29 กค  2556  วิถีธรรม วิถีพุทธ และวิถีพระโพธิสัตว์ โดย องค์หลวงปู่พุทธะอิสระ14.03 นาที
(กราบ)
เจริญธรรม เจริญสุข ท่านสาธุชนคนไอที ที่รักทุกท่าน

วันนี้ก็ เป็นอีกวันหนึ่งที่เราได้มีโอกาสได้มาสั่ง

สนทนา แสดงทัศนคติทางวิถีธรรม วิถีพุทธ และวิถี

แห่งพระโพธิญาณ อย่าลืมว่า ใช้คำว่า วิถีธรรม วิถี

พุทธ แล้วก็วิถีแห่งพระโพธิญาณ
หลายท่านก็คงจะทราบดีว่า ความปรารถนาอันสูงสุด

ที่ชั้นต้องการในการบำเพ็ญพรต ถือศีล ปฏิบัติธรรม

บำเพ็ญบารมีมาตลอดชีวิตก็เพื่อมุ่งหวังว่า จะได้

สั่งสมอบรมบารมีธรรมในการที่จะได้เป็นพระ

โพธิสัตว์ แล้วก็พัฒนาไปสู่ความหมายของความเป็น

พระพุทธเจ้าในอนาคตกาล ซึ่งไม่รู้ว่า จะเมื่อไหร่ก็

ตามที แต่ก็มีใจมุ่งมั่น มีใจศรัทธา มีจิตปรารถนาที่จะ

ได้กระทำสั่งสมอบรมบารมีในเรื่องทศบารมีทั้ง 10

ประการ เริ่มต้นจาก ทานบารมี สีลบารมี เนกขัมมะ

บารมี ปัญญาบารมี วิริยะบารมี ขันติบารมี สัจจะบารมี

อธิษฐานบารมี เมตตาบารมี และ อุเบกขาบารมี
ในบารมีทั้ง 10 ประการ แน่นอนว่า ตราบใดที่ยัง

ไม่สามารถได้รับพุทธพยากรณ์ ก็ต้องบำเพ็ญไป

เรื่อยๆ บำเพ็ญไปจนครบ บำเพ็ญไปให้จบ แล้วแต่

โอกาสแต่ละช่วงเวลาว่า จะทำบารมีช่วงไหน อย่างไร

ในเวลาใดบ้าง
งั้น ในการบำเพ็ญบารมีแต่ละครั้งเนี่ย บางทีบางครั้ง

ก็ต้องยอมรับว่า มันก็ต้องแลกมาได้ด้วยการเสียสละ

เหมือนอย่างที่กล่าวไปเมื่อคราวที่แล้วว่า ถ้าไม่ยอม

ตกนรกแล้วจะช่วยสัตว์นรกได้อย่างไร
งั้น หลายท่านที่โจทย์กล่าวอ้างว่า หลวงปู่ต้องอาบัติ

ด้วยเหตุผลว่า ปลูกต้นไม้ ขุดดิน ทำกับข้าว หรือแม้

กระทั่งเลี้ยงสัตว์ ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ มันเป็น

ความผิดเฉพาะตนซึ่งบุคคลผู้กระทำผิดมีเจตนา ไม่ใช่

เจตนาจะทำผิด แต่มีเจตนาที่ต้องการสั่งสมอบรม

บารมีธรรมของตนๆ
งั้น เป้าประสงค์นี้เป็นเป้าประสงค์ที่ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง

ก็ต้องถือว่า เป็นมุมของผู้ที่เสียสละ เป็นมุมของผู้ที่

ยอมเอาตัวเองเข้าแลก เพื่อให้ได้มาซึ่งความสุข

วัฒนาถาวรของผู้คนและประชาชน แล้วก็จะย้อน

กลับมาหาตัวเค้าอีกที นั่นคือ เป็นบารมีในการ

สั่งสมอบรม
งั้น ถ้าจะทำอย่างนี้ได้ มันต้องมีหลักคิดว่า จะต้องมอง

ข้าม คือ มองข้ามตัวเองให้ได้ คือ มองเพื่อจะก้าวล่วง

ความเป็นตัวของตัวเอง ความเห็นตัวเอง ความสำคัญ

ในตัวเอง แล้วก็ความยึดถือในตัวเองเป็นใหญ่ เพื่อ

จะแบ่งปัน เสียสละ แล้วก็เจือจานช่วยเหลือเกื้อกูล

คนอื่น คือ ถ้ามีตัวกูเป็นใหญ่ มีตัวเองเป็นใหญ่ มันก็

จะมีความสุขของกู สมบัติกู เวลากู ครอบครัวกู ญาติกู

พวกพ้องกู แล้วสุดท้ายก็ตัวกู ของกู มันก็จะทำอะไรที่

มันจะเป็นเรื่องที่จะทำให้ประโยชน์ต่อโลก ต่อสังคม

ต่อสิ่งแวดล้อม ต่อประเทศชาติ ต่อมนุษยชาติ ต่อปวง

ชน และต่อสรรพสัตว์ได้ยาก แม้จะทำก็ทำได้ลำบาก

แค่คิดก็จะลำบากแล้ว จะยากแล้ว
ก็เหมือนกับมีคำกล่าวว่า ทำไปทำไม ลำบากเปล่าๆ

ทำไปทำไม หาเรื่องใส่ตัว ทำไปทำไม อยู่ดีๆ เอามือ

ไปซุกหีบให้เดือดร้อน ทำไปทำไม กินๆ นอนๆ แล้ว

เอาตัวรอด สบายกว่า อ้ายวิธีคิดแบบนี้แหละ มันไม่

อยู่ในหลักคิดของวิถีแห่งพระโพธิญาณ หรือ วิถีแห่ง

พระโพธิสัตว์ คิดแบบนี้ไม่ได้
งั้น วิถีแห่งพระโพธิสัตว์ จะต้องคิดว่า แม้กระทั่งเลือด

เนื้อและชีวิตของตน ก็สามารถจะเป็นพลีต่อสรรพ

สัตว์เพื่อประโยชน์สุขของสรรพสัตว์ แม้แต่เลือด

เนื้อและชีวิตของตนก็สามารถที่จะอุทิศให้กับแผ่น

ดินและสรรพสัตว์ เพื่อสั่งสมอบรมบารมีธรรมของตน

เพื่อให้กลับมาซึ่งความสำเร็จพุทธภูมิในอนาคตกาล
ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้แหละ จึงต้องนำมาพูดคุยเพื่อ

ให้เกิดความเข้าใจ หลายท่านที่เป็นลูกศิษย์ลูกหา อาจ

จะเกิดความกังวลว่า ครูบาอาจารย์กำลังจะโดน

โจษจันด้วยอาบัตินั้นอาบัตินี้ ซึ่งจริงๆ แล้ว สิ่งที่เป็น

อาบัติ หรือ สิ่งที่โดนโจทย์นั้น มันเป็นอาบัติแล้วก็

โดนโจทย์ด้วยเหตุผลที่ทำประโยชน์ให้แก่บุคคลอื่น

ทั้งนั้น มันไม่ได้เป็นอาบัติแล้วก็โดนโจทย์ด้วย

เหตุผลที่ทำประโยชน์ให้กับตัวเอง หรือแสวงหา

ความสุขให้แก่ตัวเอง แสวงหาผลประโยชน์ให้แก่ตัว

เอง
เพราะฉะนั้น ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกังวล แล้วก็ไม่ต้อง

กลัว ชั้นว่า ชั้นมีวุฒิภาวะมากพอ มีสติปัญญามากพอ

มีวิธีคิดที่จะรู้ว่า สิ่งที่กำลังทำ คำที่กำลังพูด และสูตร

ที่กำลังคิดนั้น มันเป็นคุณ เป็นประโยชน์มากน้อย

อย่างไร
หมอคนหนึ่งถ้าจะรักษาโรค เพื่อค้นหายาเนี่ย ก็เป็น

ธรรมดาที่บางทีบางครั้ง ยานั้นตัวเองก็ต้องทดลองก่อน

เพื่อจะให้ได้มาซึ่งยาวิเศษที่จะสามารถบำบัดรักษา

โรคได้ ไม่งั้น หมอนั้นก็ไม่สำเร็จประโยชน์ในอาชีพ

ของความเป็นหมอ ฉันใดก็ฉันนั้น พระมหาโพธิสัตว์

เจ้าก็เหมือนกัน การที่จะไปช่วยสัตว์นรกทั้งหลาย

การที่จะปลดเปลื้องความโง่เขลาเบาปัญญาของสรรพ

สัตว์ทั้งหลาย การที่จะทำให้สัตว์ทั้งหลายพ้นจากทุกข์

เพทภัยทั้งหลาย  พระโพธิสัตว์เจ้าทุกพระองค์ ทุกท่าน

ทุกประเภท ทุกชนิด หรือทุกรูป ที่ได้สั่งสมอบรม

บำเพ็ญ ท่านก็ต้องขวนขวาย ต้องแสวงหา

ต้องกระทำประโยชน์เพื่อให้ได้เกิดขึ้นต่อมหาชน ต่อ

คนทั้งหลาย ต่อสรรพสัตว์ แล้วก็ต่อชาวโลกทั้งปวง

แล้วประโยชน์เหล่านั้นก็สุดแท้แต่กำลังวังชาของแต่

ละท่าน สุดแท้แต่ฐานะของแต่ละท่าน สุดแท้แต่สติ

ปัญญาความรู้ความสามารถของแต่ละท่านที่จะกระทำ
งั้น มันก็อยู่ที่มุมมองของคนล่ะ ถ้าว่าจะมองเพื่อจะจับ

ผิดเนี่ย ขออภัย ตดก็ผิด แต่ถ้ามองให้เห็นเป็น

ประโยชน์ เอาประโยชน์เป็นใหญ่ แล้วก็มองว่า คน

ทั้งหลายแล้วใครได้ประโยชน์ ก็จะเห็นว่า สิ่งที่มองนั้น

มันน่าจะอนุโมทนา น่าจะสนับสนุนยกย่องด้วยซ้ำไป
แต่ที่มาพูดนี่ ไม่ใช่มาพูดเพื่อแก้ตัวว่า ตัวเองไม่ผิด

แล้วก็ไม่ยอมรับผิด ไม่ใช่
เคยพูดกับลูกศิษย์ซึ่งเป็นพระวิปัสนาจารย์ มหา

อานนท์ หรือไม่ก็พระวัดอื่นๆ ที่เป็นลูกศิษย์ลูกหาว่า

สิ่งที่ผมทำ พวกท่านก็อย่าเอาเยี่ยงอย่าง ถ้าท่านไม่ใช่

วิถีแห่งพระโพธิญาณ ถ้าท่านเป็นวิถีแห่งสาวกภูมิ

ท่านจะมาทำนา คุมคนงาน ปลูกผัก ปลูกหญ้า ทำ

กิจกรรมที่จะหล่อเลี้ยง เป็นประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม

ต่อสังคม ปลูกต้นไม้ ทำกับข้าว ทำอะไรๆ อย่างที่ผม

ทำเนี่ย ไม่ได้ ด้วยเหตุผลว่า พวกท่านเป็นสาวกภูมิ

ต้องรักษาศีลให้บริสุทธิ์ รักษาอาจาร รักษาจารีต

รักษาธรรมเนียมเหล่านี้ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าท่าน

ทรงแสดงไว้แล้ว ท่านเป็นผู้สืบทอด ต้องทำให้ได้
แต่วิถีชีวิตของผมมันคนละเรื่องกับพวกท่าน ผม

ปรารถนาที่จะได้เป็นพระพุทธเจ้า เพราะงั้น ความได้

เป็นพระพุทธเจ้าได้ มันจะต้องสั่งสมอบรมบารมี

หลากหลาย แล้วในขณะที่สั่งสมอบรมบารมีเหล่านั้น

มันก็เป็นธรรมดาอยู่เองที่มันจะต้องฝืน ขืน ต่อหลัก

การและกติกาของพระธรรมวินัย ด้วยเหตุผลว่า มัน

ไม่ใช่เป็นผู้สละเพราะต้องประกอบไปด้วยกิจกรรม

แล้วก็กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ที่จะต้องเกื้อกูล

อนุเคราะห์ ส่งเสริม สนับสนุนคนอื่น ไม่งั้น มันก็จะ

ไม่ได้บารมี ไม่งั้น มันก็ไม่สามารถจะสั่งสมบริษัท

ของตนได้
อย่าลืมว่า พระพุทธเจ้าเนี่ย กว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้า

พระองค์ทรงใช้เวลาในการสั่งสมอบรมบำเพ็ญ

บริษัทบริวารของตนถึง 4 อสงขัยแสนมหากัป แล้ว

การสั่งสมอบรมบริวารของตนๆ ก็คือ ต้องไป

สงเคราะห์ ต้องไปอนุเคราะห์ ต้องไปการุณ ต้องไป

เกื้อกูล ต้องไปอบรมสั่งสอน ต้องให้การช่วยเหลือ

อุปถัมภ์บำรุง แล้วท่านทั้งหลายเหล่านี้ ก็จะเกิดตาม

ภพตามชาติเพื่อจะรับใช้ เพื่อจะฟังธรรม เพื่อจะ

ศรัทธาปสาทะ เพื่อจะสนับสนุนส่งเสริมต่อกันและ

กันมา จนกระทั่งบารมีญาณแก่กล้า แล้วก็ฟังธรรม

จากท่านผู้นำนั้น แล้วก็บรรลุมรรคผลสืบๆไป
ถ้าไม่งั้น ก็จะกลายเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าซึ่งตรัสรู้

เองโดยชอบ แต่ไม่สอนคนอื่น หรือสอนคนอื่นไม่ได้

ถึงแม้สอนก็ไม่มีใครจะฟัง เพราะตัวเองไม่ได้

สั่งสมอบรมบริษัทบริวารมา
ทั้งหลายทั้งปวงนี้แหละคือ ที่มาของการกล่าวโทษ

และตำหนิติโจทย์พฤติกรรมที่หลวงปู่กระทำซึ่งอยาก

บอกลูกหลานว่า ไม่ต้องไปเถียง ไม่ต้องไปทะเลาะ

ไม่ต้องไปปรามาส หรือไม่ต้องไปต่อล้อต่อยตีกับเค้า

เพราะว่า คนที่ไม่เข้าใจวิถีทางก็อาจจะมองว่า นั่นคือ

เหตุที่ทำให้พระธรรมวินัยด่างพร้อย ให้พระศาสนา

ด่างพร้อย
แต่ก็อยากจะบอกท่านที่รักทั้งหลายว่า ถ้าเราไม่เข้าใจ

ในวิธีคิดของคนอื่นๆ ก็อย่าเอามาตรฐานของตัวเอง

ไปตัดสิน ถ้าไม่เข้าใจวิธีคิด วิถีทำ วิถีชีวิต วิถีพูด ของ

คนอื่น ถ้าเกิดเอามาตรฐานของตัวเองไปตัดสิน

เดี๋ยวมันจะมีปัญหา โดยเฉพาะมาตรฐานของพระ

โพธิสัตว์จะกว้างขวางใหญ่โตมโหฬารมากกว่า

มาตรฐานของสาวกภูมิ
มาตรฐานของสาวกภูมิ มันมีตำรากำกับอยู่ มีกติกา มี

กฏเกณฑ์คอยกำหนดบทบาทและสถานะชัดเจน แต่

มาตรฐานของพระโพธิสัตว์นี่มันอยู่นอกเหนือตำรา

อยู่นอกเหนือกฏเกณฑ์ อยู่นอกเหนือกติกา ด้วย

เหตุผลว่า ก็เหมือนๆ กับนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี

ที่เค้ามีหลักการ มีกติกา มีกฏเกณฑ์กำกับ ซึ่งจะแตก

ต่างจากพระราชอำนาจของพระเจ้าแผ่นดิน เจ้านาย

หรือ พระมหากษัตริย์ ซึ่งกติกา กฏเกณฑ์เหล่านั้น

ต้องได้รับความเห็นชอบและยินยอมจากท่าน
เพราะงั้น จะบอกว่าท่านอยู่เหนืออำนาจ เหนือ

กฏเกณฑ์ เหนือกติกา ก็คงไม่ใช่ แต่เป็นผู้กำหนด

อำนาจ กำหนดกฏเกณฑ์ กำหนดกติกา งั้น บทบาท

ฐานะและหน้าที่ย่อมยิ่งใหญ่มากกว่า
งั้น อย่าเอาภูมิปัญญาของสาวกภูมิ มาวิเคราะห์

ภูมิปัญญาและวุฒิภาวะของพุทธภูมิ มันจะกลายเป็น

เหมือนกับเค้าเรียกว่า อะไร ดึงฟ้าให้ต่ำ แล้วก็อะไร

ทำให้วิถีแห่งพุทธธรรมบอบช้ำเสียหาย จะกลายเป็น

ปฏิปักษ์ต่อวิถีทางในการสั่งสมอบรมบารมีธรรมของ

พระโพธิสัตว์องค์หนึ่งๆ ซึ่งจะมีต่อๆไปในอนาคต

ด้วยซ้ำไป
งั้น ถ้าจะย้อนกลับไปดูอัตชีวประวัติของผู้ที่ปรารถนา

พุทธภูมิ ตัวอย่างเช่น หลวงปู่ทวดก็ตาม สมเด็จพุทธา

จารย์ (โต) ก็ตาม แม้หลวงพ่อโอภาสีก็ตาม ท่าน

ทั้งหลายเหล่านี้ ก็มีวิธีคิดที่แตกต่างจากสาวกภูมิเยอะ

แยะมากมาย แล้วทุกวันนี้เราก็มาชื่นชมผลงานของ

ท่าน เคารพบูชาท่าน ศรัทธาท่าน
ที่หลวงปู่ทำเนี่ย ไม่ได้หวังว่า จะให้คนมาชื่นชม

เคารพบูชา เทิดทูน แต่ทำเพื่อหวังว่า จะให้เกิด

ประโยชน์ต่อใครๆ แล้วใครๆ ที่ได้ประโยชน์เหล่า

นั้นแล้วจะได้ตระหนักสำนึกระลึกรู้ว่า สิ่งที่ตัวเอง

ต้องทำ คำพูด และสูตรที่คิดต่อสังคม ต่อสิ่งแวดล้อม

มันจะต้องได้รับประโยชน์มากมายกว่าตนได้รับ สิ่ง

แวดล้อมและสังคมจะต้องได้รับประโยชน์มากกว่าสิ่ง

ที่ตัวเองได้รับ
แล้วก็ทำตามพระดำรัสพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ภิกษุ

ทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงยังประโยชน์ตนและ

ประโยชน์ท่านให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาทเถิด
งั้น ถ้าหลวงปู่จะประมาท ก็ประมาทตรงที่ว่า ยอมเอา

ตัวเองไปตกนรก แต่จะยอมช่วยสัตว์นรกให้พ้นจาก

ทุกข์ภัย นั่นคือ ความประมาทของหลวงปู่ซึ่งไม่มีผล

เกี่ยวเนื่องและทุกข์เดือดร้อนกับคนทั้งหลาย
เพราะงั้น ท่านทั้งหลายที่กำลังทุกข์เดือดร้อนด้วย

ความประมาทของหลวงปู่ก็ อย่าทุกข์เดือดร้อนเลย

อย่ามานั่งแบกหลวงปู่อยู่เลย เอาตัวเองให้รอดเถิด
เจริญธรรม