พลังงานอันเกิดจาก การรวบรวมความรู้สึกนึกคิด ให้ผนึกเป็นหนึ่ง เดียวกันกับกายและใจ นับว่าเป็น ทรัพยากรที่มีค่าที่สุดในการมีชีวิตเพราะว่ามันเป็นสิ่งเดียว ที่อยู่ติดตัวเรามาตลอดตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย ทั้งยังเป็นเครื่องบอกถึง คุณประโยชน์ที่ลูกจะนำ มาสร้างสรรค์ชีวิตและกิจกรรมการงานหน้าที่ สรรพสิ่ง ให้มีความสมบูรณ์ เพิ่มพูนคุณประโยชน์ให้แก่ชีวิตและสังคมโลกและจักรวาล ลูกจึงต้องยอมรับว่าร่างกายจิตใจและความรู้สึกนึกคิดเป็นสิ่งแสดงออกของ พลังงานอันมีคุณค่านี้ เมื่อใดที่ลูกเปิดใจให้กว้างต่อการเรียนรู้ ต่อ การมอง และรับเหตุผลของสรรพสิ่ง ความคิด จิตใจ ร่างกายพลังงาน จะผสมผสาน กลมกลืน สอดคล้องต่อการสัมผัสและรวมกันทำกิจกรรมการงานหน้าที่ อย่างเต็มความสามารถ สิ่งที่ลูก จะได้รับนอกจากผลสำเร็จของหน้าที่การงานแล้ว ยังแถมพกไปด้วยประสบการณ์อันมี คุณค่าพร้อมทั้งความดื่มด่ำจากสาระของ ชีวิตอย่างเต็มอิ่มอีกด้วย
      
       ขณะที่ลูกอยู่ในวัยเยาว์ กระแสดแห่งพลังของลูกจะเข้มข้น มากมายอาจเป็นเพราะจิตใจของลูกยังคงความบริสุทธิ์แจ่มใส ลูก จึงสามารถกระทำกิจกรรมใดๆ ให้สำเร็จได้อย่างง่ายดาย หรืออาจ เป็นเพราะลูกมีพลังให้ใช้อย่างมากมาย รวมทั้งได้มันมาอย่างง่าย ดายเกินไป ลูกจึงใช้มันอย่างไม่มีจุดมุ่งหมาย สุรุ่ยสุร่าย ดูเหมือน เป็นสิ่งไร้ค่า ลูกใช้มันแค่จุดมุ่งหมายส่วนตัวและกับสิ่งที่พอใจเท่านั้น ซึ่งดูช่างไม่ฉลาดเอาเสียเลยแทนที่ลูกจะใช้มันในทุกๆ สิ่ง ทุกๆ ส่วนกับกิจกรรมของชีวิตประจำวันและบางทีลูกอาจคิดว่าการ ปฏิเสธหรือหลีกเลี่ยงงานหนักชีวิตอาจจะมีความสุขขึ้น ที่เป็นเช่นนี้เพราะลูกเพียงต้องการจะเก็บเวลาและพลังงานไว้ใช้กับสิ่งที่ เจ้าอยากทำเท่านั้น ลูกอาจจะไม่รู้ก็ได้ว่า ความสำเร็จที่แท้จริงจะเกิดขึ้นจากความเพียร พยายาม อดทน อดกลั้น จริงจังและตั้งใจ การ ปฏิเสธหลีกเลี่ยงงานทุกชนิด นั่นแสดงว่า เจ้าไม่รู้จักใช้พลัง เจ้าคงไม่รู้หรอกว่าพลังที่มีอยู่ในตัวเจ้านั้น ถ้าเจ้ายิ่งใช้ให้มันทำกิจกรรม การงานต่างๆ มากเท่าไร ประสบการณ์และการเรียนรู้ก็จะยิ่งเพิ่ม พูนมากขึ้น นั่นแหละคือวิธีการเพิ่มพูนพลังของเจ้าเองแล้วแหละ ที่เป็นเช่นนี้อาจเป็นเพราะเจ้าไม่รู้จักใช้พลังอย่างชาญฉลาด เจ้าจึง ปล่อยให้พลังสูญเสียไป มันเป็นการลดโอกาสแห่งความเจริญ งอกงามของตัวลูกเอง ชีวิตก็จะกลับกลายเป็นความหลับใหล หลง โดยไม่รู้จักตื่น
      
       ลูกรัก....
       ถ้าเจ้าจะรู้สักนิดว่าพลังงานและชีวิตที่สูญเสียไปกับเวลานั้น เจ้าจะไม่มีโอกาสเรียกร้องมันกลับคืนมาได้เลย พ่อเชื่อว่า ที่เจ้ายอมสูญเสียมันไปนั้น อาจเป็นเพราะเจ้าคงมีความเชื่อว่า ชีวิตและ กาลเวลาทั้งหมดในโลกของเจ้าลูกจึงมักทำอะไรๆ อย่างเชื่องช้า เชือนแช คอยแต่จะผัดวันประกันพรุ่งออกไปเรื่อยๆ ไม่พยายาม ที่จะทำมันสักที ขืนปล่อยให้มันเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ แล้วละก็ พ่อก็อยากจะเตือนเจ้าว่า ชีวิตที่ผ่านมาและที่กำลังจะผ่านไปของเจ้าคงจะไม่ต่างอะไรกับคนที่กำลังหลับ ใหลและละเมอเพ้อพก ไม่มีสาระแก่นสารอะไรกับการมีลมหายใจของลูกเป็นแน่ การที่ลูกยอมให้พลังงานและกาลเวลาสูญเสียไป ผลที่ได้รับคือความรู้สึกว่างเปล่าต่อการมีชีวิต เจ้าจะรู้สึกว่าได้ ขาดหายอะไรไปบางอย่าง มันจะทำให้ลูกมองเห็นสิ่งที่ลูกจะต้องทำมีความสำคัญแค่เล็กน้อย เท่านั้นเอง พลังงานและเวลาที่สูญเสียไปเหตุอาจจะเกิดจากความ ไม่ใส่ใจต่องานในทุกแง่ทุกมุมและทุกงาน แล้วก็ปล่อยให้สิ่งเหล่านั้นมันผ่านเลยไป โดยมิได้มีการเรียนรู้ฝึกฝนหรือลงมือกระทำเลย แต่เจ้าอาจจะกระทำหรือเจ้าอาจจะกระทำแต่เป็นการกระทำด้วยความซังกะตาย ไม่ได้ให้ความสำคัญและไม่ใส่ใจสักเท่าไหร่ มันย่อมแน่นอนเหลือเกินว่า สิ่งเหล่านี้ คงไม่เกิดประโยชน์สักเท่าไหร่ เป็นแน่ แล้วถ้าขืนปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป ครั้นเมื่อถึงยามที่เจ้าแก่เฒ่าลง ลูกจะต้องรู้สึกเสียใจต่อพลังและเวลาที่สูญเสียไปโดยไร้ประโยชน์
      
       เฮ้อ....เจ้าจะรู้สึกท้อแท้และก็ท้อถอย เมื่อ มีใครเขาใจอารีย์มาชักชวนให้ลูกได้กลับเข้ามาขวนขวายหาประโยชน์ ลูกก็จะบอกกับเขาไปว่ามันสายเกินกว่าที่จะทำอะไรมันได้แล้ว ซึ่งพ่อก็จะต้องค่อยๆ ตะโกนออกมาว่า โอ้หนอ...ดูช่างน่าสมเพช เสียจริงๆ
      
       ลูกรัก....
       พ่ออยากจะเตือนเจ้าให้ได้รู้สึกตัวเอาไว้ว่า กาลเวลา มันคือเครื่องพาและผลาญชีวิต พร้อมทั้งสรรพสิ่ง ฉะนั้น เจ้าจะทิ้งให้มันผ่านไปเสียเฉยๆ กระนั้นหรือ ถ้าเจ้าไม่ต้องการให้ประโยชน์ของชีวิตสูญเสียไปเช่นนี้ ลูกก็ ต้องลงมือกระทำต่อทุกๆ กิจกรรม การงานอย่างจดจ่อ จริงจังและใส่ใจ พร้อมด้วยความสังเกตวิเคราะห์พิจารณา เพื่อให้รู้ถึงจุดดี จุดด้อย จุดได้ และจุดเสียของ งาน ผลของงาน ชีวิต และวิธีการทำงาน ลูกจะได้เรียนรู้ และทำการวางแนวทางจุดมุ่งหมายให้เหมาะสมอย่างต่อเนื่อง มันจะได้เป็นเครื่องมือทำให้เจ้าปิดกั้นความสูญเสียและได้เข้าถึงความสำเร็จ ของ การงานและชีวิต แต่ถ้าลูกทำมันโดยไม่ได้สังเกต วิเคราะห์พิจารณา ลูกจะใช้เวลาและพลังไปอย่างไม่บันยะบันยัง ซึ่งดูๆ แล้วก็ไม่ค่อย จะเหมาะสมกับงานนั้นๆ สักเท่าไหร่
      
       ตัวอย่างเช่น งานใดเล็กๆ น้อยๆ ลูกกลับใช้เวลาพลังให้หมดไปกับมันอย่างมากมาย แต่กับงานที่ละเอียดอ่อนประณีต ลูก กลับไม่ให้ความสำคัญกับมันเลย ถ้าจะพูดกันให้ถูกต้องจริง ๆ แล้ว ละก็ การขาดความสังเกตวิเคราะห์พิจารณานั้น มันจะทำให้เจ้าไม่สามารถจะรู้เสียด้วยซ้ำไปว่า งานอย่างไหนเล็กน้อย อย่างไหน ละเอียดอ่อนประณีต มันจึงทำให้เจ้าพลาดหวังต่อประโยชน์และผลของงานที่เจ้าทำ แล้วทีนี้ ทีนี้อะไรจะเกิดขึ้นล่ะ อ้าว...ก็ความผิดหวังไงล่ะ ความผิดหวัง ความวิตกกังวล ความเครียด ที่มันจะ เกิดขึ้นไงล่ะ แล้วเจ้าก็จะต้องยอมรับผลตอบแทนแห่ง ความไม่เอาไหน ของเจ้านั้น เมื่อความอึดอัดเหล่านี้เกิดขึ้น สิ่งที่จะตามมา ก็คือ ความละเลยล้มเหลว ล้มเลิกต่อการกระทำต่างๆ แทนที่เจ้าจะกลับเข้ามาสังเกต วิเคราะห์พิจารณาหาทางแก้ไข เจ้ากลับหันความสนใจไปในเรื่องอื่นๆ สิ่งอื่นๆ และก็ทิ้งงานผ่านมาให้เป็นปัญหาของผู้อื่นทำต่อไป
      
       ทีนี้ละ...ทีนี้ลูกก็จะเป็นคนเลวในสายตาของคนอื่น ความรู้สึกขัดแย้งภายในตนและคนอื่นก็จะเกิดขึ้น ความรู้สึกเป็นสุข มิตรสหายและสังคมของลูกก็จะค่อยๆ ลดน้อยถดถอย และสูญหายไปในที่สุด เฮ้อ...พ่อดูว่าชีวิตของเจ้าช่างเป็นเรื่องน่าเศร้าเสียจริงๆ น่ะ
      
       ลูกรัก....
       พ่อจะบอกอะไรให้สักอย่าง เอาไหมล่ะ ถ้าลูกปรารถนาจะมี ชีวิตที่ดีขึ้น เพียงแต่ลูกเริ่มกลับเข้ามาฝึกหัดตัวเอง โดยการริเริ่ม ทำงานทุกอย่างด้วย ความใส่ใจ อย่างจริงจัง เจ้าอาจจะเริ่มจากงานที่ง่ายๆ ก่อนก็ได้ พร้อมทั้งให้ความสนใจ และใส่ใจดูว่า ลูกใช้ พลังงานนั้นอย่างไรบ้าง เจ้ามีการสัมผัสถึงกลิ่นไอ ขั้นตอน และปัญหาของงานได้อย่างแจ่มแจ้งชัดเจนแค่ไหน ลูกสามารถใช้พลัง ทำงานได้อย่างเต็มที่หรือไม่ความรู้สึกจดจ่อ จับจ้อง จริงจัง ได้เกิดขึ้นอย่างตั้งมั่นไหม อีกทั้ง ลูกได้ถูกฉุดกระชากหรือถูกชักจูง ให้หลงลืม ไหลลื่นไปตามกระแสแห่งความเพลิดเพลิน เกียจคร้าน และอื่นๆ ซึ่งนอกเหนือจากงานนั้นๆ บ้างหรือเปล่าและถ้ามี ลูกก็ ต้องหยุดความ รู้สึกเพลิดเพลิน เกียจคร้านเหล่านั้นให้ได้ โดยการสร้างแรงจูงใจคือใส่ใจต่อความรู้สึกลึกๆ ของตน จนกลายเป็นความรู้เนื้อรู้ตัว เมื่อความรู้เนื้อรู้ตัวเกิดขึ้นแก่ตัวเจ้า เจ้าก็จะรู้ได้ด้วยตนเองว่า เจ้าต้องการอะไร และควรจะทำอะไร ลูกก็จะยอมรับต่องานซึ่งแม้แต่จะดูซ้ำๆ ซากๆ จำเจเป็นประจำ ที่จะต้อง ทำประจำวัน ลูกจะทำมันด้วยความโปร่งเบา และเป็นสุขความรู้เนื้อรู้ตัวยังจะทำให้ลูกค้นพบว่าความแตกต่างของงาน ที่มันเกิดขึ้นมาได้นั้น เป็นเพราะความคิด การให้ความสำคัญต่องานของลูกเองต่างหาก
      
       การสังเกตวิเคราะห์ พิจารณาได้อย่างนี้ มัน จะทำให้ลูกสามารถใช้พลังกาลเวลาอย่าง ชาญฉลาดและต่อเนื่อง ความอดทน บากบั่น จะเกิดขึ้นอย่างธรรม-ชาติ ลูกจะรู้สึกมั่นคงต่อเจตนารมณ์ของตัวลูกเองซึ่งไม่ใช่เกิดมาจากการบังคับ กดขี่ แต่ เป็นด้วยความสมัครใจอย่างจริงจัง มันเป็นความสมัครใจที่จะกระทำอย่างร่าเริง แจ่มใส ประสบการณ์แต่ละขณะของชีวิตที่ผ่านมาและผ่านไป จะมีแต่การเรียนรู้เต็มอิ่มอย่างบริบูรณ์ ความ ใส่ใจ ความละเอียดถี่ถ้วน ชัดเจนของลูกจะขยายเบิกกว้างออกไปสู่สังคมโลกและจักรวาล
      
       ด้วยเหตุผลเหล่านี้ มันจะทำให้ลูกเกิดความเข้มแข็งขึ้นภายในลูกจะสามารถทำสิ่งที่เคยคิดว่าไม่ สามารถทำได้ แต่ลูกก็ได้ทำมันแล้วอย่างง่ายดาย การงานและชีวิตจะกลายเป็นเวทีให้ลูกได้แสดงถึงศิลปะในการใช้พลังเมื่อชีวิต เป็นศิลปะ ลูกก็ จะมีแต่ความสดใส ตื่นใจ กระจ่างชัด งานจะเป็นแรงบันดาลใจ ให้ลูกได้แสวงหาประสบการณ์ใหม่ๆ ของชีวิตอย่างต่อเนื่องลูก จะค้นพบวิถีทางแห่งการสร้างสรรค์อย่างธรรมชาติ ความรู้เนื้อ รู้ตัวอย่างต่อเนื่องและลึกซึ้งที่ได้มาจากการเรียนรู้และการทำงาน นั้น มันจะทำให้ ลูกได้ค้นพบแสงสว่างแห่งพลังและปัญญา งาน จะเป็นสิ่งที่ทำให้เจ้าได้แสดงความรู้สึกนึกคิดจิตใจ ถ้าเจ้าทำมัน ด้วยใจน่ะ การงานที่พร้อมกันไปด้วยทั้งกายและใจ มันจะทำ ให้เจ้าเข้มแข็งกล้าหาญ และมีพลัง ทั้งยังช่วยฝึกฝนให้เจ้าเป็นคนที่สนใจต่องานมากขึ้น ชีวิตของลูกก็จะดำเนินไปสู่แนวทางที่ถูกต้องอย่างมีชีวิตชีวาในทุกๆ ที่ ทุกๆ ทางที่เจ้าอยู่ การที่ลูก ให้ความสำคัญและความหมายแก่งานได้เช่นนี้ ความรู้สึกอิ่มเอิบ เบิกบานก็จะเกิด ขึ้นแทนที่แห่งความรู้สึกขลาด เขลา เศร้า เสียใจ
      
       เมื่อลูกทำความเข้าใจได้เช่นนี้และสามารถให้คุณค่าต่อชีวิตและการงาน พร้อมๆ ทั้งกล้าเผชิญกับงานไม่ว่าจะง่ายหรือยาก ค่อยๆ ทำไปทีละขั้นพ่อก็รับรองได้ว่า ชีวิตการงานและกาลเวลาคงจะไม่มีโอกาสสูญเปล่าไปกับลูกได้เป็นแน่ เพราะฉะนั้นขอให้ลูกได้กลับมาพิจารณา ใคร่ครวญวิเคราะห์ ถึงปัญหา และสิ่งที่ลูกกระทำที่ผ่านมา รวมทั้งที่จะทำต่อไปในวันข้างหน้าแล้วลูกได้มีสิ่งเหล่านี้บ้างหรือเปล่า มีอะไรบ้างที่จะต้องแก้ไข การ ได้รู้จักตัวเองเรียนรู้ และมองตัวเอง เป็นสุดยอดของความวิเศษแห่งวิชาการซึ่งพ่อต้องพูดว่าเป็นสุดยอดของความวิเศษ แห่งวิชาการ ก็เพราะ มันไม่มีวิชาการใดในโรงเรียน ไหนหรือในโลก ที่เขาสอนถึงการเรียนรู้จักตัวเองได้มากเท่ากับวิชาการแห่งศาสนธรรมนี้ ไม่มีโรงเรียนที่ไหนและไม่มีครูคนใดที่สามารถ จะชี้นำบอกให้เรากระทำต่อกิจกรรมแห่งชีวิตประจำวันของตนได้อย่างถูกต้องไม่ บกพร่องในหน้าที่เท่ากับโรงเรียนแห่งธรรมชาติโรงเรียนแห่งศาสนธรรม นี้ และก็โรงเรียนแห่งนครกายที่เจ้ามี
      
       เพราะฉะนั้น พ่อจึงอยากจะบอกและเตือนเจ้าด้วยใจที่เอื้ออาทรจริงๆ ว่า เจ้าควรจะให้ความสำคัญ และให้ความใส่ใจต่อการเรียนรู้ชีวิตและวิญญาณของเจ้า รวมทั้งการกระทำด้วย ให้มากขึ้นกว่านี้อีกสักนิด แล้วพ่อก็คิดว่า ความสุข ความวิเศษ ความสำเร็จ หรือความประเสริฐดีเลิศ อะไรก็แล้ว แต่ที่เจ้าปรารถนา มันคงจะต้องเป็นเจ้าของเจ้าได้สักวันหนึ่งเป็นแน่ถ้าเจ้าพยายามทำมัน