อะทาสิ เม อะกาสิ เม ญาติมิตตา สะขา จะ เม
เปตนัง ทักขิณัง ทัชชา ปุพเพ กะตะมะนุสสะรัง
เมื่อบุคคลมาระลึกถึงอุปการะ อันท่านได้ทำแล้วแก่ตนในกาลก่อน
ว่าผู้นี้ได้ให้สิ่งนี้แก่เรา ผู้นี้ได้ทำกิจนี้ของเรา ผู้นี้เป็นญาติ,
เป็นมิตร, เป็นเพื่อนเราดังนี้ ก็ควรให้ทักษิณาทานนี้ แก่ท่านที่
ละโลกนี้ไปแล้ว
นะ หิ รุณณัง วา โสโก วา ยาวัญญา ปะริเทวะนา
นะ ตัง เปตานะมัตถายะ เอวัง ติฏฐันติ ญาตะโย
การร้องไห้ก็ดี การเศร้าโศกก็ดี หรือการร่ำไรรำพันอย่างอื่นก็ดี
บุคคลทั้งหมดไม่ควรทำทีเดียว เพราะว่าการร้องไห้นั้น
ไม่เป็นประโยชน์แก่ญาติทั้งหลาย ผู้ละโลก นี้ไปแล้วเลย
ญาติทั้งหลายย่อมตั้งอยู่อย่างนั้น
อะยัญจะ โข ทักขิณา ทินนา สังฆัมหิ สุปะติฏฐิตา
ทีฆะรัตตัง หิตายัสสะ ฐานะโส อุปะกัปปะติ
ก็ทักษิณาทานนี้แลอันท่านให้ ประดิษฐานไว้ดีแล้วในหมู่สงฆ์
ย่อมสำเร็จประโยชน์เกื้อกูลแก่ ผู้ที่ละโลกนี้ไปแล้วนั้น
ตลอดกาลนานตามฐานะ
โส ญาติธัมโม จะ อะยัง นิทัสสิโต
ญาติธรรมนี้นั้น ท่านได้แสดงให้ปรากฏแล้ว
เปตานะ ปูชา จะ กะตา อุฬารา
และบูชาอันยิ่ง ท่านก็ได้ทำแล้วแก่ญาติทั้งหลาย
ผู้ละโลกนี้ไปแล้ว
พะลัญจะ ภิกขูนะมะนุปปะทินนัง
กำลังแห่งภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่าท่านได้เพิ่มพูนให้แล้ว
ตุมเหหิ ปุญญัง ปะสุตัง อะนัปปะกันติฯ
บุญอันไม่น้อย ท่านได้ทำแล้วด้วยดีดังนี้แล