพธิสัตว์น่ะ ไม่ผิด ถ้าทำหน้าที่นี้ ไม่ผิด เพราะเป็นหน้าที่ของพระโพธิสัตว์
คือ ต้องช่วยเหลือสรรพสัตว์ ต้องรู้ทุกเรื่องที่สัตว์มีอยู่ และเป็นทุกข์ เป็นสุข
งั้น ถึงได้บอกว่า ถ้าหลวงปู่เป็นอริยภูมิ ไม่ใช่เป็นพุทธภูมิล่ะก็
มึงก็ไม่ได้เจอหน้ากูหรอก กูไม่อยู่หรอก
ขนาดกูปรารถนาพุทธภูมิ กูยังหลบบ่อยๆ เลย
เพราะต้องซื่อตรงต่อกฏ องค์ของตัวเอง ซื่อตรงต่ออุดมการณ์ ความคิดของตัวเอง ความตั้งใจของตัวเอง จึงจะถูกต้อง แต่เวลานี้ มันไม่มีอุดมการณ์ไง อุดมการณ์ คือ ปีนี้จะได้เป็นพระครูไม๊ จะได้เป็นเจ้าคณะปกครองไม๊ จะได้เป็นเจ้าคุณไม๊ จะมีญาติโยมมาถวายตังค์เยอะไม๊ จะมีรถคันใหม่ไม๊
กฐินปีนี้ จะได้เท่าไหร่ มันจะเป็นพันธุ์นั้น อะไรประมาณนั้น เป็นอุดมการณ์แบบนั้น
อ้ายอุดมการณ์ที่จะปรารถนาพ้นทุกข์ นิพพานะ สัจฉิ กิริยา คือ หวังพระนิพพานเป็นที่ตั้งเป็นอารมณ์ ไม่มี หวังนิพพานเป็นกิริยา จนบางทีบางครั้ง มหาเปรียญเรียนจบปริญญาโท เป็นมหาเปรียญ ยังมาบอกกับชาวบ้าน บางคน บางองค์ บางตัว ใช้คำว่า บางตัวมาบอกว่านิพพานไม่มีแล้ว เคยฟังบ่อยๆ นิพพานไม่มีแล้ว ชาตินี้ ไม่ต้องหวังนิพพาน ให้ขึ้นสวรรค์ก็ใช้ได้แล้ว ประมาณนั้น มันกลายเป็นพันธุ์นั้นไป
ทำให้เสียศากยวงศ์ ศากยวงศ์เวลานี้ก็มีแต่สัญญลักษณ์ สัญญลักษณ์ที่พยายามจะดันให้เป็นเอกลักษณ์ เอกลักษณ์นี่มันจะต้องเป็นหนึ่งคำว่า เอกะ ก็คือ หนึ่ง มันจะเป็นเอกลักษณ์ได้ต้องมีอะไรเป็นสาระ นั่นคือ นิพพาน คือปัญญา ผู้รู้แจ้งอริยสัจ จึงจะเรียกว่า เป็นเอกลักษณ์ แต่เดี๋ยวนี้ ไม่มีอะไร เจ้าคณะปกครองระดับสมเด็จ หรือที่เรียกตัวเองว่า เป็นวิปัสสนาจารย์เผยแพร่ธรรม ก็ยังยศถาบรรดาศักดิ์ฉลองพัดยศ ดีใจที่ได้ยศ อะไรอย่างนี้พระพุทธเจ้าบอกว่า สิ่งเหล่านี้ เป็นโลกธรรม เป็นธรรมเครื่องผูกสัตว์ให้ข้องอยู่ในโลก คนที่ไปหลงไหลได้ปลื้ม ก็จะมัวเมาจมปลักอยู่ แล้วจะไปสอนวิปัสสนา สอนกรรมฐานให้พ้นทุกข์ มันก็ไม่พ้นหรอก แม้คำสอนนั้นจะเป็นคำสอนที่วิเศษ แต่ก็ไม่ใช่คำสอนของตัวเองปัญหาสำคัญเวลานี้คือ เราไม่เข้าถึงพุทธธรรม ครูบาอาจารย์ที่ลุถึงพุทธธรรมจริงๆ จะนำพุทธธรรมมาเผยแพร่อย่างตรงไปตรงมา มันหายากลงๆ ทุกวันอ้ายที่มาเผยแพร่กันอยู่ ก็เป็นพุทธธรรมจอมปลอม ที่เรียกว่า สัจธรรมปฏิรูป
ถ้าจะเผยแพร่ ก็เผยแพร่ตามตำราคัมภีร์ ..จะได้บรรยาย ขยายความ ตามพุทธภาษิตที่ได้ลิขิตไว้เป็นบทเบื้องต้นว่า.. ก็ว่าไปเรื่อยล่ะ
พระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้ๆ แต่ถามว่า จะรู้ จะแปล จะให้ความหมาย จะเข้าใจ จะให้คนอื่นเข้าใจตามได้หรือไม่ ก็ตัวผู้พูด พูดเองยังไม่เข้าใจ แล้วผู้ฟังจะได้เข้าใจอย่างไร
คือ มันเหมือนๆกับทุเรียนได้มาทั้งลูก ก็เอ้า เอาไปกิน แต่อ้ายคนรับทุเรียนมา ก็ไม่มีปัญญาจะปอก ก็นั่งมอง นึกว่ามันกินได้ทั้งเปลือก สังคมปัจจุบันนี้ ไม่มีปัญญา ลูกนี้กินไม่ได้นะ มันต้องรอสุกก่อน สุกแล้วจึงจะปอกเปลือก ปอกเปลือกแล้ว จึงจะกิน แล้วกินก็ไม่ได้กินทั้งหมดนะ ข้างในมันมีเม็ดด้วย อย่างนี้เป็นต้น
อ้ายสังคมสมัยนี้ มันมีปัญญาถึงขั้นนี้ไม๊ เวลานี้ อย่าว่าแต่ซื้อทุเรียนเป็นลูกเลย เค้าแกะขายด้วย
ดีไม่ดี มันเอาเม็ดออกอีก เสร็จใส่โฟมแช่เย็นไว้ให้ ให้แดกสบายไปเลย
เด็กสมัยนี้ ไม่เห็นไม่รู้ด้วยซ้ำว่า ทุเรียนมีหนาม เพราะมันเห็นแต่ทุเรียนอยู่ในกล่อง ก็แสดงว่า อ้ายกล่องออกลูกมาเป็นทุเรียน
เอ้า จริงๆ เป็นอย่างนี้จริงๆ
เออ กูไม่เคยกินหรอก เพราะกูได้กลิ่น กูก็หมดแรงแล้ว
วันนี้ เจอแพะ ใครเอาขนมไหว้พระจันทร์มาก็ไม่รู้ เราก็ เออ นานๆ เจอขนมไหว้พระจันทร์
ดีเว้ย มันก็ไม่ผ่ามาให้ด้วยนะ มันไม่ผ่า ก็ เออ ดี กัดจ้วบลงไป แหม กลิ่นขึ้นจมูก มือตีนอ่อนเลย
กูไม่ใช่ตะเข้นี่ เออ
งั้น ก็ให้รู้ไว้ว่า ทุกวันนี้ มันมีแต่ไม้ประดับ มีเอาไว้ประดับเฉยๆ
พวกอริยวงศ์จริงๆ หายาก หาน้อย
แล้วก็เป็นอริยวงศ์เก๊ๆ จอมปลอมก็เยอะ แหกตาเอาเงินมาสร้องเสพความสุข เลี้ยงบำรุงญาติ
อ้ายพวกนี้คิดสั้นมาก น่าสงสาร เป็นคนคิดสั้น เงินชาวบ้านเค้าคอยจบ พวกกบิลละภิกขุ
ถามว่าเพราะอะไร ก็บวชแล้วได้ศรัทธา ก็ได้ตังค์มา ไปเลี้ยงแม่ เลี้ยงน้อง เลี้ยงหลาน เลี้ยงญาติ
แทนที่จะเป็นประโยชน์ต่อชาวบ้าน ต่อพระศาสนา แล้วพวกนี้พอตายไป ก็ไปเกิดเป็นเปรต
พระโมคคัลลานะออกบิณฑบาตรกับพระจุฬปันถก ท่าน....ท่านมีตาทิพย์ ท่านก็เห็น ก็เลยยิ้มๆ พระอรหันต์ท่านยิ้มๆ ไม่ได้หัวเราะ ยิ้มว่า ได้เห็นเปรต 3-4 ตัวมาปรากฏกายมีไฟลุกไหม้ผ้าห่ม เป็นไฟกรดเผา ร้องกรี๊ดๆ มาขอส่วนบุญ กลับจากเขาคิชฌกูฏ ก็ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า เล่าให้พระผู้มีพระภาคเจ้าฟังพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงชี้ให้เห็นอดีตชาติของภิกษุกบิลละกับแม่และน้องสาวว่า สมัยก่อนเกิด บวชอยู่ในพระศาสนาพระมหากัสสปะ ศรัทธา บวชเพราะศรัทธา แต่บวชแล้ว เรียนเป็นมหาเปรียญ มีความรู้มาก อวดรู้สอนในสิ่งที่เป็นสัจธรรมปฏิรูป ไม่หวังพรหมจรรย์ไม่หวังประพฤติพรหมจรรย์ ที่จริง เค้ามีพี่ชายอยู่คนหนึ่ง พี่ชายบวชปรารถนาวิโมกศักดิ์ วิโมกธรรม ไม่สนใจชาวบ้าน ปฏิบัติธรรมจนบรรลุเป็นอรหันต์ หนีเข้าป่า ไม่สนใจ แต่แม่กับน้องชาย น้องสาวนี่มาบวช อาศัยผ้าเหลืองกินไปวันๆ ได้เงินมา ก็ไปซ่อมบ้านตัวเองเป็นความสุข
พี่ชายมาบอก ก็ไม่เชื่อ บอกหยุดเสียเถอะ พฤติกรรมอย่างนี้ มันเป็นบาป เป็นอกุศล ตายแล้วก็ตกนรกหมกไหม้ แม่ น้องสาว น้องชาย ไม่เชื่อพระอรหันต์ผู้เป็นพี่ชาย ก็ขับไล่
สุดท้าย พอตายแล้ว ก็ไปตกนรกหมกไหม้ พี่ชายก็ช่วยไม่ได้ ขนาดมีพี่ชายเป็นอรหันต์ช่วยไม่ได้
เสร็จแล้ว ก็มาผ่านศาสนาพระมหากัสสป จนกระทั่งถึงศาสนาพระสมณโคดม พระพุทธเจ้าหายไปแล้ว 3 องค์ 4 องค์ แผ่นดินสูงเป็น 10โยชน์ เป็นเปรต อสุรกาย สัมภเวสี เลื่อนลอยหากินไปในอากาศ หิว มีความหิวเป็นอาหาร จนสุดท้ายมาเจอศาสนาพระสมณโคดมก็มาปรากฏกาย ขอผลบุญจากพระอรหันต์ คือ พระโมคคัลลานะกับบิณฑูพราชะกับจุฬบันถก ท่านมหาเถระทั้ง 3 เห็นเข้า ท่านก็ยิ้ม แล้วก็ไปเล่าให้พระพุทธเจ้าฟังพระพุทธเจ้าก็ทรงชี้ให้เห็นชาติกำเนิดของเปรตเหล่านี้ว่า เป็นพระประดับ พระประดับในอดีต ทำหน้าที่หลอกลวงชาวบ้าน เอาศรัทธา ขายศรัทธา หาเงินหาทองมา ก็บำรุงบำเรอความสุขตัวเองญาติกูเนี่ย เค้าถึงไม่ค่อยอยากคบกู เพราะกูไม่มีญาติ ไม่ให้ญาติ แล้วก็อย่าให้ญาติมาเบียดบัง เงินทุกบาททุกสตางค์เป็นของชาวบ้าน นี่กูรักญาติ แต่ญาติไม่เข้าใจ ญาติไม่เข้าใจว่า กูรักญาติ จริงๆ นะ กูหวังดีต่อญาติ ไม่ใช่หวังร้าย ถ้ากูหวังร้าย อุ๊ย มีเท่าไหร่ กูก็ประเคน
ย่าไปเที่ยวพม่า ใครเค้าให้ เออ ลูกอ้ายจิโรจน์เค้าให้อั่งเปามา ปกติทุกปี อ้ายจิโรจน์ให้อั่งเปาก็ยกให้วัด เออ ปีนี้ ย่าจะไปเที่ยว กูไม่ได้นับหรอก ซองเท่าไหร่ เออ ให้ย่าไป
แกจะได้มีตังค์ไปทำบุญด้วย
พอรับได้ มือแกสั่น
ไม่เคยให้ ในรอบหลายสิบปี
หลวงปู่ไม่ให้ คนอื่นเค้าให้กัน หลวงปู่ไม่ให้
เพราะว่า สิ่งที่เราให้ มันมากกว่าเงินทอง เลยไม่ใก้
ใครเค้าจัดมา กลัวว่า ย่าจะลำบาก
คนอื่นไม่รู้ แต่เรารู้
เหมือนพระเตมีใบ้ กลัวว่า ตายแล้วจะตกนรก เพราะเป็นผู้ปกครองแล้ว จะต้องสั่งตัดสินลงโทษเหยียบย่ำอะไร ชาวบ้านจะเดือดร้อน เพราะการปกครอง เลยทำบ้าใบ้ซะ เพราะตัวเองเห็นสัตว์นรกลำบากจากการทำภาระกรรมเหล่านั้นกูไม่ใช่พระเตมีใบ้ แต่กูไม่ยอมเพลี้ยงพล้ำ เอาสตางค์ชาวบ้านมาบำรุงบำเรอความสุขตนและคนรอบข้าง
มันไม่คุ้มกัน ลูก
มันเรียกว่า อะไร มันคิดสั้น
ไม่คุ้ม เป็นผู้มีปัญญาอันมืดบอด มีดวงตาอันอับเฉา มองไม่ทะลุทั้ง 3 โลก
พวกนี้น่าสงสาร
เอ้า กล่าวคำถวายทาน
เออ เดี๋ยววันที่ 6 เดือนหน้า วันจักรี เอาอาหารมาเลี้ยงพระกันด้วย
โรงครัวเค้าจะได้ทำอาหารเลี้ยงพวกมึง ไม่ต้องมาเสียเวลาเลี้ยงพระ
หลวงปู่จะสมโภชธง แล้วก็จะหล่อพระธรรมขันธ์ ในลานโพธิ์
บ่ายๆ เค้าก็จะมีพระจีนมาสวดมนต์ พระจีนเค้าคงจะกินเจ โรงเจเค้ายังมีอยู่นี่ มีอาหารเจเลี้ยง
พระที่มาสวด จัดอาหารเป็นวงที่ศาลา เวลาเค้าสวด ไปสวดที่ลานโพธิ์
เช้าๆ จะมีพราหมณ์มาสวด บวงสรวงธง แล้วพระเค้าจะเจริญมนต์
แล้วหลวงปู่หล่อพระธรรมขันธ์ บรรจุใต้ฐานพระมหาพุทธพิมพ์ 84,000 องค์ เอาไว้เป็นกำลังของพระศาสนา ค่อยๆ ทำไปเรื่อยๆ เก็บโลหะเก่าๆ มีชนวนของพระเก่าๆเอ้า ว่า นะโม 3 จบ......
เอ้ย ใครจะเอารถเบนซ์ไม๊วะ กูจะขาย.....
ขายไม่เอาตังต์ เอาทองเหลือง เอามาจอดไว้เกะกะ
นั่งรถเบนซ์ อายเค้า อย่างกูนี่ ต้องนั่ง 10 ล้อ
อาย
เอ้า รับพร ลูก
เอ้ย กรวดน้ำก่อนเว้ย เทวดามายืนกวัก
กรวดน้ำ ๆ
อิทัง.......
หลวงปู่ให้พร....
โชคดี ลูก ธรรมะรักษา ให้รุ่งเรือง ร่ำรวย เดินทางโดยสวัสดิภาพทุกคน
กราบลาพระ อะระหัง สัมมา.......
อย่าลืมไปบอกกันด้วยนะโว้ย ใครมีทองเหลือง ทองแดง ก็เอามาวันที่ 15 (เมษา)
หลวงปู่จะบิณฑบาตรทองเหลือง ทองแดงในศาลา เพราะเดี๋ยวมันจะไม่มีเวลา เพราะวันนั้นมีกิจกรรมสรงน้ำคนแก่ กว่าจะแจกพระ รับปัจจัย ก็หมดครึ่งวันเช้า
ให้พระเณรเค้าบิณฑบาตรข้าวสาร อาหารแห้ง
แล้วก็บ่าย ยังมีการสรงน้ำอีก
ห้องสมุดธรรมอิสระ
แสดงธรรมอาทิตย์ที่ 4 วัดอ้อน้อย วันที่ ๒๖ ก.พ.๕๕
- Details
- Written by พระธนุส กิตฺติญาโณ (พระจูเนียร์)
- Hits: 2309