31 มี ค 56   13.15 น. ธรรมะสัปดาห์ที่ 5 แสดงธรรม โดย องค์หลวงปู่พุทธะอิสระ

(กราบ)
เจริญธรรม เจริญสุข ท่านสาธุชนคนดี ที่รักทุกท่าน ผู้รับชมรายการ ปุจฉา วิสัชนา ญาติ

โยมที่มาชุมนุมกัน ณ. ศาลาวัดอ้อน้อย ในกิจกรรม ฟังธรรม คุณมนัส ตั้งสุข ผู้ดำเนิน

รายการ
วันนี้ ไปไหนกันหมดเนี่ย เมื่อเช้าเต็มศาลา
คุณมนัส     ร้อนมั๊งฮะ
หลวงปู่        บวชพระเสร็จหรือยัง
คุณมนัส     มียอดบวช พระภิกษุมา 19 รูปครับ แล้วก็บวชเณร 162 รูป
หลวงปู่       ไปเฝ้าเณรมั๊ง ตื่นเต้น
คุณมนัส       38 องศาครับ หลวงปู่ ร้อนพอสมควร
หลวงปู่       ดีใจ ที่ลูกพ้นอกไป มาอยู่กับวัด เดือนหนึ่ง อย่างน้อย กูก็ประหยัดไปล่ะ
ขอแสดงความดีใจ ยินดี ในความเสมอภาคของคนไทยทุกคน ที่พวกเรา เวลานี้ ไม่มีสูงต่ำละ

ทุกคน พระ เจ้า เถร เณร ชี เป็นหนี้กันหมดถ้วนหน้า
คุณมนัส      150,000 บาทครับ
หลวงปู่        ขอแสดงความดีใจ ที่ภาครัฐ เค้าทำ ปกครอง แบบเสมอภาคกันหมด
แล้วก็ ขอแสดงความดีใจ ยินดี ไปยังบรรดาปลาร้า ปลาเจ่า พวกพริก ผัก สากกะเบือ

มะเขือเทศ อะไรทั้งหลาย ที่จะมีโอกาสขึ้นรถไฟ
คุณมนัส      ความเร็วสูง
หลวงปู่    ความเร็วสูง ขอแสดงความดีใจ ขอแสดงความดีใจกับคนไทยทั้งแผ่นดิน ใครที่

ตายก่อน ก็โชคดีกว่าเรา อ้ายคนที่ตายที่หลัง และยังอยู่ต่อไปอีก 50 ปี แต่พวกนั่งอยู่ที่นี่

คงอยู่ไม่ถึงหรอก ดูหน้าตาแล้ว เหลือ อาตมาองค์เดียว ล่ะมั๊ง เอ๊อ จะต้องมาใช้หนี้กันยาว

นาน อีก 50 ปี
ก็แสดงความดีใจ กับคนไทยทั้งหลาย ที่เราจะมีรถรางไฟฟ้า วิ่งไปเชียงใหม่ ใช่ไม๊
คุณมนัส      2 เส้นครับ มี กรุงเทพ – เชียงใหม่ แล้วก็ กรุงเทพ ไป หนองคาย แต่ว่า

เส้นหนองคาย เบื้องต้นยังไม่ถึงหนองคาย
หลวงปู่      ไปแค่โคราชก่อน
คุณมนัส       ไปแต่โคราช จริงๆ มันต้องโยงไปถึงขอนแก่น เข้าหนองคาย แล้วเข้า ยูนาน

ของจีนฮะ
หลวงปู่       ไปแวะเยี่ยมหลวงพ่อคูณ
คุณมนัส     ไปแวะหลวงพ่อคูณ สุดแค่นั้นฮะ
หลวงปู่     เอ่อ กลัวแม่โมจะเหงา เลยแวะตรงนั้นก่อน ลงไปซักพักหนึ่ง อีก 100 ปีข้าง

หน้า แล้วค่อยต่อไปใหม่ ก็อย่างที่บอกเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า มันเป็นอะไรที่ต้องทำ เค้าต้องทำ

เพราะเราเลือกเค้ามา เค้าต้องทำ เราเลือกเค้ามาให้ทำ มันก็ต้องทำ
เค้าไม่ทำ ก็จะว่าเค้าไม่ทำอะไรเลย ก็ถือว่า เค้ามีความกล้านะ เค้ามีความกล้าที่จะทำ ก็ดีกว่า

เก่าๆ ที่ไม่รู้จักจะทำอะไรเลย แต่ว่า ถ้ามันจะดีมากที่สุด ก็คือ ทำแล้วเราไม่เดือดร้อนอะไร

ทำแล้วเราไม่ต้องเป็นหนี้เป็นสินใคร ทำแล้วเราไม่ต้องเป็นทาสของใคร ทำแล้วเราไม่ลำบาก

ไม่ทุกข์ยาก แต่เผอิญ ทำแล้ว เราจะต้องเดือดร้อนด้วย
คิดว่า คนขึ้นรถรางไฟฟ้า รถอะไรนะ รถความเร็วสูงเนี่ย
คุณมนัส     รถไฟฟ้าความเร็วสูง
หลวงปู่       เอ้อ รถไฟฟ้าความเร็วสูงเนี่ย  60 กว่าล้านคน นี่น่าจะมีซัก กี่คนที่ได้ขึ้น ที่

นั่งอยู่นี่ มีโอกาสได้ขึ้นไม๊ ไม่มีสิทธิ์ได้ขึ้นหรอก แต่เราจะเท่าเทียมกัน ด้วยการใช้หนี้หมด
ที่แน่ๆ อาตมาไม่ได้ขึ้นอยู่แล้ว อ้าย Airport Link ก็ไม่ได้ขึ้น
คุณมนัส      ครับ
หลวงปู่     เออ ไม่ได้ขึ้น แล้วก็จะไม่ได้ขึ้นต่อไป ไม่รู้จะเป็นยังไง อะไร แต่มันก็เป็น

ธรรมชาติของคนไทยล่ะ
เปิดประเด็นมา ก็เอาละ หนาวละ ทำความหนาวให้เกิดขึ้น เพราะมันร้อนไง ก็เลยทำความ

หนาวให้เกิดขึ้น เอ้า เรื่องของคุณละ
คุณมนัส      ครับ วันนี้ ปุจฉา วิสัชนา ก็ขออนุญาตบันทึกเทปรายการด้วย เพื่อจะนำไป

ออกรายการ ทาง True Vision ช่อง TNN 2 ทุกวันเสาร์ วันนี้ มีคำถามไม่

ค่อยมากเท่าไหร่ ตามจำนวนคน ท่านหลวงปู่ ส่วนใหญ่ จะมีเรื่องธรรมะ แล้วก็เรื่อง

สัพเพเหระที่อยากจะรู้....
ปุจฉา       พระสงฆ์เมืองไทย ทำไมไม่สามัคคีกัน ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทำไมต้อง

แบ่งเป็นมหานิกาย ธรรมกาย อันนี้มันไม่ใช่การแบ่งแยกนะครับ มันเป็นอีกลัทธิหนึ่งละ

แล้วก็มีธรรมยุติ แต่สมัยก่อน มีหินยาน มหายาน ใช่ไม๊ครับ แต่นี่ แบ่งมาให้เลย มหานิกาย

ธรรมกาย ธรรมยุติ ปุจฉาครับ
หลวงปู่     วิสัชนาไม่ถูก มันเป็นอะไรที่ เมื่อวานซืนนี้ ไปสวดมนต์ถวาย อดีตหลวงพ่อเจ้า

คณะจังหวัด ประจำเดือน ก็ยังมีพูดอยู่ว่า แต่ธรรมยุติ นี่เราต้องยอมรับเค้าอย่างหนึ่งว่า

ธรรมยุตินี่ เค้าจะรวมตัวกันดี จะปกป้องกัน จะให้เกียรติกัน ให้โอกาสกัน แล้วก็จะรวมกัน

จะพยายามสร้างเครือข่ายของตัวเอง แล้วถ้ามีเรื่องมีราวเกิดขึ้น ไม่ว่าถูกหรือผิด เค้าจะ

ออกมาปกป้องซึ่งกันและกัน
แต่มหานิกายเราเนี่ย มันเป็นอะไรที่มันรวมตัวกันไม่ค่อยติด พอรวมตัวกันไม่ค่อยติด ก็ยัง

คุยกับหลวงพ่ออดีตเจ้าคณะจังหวัดว่า มหานิกายเราเนี่ย จ้องจะจิกกันอยู่ตะพืด จิกกัน กัดกัน

ทะเลาะกัน เตะแข้งเตะขากัน หาเรื่องหาราวใส่กัน แล้วก็คอยจ้องจะจับผิดกัน
ถามว่า พูดนี่ ด้วยอะไร
ด้วยเหตุผล ด้วยข้อเท็จจริง และสิ่งที่ประจักษ์ ว่า เรา ชั่วชีวิตของความเป็นนักบวชร่วมๆ  

30 กว่าปี จะ 40 ปีอยู่แล้ว มันก็เห็นอย่างนี้มาตลอด สำหรับพวกมหานิกาย
แต่ธรรมยุติ เท่าที่เห็น สมมุติว่า ใครตายสักคน เค้าจะไปกัน เฮกันไป เค้าจะไปช่วยกัน

อาจจะเป็นเพราะว่า สังคมเค้าแคบ ก็เลยรวมตัวกัน พยายามเกาะกลุ่มกันให้อยู่
มหานิกาย เรานี่มันวัดมากกว่า แล้วก็กว้างกว่า แล้วก็อายุในการเกิดนี่เยอะมาก คือ เกิด

ก่อนธรรมยุติ เพราะธรรมยุติเพิ่งมาเกิดในยุคสมัยรัชกาลที่ 4, มหานิกาย นี่เกิดมา

ตั้งแต่กรุงสุโขทัย กรุงศรีอยุธยานู่น ธรรมยุติมาเกิดที่หลัง เพราะว่า รัชกาลที่ 4 ท่านมาตั้ง

ตั้งนิกายขึ้น
ส่วนหินยาน มันก็คือ ยานเดิมของมหานิกาย แล้วก็ธรรมยุติ รวมทั้งธรรมกายด้วย ยังจัด

อยู่ในพวกกลุ่มของหินยาน ส่วนมหายาน นั่นก็จะเป็นเรื่องของอนัมนิกาย เรื่อง นิกายสุขาวดี

ส่วนใหญ่ก็จะเป็นศาสนาของพี่น้องชาวจีน ทิเบต แล้วก็ เขมรบางพวก บางประเภท สมัย

ก่อนนี้ มีเยอะนะ มหายาน เดี๋ยวนี้ก็จะไม่ค่อยมี อาจจะเหลือเฉพาะหินยานอย่างเดียว แล้วก็

เกาหลี ญี่ปุ่น อะไรอย่างนี้ จะเป็นพวกมหายาน ไต้หวัน พวกนี้ จะเป็นพวกมหายาน
งั้น ถามว่า ทำไมไม่ค่อยสามัคคีกัน ทั้งที่มีพระพุทธเจ้าองค์เดียวกัน ก็อย่าว่าแต่เรื่องนิกาย

แล้วไม่สามัคคี แค่วัดๆ หนึ่ง มีพระ 10 รูป ก็ยังไม่ค่อยสามัคคีกันเลย ทั้งที่มีสมภารองค์

เดียวกัน ไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องนิกายใหญ่ๆ
งั้น ทิฏฐิของมนุษย์ มันเป็นธรรมชาติ ถ้ามันเป็นสัมมาทิฏฐิ แล้วมันจะรวมตัวกันได้

เพราะคำว่า สัมมาทิฏฐิ นี่มันมองเห็นทุกอย่าง มันเป็นกลาง แต่ถ้ายังมีคำว่า มิจฉาทิฏฐิ อยู่

มันยังมีพวกมึง พวกกู ที่ถูกที่ผิด ที่ใช่ไม่ใช่ ได้หรือเสีย ดีหรือชั่ว ชอบไม่ชอบ ยอมรับ

ปฏิเสธ ยังมีอยู่
แต่ถ้าเป็นสัมมาทิฏฐิแล้ว มันจะมีมรรควิถี เป็นตัวกำหนดความคิด ชีวิต และบทบาทของตน
งั้น ในมรรควิถี ไม่มีจะมองใครชั่วไม่ชั่ว, ดี ชอบ ยอมรับ หรือ ปฏิเสธ ไม่มี
มีแต่ว่า จะทำยังไงให้ตัวเองเป็นคนที่พัฒนาได้ พัฒนาดี พัฒนาแล้วไม่ต้องพัฒนา
นั่นคือ วิถีของมรรคาปฏิปทา
งั้น ก็ต้องยอมรับว่า เรายังไม่ได้เข้าสู่วิถีแห่งมรรคา มันเลยเป็นที่มาของการรวมตัวไม่ค่อย

ติด จบ
คุณมนัส       เห็นภาพนะครับ หินยาน มหายาน ธรรมยุติ แล้ว ธรรมกายล่ะฮะ
หลวงปู่      ธรรมกาย ก็ยังไม่อยู่ในมรรควิถี คือ ยังไม่เข้าถึงมรรควิถี มันก็เลยต้องมี

ธรรมกาย
คำว่า ธรรมกาย จะบอกว่า เป็นลัทธิ ก็น่าจะได้แล้วนะ เพราะว่า เดี๋ยวนี้ เค้ายิ่งใหญ่ เค้า

มโหฬาร มหึมา เค้าประกาศศักดา ประกาศอะไรต่ออะไร เค้ามีพระไตรปิฎกเฉพาะของเค้า

มีคำสอนเฉพาะของเค้า เหมือนๆ กับจะประกาศลัทธิขึ้นมาใหม่ แล้วก็ คำสอนที่ไม่เหมือน

กับทั้งหินยาน มหายานเลย ก็คือ มีพระพุทธเจ้าเป็นอัตตา หรือว่า พระพุทธเจ้ามีรุ่นพี่รุ่น

น้อง แย่งกันมาเกิด อะไรประมาณนี้ ซึ่งก็ค่อยข้างจะผิดแผกแตกต่างไปจากคนอื่นๆ
ทั้งหมดเนี่ย มันมาผู้คนที่ไม่ได้อยู่ในมรรควิถี ถ้าอยู่ในมรรคาปฏิปทา อยู่ในมรรควิถี ก็จะ

ไม่มีอะไรคิดไปมากกว่า ทุกอย่างมันเป็นทุกข์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป จบ
คุณมนัส     เมื่อเช้า มีโอกาสเจอกับแฟนรายการคนหนึ่ง
หลวงปู่       แฟนคุณเหรอ
คุณมนัส      แฟนรายการผมครับ เค้าบอกว่า
หลวงปู่       แฟนคุณ ?
คุณมนัส     แฟนข่าว
หลวงปู่     อ๊อ
คุณมนัส    เค้าบอกว่า
หลวงปู่      นึกว่า จะอวดแฟน
คุณมนัส        เคยรู้จัก เหมือนกันเป็นลัทธิใหม่ฮะ เค้าบอกว่า เคยรู้จักแนวพุทธ แนวใหม่

ไม๊ ชื่อว่า Landmark หลวงปู่เคยได้ยินไม๊ฮะ
หลวงปู่       Landmark คืออะไร
คุณมนัส     ท่านเคยได้ยินไม๊ฮะ ผมก็เลยถามเค้าว่า มันคือ อะไร ผมก็ฟังไม่ค่อยถนัด

เพราะว่า เค้ากำลังไดร์ผมอยู่ มันก็เสียงดังมาก แล้วเค้าก็เลยบอกว่า ก็คือ ไม่ใช่พุทธเคร่ง

เครียดจนเกินไป เพราะว่า พุทธปัจจุบัน เค้าบอกว่า เคร่งครัดมาก ผมก็เลยเถียงกลับไป

บอกว่า พุทธจริงๆ เค้าก็ไม่ได้สอนให้เคร่งครัดนะ จริงๆ พุทธ คือ ความเป็นอิสระ แต่เค้า

บอกว่า ไม่จริง พุทธจริงๆ ไม่ได้อิสระหรอก แต่ Landmark นี่สิ อิสระจริง

ประมาณนี้ล่ะฮะ ผมก็เลยงง
หวงปู่       อ้าว แล้วไม่ถามเค้าว่า landmark คุณ อิสระแบบไหน หรือ เดินแก้ผ้า
คุณมนัส     พอดี ช่างเค้าทำผมอยู่ ผมก็เลยมองไม่เห็นหน้าเค้าชัดเท่าไหร่
หลวงปู่       อ๋อ นี่ไปทำผมมาเหรอ
คุณมนัส     อยู่ที่ office นี่แหละครับ คือ เค้ามันแขกในรายการ ไม่ได้คุยต่อ รีบมา
หลวงปู่     อ๋อ Landmark เอาไว้จะพยายามติดตามดูว่า หน้าตาอ้าย landmark

นี่เป็นยังไง
คุณมนัส    ใครที่พอรู้ข่าว ก็เข้าไป facebook กลุ่มญาติธรรม วัดอ้อน้อย แล้วให้

คำตอบผมหน่อย ผมอยากรู้เหมือนกันว่า มันคือ อะไร
หลวงปู่     เหรอ แต่มันก็เป็นไปได้ เพราะว่า วิธีคิดของคน พอมันไม่เหมือนกัน ไม่เท่ากัน

แล้วก็เกาะกลุ่มกันได้ ก็สร้างเครือข่ายของตน มันเป็นธรรมชาติ เดี๋ยวนี้ 2 คน ก็เป็นสัทธิ

ได้ล่ะ เพราะอะไร
ก็เพราะว่า มันเผยแพร่ได้ง่ายไง สื่อ ไอที อินเตอร์เน็ต พอ 2 คนเกาะกลุ่มกัน มันก็ได้ล่ะ

ก็ยิ่งสร้างเครือข่ายไปเรื่อยๆๆ ได้มากขึ้น เยอะขึ้น เป็นธรรมชาติ
เผอิญ หลวงปู่ เล่นเน็ตกับเค้าไม่เป็นด้วย ก็เลยไม่ได้
ปุจฉา        พระ ให้ผู้หญิงมานวดได้หรือไม่
วิสัชนา       อันนี้ เป็นเรื่องที่เคยตำหนิบ่อยครั้งมากล่ะนะ มีพระชื่อดังอยู่องค์หนึ่ง เค้าบอก

เค้าเป็นอัมพฤต แล้วก็ลูกศิษย์พาผู้หญิงไปนวดให้ เพื่อจะคลายอัมพฤต เราก็ตำหนิเค้าว่า

ทำบุญเหมือนได้บาป เพราะว่า สิ่งที่ทำ ไม่ใช่เรื่องดี เพราะพระพุทธเจ้า แม้แต่พระน้านาง

ปชาวดี มาซักจีวรให้ ท่านยังตำหนิและขับไล่ อย่าว่าแต่มาจับตัวเลย แค่ไปจับจีวรท่าน ซัก

จีวรท่าน ก็ไม่ได้
แม้ที่สุด ไม่ใช่แค่พระพุทธเจ้า พระภิกษุ ถ้ามีภิกษุณี หรือว่า ผู้หญิงมาจับต้องบริขาร จัด

โน่น จัดนี่ให้เยอะแยะมากมาย ท่านไม่ชอบ พระพุทธเจ้าไม่ใช่ไม่ชอบ ท่านบอกว่า เป็น

มลทิน
งั้น ต้องออกห่างๆ ต้องอยู่ไกลๆ อย่าเข้าใกล้ อย่างนี้เป็นต้น
งั้น อย่าว่าแต่ จัดผู้หญิงมานวด เดี๋ยวนี้ เค้าก็ไม่ค่อยอยากเป็นพระกันแล้ว
อ้าว ก็ดูหนังสือพิมพ์ เทพเจ้าลุ่มแม่น้ำแม่กลอง เทพเจ้าลุ่มแม่น้ำนครชัยศรี เทพเจ้าลุ่ม

แม่น้ำยม เทพเจ้าองค์นั้นองค์นี้ ซึ่งจริงๆ แล้ว คำว่า เทพเจ้า นี่มันชั้นต่ำนะ ถ้าเทียบกับพระ

แล้วพระสูงกว่านะ แต่อ้ายพวกนี้ บวชเข้ามาแล้ว หวังจะได้เป็นเทพเจ้าอย่างเดียว
เอ้า พระนี่ ต้องให้เทพเจ้าไหว้นะ ใครที่ได้รับขนานนาม เรียกขานว่า เป็นเทพเจ้า นี่แสดงว่า

ต่ำแล้วนะ ต่ำกว่านักบวชอีกนะ ต่ำกว่าใคร ต่ำกว่าสามเณรอีกนะ เพราะเทพเจ้า นี่มันมีศีล

ไม่ครบ 10 นะ เณร นี่มันมีศีลมากกว่าเทพเจ้าอีก
งั้น เดี๋ยวนี้ นักบวชไม่ค่อยชอบเป็นนักบวชแล้ว ไม่ชอบเป็นพระละ ชอบเป็นเทพเจ้า ก็เลย

เป็นอะไรที่มันไม่ได้แปลกใจหรอก ในยุคปัจจุบันว่า อะไรมันก็เกิดขึ้นได้ ถ้าอย่างนั้น
ก็บวช 10 วัน ยังได้เป็นพระครูฯ ของสมเด็จฯ ได้เลย
เอ๊อ อะไรมันก็เกิดขึ้นได้อย่างนั้น
เมื่อวานนี้ ท่านรองสมุหราชองครักษ์มา ชั้นยังคุย เค้าถามหลวงปู่ว่า ท่านไม่เอาอะไรเลย

เหรอ
คุณมนัส      ครับ
หลวงปู่     เอ้า, เอาอะไร, เอาตังค์, ไม่ใช่ ผมหมายถึงว่า ท่านไม่เอายศ

ฐาบรรดาศักดิ์ ไม่เอาเกียรติคุณ ไม่เอาอะไรต่ออะไรกับเค้าเลยเหรอ, ฮืม เอามาทำอะไร

เอามา แล้วมันมีประโยชน์อะไร มันไปซื้อ แลกข้าวกินได้ไม๊, มันไปทำให้เรารู้สึกว่า เรา

ดีกว่าคนอื่นตรงไหน เพราะอ้ายตัวเรา ดีกับไม่ดี มันต้องยี่ห้อติดเหรอ ต้องมีป้าย มีพัดยศ

บอกกำหนดหรือไง
ถ้าอย่างนั้น นี่ โอ้โห คนไม่ดี มันก็สามารถทำพัดยศ ขึ้นมาติดตัวมันได้เยอะแยะ ความดี

มันไม่ใช่อยู่ที่ป้าย อยู่ที่พัดยศ ความดีมันอยู่ที่ตัวเอง และความดี มันต้องเป็นที่พึ่งของตัวเอง

ไม่ใช่ประกาศให้คนอื่นรู้ เพราะว่า ใครทำดี ก็ได้ดี มนุษย์ทำกรรมอย่างไร ได้ผลอย่างนั้น

อย่างนี้
เค้าทำดี เพราะต้องการได้พึ่งดีของตน ไม่ใช่ทำดี เพราะต้องการมีพัดยศ หรือ มียี่ห้อติด มี

ป้ายบอกโฆษณาชวนเชื่อ อ้ายอย่างนั้น มันอัปรีย์ ไม่ใช่ดี แล้วเค้าว่า ท่านนี่ไม่เหมือนชาว

บ้าน, อ้าว ใช่ ชั้นไม่เหมือนชาวบ้าน ชั้น พระ จบ
คุณมนัส      แล้วถ้าไปจับผู้หญิง มีวิธีแก้อย่างไร
หลวงปู่        ถ้าจับผู้หญิง ก็แก้ผ้าเลยสิ จะไปแก้อะไร เอ้า คุณถามชั้นนี่ จะไปแก้ยังไง ก็

แก้ผ้าได้เล๊ย ถ้าผู้หญิงมานวดนี่ จะแก้ยังไง ไม่ต้องแก้อะไรแล้ว แก้ผ้าอย่างเดียวแล้ว จบ
คุณมนัส       แก้ผ้าเอาหน้ารอด
หลวงปู่      หา
คุณมนัส       แก้ผ้าเอาหน้ารอด
หลวงปู่       หน้าไม่รอด
ปุจฉา       จริงหรือไม่ ที่ทำบุญกับพระที่มีบุญบารมีสูงๆ แล้วจะได้ไปสวรรค์
วิสัชนา        อ้าว เมื่อเช้า เพิ่งจะบอกว่า ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ เนื้อนาบุญของโลก เค้าไม่

ได้เอาแต่งตัว เค้าไม่ได้เอาหน้าตา เค้าไม่ได้เอาชื่อเสียง เค้าไม่ได้เอายี่ห้อ
แต่เค้าเอาศีล เค้าเอาสมาธิ แล้วก็ เอาปัญญา
ทำบุญกับผู้มีศีล ศีลมากก็ได้บุญมาก ศีลน้อยก็ได้บุญน้อย
ทำบุญกับผู้มีศีล 1 คน มีอานิสงส์มากกว่าทำบุญกับผู้ไม่มีศีล 1,000 คน
ทำบุญกับผู้มีศีล 1,000 คน ยังมีอานิสงส์น้อยกว่าผู้มีสมาธิ 1 คน
ทำบุญกับผู้มีสมาธิ 1 คน ได้อานิสงส์มากกว่าทำบุญกับผู้มีศีล 1,000 คน
ทำบุญกับผู้มีสมาธิ 1,000 คน ยังได้อานิสงส์น้อยกว่า ทำบุญกับผู้มีปัญญาเห็นอะไร

เห็นอริยสัจ 4 เห็น ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คนเดียว
เพราะงั้น นี่จึงเป็นเนื้อนาบุญของโลกไง เป็นปุญญเขตตัง โลกัสสาติ เราอย่าไปเข้าใจว่า เรา

ไปทำบุญกับขอทาน ทำบุญกับคนชรา ทำบุญกับคนอนาถา ทำบุญกับเด็กกำพร้า ถ้าเค้ามี

ศีลให้เราสักข้อสองข้อ ก็ได้บุญ แต่กว่าจะได้บุญ ก็ต้องทำนานหน่อย
ซึ่งในมุมกลับกัน เราไปทำ เอาของเท่ากัน ทำกับคนที่มีศีล เอา 5 ข้อครบ เราได้ 5 เท่า

แต่ทำบุญกับอ้ายคนที่มีศีลไม่ค่อยครบ ขาดๆ เกินๆ ทำไป 100 ก็อาจจะเหลือ 50

เพราะมันขาดๆ เกินๆ
ในเวลาเดียวกัน เราทำบุญกับคนมีศีล 5 ครบ ได้ 5 เท่า ไปทำบุญกับคนมีศีล 8 ก็ได้

เพิ่มขึ้นมา 8 เท่า, มีศีล 10 ก็ได้ 10 เท่า, 227 ก็เป็น 227 เท่า
ทำบุญกับคนมีศีล 227 ได้ 227 เท่า
ทำบุญกับคนมีสมาธิ แค่ขั้นปฐมฌาน ได้มากกว่า 227 เท่า ได้เป็นพันเท่า
เพราะฉะนั้น เค้าเอาศีล สมาธิ และ ปัญญา เป็นตัวกำหนดคำว่า เนื้อนาบุญของโลก หรือ ปุ

ญญเขตตัง โลกัสสาติ จบ
คุณมนัส     เพราะงั้น ก็เทียบไม่ได้เลยกับการทำบุญด้วยทรัพย์ ด้วยปัจจัยเยอะๆ แล้วที่

บอกว่า จะได้บุญเยอะๆ ด้วย
หลวงปู่      ไม่ใช่ๆ ในวิถีพุทธแล้ว ท่านจะไม่สอนว่า ต้องทำบุญด้วยวัตถุใด แล้วจึงได้

แต่ทำบุญกับใคร คนประเภทไหนแล้วจึงจะได้ ท่านสอนอย่างนั้น จบ
ปุจฉา       ใส่เสื้อสีดำ แล้วทำให้มันมีมาร หรือว่า มีสัมภเวสี ตามมา จริงหรือไม่
วิสัชนา      อ้ายคนคิดอย่างนี้ คงไม่ค่อยปกติเท่าไหร่ เอ่อ ใช่ แต่ตอนนี้ มันหน้าร้อน เอา

ไปฉีดยาหน่อยเฮอะ ระวังน้ำลายจะสอ ตาจะขวาง ลิ้นจะห้อย ใครเข้าใกล้ จะฮึ่ม
คุณมนัส      มารความร้อน
หลวงปู่      เอ้อ โรคสุนัขฤดูร้อน จบ
ปุจฉา       พระ มีการซื้อตำแหน่งได้หรือไม่
วิสัชนา        ได๊
คุณมนัส     ชัดเจนมาก
หลวงปู่      100 %, 1,000% เลย ซื้อกันได้ เค้าจะกล้าพูดหรือเปล่า เท่านั้นแหละ

แต่หลวงปู่น่ะ กล้า เพราะเราไม่เคยซื้อไง ไม่มีตังค์ซื้อ
คุณมนัส      แล้วให้ เอาไม๊
หลวงปู่        โอ่โธ่ พูดแล้วจะคุย เมื่อเดือนก่อนนู้น ราชภัฏฯ นครปฐม มาขอชื่อ ขอประวัติ
ถามว่า จะเอาไปทำอะไร
จะเอาไปลงหนังสือ ท่านเป็นปราชญ์ของแผ่นดิน
บอก โอ๊ย ไม่เอาๆ วุ่นวาย กูจะเป็นปราชญ์ ไม่เป็นปราชญ์ ไม่ใช่มึงมายกกู กูเป็นด้วยตัวกู

เอง ไม่เอ๊า
คุณมนัส     ผมไม่กล้าเอาตำแหน่งอะไรเลยนะเนี่ย
หลวงปู่      อ้าว ทำไมล่ะ
คุณมนัส       มีคนจะเอาตำแหน่งมาให้ด้วย
หลวงปู่      ตำแหน่งอะไร ผัวชาวบ้าน
คุณมนัส        ฟังแล้ว ไม่กล้ารับจริงๆ นะเนี่ย
หลวงปู่         รับไปเฮอะ ผัวชาวบ้าน
คุณมนัส       วันที่ 5 เมษายน ที่พุทธมณฑล
หลวงปู่        ว่า
คุณมนัส     เค้าให้ผมรับรางวัล ชาวพุทธตัวอย่าง จากทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตน์
หลวงปู่      ไปเฮอะ อย่างนี้มันเป็น เค้าเรียกว่า อะไรล่ะ เค้าเรียกว่า เป็นบุญวิถี วิถีที่ทำให้

คนเค้ามองเห็นแล้วศรัทธา ก็ทำคุณงามความดี ทำประโยชน์ให้แก่สังคม ให้กับพุทธศาสนา

ก็ทำได้ คุณจะสังเกตุเห็นไม๊ เค้ารับตำแหน่ง รับรางวัลกันทั่วนะ มีอยู่วัดเดียว ที่ไม่เคยได้รับ

แล้วก็ไม่คิดจะรับ
คุณมนัส     สงสัยผมมาทำพิธีกร ที่นี่แหละ ก็เลยเห็น
หลวงปู่     เหรอ
คุณมนัส    จริงๆ
หลวงปู่      อ๋อ
คุณมนัส     งั้น ไปรับนะ
หลวงปู่     ไปเฮอะๆ ขอแสดงความเสียใจด้วย
คุณมนัส      มีคำตอบมาแล้ว หลวงปู่ เรื่องของ Landmark นะครับ ขอบพระคุณ

มากๆ
หลวงปู่     ว่า
คุณมนัส     อธิบายมาว่า เป็นการอบรมโดยคนต่างชาติ มาเป็นผู้อบรม แล้วก็ให้คนไทย

ต้องใช้หูฟัง แล้วก็มีคนแปลให้ เป็นการอบรมทำให้เข้าใจชีวิตมากขึ้น รู้จักตัวตนของตน

มากขึ้น มองโลกในมุมที่แตกต่างจากเดิม ทำให้เข้าไปใช้ปัญญาได้ดียิ่งขึ้น แต่ค่าอบรม

แพงมาก 16,000 บาทต่อคอร์ส
หลวงปู่      สมควร
คุณมนัส      อบรม 4 วัน
หลวงปู่      สมควร
คุณมนัส       ระหว่างอบรม ห้ามจดบันทึกเด็ดขาด ให้ฟังอย่างเดียว แล้วก็ทำความเข้าใจ

มีตัวอย่าง คนที่ฟังมาแล้ว บอกว่า เหมือนกับที่พระพุทธศาสนา สอนอยู่แล้วเลย แต่อบรม

เชิงจิตวิทยา ทำให้คนที่เข้าอบรมเปลี่ยนความคิด แล้วก็เปลี่ยนนิสัย เป็นคนที่คิดดี แล้วก็ทำ

ดีมากขึ้น
หลวงปู่     มาวัดอ้อน้อย กว่าจะควักแบงค์ 20 โอ้โห นับแล้วนับอีก อีห่าราก ทีไปนู่นน่ะ

15,000 ควักฟุ๊บ
คุณมนัส     นี่ 16,000, 4 วัน
หลวงปู่      เอ่อ นั่นแหละ มาวัดอ้อน้อยล่ะ ควักใบ 20 กับ 20 แต่ไปที่นู่นล่ะ ทีละเป็น

หมื่น ควักเอาๆ สงสัยกูต้องไปหาอะไรมาเสริมดั้ง เอาอะไรมาย้อมหัวให้มันเป็นฝรั่ง ดูมัน

ค่อยขลังขึ้นหน่อย จบ
ปุจฉา        บทเรียนคำสอนทั้งหลาย ให้ศึกษาธรรม ปฏิบัติธรรม แล้วก็อื่นๆ อีกมากมาย

ในธรรมะขององค์หลวงปู่ ขอให้หลวงปู่ได้ขยายคำว่า ธรรม ให้เข้าใจในความหมายเนื้อแท้

ของ ธรรมะ และตัวจริงของ ธรรมะ ด้วยว่า คือ อะไร
วิสัชนา       ไม่มีอะไร ไม่ได้อะไร ไม่เหลืออะไร มึงตายแน่ จบ
ปุจฉา         การตัดกรรม ตัดได้ จริงหรือไม่
วิสัชนา      ตัดได้ ก็ไม่มีใครติดคุกแหละ คนมันโกหก มดเท็จ หลอกลวง ปลิ้นปล้อน ตลบ

แตลง อ้ายคนที่สอนอย่างนี้ ถ้าเป็นผู้หญิง ต้องตบด้วยอ้ายนั่น เปลือกทุเรียน ถ้าเป็นผู้ชาย

ต้องตีด้วยสากกะเบือ เอ่อ ไม้ตีพริก เพราะมันสอนถูลู่ถูกังไง สอนให้คนโง่ สอนให้คนเข้า

ใจผิด หลง สอนให้คนบ้า ไม่ได้สอนให้คนดี
งั้น มันมีบาปมาก มีโทษมาก เป็นบุคคลที่ได้รับคำสาป ต้องคำสาป เป็นพวกธรณีสาร

เพราะว่า ถ้ากรรมตัดได้จริง พระพุทธเจ้าคงไม่โดนพระเทวทัตกลิ้งหินจนห้อพระโลหิต
ใช่ไม๊ คงไม่ต้องโดนปล่อยช้างนาราคีรีไล่ทิ่ม ไล่แทง ไล่เหยียบ
ถ้ากรรมตัดได้จริง พระโมคคัลลานะ เป็นผู้มีฤทธิ์อันเป็นเลิศ เป็นเลิศในโลกด้วยนะ เพราะ

เป็นเอตทัคคะทางฤทธิ์ ท่านคงไม่โดนพวกพราหมณ์ไล่ทุบจนกระดูดป่น
ถามว่า เพราะอะไร
เพราะอดีต เคยทุบตีพ่อแม่ กรรมนั้นเลยตามมา แม้ชาติสุดท้ายเป็นอรหันต์ ก็ยังหนีกรรม

ไม่ได้
งั้น อ้ายพวกนี้ มันสอน มันไม่รู้ไง แล้วอ้ายคนเชื่อตาม ก็โง่ไง อ้ายคนสอนก็โง่ อ้ายคนเชื่อ

ตามก็โง่ โง่ +โง่ ก็โคตรโง่ โง่รวมกัน
งั้น มันไม่ควรไง ไม่เข้าใจ
ได้ยิน วันนั้น ไปแสดงธรรมที่สำนักพระราชวัง ก็เนี่ย พวกข้าราชบริพาร ก็ถามแบบนี้ มัน

โง่อย่างนี้ เป็นมนุษย์ได้ยังไง ถ้ามันตัดกันได้จริง ก็ไม่มีใครติดคุกหรอก มองง่ายๆ ไปตีหัว

เค้ามา วิ่งเข้าหาพระ หลวงพ่อ ตัดกรรมให้หน่อย, ตำรวจจับ, อ่ะ อย่านะ ถาม ทำไม,

เพิ่งตัดกรรมเมื่อกี้ จบ
ปุจฉา         ขอหลวงปู่ ได้กล่าวถึงพระวาจาองอาจ ถูกไม๊ฮะ ของพระราชกุมารสิทธัตถะ

ด้วย และอยากให้หลวงปู่กล่าวถึง พระองค์ที่ทรงบำเพ็ญก่อนที่จะบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ

เพราะไม่อยากให้คนเข้าใจไขว่เขว่ เรื่องพระพุทธเจ้า เพราะไม่มีตั้งแต่ก่อนเก่า
วิสัชนา      เอ๊อ เข้าใจว่า มันเป็นความคิดของคนที่อยากจะโฆษณาชวนเชื่อ ที่มีคำกล่าวเรื่อง

พระพุทธเจ้าน้อย มันไม่มีอะไรมากหรอก ลูก หาตังค์ อยากได้ตังค์ เค้าจะเอาตังค์
คุณมนัส     เอาตังค์และเอาภาพ
หลวงปู่          ภาพไม่มี มีแต่เอาตังค์ ขายภาพเพื่อเอาตังค์
ขายภาพอะไร ขายภาพความศักดิ์สิทธิ์ในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ เพื่อเอาตังค์ มันไม่ได้มีอะไรมาก

หรอก ลูก
พระพุทธเจ้าไม่ใช่เกิดโดยเป็นพระราชกุมารสิทธัตถะ พระพุทธเจ้าเกิดในวันวิสาขบูชา ที่

โคนต้นศรีมหาโพธิ์ แล้วโคนต้นศรีมหาโพธิ์ ก็คือ สถานที่ที่เกิดของพระพุทธเจ้า ซึ่งอุบัติ

หรือว่า ตรัสรู้ มาจากเจ้าชายสิทธัตถะ ซึ่งมีพระชนมายุ 20 กว่าพรรษา หรือ 29 ปี ไม่

ใช่จากเด็กแดงๆ
เด็กแดงๆ นั่นเป็นพระราชกุมาร ซึ่งออกมาจากพระครรภ์มารดา เดินได้ 7 ก้าว แล้วกล่าว

อภิสวาจาว่า เราจะเป็นศาสดาเอกของโลก ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา เท่านั้น ไม่ได้มี

อะไร เราจะเป็นเราจะเป็นศาสดาเอกของโลก ชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายของเรา แต่ยังไม่ได้เป็น

จะเป็น
คุณมนัส     แค่พูด
หลวงปู่      แค่พูดเฉยๆ แต่ยังไม่มีความรู้อะไร ยังไม่ได้ตรัสรู้ บรรลุธรรมอะไร ก็คือ พระ

โพธิสัตว์น่ะ พระโพธิสัตว์ ลงมาจุติ ก็เป็นธรรมชาติ
มึงไม่ดูตอนกูเกิดนี่ ตอนกูเกิด มึงไม่ดูนี่ ออกมา ไม่รู้เหมือนกัน จำไม่ได้ จบ
ปุจฉา       ในการเกิดของพระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ งานของท่าน กระทำไปเพื่อประโยชน์

สาธารณะและสรรพสัตว์ ทุกพระองค์หรือไม่
วิสัชนา        อืม ใช่ พระโพธิสัตว์แต่ละองค์ เกิดมาเพื่อบำเพ็ญบารมี ลูก ไม่ใช่เกิดมา กินๆ

นอนๆ เฉยๆ เพราะหน้าที่เค้ามี เป็นงาน เป็นหน้าที่ เป็นเรื่องเฉพาะบุคคล เค้าเกิดมา แล้ว

เค้าต้องรู้หน้าที่เลย ไม่ต้องมีใครมาเสี้ยมสอน และอบรมดูแล สำหรับพระโพธิสัตว์ คือ

เป็นมหาสัตว์ เป็นบุคคลพิเศษ
เกิดมา แล้วก็ต้องรู้ว่า เออ เรามีหน้าที่ต้องทำอะไร
ทำอะไรกับพ่อแม่ ทำอะไรกับพี่น้อง ทำอะไรกับตระกูลวงศ์ ทำอะไรกับครอบครัว ทำ

อะไรกับสังคม ทำอะไรกับส่วนรวม และทำอะไรต่อสรรพสัตว์
พระโพธิสัตว์ จะมีสำนึกอย่างนี้อยู่ มีหน้าที่ ไม่ใช่เกิดมา แล้วต้องมารอให้คนเป่าหู กรอกหู

ไม่ใช่นะ ไม่ใช่ ไม่มี เหมือนอย่างหลวงปู่ นี่ไม่มีครูสอน ไม่มีใครมาเสี้ยมสอน ไม่มีใคร

มาบอกว่า ต้องทำอ้ายนู่น ทำอ้ายนี่ ไม่มีใครมาบอกว่า ต้องเรียนรู้ศึกษาอย่างนั้นอย่างนี้

แล้วก็ มาเรียนรู้วิชาอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่มี พระโพธิสัตว์ก็ต้องมีสถานภาพแบบนี้ ไม่ได้

แตกต่างกัน
อันนี้ ไม่ได้พูดยกตัวเองนะ แต่พูดให้ฟัง
ถามว่า วิถีชีวิตของพระโพธิสัตว์ เค้าทำอย่างไร
ก็เค้าเป็นอย่างนี้ เป็นแบบนี้ เค้ามีจิตสำนึกมาแต่เก่า เป็นอนุสัย
อนุสัย คือ สิ่งที่นอนอยู่ในสันดาน จะบอกว่า เรามีหน้าที่อะไร เราจะมานิ่งดูดาย นอนให้

สัตว์เป็นทุกข์ เหมือนๆ กับเด็กๆ หลวงปู่นอนอยู่ ชาวบ้านเค้าผูกหมาไว้หน้าบ้าน แล้วมันก็

ตากแดด ตากฝน กลางคืนวันนั้นน่ะ ฝนมันตกตั้งแต่หัวค่ำ 6 โมงกว่าๆ มันตก ตกไปยันตี

1 ตี 2 ยังไม่หาย แล้วหมามันก็ร้องวู้ โหยหวน
อ้ายหมาตัวนี้ มันดุมาก เรานอนไม่ได้ ต้องออกมาจากบ้าน กลางคืน ดึกๆ ล่ะนะ ออกมา

แล้วเข้าไปหามัน ใจหนึ่งก็กลัวว่า มันจะกัด อีกใจหนึ่งก็สงสารมันว่า มันจะหนาวตาย เข้า

ไปหามันแล้วก็ ไปปลดโซ่ออก มันดีใจ สะบัดหาง หูตูบ วิ่งวนไปวนมา เราก็ไล่มัน เสร็จ

แล้วก็ไปล้างตัว เข้านอน มันก็เข้าไปซุกอยู่ใต้ถุน
มันมีจิตสำนึกอยู่ด้วยตัวเอง เห็นชาวบ้าน เค้าตกทุกข์ได้ยาก เราช่วยไม่ได้ ก็น้ำตาไหล

สงสาร ร้องไห้ เรามีความรู้สึกว่า ทำไมเราไม่แข็งแรงกว่านี้ เราทำไมไม่มีความเก่งกาจ

เชี่ยวชาญ ชำนาญมากกว่านี้ จะได้ช่วยเค้าได้ อย่างนี้เป็นต้น
งั้น พระโพธิสัตว์ จะมีจิตสำนึกแบบนี้อยู่ตั้งแต่เล็กๆ แล้ว ลูก ไม่ใช่เพิ่งจะมีตอนมาเกิด

หรือว่าตอนแก่ๆ ไม่ใช่ จบ
คุณมนัส      เพราะฉะนั้น เหมือนกันไม๊ครับ ผู้ที่จะอธิษฐานจิต เพื่อที่จะสะสมบารมีไป

เรื่อยๆ ที่จะเป็นพระโพธิสัตว์ ก็ต้องคิดแบบนี้เหมือนกัน
หลวงปู่     เอ่อ มันต้องเริ่มตั้งแต่ชาติแรก พระโพธิสัตว์นี่ เค้ามีชาติสะสมไว้ ชาติแรกเค้า

คิดอะไร เค้าเห็นอะไร เค้าจดจำอะไร เค้าอธิษฐานอะไร
งั้น ชาติแรกได้เห็นพระพุทธรูป เห็นพระพุทธเจ้า ก็มีจิตโสมนัส ยินดีว่า เอ่อ พระพุทธรูปนี้

หรือ พระพุทธเจ้าองค์นี้ มีความงดงาม เป็นเอกในโลก เหนือกว่ามนุษย์ทั้งปวง เหนือกว่า

เทวดา และพรหมทั้งหลาย
เอาล่ะ ชาติต่อๆ ไป เราจะเป็นพระโพธิสัตว์ เพื่อจะพัฒนาเป็นพระพุทธเจ้า พระสัมมา

สัมพุทธเจ้าในอนาคต อย่างนี้เป็นต้น
เหมือนๆ กับที่เราชอบมองดารา ชอบแล้วก็ปรารถนาว่า แหม ไม่ได้เข้าใกล้ ก็ให้ได้ดมกลิ่น  

ก็ยังดีวะ อะไรประมาณนี้ มันมีเป็นความปรารถนาแบบนี้ คล้ายๆ กันอย่างนี้
มีจิตปฏิพัทธ์ แต่ว่า อ้ายนั่น มันเป็นกามคุณนะ แต่อ้ายที่มีศรัทธาต่อพระพุทธเจ้านี่ ไม่ใช่

กามคุณ มันเป็นกุศล กุศลบุญที่จะปรารถนาว่า เราต้องการจะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต
คุณมนัส       หลวงปู่ครับ แล้วจิตสำนึกที่หลวงปู่บอกว่า มันเป็นปฐมบท จิตสำนึกเริ่มต้น ที่

มีมาตั้งแต่เริ่มแรก มันต่างจากจิตสำนึกสาธารณะ ที่มันมาเกิดทีหลังไม๊ฮะ
หลวงปู่         เกิดที่หลัง มันก็จะต้องไม่ใช่ชาติแรก เพราะว่า การเกิดที่หลังนั้น ส่วนใหญ่จะ

ไม่ค่อยมี เพราะถ้าเราเชื่อกรรม เรามีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็น

แดนเกิด มีกรรมเป็นเครื่องอาศัย
คนเรา มานั่งอยู่ตรงนี้ได้นี่ เพราะมีกรรมน่ะ ลูก กูได้นั่งกับมึง นี่ กูก็มีกรรมเนี่ย ทุกอย่าง

มันมีกรรมพันธนาการกันมานะ ถึงจะได้มานั่งพูดกันรู้เรื่อง อ้ายคนที่มันไม่มีกรรมต่อกัน

มันมาแว๊บเดียว อุ๊ย พูดอะไรก็ไม่รู้ มึงๆ กูๆ ไปดีกว่า อ่า เห็นไม๊
แสดงว่า อ้ายพวกที่นั่งอยู่เนี่ย อ้ายนี่ ซาดิสต์ หูไม่ค่อยเหมือนชาวบ้าน พวกซาดิสต์ ชอบ

รุนแรง ชอบตรงไปตรงมา อะไรอย่างนี้ เอ่อ นี่แสดงว่า มีกรรม เชื่อกันง่าย ก็คนมันมาวัดนี้

ตั้งเป็นหมื่นเป็นพัน มันจะมานั่งฟังอยู่เหลือสักกี่คน อ้ายที่เหลือนอกนั้น ไปไหน มันก็ คือ

ไม่มีกรรมสัมพันธ์กันมา ไม่ผูกพันธ์กันมา
มันไม่ใช่ง่ายนะ ลูก กว่าจะมาเป็นพระโพธิสัตว์ได้ ไม่ใช่กลางคนแล้วมานึก ไม่ใช่ มันต้อง

มีสักชาติหนึ่ง ชาติใดชาติหนึ่งซึ่งเป็นชาติแรก โอ่ แล้วมันนับมันชาติไหนล่ะ ชาติแรก ของ

ใคร ชาติแรกของมนุษย์ นี่เค้าบอกให้ไปนับเม็ดทรายในมหาสมุทรเม็ดแรก โอ่ แล้วมึงจะ

หาเจอไม๊ล่ะ เม็ดแรกของมหาสมุทร
เพราะฉะนั้น เมื่อมันไม่เจอ ก็รู้ไม่ได้ว่า เป็นชาติแรกอะไร
พระพุทธเจ้าบอก เป็นอจินไตย อย่าไปรู้มัน
เพราะสำหรับปุถุชนคนธรรมดา ให้รู้ปัจจุบันก็แล้วกัน ว่าปัจจุบันเรา เชื่ออะไร เราทำอะไร

เราฝึกอะไร ศึกษาอะไร แล้วเราชอบอะไร แล้วเราพึ่งอะไร
นั่นแหละ ให้รู้แค่นั้น จบ
ปุจฉา       สภาวะจิตของอรูปพรหม สามารถมีอารมณ์ปรุงแต่งจิต ได้หรือไม่ เพราะไม่มีรูป

เวทนา สัญญา สังขาร แล้ว
วิสัชนา       อรูปพรหม ปรุงแต่งจิตไม่ได้ ลูก
ถามว่า เพราะอะไร
คำว่า ปรุงแต่ง เค้าจัดอยู่ไว้ในสังขารขันธ์
สังขารขันธ์ ก็มี รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ
อรูปพรหม มีรูปไม๊ เมื่อไม่มี มันก็ไม่มีสังขารขันธ์ เมื่อไม่มีสังขารขันธ์ มันก็ไม่มีการปรุง

แต่ง จบ
ปุจฉา       ในโลกและจักรวาลนี้ มีสมเด็จองค์ปฐมต้น หรือไม่ ถ้ามี ท่านมีหน้าที่ทำอะไร
วิสัชนา       มี๊ วันที่หลวงปู่ปั๊มพระ ก็ปั๊มสมเด็จองค์ปฐม องค์แรก เก็บไว้ในกรุ แต่ละวัด ถ้า

เมื่อไหร่ วัดไหน ทำสมเด็จ ก็ปั๊มองค์แรก องค์นั้นน่ะ องค์ปฐม จบ อ้าว ทำไมล่ะ
คุณมนัส     โอ เค
หลวงปู่      เอ๊า ก็สมเด็จองค์ปฐม ก็ปั๊มองค์แรก องค์นั้นแหละองค์ปฐม แถมมีลายมืออีก

ต่างหาก
คุณมนัส     สมเด็จองค์ปฐม
หลวงปู่      เอ้า ตอบตามตัวอักษร
คุณมนัส       ครับ
ปุจฉา       ผมนั่งอยู่หน้าธารน้ำตก และทำจิตให้เบิกบาน จนรู้สึกว่า ธารน้ำตกทั้งสายธาร

หลั่งไหลพรั่งพรูเข้ามาในกายใจ แล้วรู้สึกชุ่มฉ่ำ แล้วก็ค่อยๆ เต็มเปี่ยมขึ้น จิตค่อยๆ ดิ่งลง

ลุ่มลึกขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ยังไม่ถึงที่สุด เหมือนกับมันยังมีสิ่งลังเลสงสัยอยู่ ดังนั้น ควรจะพัฒนา

ต่อไปอย่างไร เพื่อให้ได้จิตของพุทธะที่แท้จริง
วิสัชนา        แสดงว่า กลัวจมน้ำตกตาย เลยตามต่อไปไม่ได้ จริงๆ แล้ว มันก็เป็นวิธีทำจิต

ให้กลมกลืนกับธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ก็เป็นกระบวนการฝึกจิตอย่างหนึ่ง เป็นลักษณะ

ในการกล่อมจิต ทำจิตเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ และสรรพสิ่งรอบกาย
มันไม่ใช่เป็นอะไรที่วิเศษไปกว่านั้น มันก็ได้คุณประโยชน์ได้แค่นั้น
คุณมนัส     ถ้าเค้านิ่งขนาดนั้นได้ นี่เค้าถึงขั้นไหนแล้ว หรือยังไง ถึงฌาน ?
หลวงปู่       สมาธิ นี่มันมีอยู่ทั้งหมด ก็คือ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ แล้วก็ อัปนาสมาธิ ถ้า

ถามว่า อยู่ในขั้นอุปจารสมาธิได้ไม๊ ก็น่าจะได้ในระดับหนึ่ง แต่ไม่ถึงคำว่า สมาธิแนบแน่น

หรือ อัปนาสมาธิ เพราะอัปนาสมาธิ มันจะไม่ห่วงพะวงใดๆ มันจะไม่มีคำว่า วิตก วิจารณ์

ปิติ สุข มีแต่คำว่า เอกัคคตารมณ์เฉยๆ จะไม่ห่วงพะวง ไม่วิตกกังวลใดๆ จบ ลูก
คุณมนัส        งั้น หลวงปู่ก็แนะนำว่า ควรนั่งต่อไป ไม่ต้องลังเล ไม่ต้องสงสัยอะไร
หลวงปู่           คือ ที่จริง เรื่องพวกนี้ สมัยก่อน หลวงปู่อยู่ป่า ก็มีความรู้สึกแบบนี้นะ แต่มัน

เป็นความรู้สึกที่มันต้องแนบแน่น เราเป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่ง
ถ้ามันเป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่งแล้วเนี่ย ก็เล่าให้ฟังว่า ประสบการณ์ ก็คือ เก้ง มันมากินผล

ไม้ในมือ นกกางเขนดง มันมาเล่นน้ำในบาตร เอาน้ำใส่ฝาบาตรเอาไว้ แล้วมันก็ลงมาเล่น 2

- 3 ตัว เล่นน้ำแล้วมันก็ไปยืนเกาะอยู่ที่หัวเข่า เรานั่งขัดสมาธิ เอาน้ำใส่ฝาบาตร
ที่จริงน่ะ จะจ้องเพ่งกสิน เพ่งไปเพ่งมา อ้ายห่า นกมายังไงหวะ แล้วมันก็ไปเล่นน้ำในบาตร

เราก็ เออ นั่งดูมัน ก็มีความสุข มันก็ร้องรำทำเพลงของมันไป
นั่นเค้าเรียกว่า เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ
ถ้าทำให้เป็นหนึ่งเดียว โดยที่ไม่มีข้อแตกต่าง อันนั้นแหละ เค้าเรียกว่า เป็นอัปนาสมาธิ แต่

ถ้ายังมีข้อแม้ มีขั้นตอน มันกับเรายังมีช่องว่างอยู่ ยังไม่ใช่ ยังคนละเรื่องกัน จบ
ปุจฉา         ถ้าคนเรา มีจิตในการขอพรต่อหลวงปู่ด้วยความจริงใจ สิ่งนั้นจะประสบผลหรือ

ไม่
หลวงปู่      อ่านไม่ออก ก็อย่าถามเล๊ย
คุณมนัส      เดี๋ยวนะครับ เหมือนเป็นจิตศรัทธา ถ้าคนเรามีจิตศรัทธาในการขอพรต่อ

หลวงปู่ด้วยความจริงในการศรัทธาหลวงปู่ แล้วสิ่งนั้นจะประสบผลหรือเปล่า
วิสัชนา        อย่าขอเยอะเล๊ย เดี๋ยวกูหมด นานๆ ขอที อย่าขอถี่เกินไป ทำเอาเองบ้างเฮอะ

จบ
ปุจฉา        ทำอย่างไร เราถึงจะมีบุญ เหมือนกับคนที่มีลูกชายมาบวช เพราะว่า ตัวเองไม่มี

ลูกชาย
วิสัชนา         ก็หาผัวใหม่สิ แสดงว่า ผัวเก่า มันทำไม่เป็น
คุณมนัส     เค้าอาจจะอยู่ในวัยที่มีไม่ได้แล้วก็ได้
หลวงปู่       เอ๊อน้า มันต้องได้น่า หาผัวใหม่ ลูก ไปหาผัวใหม่ แสดงว่า ผัวเก่ามันบ่มิไก๊
คุณมนัส      ไม่มีน้ำยา
หลวงป      ไม่มีน้ำยา บ่ลัก
คุณมนัส      ปุจฉาครับ เดี๋ยวลงลึกมากไปกว่านี้
หลวงปู่     มาวัดนี้ ทำไมมันสัปดนอย่างนี้วะ อ้าว ก็มันถามเราตรงๆ เราก็ตอบมันตรงๆ จะ

ไปเสียหายอะไร
คุณมนัส     มันมีวิธีอื่นไม๊ ที่ไม่ใช่
หลวงปู่      ก็วิธีน่ะ ดีที่สุด ทันใจ ถูกใจ ตรงใจ ตรงจุด มึงนี่ทำไม่เป็น กูไม่เอามึงแล้ว กูไป

หาเอาใหม่ เอ๊อ เท่านั้นก็จบ
คุณมนัส         อ๋อ แสดงว่า หลวงปู่กำลังจะบอกว่า ให้เราไปหาวิธีอื่น อย่างเช่น อนุโมทนา

กับเพื่อนคนที่มีลูก ใช่ไม๊ฮะ ไปอนุโมทนา ได้ไม่เท่า ใช่ไม๊ฮะ
หลวงปู่        เดี๋ยวๆ พูดยังไง อนุโมทนา ผัวเมีย นี่มันอนุโมทนากันได้เหรอ
คุณมนัส       ไม่ใช่ๆ ฮะ ถ้าเค้ามีวิธีอื่น สมมุติว่า ไม่ไปมีผัวใหม่ เอาอย่างนี้ แล้วเค้าไป

อนุโมทนากับคุณป้าคนนี้ที่เค้ามีลูก หลวงปู่กำลังจะบอกว่า เค้าอาจจะได้บุญไม่เท่ากับมีลูก

เอง
หลวงปู่        เค้าบอกว่า เค้าอยากได้ลูก, เค้าบอกว่า เค้าอยากได้ลูกมาบวช มีบุญ เอ๋อ ก็

ให้ไปหาผัวใหม่ซะ แล้วถ้าจะไปร่วมอนุโมทนา มันก็ไม่เท่ากับลูกของตัวเอง ถูกไม๊ล่ะ เอ้อ

ไปอาศัยจมูกคนอื่นเค้าหายใจ ก็ทำลูกตัวเองแหละ ไปหาผัวใหม่เถอะ ลูก จบ
ปุจฉา        เราควรคิดและปฏิบัติอย่างไร จึงจะมีโอกาสได้เกิดเป็นชาวพุทธ แล้วได้มี

โอกาสฟังธรรม หรือ ได้มีโอกาสพบกับสัตบุรุษ ผู้ประเสริฐ อย่างเช่น พระพุทธเจ้า หรือไม่ก็

มาเจอกับหลวงปู่อีก
วิสัชนา        ไม่มีอะไรยากเลย ลูก ศรัทธา สำคัญ เบื้องต้น, ศรัทธา รักษาศีล แผ่เมตตา

เจริญภาวนา, ศีล สมาธิ ปัญญา, ให้มีศรัทธา เท่านี้ พอละ, มีความศรัทธาเป็นเบื้อง

ต้น, มีศรัทธาสัมปยุตไปด้วยปัญญา รักาศีล แผ่เมตตา เจริญภาวนา ให้ปัญญามันรุ่งเรือง

อยู่ตลอด
อย่าเข้าใจว่า พระพุทธเจ้า เป็นศาสนาใดศาสนาหนึ่ง ถ้าคนเข้าใจวิถีแห่งพุทธ และเข้าใจวิถี

แห่งธรรม ก็จะรู้ว่า แม้ไม่มีพระพุทธเจ้า เราก็มีพุทธศาสนาแล้ว อยู่ในใจ
เมื่อใดที่เรามี มีอะไร
มีสำนึก ละอายชั่ว กลัวบาป, มีหิริ ความละอายชั่ว มีโอตัปปะ ความเกรงกลัวบาป, มีสติ

ความระลึกได้ มีสัมปชัญญะ ความรู้ตัว, มีขันติ ความอดทน มีโสรัจจะ ความเสงี่ยม,

มีความรู้สึกเชื่อในเรื่องกฏของกรรม เชื่อว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว, สัตว์โลกเป็นไปตาม

กรรม
ชีวิตอย่างนี้ เค้าเรียกว่า ชีวิตที่อยู่ในครรลองคลองธรรม ถูกทำนองคลองธรรม
แล้วก็จะพัฒนา จากวิถีชีวิตปกติอย่างนี้ ให้เข้าสู่อริยชีวิต ก็รู้ความเป็นจริงของโลก เข้าใจ

เรื่องจริง รู้จักความจริง สนใจ เรียนรู้ศึกษาในสิ่งที่เป็นจริง แล้วเราก็จะพัฒนาตัวเองให้สูงขึ้น

แม้ไม่มีพระพุทธเจ้าเลย
แต่ทีนี้ มนุษย์เนี่ย มันเป็นอะไรที่มันไม่ใช่แข็งแกร่ง เหมือนกับพระปัจเจกโพธิ์ หรือ

เหมือนกับพวกพระโพธิสัตว์เจ้า
พระปัจเจกโพธิ์ มีอยู่ 1ในมนุษย์ 100 คน งั้น อีก 99 คน ก็จะอ่อนแอ พออ่อนแอ ก็

ต้องหาที่พึ่ง เลยเป็นที่มาว่า มนุษย์ส่วนใหญ่จะอ่อนแอ เลยต้องหาที่พึ่ง แต่พระปัจเจกโพธิ์

พระโพธิสัตว์เจ้า ไม่ต้องมีที่พึ่ง คือ ไม่ต้องหาที่พึ่ง เพราะที่พึ่งของท่าน ก็คือ พระธรรมที่

อยู่ในตัวท่าน
พระพุทธเจ้า สอนเราไว้ว่าอย่างไร อัตตา หิ อัตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งของตน อย่างนี้เป็นต้น
งั้น มนุษย์พันธุ์นี้ มีมากไม๊
ไม่มาก แต่ไม่ใช่ไม่มี
มี
เราฝึกได้ไม๊
ได้
เริ่มต้นจาก เอ้า มีศรัทธา เชื่อในสิ่งที่ใช้ปัญญาพิจารณา แล้วก็ทำในสิ่งที่เชื่อ ให้เห็นผล

อย่างนี้เป็นต้น จบ
ปุจฉา        เวลาที่เราทำงาน เราจะทำอารมณ์ให้ว่างไปด้วย พร้อมๆ กับการปฏิบัติงาน ได้

หรือไม่
วิสัชนา       ได๊ ไม่ได้ยากอะไร
คุณมนัส       ทำอย่างไรครับ
หลวงปู่       เราใช้วิธีขับเคลื่อนด้วยกำลังพิเศษ เรียกว่า ความว่าง เป็นพลังงานอันพิเศษ ที่

ไม่มีมลภาวะ แต่ถ้าเมื่อไรที่เราขับเคลื่อนการทำการงาน หรือ การงานนั้น ขับเคลื่อนด้วย

พลังแห่งราคะ โทสะ โมหะ ตัณหา อวิชชา แสดงว่า งานนั้น มันจะมีมลภาวะ
เหมือนๆ เราใช้น้ำมันดีเซล น้ำมันเตา น้ำมันโซล่า พวกนี้ มันมีกลิ่น มีควัน
แต่ใช้พลังงานอะไร ที่มันไม่มีกลิ่น ไม่มีควัน แล้วมันขับเคลื่อนไปได้ดี ได้เร็ว และเป็น

พลังงานสะอาดบริสุทธิ์  นั่นก็คือ พลังงานแห่งสุญญตา หรือ สุญญตะ คือ ความว่างในใจ
ทำไป เพราะจำเป็น ทำตามความจำเป็น
จำเป็นต้องกิน จำเป็นต้องหายใจ จำเป็นต้องดู จำเป็นต้องดม จำเป็นต้องสัมผัส จำเป็นต้อง

เดิน จำเป็นต้องถ่าย
ทำตามความจำเป็น ไม่ใช่ทำตามความอยาก อยากที่จะทำ
เพราะเมื่อไม่อยากทำ เราก็จะทุกข์ยาก แล้วมนุษย์มันไม่เคยหยุดอยาก แม้ตาย หยุดอยาก

ไม๊
ตาย ก็ไม่หยุดอยาก
ตาย ไม่หยุดอยาก ยังไง
ก็อยากไปเกิดในสวรรค์ อย่างนี้เป็นต้น ก็มีความอยากอีก ไม่จบสิ้น
เพราะงั้น ถ้าทำตามความจำเป็น แล้วอยู่กับความว่างเป็นนิจ อย่างนี้ เค้าเรียกว่า ขับเคลื่อน

ด้วยพลังงานสะอาด จบ
ปุจฉา          คนตายเคยสั่งเอาไว้ก่อนตายว่า ถ้าตายแล้ว อยากให้เอากระดูก ไปไว้ในเจดีย์

ที่บ้าน อยากทราบว่า จะทำเจดีย์ไว้ที่บ้าน ได้หรือไม่
วิสัชนา         ได๊ ไม่ยากอะไร ถ้า มีที่ มีทาง ของตัวเอง บ้านของตัวเอง ไม่ได้เช่าเค้า อยู่ได้

ทำได้ ไม่เสียหาย
คุณมนัส       เอาไว้ทิศไหน ยังไงครับ แล้วแต่เราหรือ
หลวงปู่       ก็ทิศไหนที่มันมีที่ว่างน่ะ จะบอกเอาไว้ทิศเหนือ อ้าว ทิศเหนือ รั้วติดกับชาว

บ้านเค้า เลย ทุบรั้วชาวบ้านไปตั้ง ก็ไม่ถูก ทิศไหนที่มันมีที่ว่าง วางมันได้ทั้งนั้น อย่าไปวาง

ทิศชาวบ้าน บ้านชาวบ้านเค้าแล้วกัน จบ เพราะจะไปกำหนดไม่ได้ คนสมัยนี้ มีพื้นที่อยู่คับ

แคบ
เอ่อ อ้ายรถคันแรก บ้านหลังแรก เอ้า
คุณมนัส       อันนี้ ไม่เกี่ยว
หลวงปู่      ไม่เกี่ยวเหรอ
คุณมนัส     ไม่เกี่ยวๆ
หลวงปู่      ไม่เกี่ยวก็ เอ้า กลับมาๆ
ปุจฉา         การสวดแจงในงานศพ คือ อะไร
วิสัชนา         สวดแจง ก็คือ เจียระไน หรือ แจง เอาพระธรรมวินัยทั้ง 84,000 พระ

ธรรมขันธ์ มาแจกแจงให้เข้าใจ สมัยก่อนนี้ เค้าใช้วิธีการนี้กับสังคายนาพระธรรมวินัย เอา

พระธรรม พระวินัย พระสูตร ยกขึ้นมา แล้วแจกแจงสอบถามกันไปมา เพื่อให้เกิดความ

ทบทวน แล้วก็เข้าใจ
อะไรที่ผิดพลาด บกพร่อง ผู้รู้ก็จะช่วยแก้ไขปรับปรุง
เค้าใช้กันสำหรับสังคายนาพระธรรมวินัย คนโบราณก็จะเชื่อกันว่า การสังคายนาพระธรรม

วินัย ใครได้ไปเป็นเจ้าภาพ ก็จะมีอานิสงส์ เหมือนกับสร้างพระศาสนาด้วยตัวเอง
เค้าก็จะนิยมเอามาใช้สำหรับทำการสวด หรือว่า สาธยายในงานที่เป็น เค้าเรียกว่า งานศพ

เจ้าฟ้า เจ้านาย เจ้าแผ่นดิน หรือว่า งานคหบดี
พวกไพร่อย่างเราๆ ไม่ค่อยได้มีโอกาสสวดหรอก เพราะมันแพง ใช้ตังค์เยอะ ลูก
ถามว่า ใช้ตังค์เยอะ ยังไง
ก็พระที่สวด อย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 25 รูป แล้วผู้ที่แจงพระธรรมวินัย มีพระธรรม พระวินัย

แล้วก็ พระสูตร
คุณมนัส     คล้ายๆ กับการสวดพระมาลัย ไม๊ครับ
หลวงปู่        สวดพระมาลัย อีกอย่างหนึ่ง สวดพระมาลัย นี่ก็ 4 รูป, 8 รูป 10 รูป

แล้วแต่
พระมาลัย นี่อีกคัมภีร์หนึ่ง เป็นคัมภีร์นอกพระไตรปิฎก เค้าเรียกว่า เป็นคัมภีร์นอกพระ

ไตรปิฎก
คุณมนัส        ครับ ผมเคยฟังครั้งหนึ่ง เหมือนพระร้องเพลงเลยฮะ
หลวงปู่        ฟังที่ไหนล่ะ
คุณมนัส        ผมเคยไปทำพิธีกรงานศพ แถวๆ เกือบถึงบางปะกงน่ะครับ แถวบางนา
หลวงปู่       เอ๋อ แถวๆ นั้น เค้าจะมีธรรมเนียม
คุณมนัส       มีวัดอยู่วัดหนึ่ง ผมจำชื่อวัดไม่ได้ ไปกับคุณแม่นี่ล่ะฮะ แล้วเค้าบอกว่า พระ

จะสวดให้
หลวงปู่       ตั้งแต่ฉะเชิงเทรา ขึ้นไปจนถึง จันทฯ ตราด เค้าจะมีเพลงพื้นบ้าน เรียกว่า เพลง

เหย่ย แล้วเพลงเหย่ย นี่เค้าจะว่า ใครว่ามันน่ะ ต่างคนต่างว่า
คุณมนัส       ใช่ครับ
หลวงปู่      ทำนองจะเพราะ เพลงพื้นบ้าน เพลงชาวบ้าน
คุณมนัส      ไม่มีหลับเลยล่ะ จังหวะสนุกมาก ผมนั่งฟังเพลินเลยล่ะ
หลวงปู่      เดี๋ยวมาฟังวัดอ้อน้อย
คุณมนัส       มีเอื้อนมีอะไร ด้วย ใช่ไม๊ฮะ มีลูกคอด้วย
หลวงปู่      เอ่อ
คุณมนัส        เอ่อ หลวงปู่ครับ เรื่องงานศพ ผมขอถามหน่อย ผมถามเอง ทำไมวัดแต่ละวัด

สวดจบไม่เท่ากัน เวลาเราไปงานศพ บางวัดก็ 2, บางวัด ก็ 3 บางวัดก็เร๊ว เร็ว ไปไม่ทัน
หลวงปู่         มันขึ้นอยู่กับความพรั่งพร้อม ระยะเวลา และสถานการณ์ กำหนด มันไม่ตาย

ตัว
คุณมนัส      ทำให้เป็นแบบแผนเดียวกัน ได้ไม๊ฮะ
หลวงปู่         ได้ไม๊ คือ ไทย พุทธเราเนี่ยนะ มันเป็นอะไรที่มันเป็น เหมือนอย่างอะไร

ลัทธิที่คุณว่าเมื่อกี้
คุณมนัส     Landmark
หลวงปู่        เอ้อ มันก็เหมือนๆ กับ Landmark อยู่แล้วในตัว เพราะว่า มันใครทำ

อะไรก็ได้ อย่าให้มันหลุดออกจากหลักการที่ขีดเอาไว้ก็แล้วกัน
ทีนี้ หลักการกว้างๆ เหล่านี้ ธรรมยุติก็จะสวดอีกแบบหนึ่ง มหานิกายก็สวดอีกแบบหนึ่ง แม้

ในธรรมยุติเอง ก็มีการสวดภาณยักษ์ มีการสวดธรรมดา มีการสวดทำนอง เยอะแยะ
มหานิกาย นี่ ยิ่งแล้วใหญ่เลย แตกสาขา สารพัดอย่าง
รวมๆ แล้ว ก็คือ เค้าสวดเพื่อให้คนอยู่ฟัง คนตายไม่ได้ฟังหรอก ให้คนอยู่ฟัง และให้ได้เข้า

ใจซึ่งพระธรรม จบ
หลวงปู่      เอ้ย มาอยู่ทางนี้สิ ทางนู้น มันร้อนน่ะ
คุณมนัส        นิมนต์ สามเณร มาอยู่ศาลาฝั่งทางนี้ นิมนต์ครับ
หลวงปู่        เอ้อ ศาลาฝั่งนี้ แบ่งๆ มาบ้าง ก็ได้ เอ๊อๆ อยู่ไปเฮอะ ไม่ใช่หัวกู
คุณมนัส      โอ้โห เยอะมากเลย
หลวงปู่        เยอะสิ
คุณมนัส       162 รูป
หลวงปู่       180 กว่า อ้าว พระอีกเท่าไหร่
คุณมนัส      พระอีก 19
หลวงปู่        เอ้อ
คุณมนัส      นิมนต์นะครับ เดินให้ฝุ่นขวักเลย
หลวงปู่       เอาไปเลี้ยงซักองค์ไม๊ล่ะ
คุณมนัส        อันนี้ สถานการณ์หมอกควัน ใช่ไม๊ฮะ
หลวงปู่          หา
คุณมนัส      อันนี้ หมอกควัน
หลวงปู่       หมอกควัน อู้หู นี่ยังสู้เชียงใหม่ไม่ได้เลย นี่ เชียงใหม่ยังไม่หมดหมอกควันเลย
คุณมนัส      เมื่อวาน ช่อง 5 ออกรายการ สัมภาษณ์พิเศษ รายงานพิเศษหลวงปู่ด้วย
หลวงปู่      ว่า
 คุณมนัส          เรื่องของการประกาศขายวัด
หลวงปู่        อ๋อ
คุณมนัส        แล้วเห็นบอกว่า โรงงานฝั่งตรงข้าม
หลวงปู่      เห็นปลัดฯ มาใช่ไม๊ล่ะ
คุณมนัส       ครับ
หลวงปู่      ก็ไม่เป็นไร ก็
คุณมนัส         ผมอ่านข่าวพอดี
หลวงปู่          แต่สิ่งที่เป็นกังวล เป็นห่วง ก็คือ เราไม่รู้ว่า เค้าจะเปิดเครื่องให้เราด้วยหรือ

เปล่า
คุณมนัส        เค้าบอก เค้าจะใช้ระบบบำบัดกลิ่นใหม่ จะเริ่มต้นวันนี้
หลวงปู่        อ้ายระบบบำบัดน่ะ ติด, แต่อ้ายเปิด เปิดหรือเปล่า ใครจะรู้ว่า เปิด หรือไม่

เปิด
คุณมนัส       หลวงปู่ส่งข่าวผมหน่อย เดี๋ยวผมส่งนักข่าวมาอีก
หลวงปู่        เอ้อ มันเปิดไม๊ ถ้าไม่เปิดนี่ ใครจะไปบังคับให้มันเปิดได้ ต้องมีการตรวจสอบ

ย้อนหลังกันไม๊ เมื่อ 3 เดือนที่แล้ว ค่าไฟคุณเท่าไหร่ หลังจากติดตั้งไปแล้ว 3 เดือน ค่า

ไฟคุณเพิ่มไม๊
ถ้าเท่าเก่า ก็แสดงว่า กูก็ซวยอีกแล้ว
คุณมนัส      ประกาศขึ้นป้ายอีกรอบหนึ่ง
หลวงปู่       ไม่รู้จะป้ายอะไรแล้ว ขึ้นจนหมดป้ายแล้ว เอ่อ ถ้าเค้าติด แล้วมีสำนึก แล้วก็

เปิดให้เรา
คือ โดยธรรมชาติของมนุษย์ เห็นแก่ตัว แล้วธรรมชาติของเจ้าของโรงงาน ก็อยากกำไร ไม่

มีใครอยากเพิ่มต้นทุน ติดเอาไว้สำหรับการตรวจสอบ พอพ้นจากการตรวจสอบ ใครจะไป

บังคับให้เค้าเปิด
เพราะ ฉึ้ง เครื่องหนึ่ง มัน 15 แรง, 17 แรง, 10 แรง แล้วเปิดพร้อมกันทั้ง 3

เครื่อง นี่มันต้องใช้เงินเท่าไหร่ เอ่อ แล้วเค้าทำงาน 24 ชั่วโมง ต้นทุนมัน จะเพิ่มอีกเท่า

ไหร่
มันไม่ง่ายหรอก คุณ ถ้าอยู่กับคนไม่มีสำนึก อะไรมันก็เป็นไปได้ทั้งนั้นล่ะ
งั้น ก็เลย มันต้องลองดูไปล่ะ
คุณมนัส       ส่งข่าวนะครับ
หลวงปู่       เอ้อ ลองดูไปว่า มันจะเกิดอะไรขึ้นอีก
ปุจฉา         อยากให้หลวงปู่เปิดคอร์ส
หลวงปู่       คอร์ส อะไร
คุณมนัส       ไม่ใช่ Landmark
หลวงปู่        เปิดไปแล้ว ชั้นเปิดคอร์ส สอนภาษาจีนไป เด็กมาเรียนตั้ง 100 กว่าคน
คุณมนัส     เหรอฮะ
หลวงปู่        เอ้อ ทั้งเด็ก ทั้งพระ ทั้งผู้ใหญ่
คุณมนัส        ไม่ แต่นี่เป็นคอร์สสำหรับกุลสตรี เพราะว่า มันมีคลิปที่ออกมาตามทีวี
หลวงปู่      ว่า
คุณมนัส      เปิดเผยให้เห็นข่าวของเด็กนักเรียนหญิง ตบตีกัน เรื่อง แย่งผู้ชายกัน สังคม

มันตกต่ำขนาดนี้แล้ว ก็เลยน่าห่วง อยากให้หลวงปู่เปิดคอร์สพิเศษ สำหรับการอบรม

กุลสตรีหน่อย
หลวงปู่          จะเปิดคอร์สอะไร ก็เมื่อกี้ มันยังถามเลย ทำไงจะให้มีลูกชาย แล้วจะไปเปิด

คอร์สอะไร ก็ยังแนะให้มันไปหาผัวใหม่เลย ขืนเอาลูกสาวมาอบรมที่นี่ เดี๋ยวกูก็แนะให้ไป

มีผัวให้หมด พ่อแม่มันจะได้ไม่ต้องเลี้ยง จะได้ประหยัดเงินพ่อแม่
ไหนๆ มันก็ต้องมีอยู่แล้ว ก็ชั่งมันไปเถอะ
คุณมนัส      หรือไม่งั้น ก็ต้องแนะนำครอบครัวนี้หน่อย เพราะว่า มีลูกวัยรุ่น อายุ 15 ปี

ไม่เชื่อฟังพ่อแม่เลย ติดเพื่อน เราจะใช้คำพูดอย่างไร สั่งสอนแบบใดให้เชื่อฟัง ให้รู้จักหน้าที่
หลวงปู่        มันทวนกระแสโลกไม่ได้หรอก ยังไงมันก็ปิดไม่อยู่
แต่ถามว่า เราจะทำยังไงให้มัน เค้าเรียกว่า อะไร ให้มันมีคุณค่าหน่อย ให้ตีราคาตัวเองให้

สูงหน่อย อย่าต่ำ อย่าใฝ่ต่ำมากนัก อย่าตลบแตลง ปลิ้นปล้อน ดอกแหล อะไรเยอะ มาก

เกินไปนัก ดอกแหน นี่ไม่ได้พูดอะไรเยอะแยะ
คือ ต้องรู้จักสอนมัน ให้รู้ว่า ผู้หญิงน่ะ เค้ามีคุณสมบัติอยู่ ก็คือ ความละอาย ถ้ารู้จักละอาย

มันจะทำให้ตัวเองมีคุณค่า เดี๋ยวนี้ มันก็เถียงว่า มัวแต่มานั่งรักษาคุณค่า เดี๋ยวก็ขึ้นคาน เค้า

กลัวขึ้นคานมากกว่ามีคุณค่า เลยรีบลงจากคานตั้งแต่อายุ 7 ขวบ
คุณมนัส        อุย
หลวงปู่        อ้าว จริ๊ง นี่พูดเรื่องจริง 7 ขวบ มันก็เดินกันเป็นคู่ๆ แล้ว มี sktye ให้

หากันแล้ว
คุณมนัส     มี แทงโก้ เค้าเรียกว่า เต้นรำนะ
หลวงปู่        เอ้อ ไม่ง่ายแล้ว
คุณมนัส       มีการแชด เห็นภาพ แล้วคุยกัน
หลวงปู่      งั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว แล้วสื่อ นี่ ก็เป็น ตัวกระตุ้นต่อมอยาก ให้กับเด็ก
อ้าว จริ๊งจริง สื่อนี่เป็นตัวกระตุ้น แล้วก็สร้างเงื่อนไขให้แก่เด็ก มีความรู้สึกจากสิ่งที่ทำออก

มาจากสื่อนั้น เป็นเรื่องถูกต้อง แล้วต้องพยายามทำตามให้ได้ ละครน้ำเน่าๆ ก็จับคู่เด็กๆ

ตั้งแต่เล็กๆ จับคู่กัน หญิงชายให้มันคู่กันแต่เล็กๆ แล้วพ่อแม่ก็รู้สึกปลื้มอกปลื้มใจ อะไร

อย่างนี้ เหมือนกับพยายามผลักดัน
งั้น มันก็กลายเป็นเหมือนกับว่า เราพยายามสอนเท่าไหร่ มันสอนได้กี่วัน แล้วมันอยู่ข้าง

นอกน่ะ โดนครอบกี่เดือน ไม่ง่ายหรอกคุณ จบ
คุณมนัส      เห็นด้วยนะ เมื่อ 2 เดือน ผมอ่านข่าว ลูกอยากได้  i-pad ....แม่

ยอมไปขายยาเสพติดเพื่อเอาเงินไปซื้อ I-pad ให้ลูก สุดท้ายแม่โดนจับ ตลกไม๊ฮะ
หลวงปู่     มันก็เป็นอะไรที่ต้องโทษแม่มัน แม่มันทำร้ายลูกมัน แล้วก็ทำร้ายตัวเอง ไม่มี

ปัญญา
คนลองขาดปัญญาแล้ว มันทำอะไรได้ง่ายมาก ถ้ามีปัญญา มันจะรู้วิธีคิดว่า จะเอาชีวิตรอด

อย่างไร จะอยู่กับสถานการณ์แบบนี้ได้อย่างไร จะนำพาวิถีชีวิต ทำ พูด คิด ไปสู่ความเจริญ

ขนาดไหน อย่างไร  นี่ มันไม่มีปัญญา มันไม่รู้อะไร ก็ตัดช่องน้อยแต่พอตัว ทำไปเรื่อยๆ

อะไรง่าย ก็เอาเข้าว่า จบ
ปุจฉา         ครอบครัวมี พ่อ แม่ น้อง และผู้ถาม พ่ออายุ 53 ปีชอบดื่มเหล้ามาก และ

ดื่มทุกวัน ดื่มมา 20 กว่าปี ทุกครั้งที่ดื่ม เมา และด่าว่าคนในบ้านเป็นประจำ ตัวผู้ถามกับ

แม่ พยายามบอกให้เลิก แต่พ่อไม่เชื่อ บอกว่า ตัวเองยังแข็งแรง ไม่เป็นอะไร ทุกวันนี้ คน

ในครอบครัวกลุ้มใจมาก ไม่รู้จะใช้วิธีใดให้พ่อเลิกดื่มเหล้าได้
วิสัชนา         คุณรู้ไม๊ ตับมนุษย์เรา แอลกอฮอร์แก้วหนึ่ง ไม่ต้องบริสุทธิ์ เจือจางประมาณ

เบียร์ 1 แก้ว ต้องใช้เวลา 1 วันในการขับพิษมัน, ชา กาแฟ ครึ่งแก้ว มันใช้เวลา 1

วันในการขับพิษออกนะ
แล้วถ้าอ้ายคนกินเหล้า มันไม่ใช่แก้วเดียวนะ มันเป็นกี่ขวดน่ะ มันต้องใช้เวลากี่วันในการ

ขับพิษออก สุดท้ายเมื่อมันขับไม่หมด มันจะทำให้เซลล์ของตับอ่อนตาย แล้วกลายเป็นตับ

แข็ง
งั้น พวกนี้ ไม่ต้องพูดมาก ต่อไปนี้ วิธีแก้ ไม่ยากเลย ลูก
เห็น พอพ่อเมา เราก็ซื้อเหล้าเลย แม่มา น้องมา พ่อม๊า เอ้า ไหนๆ ก็ชนแก้ว มา เอาให้มัน

จบกันไปเลย เอ๊อ มันจะได้พร้อมๆ กันไง เอ้อ แล้วดูว่า ใครตายก่อน ก็ขอไม่ได้ ก็กิน

ประชดมันซะเลย เอ้อ ไปพูดอย่างนี้ เดี๋ยวมันไปกินจริงๆ ละ ยุ่งเลย
บอกว่า หลวงปู่พุทธะอิสระ สอนมาอย่างนี้ เอ้า ลองดู เผื่อพ่อมันจะมีสำนึกบ้าง เอ้อ อีตอน

ลูกกินเหล้า ก็ด่าลูก พอตัวเองกินเหล้า ไม่รู้จะให้ใครด่า ก็ เอ้า ชวนกันกิน กินให้มันจบๆ กัน

ไปเลย พอถึงเวลาเช้า หาข้าว ไม่มี๊ มีแต่น้ำเหล้า
ลองทำดูสักอาทิตย์ ก็ได้ เอ่อ จบ
คุณมนัส      ประชดๆ
หลวงปู่       เอ้อ มันไม่รู้ พระที่ไหน เค้าไม่มีสอนอย่างนี้ มีแต่วัดนี้แหละ ก็มัน ขอแล้ว

บอกแล้ว พูดแล้ว เตือนแล้ว ก็ไม่ฟัง ก็ให้มันรู้ ถ้าเค้ารักเราจริง เค้าต้องหยุด แต่ถ้าเค้าไม่รัก

เรา แล้วเห็น เออ มา มึงเมา กูก็เมาด้วยวะ ผลัดกัน อ้ายอย่างนี้ เราต้องมีสติละ เอ่อ อย่างนี้

ไม่ได้ละ ใช้วิธีนี้ กูตายฟรีแน่เลย ไม่เอาละ กูไม่เล่นด้วยละ ต้องมีวิธี ต้องคิดให้เป็น จบ
ปุจฉา       หลานอายุ 1 ขวบ แต่ยังเหมือนเด็กทารก ไม่สามารถรับรู้อะไรได้ ไม่พลิกตัว

ไม่นั่ง ไม่เดิน หมอที่โรงพยาบาลบอกว่า เด็กคนนี้ เป็นออทิสติก ซึ่งตอนตั้งครรภ์ แม่เด็ก

ทานยาที่มีผลต่อเด็กในครรภ์ จะมีวิธีบำบัดรักษาอย่างไรให้เด็กกลับมาเป็นเหมือนเด็กปกติ
วิสัชนา      ต้องฝึก ลูก ต้องฝึก เด็กพิเศษอย่างนี้ ต้องค่อยๆ สอน และใจเย็นๆ แล้วก็ อย่าฝึก

เยอะ ฝึกให้พูด ให้ยืน ให้เดิน ให้นั่ง ให้นอน ขี้ เยี่ยว ตด ทำธุระด้วยตัวเองให้หมด ค่อยๆ

ฝึกไปเรื่อยๆ
ต้องอยู่กับเค้า 24 ชั่วโมง ต้องเหมือนกับแม่ลูกอ่อนตลอดเวลา แล้วเค้าก็จะพัฒนาขึ้นได้

แต่ถ้าไม่ฝึก แล้วก็ ปล่อยปละละเลย เพิกเฉย แล้วก็ให้มันโตๆ ไปวันๆ ถ้าอย่างนี้ อันตราย

ลำบาก
ก็ถือว่า เค้ามาทวงหนี้กรรม ทวงหนี้เก่า ก็ใช้หนี้มันต่อไป จบ
คุณมนัส     ผมเสริมให้นะครับ ไม่รู้ว่า เด็กคนนี้ อยู่นครปฐมหรือเปล่า ผมเคยไปทำ

รายงานพิเศษ ที่นครปฐม ในตัวเมืองน่ะครับ จะมีค่ายทหารอยู่ค่ายหนึ่งของกองทัพบก

แล้วในค่าย เค้าจะมีม้า    
หลวงปู่        ค่ายทหารสัตว์ ใช่ไม๊
คุณมนัส           ใช่ๆ ฮะ ค่ายทหารสัตว์ กรมสัตว์ทหารบก ถ้าจำไม่ผิด กรมแพทย์สัตว์

ทหารบก เค้าจะมีวิธีรักษาเด็กที่เป็นออทิสติก ลองเข้าไปดูนะครับ ฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่ายอะไร

เค้าใช้วิธีการ อาชาบำบัด คือ ให้เด็กขึ้นไปนั่งบนอานม้า แล้วเค้าจะมีครูฝึกที่เป็นทหารคอย

ประคอง จะมีเด็กหลายคนที่เป็นออทิสติกในสนามม้า จะมีคนไปรักษาเยอะมาก เข้า

โครงการนี้เยอะ จังหวะที่ม้าเดิน ช่วงหน้าขาของเด็ก พอได้รับการกระแทกกับตัวอานม้า

กับหลังม้า เค้าบอกว่า มันจะไปกระตุ้นระบบ ทำแบบนี้บ่อยๆ เรื่อยๆ แล้วเค้าจะมีวิธีอื่น

เสริมไปด้วย
หลวงปู่      หมูได้ไม๊
คุณมนัส      ครับ
หลวงปู่        เอาหมูได้ไม๊
คุณมนัส        หมู ? หมูมันเตี้ยไปหน่อย หมูมันไม่มีกระดูกฮะ มันมีแต่เนื้อ
หลวงปู่         ไม่ หมูวัดเยอะ ไม่ใช่อะไร
คุณมนัส       หมูป่า
หลวงปู่         เอ๊อ  จับมันผูกหลัง เอาผ้าพันให้ดี แล้วก็ปล่อยให้มันวิ่ง
คุณมนัส        ลองไปดูนะครับ เค้าไม่คิดค่าใช้จ่าย
ปุจฉา       เมื่ออยู่ในสภาพอากาศที่ร้อนจัดแบบนี้ เราสามารถดึงปราณเย็น ขึ้นมาช่วย

ปรับอุณหภูมิในร่างกายได้หรือไม่ ถ้าทำได้ เราจะทราบได้อย่างไรว่า วิธีการที่เราทำอยู่

มันถูกวิธี หรือเปล่า
วิสัชนา      อ้าว เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว สอนไม๊, สอนไม๊ ทำได้ไม๊ เอ้อ
คุณมนัส      แล้วพอกลับไปทำเอง ทำถูกไม๊
หลวงปู่      ไม่ถูก
คุณมนัส      ไม่ถูก ถ้าอยู่กับหลวงปู่น่ะ ทำถูก
หลวงปู่       เอ้อ เพราะฉะนั้น สอนไปแล้ว
คุณมนัส       เดี๋ยว วันนี้สอนอีกรอบหนึ่ง
หลวงปู่       วันนี้ ไม่แน่ ดูอารมณ์ อืม จบ
คุณมนัส         วันนี้ อากาศยังร้นอยู่
หลวงปู่        วันนี้เหรอ วันนี้ยังร้อนน้อยกว่าวันนั้น
คุณมนัส       วันนี้ ผมลงรถมา 38 องศา
หลวงปู่        โอ้ วันนั้นตั้ง 40 กว่า งั้น สอนไปแล้ว วิธีดึงปราณเย็น เอามาทำให้ตัวเอง

สอนจนกระทั่งหายใจออกมา เย็นน่ะ มีไอเย็นออกมาจากจมูก จากปากได้ ก็ใช้ได้แล้ว จบ
คุณมนัส      ดื่มน้ำเยอะๆ นะครับ แล้วก็อย่าไปออกแดดมาก
หลวงปู่       ไม่ยาก ที่บ้านมีตู้เย็นไม๊ล่ะ
คุณมนัส     เอาตัวเข้าไปอยู่ในตู้เย็น
หลวงปู่       เอาหัวทิ่มเข้าไปก่อน
คุณมนัส        ก็ดื่มน้ำเยอะๆ แล้วก็อย่าไปอยู่กลางแจ้ง โดยเฉพาะเด็กๆ และผู้สูงอายุ
หลวงปู่        ใช่ ดื่มน้ำเยอะๆ แล้วก็พยายามอยู่ใต้ต้นไม้ เพราะ อาคาร เนี่ย บางที มันไม่

มีออกซิเจนมาก แต่อยู่ใต้ต้นไม้ กลางวัน มันคายออกซิเจน มันจะทำให้เย็น
ปุจฉา         ปวดเข่าข้างซ้าย งอไม่ได้ เวลางอ จะปวดมาก ถ้านั่งนานๆ พอลุกขึ้น จะเดิน

ไม่สะดวก ทานยาอะไรดี
วิสัชนา        ต้องไปดูว่า เป็นโรคข้อกระดูกไม๊ หรือไม่ก็ กระดูกทับเส้นสันหลังหรือเปล่า

หรือไม่ก็ กล้ามเนื้ออักเสบไม๊ ไม่ใช่ว่า อยู่ดีๆ จะมาถามว่า ทานยาอะไร ต้องมาตรวจ เอา

ไว้สัปดาห์หน้า อาทิตย์ต้นเดือน จบ
ปุจฉา       มีตุ่มแดงๆ ใสๆ ขึ้นลำตัวประมาณ 10 กว่าที่แล้ว เวลาโดนก็จะเจ็บมาก แต่พอ

2 วันไปแล้ว ก็หาย แล้วก็กลับมาเป็นอีก แต่ว่ายังไม่ได้ไปหาหมอ เพราะไป ก็ให้แต่ยา

กินแก้อักเสบ พวกพาราฯ
วิสัชนา      พาราฯ ไม่น่าจะเกี่ยวนะ พาราฯ นี่มันยาลดไข้ มันไม่ได้ลดอักเสบ เข้าใจว่า น่า

จะเกิดจากไวรัส อากาศอย่างนี้ มันเป็นไปได้ ไวรัสมันระบาด โรคมือเท้าเปื่อย โรคเริม โรค

งูสวัด อะไรอย่างนี้
งั้น วิธีก็คือ ใช้น้ำแข็ง ง่ายที่สุดเลย ล้างทำความสะอาด แล้วเอาน้ำแข็งลูบๆ จนกระทั่งมันเย็น

แล้วก็ซับด้วยสำลีสะอาดๆ แล้วก็หาขี้ผึ้งเทพโอสถ หรือไม่ก็ เอาน้ำมันมนต์ที่หลวงปู่หุง ทา

แล้วถ้ากลัวว่า จะไม่หาย ก็กินยาแก้อักเสบสัก 5 เม็ด เป็นสมุนไพร ก็จะหายละ จบ
คุณมนัส       ล้างมือบ่อยๆ นะครับ
หลวงปู่       เอ่อ บางทีมันมาจาก ซกมก เหมือนกัน พวกซกมก พวกใช้เสื้อผ้าซ้ำซาก ผ้า

ห่มที่นอนหมอนมุง อะไรอย่างนี้ ไม่ยอมเอามาตากแดดบ้าง ตากแดดก็ไม่ยอมสะบัดฝุ่น

อะไรอย่างนี้ คนบางคน อาจจะแพ้ไรฝุ่นก็ได้
ปุจฉา       เป็นผื่นแดงที่คอ พออากาศร้อน ก็จะแสบคัน ร้อน แล้วก็แดง มากขึ้นๆ
หลวงปู่      ใช้แป้งร่ำ แป้งที่หลวงปู่ทำ มันเป็นแป้งสมุนไพร ทำด้วยผงสมุนไพร ทาแล้วจะ

เย็น อากาศร้อนๆ จะช่วยลดผดผื่นคัน แล้วก็ เป็นพวกเริม งูสวัดได้ดี ลดอาการเริม งูสวัด

ได้ด้วย เพราะมันเป็นสมุนไพร เป็นยาฆ่าเชื้อ เป็นยาปฏิชีวนะอย่างอ่อน จบ
ปุจฉา       วัดสายตามาแล้ว ตาเป็นปกติ ไม่ทราบว่า พอจะมีทางบรรเทาตาพร่ามัวได้ โดย

เฉพาะเวลาโดนแสงจ้าๆ น้ำตาไหลไม่หยุด
วิสัชนา     คนยุคนี้ เป็นโรคตาเยอะมาก ด้วยเหตุผลว่า ทั้งวัน อยู่กับจอคอมพิวเตอร์ อยู่กับ

โทรศัพท์ Skyte อะไรต่ออะไร สารพัด มันใช้ตาเยอะมากไง สมควรแล้วล่ะ เพราะว่า

ไม่รู้จักบันยะบันยังไง ไม่รู้จักวิธีการมีชีวิตอยู่ ใช้อวัยวะ
วิธี ก็อาจจะใช้วิธีหลับตา พักสายตาบ้าง หาน้ำตาเทียมมาหยอดบ้าง หรือ ถ้ามันเป็นอาการ

หนัก ก็ไปเอายาบำรุงประสาทตากิน เช้า 2 เม็ด เย็น 2 เม็ด น่าจะดีขึ้น จบ
ปุจฉา         คุณตาอายุ 80  ตาข้างหนึ่งบอด รู้สึกปวดหัว และปวดตามาก ลูกๆ ให้ผ่า

เอาตาข้างที่เสียออก แต่ผ่าเอาออกแล้ว ก็ยังปวดตา และลามไปปวดหัวมาก ขอคำแนะนำ

จากหลวงปู่
วิสัชนา       ต้องไปดูว่า ติดเชื้อหรือเปล่า อาจจะติดเชื้อก็ได้ เพราะอาการที่เล่าให้ฟัง น่าจะ

เป็นอาการติดเชื้อทางประสาทตา ถ้าจะให้รักษา ก็ต้องมาดูให้ชัด ไม่ใช่พูดอย่างนี้ แล้วก็จะ

วินิจฉัยได้เลย ไม่ใช่ เรื่องตา นี่มันเป็นเรื่องอันตราย ต้องมาดูให้ชัด จบ
ปุจฉา        เวลาขับรถ ชอบเจอสัตว์อยู่ตามถนน แล้วก็ไปเหยียบมัน โดยไม่ได้ตั้งใจ จะทำ

อย่างไรดี มันจะบาปหรือไม่
วิสัชนา         โดนไม๊
คุณมนัส     บางทีก็ เหยียบงู เหยียบเต่า หลบไม่ทันจริงๆ แผ่เมตตา หายไม๊ฮะ
หลวงปู่         ตายไม๊ ตายเหรอ
คุณมนัส      งู ก็น่าจะตายนะ เต่าอาจจะรอดก็ได้
หลวงปู่       เต่าก็ไม่รอด กระดองแตกตาย วันก่อนนั้น ก็มีคนจับมาให้รักษา เต่าตัวเบ่อเร่อ

เลย โดนรถเหยียบ กระดองทิ่มเข้าไปในเนื้อ
คุณมนัส       เราไม่ได้เจตนา หลวงปู่ แบบนี้ บาปไม๊ฮะ
หลวงปู่        มันก็เป็นกรรม นั่นแหละ บาปมันคงไม่ถือเราหรอก แต่เราต้องใช้หนี้มัน วัน

หน้า อาจจะโดนมันเหยียบก็ได้ เมื่อ 2 วันนี้ ก็ยังช่วยรักษาเต่า มันขึ้นมานอนเกยตื้น อยู่

ริมนา
เอ ทำไมมึงไม่ลงน้ำ กระดองแห้ง โอ กระดองมันทะลุ เป็นแผล
ก็เลยให้คนวิ่งไปเอาน้ำมันมนต์ แล้วก็ล้างทำความสะอาด มีกลิ่นเน่าเหม็น เต่าเหม็นน่ะ เอ้อ

ล้างสะอาด แล้วขูดเอาเนื้อเก่าออก แล้วก็ใส่น้ำมันมนต์
แล้วก็ บอกมันว่า ลงน้ำไป แล้วพรุ่งนี้ ถ้ายังไม่หาย ขึ้นมาใหม่นะ
คุณมนัส       แล้วมันขึ้นมาไม๊
หลวงปู่        เอ้อ มันก็ลงน้ำไป
คุณมนัส      มันขึ้นมาไม๊ฮะ
หลวงปู่      ขึ้น พอพรุ่งนี้ มันก็ขึ้นมานอนรออยู่ตรงนั้นน่ะ เอ่อ เราก็ใส่ยาให้มัน แล้วก็

บอกว่า เออ เดี๋ยวถ้าไม่หาย พรุ่งนี้ มาใหม่นะ มันก็มาอีก มาวันที่ 3 แล้วก็หายไปเลย
คุณมนัส      ตาย
หลวงปู่      สงสัยจะจมน้ำตาย อ้าว มันหายไปเลยไง แสดงว่า มันไม่มาแล้ว หายแล้ว

เพราะวันที่ 2 มันมานี่ ดูกระดองมัน สีมันสดใสขึ้น อาการมันกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาก มา

วันแรกนี่ หมดเรี่ยวแรง กระดองมันเป็นแผล
น้ำมันมนต์ นี่ โอ้โห ทาผัวหอมเมีย ทาเมียหอมแม่ยาย ทาหมาไม่มีหมัด โอ ใช้ได้หมดล่ะ

หยอดหูก็ได้ หยอดตาก็ได้ ใส่หัวก็ดี เอ้อ ปาก คอเป็นแผล เจ็บ อมกลั้ว โอย ใช้ได้หมด

ตั้งแต่สากระเบือ ยันเรือรบ ทาตั้งแต่ตีนยันหัว จบ
ปุจฉา       ชอบตกปลา ตกปลาเป็นงานอดิเรก แล้วกำลังจะได้งานด้านตกปลาด้วย บาปไม๊
วิสัชนา        อ้ายพวกนี้ อีกหน่อยเป็น ปากฉีก ปากฉีกถึงรูหู พวกนี้ เกิดชาติหน้า เป็นโรค

ปากแหว่ง เพดานโหว่ อาชีพ เยอะแยะมี ดันไปหาความสุข สนุกอยู่กับความทุกข์ของชาว

บ้าน พวกนี้ ไม่รู๊ มีความคิดอะไร ยิงนก ตกปลา ฆ่าสัตว์
เหมือนกับที่ไปไล่ยิงช้างน่ะ ทดลองความแม่น ลองนึกว่า เอาลูก เอาเมีย เอาพ่อมัน แล้วก็

เอาลงไปวิ่ง เอาปืนไล่ยิง ให้มันดู ดูซิ มันจะคิดยังไงบ้าง เอ้อ นั่นแหละ ลงข่าวหนังสือพิมพ์

ช้างตายเป็นตัวๆ
มันเอาอะไรคิดก็ไม่รู้ เหมือนกับพวกเด็กไร้เรียงสา ไม่มีสติปัญญา
น่าสมเพช ทำร้ายตัวเองข้ามภพข้ามชาติ หาความสุขแค่ชั่วแว๊บเดียว แล้วความทุกข์ไม่รู้กี่

ภพชาติ ทำทำไม มีแต่คนไม่มีปัญญาเท่านั้น ที่เค้าทำน่ะ ลูก จบ
คุณมนัส      วันจันทร์ อังคาร พุธ  สามวันนี้ หลวงปู่ทำอะไรครับ มีกิจไม๊ฮะ
หลวงปู่          ก็หายใจ กิน ฉันข้าว ขี้ เยี่ยว นอน ทำงาน
คุณมนัส       เค้ามีการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ
หลวงปู่       อ๋อ
คุณมนัส         แก้ไขรัฐธรรมนูญ 3 วันรวด
หลวงปู่         จะให้ไปลานพระรูปไม๊
คุณมนัส       ถามดู
หลวงปู่       3 วันรวดเลยเหรอ ไม่ได้ตามข่าว
คุณมนัส        เห็นล่าสุด บอกว่า อาจจะต้องเพิ่มวัน
หลวงปู่      ไม่ได้ตามข่าว เลยไม่รู้ข้อมูล เค้าแก้ไข ที่จริง ไม่ได้เห็นด้วยกับการแก้ไข

หรอกนะ
ถ้าเค้าแก้ไขเพื่อส่วนรวม เพื่อให้สังคมมันอยู่ได้ ไม่ใช่เพื่อใครคนใดคนหนึ่ง หรือ พวกใด

พวกหนึ่ง แต่เท่าที่ทราบ ก็มีแต่แก้ไขเฉพาะเรื่องของนักการเมือง ที่เกี่ยวกับกิจกรรม

นักการเมือง
คุณมนัส      ยกเลิกการยุบพรรค
หลวงปู่      พรรคการเมือง นักการเมือง และพรรคการเมือง มันก็เป็นเรื่องอะไรที่มันตลก

แต่อะไรมันก็เกิดขึ้นได้ในแผ่นดินนี้ แล้วเราจะไปทำอะไรได้ ก็ได้แต่มองตาปริบๆ ไป

แล้วก็ดูว่า อะไรมันจะมากเกินไป จะน้อยไป ถ้ามันมากไป ก็ต้องฮึ่มๆ เสียบ้าง แสดงพลัง

เสียบ้าง แต่ถ้ามันน้อยไป ก็เติมให้มันเต็มบ้าง
หลายเรื่อง เค้าก็ทำได้ดีกว่าชุดเก่าๆ แต่เกือบทุกเรื่องที่ทำได้แย่กว่าทุกๆ ชุด ก็มีเยอะแยะ

มากมาย
งั้น ก็ ชั่งดูเอาประโยชน์ส่วนใหญ่ ลูก อย่าไปมองแค่ประโยชน์เล็กๆ เพราะว่า ประโยชน์เนี่ย

มันไม่เข้าใครออกใคร แต่เมื่อใดที่มีคำว่า ประโยชน์เข้ามาแล้ว ทุกคนก็จะถามว่า กูได้เท่า

ไหร่ ได้คุ้มไม๊ ได้ทั่วถึงหรือไม่
แต่ถ้ามันได้คุ้ม ได้ทั่วถึง แม้นจะใช้คำว่า ได้เท่าไหร่ ก็ต้องไม่มี
แต่ถ้าไม่ได้คุ้ม ไม่ได้ทั่วถึง ถ้าอย่างนี้ มันก็ต้องมีคำว่า ได้เท่าไหร่ สำหรับใคร อันนั้น ก็

ต้องมานั่งเฝ้ามองล่ะ คอยว่า คอยกล่าว คอยติติง คอยให้สติตักเตือน
หลวงปู่ก็เห็นพวกสภาต่างประเทศ ต่างชาติ เวลาเค้ามีประชุมกัน ฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล เค้า

แนะนำ นำเสนออะไร เค้าก็ยังรับฟังกัน แล้วก็เอาไปแก้ไขปรับปรุง แต่สภาไทย พูดก็พูด

เถอะ มันไม่ได้รับการแก้ไขปรับปรุงอะไรหรอก ก็ได้แต่พูดไป พูด show off ไป

เรื่อยๆ แต่ที่แน่ๆ  ก็คือ เค้ามีธงของเค้าอยู่แล้ว แต่ละคนที่จะทำอะไร เค้ามีความคิด มีวิธี

คิดของเค้า
คือ คนไทยเราเนี่ย มันอัตตาสูงนะ ลูก ถ้านักการเมือง ลดอีโก้ ลดอัตตา ลดความเป็นตัวตนลง

ประเทศเจริญกว่านี้เป็นร้อยเท่า ทีนยี้ นักการเมืองเรา มีอีโก้สูงไง อัตตาสูง โง่แล้วอวดฉลาด
บางทีไม่รู้ ก็อวดรู้, ไม่เข้าใจ ก็คิดว่า ตัวเองเข้าใจ แล้วก็แสดงความโง่ๆ เถื่อนๆ ออกมา

ไม่เข้าใจในเรื่องราวต่างๆ ออกมา ไม่เคยมีใครถามว่า ประชาชนต้องการอะไร อยากได้

อะไร ต้องการทำอะไร
เหมือนกับจะเป็นหนี้ จริงๆ แล้ว หนี้ระดับนี้ มันต้องถามชาวบ้านนะว่า เค้ายินดีจะให้ไม๊ ถ้า

เป็นต่างชาตินี่ เค้าต้องถามนะ ต้องถามว่า เออ คุณยินดีจะให้เป็นหนี้ไม๊ ถ้าบ้านเมืองมันจะ

เจริญระดับนี้ๆ มาส่วนนี้ๆ
นี่บ้านเรามันไม่มีกฏหมายข้อนี้ไง ถ้าจะแก้ แล้วเพิ่มกฏหมายข้อนี้ด้วย ก็น่าจะดีล่ะนะ
ถามว่า ถ้าคุณจะไปกู้ รัฐบาลจะไปกู้ ต้องถามคนเป็นเจ้าของหนี้ก่อน เค้ายอมไม๊ ถ้าคนที่จะ

ต้องใช้หนี้ เค้ายอม ไม่จำเป็นต้องทุกคน ถ้าส่วนใหญ่เห็นว่า ยอม เพื่อเป็นประโยชน์ส่วน

รวม อ้าว คุณมีสิทธิ์กู้ มันน่าจะมีกฏหมายข้อนี้ออกมา
พวกคุณเขียนสิ แล้ว เดี๋ยวชั้นนำไปเอง  เอ้อ เขียนว่า ต่อไปนี้ ถ้ารัฐบาลอยากจะกู้เงิน เพื่อ

มาทำประโยชน์ส่วนรวม หรือ ประโยชน์อะไรก็แล้วแต่เถอะ ต้องถามประชาชนก่อนว่า

คุณพร้อมจะเป็นหนี้ไม๊ คุณอยากจะเป็นหนี้ไม๊ แล้วคุณคิดว่าหนี้นี้ ถ้าทำแล้ว มันเป็น

ประโยชน์ต่อประชาชน หรือ ตัวคุณเอง อย่างไร
ต้องมีแบบสอบถามออกมา แล้วมันจะทำให้สังคม มันอยู่ร่วมกันได้ไง เพราะใช้เสียง

ประชาชนเป็นใหญ่ ไม่ใช่เลือกไปแล้วก็ ตัวเองคิดยังไง ก็เท่ากับว่า ประชาชนทั้งหมดคิด
ไม่ใช่อรหันต์นี่ ถูกไม๊ ส.ส ส.ว ไม่ใช่อรหันต์ ไม่ใช่ผู้วิเศษ จะมาคิดแทนประชาชนไป

หมดทุกเรื่อง ไม่ได้หรอก เพราะว่า ส.ส ส.ว ก็ยังเป็นปุถุชน ยังแสวงหากาม ยังบริโภค

กาม ยังขวนขวาย ตกเป็นทาสของกาม ยังต้องการกาม แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่า สังคมต้อง

การอะไร ก็เอากามเป็นบรรทัดฐาน อย่างนั้นเหรอ ไม่ถูกต้อง
อ้าย รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ของ ส.ว ส.ส ก็มโหฬาร มหาศาล
งั้น จึงอยากจะฝากบอกว่า จะทำอะไรก็แล้วแต่เถอะ ฝากเสียงดังๆ ไปยังรัฐบาลว่า ให้คิอถึง

สังคมส่วนรวม คิดถึงผลประโยชน์ส่วนใหญ่ คิดถึงหัวใจของคนไทยทั้งชาติ เจริญธรรม (

สาธุ)
คุณมนัส      มีคำถามปิดท้าย
หลวงปู่       ว่า
คุณมนัส      หลวงปู่คิดยังไงกับ พระพุทธเจ้าน้อย
หลวงปู่      อืม ตอบไปแล้ว ลูก
ให้ทุกท่านที่รับชมรายการ ปุจฉา วิสัชนา และคุณมนัส ตั้งสุข ผู้ดำเนินรายการ จงรุ่งเรือง

เจริญ สุขภาพแข็งแรง อายุยืนยาว คิดหวังสิ่งใด สมความปรารถนา เจริญธรรม (สาธุ)
วันที่ 27 เชิญชวนทุกท่าน ทุกคน ไปร่วมเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระพร พระบาท

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เนิ่องในวโรกาสวันขึ้นปีใหม่

ของไทยเรา พร้อมกับพระเณรที่บวชใหม่ ถวายพระราชกุศล ณ. ลานศาลา 100 ปี ที่

ศิริราชพยาบาล เวลาตั้งแต่บ่ายโมง เป็นต้นไป ในวันเสาร์ที่ 27 เมษายน
เดี๋ยวฝากปิดกล้อง แล้วประชาสัมพันธ์ให้ด้วยนะ งานบิณฑบาตร ข้าวสาร อาหารแห้ง กับ

โลหะ วันที่ 15
เอ้า กราบพระแล้วไปพัก ลูก เดี๋ยวมาปฏิบัติธรรม
(กราบ)
ไป เข้าห้องน้ำ ห้องท่า หาน้ำกิน พระเณรได้ฉันน้ำบ้างหรือเปล่า พระใหม่ เณรใหม่ อากาศ

ร้อนๆ พระพี่เลี้ยงหาน้ำมาให้เณรฉันซิ เดี๋ยวเป็นไข้ โดยเฉพาะเณรที่มันเป็นโรคเลือดออก

น่ะ เณรที่มันเป็นโรคเลือดออกไม่หยุดน่ะ กินน้ำให้มาก ให้ร่างกายเย็น ลูก
ไปหาน้ำให้มันกิน เดี๋ยวเป็นไข้ อากาศร้อนๆ
อันนี้ ไม่ต้องประเคน เพราะมันมีของกิน หมดเวลากินแล้ว ประเคนแล้วเป็นอาบัติ
ต้องอาทิตย์ต้นเดือน มาตรวจ จะรักษาไข้
คนจะมาให้ตรวจโรค ต้องไปอาทิตย์ต้นเดือน อาทิตย์ที่ 2 ของเดือน ลูก อาทิตย์ต้นเดือน

อาทิตย์ที่ 2 ของเดือน ต้องมาเช้าๆ หลวงปู่รักษาไข้จนถึงตอน 11 โมง แล้วบ่ายๆ ก็จะ

แสดงธรรม แต่อาทิตย์ธรรมดานี่ จะต้องสอนกรรมฐาน ตรวจโรคไม่ได้ เพราะว่า เวลา

หลวงปู่ตรวจโรค เค้าต้องมีหมอ มีพยาบาล มาวัดความดันฯ ลงบันทึกข้อมูลคนไข้ ไม่ใช่

ตรวจเองโดยปริยาย โดยเอกเทศ ไม่ใช่ แล้วจะต้องเก็บบันทึกเป็นสถิติเอาไว้ว่า หลังจากให้

ยา วางยา แล้วจะมีอาการดีขึ้น หรือว่า เปลี่ยนแปลงไปอย่างไร แล้วจะได้ปรับยา แก้ยา หรือ

หยุดให้ยา ไม่ใช่ว่า ทำได้ง่ายๆ
วันที่ 9 ก็ยังทันนี่ อาทิตย์ต้นเดือน ไม่ใช่วันที่ 9 นี่
คนอายุมากๆ กินแป้ง กินน้ำตาล แล้วมันจะมีอาการอย่างนี้ เป็นอัมพฤตอ่อนๆ
ตั้งใจ เตรียมปฏิบัติธรรม
จำไว้ว่า คนยิ่งแก่ตัวลง กินข้าวให้น้อยลง กินแป้งให้น้อยลง เลยอายุ 40 ไปแล้วเนี่ย

เพราะว่า อ้ายสิ่งที่กินเข้าไป มันเผาผลาญไม่หมด มันจะไปจับเอาเส้นเลือดฝอยของสมอง

ให้แข็งตัว แล้วความยืดหดของเส้นเลือด พอมันมีน้อยลงเข้า กระบวนการสูบฉีดเลือดใน

หลอดเลือด ก็จะแข็งตัวไปด้วย
งั้น ไม่ควรกินเยอะเกินไป แป้ง น้ำตาล ไขมัน เกินอายุ 40 ไปแล้ว ไม่ควร เพราะมัน

กำจัดไม่หมด ขับถ่ายไม่หมด เค้าเรียก ไขมันอย่างเลว มันจะมาเกาะตามผนังหลอดเลือด

ตามปลายประสาท แล้วทำให้ตัวเอง เป็นอัมพฤต อัมพาต เส้นเลือดหัวใจอุดตัน ผนังหลอด

เลือดอุดตัน เยอะแยะมากมาย มันจะเกิดขึ้นน่ะ ลูก
แล้วถ้านอนไม่เพียงพอ พักผ่อนไม่เพียงพอ เราก็จะเป็นคนหิวอาหารเยอะ ยิ่งกินมาก ก็

ยิ่งลำบากมาก ยิ่งทุกข์มาก จะสังเกตุว่า คนอดนอน จะหิวอาหารเยอะ กินอาหารมากกว่าปกติ

แล้วพวกนี้ก็ไม่ค่อยชอบดื่มน้ำด้วย พอไม่ชอบดื่มน้ำ ก็ท้องผูก ก็เป็นโรคขับถ่ายไม่ปกติ
งั้น ต้องดูแลตัวเอง อายุเกิน 40 ไปแล้ว ต้องกินผัก กินผลไม้ เช้าๆ กินพวกสลัด ถ้าจะเป็น

เนื้อ ก็ให้เป็นเนื้อปลา เนื้อที่มันย่อยได้ง่าย ถ้าจะเป็นไขมัน ก็เป็นไขมันที่ได้จากปลา ไม่ใช่

ไขมันที่ได้จากสัตว์ใหญ่ แม้ที่สุด ไก่ก็ไม่ดี หมู เป็ด ไก่ อะไรเนี่ย เพราะพวกนี้

ผ่านกระบวนการเลี้ยงด้วยสารเร่งทั้งนั้น แล้วมันไปตกค้างอยู่ในเลือด
พออายุเกิน 40 ไปแล้ว ตับมันทำงานมาก ตลอด แล้วมันกำจัดของที่ตกค้างไม่ได้ อาจจะ

เป็นพิษ ทำให้ตับเสีย สารพิษที่เราได้จากร่างกาย ได้จากการกิน ได้จากการสัมผัส ได้จาก

การดม แล้วก็ได้ทางผิวหนัง
ได้จากผิวหนัง กับ การกินนี่ เยอะสุด
งั้น ถ้าเราไม่ระมัดระวัง เราก็เป็นตัวสารพิษเดินได้ ยืนได้ แล้วเราอายุยาว มีกระบวนการ มี

วิธีการที่จะทำให้ยืดอายุยาว แต่อ้ายเซลล์ต่างๆ ในร่างกายเรา มันสั้น มันทำให้เราเป็นโรค
อายุยาว แล้วเป็นโรค สู้อายุสั้น แล้วไม่เป็นโรคดีกว่า
อายุสั้น แล้วไม่เป็นโรค นี่ มันสบาย
อายุยาว แล้วมาอยู่เป็นโรค มันเป็นภาระ เป็นทุกข์ ต้องรักษาดูแล โอย อย่างนั้น ตายดีกว่า

แต่ตาย ยังไม่เป็นโรค สบายกว่า แต่ไม่ได้แนะให้ไปฆ่าตัวตาย แต่ให้รู้จักบริหารจัดการตัว

เอง รู้ว่า อะไรควรกิน อะไรไม่ควรกิน
ร่างกาย นี่มันต้องใช้กระบวนการ เค้าเรียกว่า ผสมสูตรเคมี เวลาหลวงปู่ฉันข้าว เช้าๆ หลวง

ปู่จะมองดูตัวเองว่า เออ วันนี้ เราท้องอืดหรือเปล่า ร่างกายเราเพลียไม๊ ตื่นนอนมา เรารู้สึก

ขาดน้ำตาล ขาดแป้ง ไม่มีพลังงาน หรือ ความดันฯ ต่ำไม๊
ถ้าความดันฯ ปกติ ร่างกายเราไม่ขาดอะไร ก็กินน้อยๆ เมื่อเช้านี้ ฉันมะละกอไป 3- 4

ชิ้น แล้วกล้วยลูกหนึ่ง อย่างนี้เป็นต้น ถ้าวันไหน เออ รู้สึกร่างกายขาดพลังงาน รู้สึกเปลี้ย

อย่างนั้น ฉันข้าวต้มหน่อยหนึ่ง ข้าวต้มก็เอาแต่น้ำถ้วยหนึ่ง แล้วก็มีผัก ผัดผักใส่น้ำมันเยอะ

ก็ไม่กิน ไม่กินผักที่ใส่น้ำมันเยอะๆ ก็ต้องรู้จักวิธีผสมสูตรของเคมีในร่างกาย
กลางวันจะกินอะไร ก็ต้องถามตัวเอง คือ อย่ากินเพราะความอยาก แต่จำเป็นต้องกิน กิน

เพราะความจำเป็นต้องกิน แล้วมันจะทำให้ร่างกายเราอยู่ได้ต่อทุกสถานการณ์
เอ้า วันนี้ มาฝึกปราณเย็นกัน เตรียมตัวปฏิบัติธรรม
31 มี ค 56   15.00 น. ระหว่างปฏิบัติธรรม โดย องค์หลวงปู่พุทธะอิสระ
(เดินขั้นที่ 1 ภาคที่ 1, 2, 3, ขั้น ที่ 2, เพิ่มลมหายใจ ใช้วิชาปราณโอสถ

ปรับสมดุลย์ภายในกาย ปราณร้อน ปราณเย็น)
เอ้า วันนี้ มาฝึก ปราณเย็น กัน เตรียมตัวปฏิบัติธรรม
ลุกขึ้นยืน
ลองดู ลูก เอ้อ ลองดู ดีกว่าสร้างพระเจดีย์ ปฏิบัติธรรม
พระพี่เลี้ยง พาสามเณรใหม่ พระใหม่ ฝึกเดิน
ใครไม่เคย ก็ยกมือขึ้น ให้รุ่นพี่เข้าไปแนะนำ
เอ้อ รุ่นพี่ช่วยแนะนำหน่อย
ขั้นที่ 1 ภาคที่ 1
ดูหน่อยซิ เค้ายกมือน่ะ
...................
หูฟังเสียง เท้าก้าวเดิน ใจรับรู้
ทำ 3 อย่าง ให้เป็นเรื่องเดียวกัน
..................
อย่าสักแต่ว่า เดิน
อย่าเดินส่งเดช
หูฟังเสียง ใจรับรู้ เท้าก้าวเดิน
3 อย่าง ให้รวมเป็นหนึ่ง
................
ที่หยุด ควรหยุด ก็ต้องหยุด
ที่ก้าว ควรก้าว ก็ก้าวให้เต็ม
อย่า ก้าวก่อน, อย่า ก้าวหลัง
ให้เหมาะสม พอดีจังหวะ
..................
อย่า เดินเป็นคนเลื่อนลอย    
แสดงว่า กำลังเดินใช้กรรม
เดิน แบบคนเลื่อนลอย
ฟุ้งซ่าน เลื่อนลอย คิดมาก
แสดงว่า กรรมเก่า มันกำลังมาทวงถาม
เรียกว่า เดิน ใช้กรรมเก่า
.................
ปราณในร่างกายเรามี 2 ชนิด ปราณเย็น กับ ปราณร้อน
วันนี้ เราจะฝึก ปราณเย็น
พิสูจน์ ดูคำสอนของพระพุทธเจ้าว่า
ศักดิ์สิทธิ์ สำเร็จประโยชน์ จริงไม๊
ในขณะที่รอบตัวเรา ร้อน
เราทำให้ข้างในเรา เย็นได้แค่ไหน
แต่กว่าจะฝึกตรงนั้นได้
ต้องทำสิ่งที่กำลังทำ ให้ได้
หูฟังเสียง เท้าก้าวเดิน ใจรับรู้
อย่า เดินอย่างผู้ไม่รู้
..................
ขยับขึ้น ขั้นที่ 1 ภาคที่ 2
ใครไม่เคย ยกมือขึ้น รุ่นพี่ช่วยแนะนำ
..................
ขั้นที่ 1 ภาคที่ 3
ใครไม่เคย ยกมือ รุ่นพี่ช่วยแนะนำ
.................
ตั้งใจหน่อย
ไม่งั้น จะควบคุมบังคับ ปราณ ภายในกายไม่ได้
ถ้าจิตเลื่อนลอย เหลาะแหละ ออกไปข้างนอก
แสดงว่า ขาดอานุภาพ ขาดกำลัง
ปราณ ที่ซ่านไปทั่วอนูของร่างกาย เราจะรวบรวมไม่ได้
เรียกว่า ปราณแตกซ่าน ไปทั่ว
มันจะไม่มีอานุภาพ ไม่มีพลัง ที่จะกำจัดของเสีย และความร้อนภายใน
งั้น ต้องรวม จิตกับกาย ให้เป็นหนึ่ง
...................
เพิ่ม ลมหายใจ เข้าไป ทุกครั้งที่ก้าว
เมื่อ หายใจเข้า ลมที่เข้า ต้องเย็น
....................
ขวา หายใจเข้า, ซ้าย ก็ต้อง หายใจออก
..................
จังหวะ ก้าว ลมหายใจ และ จิต ให้รวมกันเป็นหนึ่ง
.................
ขยับขึ้น ขั้นที่ 2
ใครเคย ยกมือขึ้น รุ่นพี่ช่วยแนะนำ
.................
ส่งความรู้สึกที่ฝ่าเท้า ทุกครั้งที่ก้าว
ฝ่าเท้ากระทบพื้น ต้องรับรู้
...............
ขวากระทบ รู้, ซ้าย กระทบ รู้
รู้ ตลอด ทั้งขวา และซ้าย ไม่ให้ขาด
..................
รู้ ให้ชัดเจน ทั้งขวา และ ซ้าย
ไม่ใช่ รู้ แบบ ผิวเผิน เบาบาง
รู้ แบบซึมซาบ สัมผัส แนบแน่น
.................
รู้ แบบ ผิวเผิน เบาบาง มันรู้ด้วยสัญญา คือ ความจำ
แต่ รู้ แบบซึมซาบ แนบแน่น มันรู้ด้วย ปัญญา เป็นปัจจุบัน ชัดเจน
................
หยุด อยู่กับที่ หลับตา
สูด ลมหายใจเข้า กว้าง ลึก เต็ม
................
หายใจออก เบา ยาว ผ่อนคลาย หมดจด
ส่ง ความรู้สึกไปในกาย ตั้งแต่ ยืน ฝ่าเท้า ดูซิ บิดเบี้ยวไม๊
ใช้ความรู้สึก ไม่ใช่ใช้ตา
น้ำหนักตัวอยู่ ขวา และซ้าย เสมอกันไม๊
...............
ผ่องถ่ายน้ำหนักให้เสมอกัน ขวา  ซ้าย เท่ากัน
..............
ดูซิว่า  เรายืนแอ่นหน้าแอ่นหลังไม๊
ตะโพก 2 ข้าง รับน้ำหนักเท่ากันไม๊
ส่งความรู้สึก
ปรับให้สมดุลย์ ให้รับน้ำหนักเท่ากัน
.................
แขน 2 ข้าง ทิ้งข้างลำตัว
ฝ่ามือไม่กำ นิ้วไม่เกร็ง
คอ ตั้งตรง เป็นฉากกับบ่า
หน้า ไม่เชิด ไม่เชย ไม่ก้ม ไม่งอ ไม่งุ้ม
ทำตัวเองให้เหมาะสม สมดุลย์
เรียกว่า จัดระเบียบของกาย จนเป็นระบบของความคิด และจิตวิญญาณ
ไม่ใช่ยืนเกร็ง เท้าชิด
ยืน ให้ผ่อนคลาย สบายๆ
................
เกร็ง เท้าชิด ก็ไม่ใช่
.................
ยืน บิดเบี้ยว ไปข้างใดข้างหนึ่ง ก็ไม่ใช่
ให้เกิดสมดุลย์ในร่างกาย
เสร็จแล้ว ลืมตา ขึ้นช้าๆ
สูด ลมหายใจเข้า กว้าง ลึก เต็ม ตามดูลม
..................
แล้ว ผ่อนลมออก เบา ยาว หมด อย่างผ่อนคลาย
..................
พักนิดหนึ่ง แล้วสูดเข้าไปใหม่
...................
เอา ลมที่เข้าไป ไล่ความร้อนที่อยู่ภายในกาย ให้ออกมากับลมหายใจ ที่พ่นออก
..............
อย่าหลับตา
พ่นออกแล้ว สูดเข้าไปใหม่อีกครั้งหนึ่ง กว้าง ลึก เต็ม รู้
...............
แล้วผ่อนลมออกมา เบาๆ ยาวๆ อย่างผ่อนคลาย    
กำหนดจิต รับรู้ภายใน
สำรวจจิต ภายในกาย ตั้งแต่ ช่องท้อง หน้าอก ลำคอ ช่องปาก จมูก
สำรวจดูซิว่า มีไอเย็น ปรากฏขึ้นบ้างไม๊
...................
หายใจ แบบสุขุม นุ่มนวล สุภาพ ไม่ใช่ฟืดฟาด
เข้า ก็รู้อย่างเหมาะสม, ออก ก็รู้ เหมาะสม
หายใจเข้าฟืดฟาด มันกระตุ้นชีพจรเต้นเร็ว
ทำให้การเผาผลาญพลังงานภายในกาย มากขึ้น
ปราณ ก็ทุรนทุราย เร่าร้อน
งั้น หายใจให้นุ่มนวล ผ่อนคลาย สุภาพ เหมาะสม
ปราณเย็น ก็จะปรากฏแล้วล่ะ
.....................
ปล่อยให้ลมหายใจเป็นธรรมชาติ
มันจะเข้า ปล่อยมันเข้า
มันจะออก ปล่อยมันออก
เพียงแค่ จับรู้ ดูอยู่
ดู ความเย็นที่ปรากฏ ตั้งแต่ช่องท้อง หน้าอก ลำคอ ช่องปาก กระโหลกศีรษะ หัวไหล่ ด้าน

หลัง ตะโพก ท่อนขา หน้าแข้ง น่อง ฝ่าเท้า หัวเข่า หน้าขา ขึ้นมาจนถึง ช่องท้องน้อย
ไล่แต่ละจุดๆ ให้เย็น
ลมหายใจ ยังเดินเป็นปกติ ไม่ต้องบังคับ
ไม่ให้หนัก ไม่ให้เบา ไม่ให้ยาว ไม่ให้สั้น ปล่อยเป็นธรรมชาติ
.................
ทำให้ลมหายใจ ผ่อนคลาย สุภาพ
.................
จิตไม่ฟุ้งซ่าน สมองไม่ต้องคิดอ่านใดๆ
มี ตัวรู้ อยู่เฉยๆ ต่อสภาพที่ปรากฏ
..................
ร่างกายเรา แบ่งเป็น 2 ส่วน
ส่วนที่ 1 คือ เย็น, ส่วนที่ 1 คือ ร้อน
................
ส่วนใหญ่ เราจะใช้ส่วนที่ร้อน มากกว่าส่วนที่เย็น
................
งั้น วันนี้ เราจะใช้ส่วนที่เย็น ให้มากกว่าส่วนที่ร้อน
.................
วิธี ก็คือ อยู่กับลมหายใจ เมื่อ สูดเข้า ให้ลมเย็นเข้า
เวลา สูดออก ให้ลมร้อนออก
................
พูดเป็นภาษาชาวบ้าน วิทยาศาสตร์หน่อย ก็บอกว่า
สูดเข้า เอา ออกซิเจน เข้า
เวลาพ่นออก ก็เอา คาร์บอนฯ ออก
ซึ่งผ่านกระบวนการเผาผลาญ และเป็นมลพิษ เป็นมลทิน
เมื่อ ออกซิเจน มีมากกว่า คาร์บอนฯ
ข้างใน ก็ย่อมเย็น เป็นปกติ
.................
ค่อยๆ นั่งลง
ยังอยู่กับปราณ อย่างสุขุม
..................
นั่งลง แล้วยังอยู่กับปราณ อยู่กับลมหายใจ ที่สุขุม สงบเย็น
เราจะสังเกตุว่า เรากับบรรยากาศรอบข้าง มันแบ่งกันชัดเจน เมื่อทำอยู่ในระดับหนึ่ง
มันเหมือนมีม่าน มีเกราะ ไม่ให้ความร้อนชำแรกเข้ามาหาเรา
...............
เรียกว่า เย็น ตั้งแต่ภายใน จนกระทั่ง ลมหายใจเย็น
................
ใน กระโหลกศีรษะเย็น โพรงจมูกเย็น ลำคอเย็น ทรวงอกเย็น ช่องท้องเย็น
แขน ขา มือ แผ่นหลัง เย็น  ลำตัวเย็น
...............
เอ้า ทีนี้ ลองหลับตาดู    
ยังเย็น อยู่ไม๊
..................
หลับตา แล้วมีเรื่องดู 2 อย่าง ลมเข้า กับ ลมออก
และความเย็น ที่ปรากฏเมื่อ ลมเข้า
ขับ ความร้อน ออก เมื่อ ลมออก
เรียกว่า ดู 2 อย่าง
................
ไม่ได้ให้ดู สี, ไม่ได้ให้ดู แสง
ให้ดู อาการของลม ที่เข้า และ ออก
................
อย่าสนใจ สี กับ แสง
.................
ให้รู้สภาพ เย็นกับร้อน ที่กระทบได้จาก ลมที่เข้าและออก
ลมเข้า กระทบเย็น, ลมออก กระทบร้อน
...............
ลุกขึ้น ยืน เผลอไม่ได้    
บอกแล้วว่า หลวงปู่จะไม่สอนคน 2 ชนิด คือ หลับ กับ ตาย
...............
จะสอนแต่ คนที่ตื่น ตื่นตัว ตื่นกาย ตื่นใจ
.................
สอน คนหลับ กับ คนตาย ไม่มีประโยชน์     
................
เอ้า ทีนี้ ทิ้งลมหายใจ
มันจะ เข้า ก็ปล่อยมัน
มันจะ ออก ก็ปล่อยมัน
ดูสภาพที่ปรากฏว่า ข้างในเย็น หรือยัง    
.................
หน้าอก ช่องท้อง ลำคอ แผ่นหลัง ต้นคอ กระโหลกศีรษะ
อวัยวะเหล่านี้ ส่วนต่างๆ เหล่านี้ ของร่างกาย เริ่มเย็นหรือยัง
...............
ยืน แล้ว ลืมตา
.................
มันเย็นจนออกตา เย็นจนออกหู เย็นจนออกจมูก จึงจะใช้ได้
.................
เดินเข้าที่ รักษาความเย็น และ ปราณเย็น เอาไว้
ที่ตัวเอง อยู่ที่ไหน เข้าที่ที่นั่น แล้วลงนั่ง
ยังเย็นอยู่
................
สอนให้มีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน
เดินกลางถนน ก็ต้องเย็นให้ได้
...............
พิสูจน์ พระธรรมคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ศักดิ์สิทธิ์ สำเร็จประโยชน์ไม๊
...............
ดู ปราณภายใน ไม่ได้ให้ทำอะไรเลย
.................
เย็น จนกระทั่ง รู้สึกตึง สันจมูก
กระบอกตาเย็น ช่องหูเย็น ต้นคอเย็น กระโหลกศีรษะเย็น
หน้าอกเย็น ลำคอเย็น ช่องท้องเย็น
................
ความเย็น เหล่านี้ เราไม่ได้คิดขึ้นเอง
แต่เราใช้อำนาจของสิ่งที่มี เรียกว่า ธาตุภายในกาย
จิตที่มีพลังระดับหนึ่ง สามารถคุมธาตุทั้ง 4 ได้ เรียกว่า มหาภูตรูป
............
ร่างกายเรามี ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม แล้วก็ ธาตุไฟ
ที่ผ่านมา เราคุมมันไม่ได้
มันก็เลยเผาผลาญเราบ้าง ทำร้ายเราบ้าง ทำลายเราบ้าง
แต่เมื่อ จิตมีพลัง เราจะคุมมันได้
ธาตุทั้ง 4 เราจะเอาธาตุไหน นำหน้าก็ได้ ตามใจปรารถนา
วันนี้ ขณะนี้ เราต้องการเอาธาตุน้ำ นำหน้า
เพราะงั้น ธาตุน้ำ มีคุณสมบัติ เย็น อ่อน เป็นลักษณะของธาตุน้ำ
เราต้องการกระตุ้น ธาตุน้ำ ซึ่งมีอยู่ประมาณ 7-80 % ในร่างกาย ให้แสดงพลังอออก

มา
เพื่อจะทำการป้องกัน ไม่ให้เราได้รับผลกระทบจากไอน้ำ ที่ปรากฏรอบๆ กาย
.................
ไม่งั้น ก็จะไม่เรียกว่า วิชาปราณโอสถ
ความร้อน เมื่อมีมาก ก็ทำให้เกิดโรค
เราก็ใช้ ปราณภายใน มาสามารถบำบัดรักษาโรค
ทำให้เราอยู่อย่างไม่ร้อนได้
โรคก็จะไม่เกิด
.................
ตามหลักวิชาแพทย์ คนที่เป็นเส้นเลือดอุดตัน เป็นอัมพฤต อัมพาต
ปลายประสาท เลือดไม่ไปเลี้ยง
ทั้งหมดนี้ มาจากฤทธิ์ของธาตุน้ำ
...............
ธาตุน้ำ ซึ่งมีมาก เราคุมมันไม่ได้
ความร้อนเรา ด้อย, ธาตุไฟเราอ่อนแอ
อย่างนั้น ก็ต้องเดินปราณโอสถ ในวิชาปราณ
เรียกว่า ปราณสุริยะ หรือ ปราณร้อน
เพื่อเผาผลาญไขมัน และสิ่งที่ตกตะกอน ตามปลายประสาท และหลอดเลือด ให้ละลาย
...............
เลือด ลม ก็จะเดินสะดวกขึ้น
.................
งั้น ต้องฝึก
สำคัญที่สุด คือ ต้องฝึกจิตให้ได้
ทำให้จิต เกิดสมดุลย์กับกาย
เรียกว่า จิตกับกาย รวมกันเป็นหนึ่ง
................
เอ้า ทีนี้ หลับตา
มาดู ลมหายใจว่ายัง เข้าอยู่ หรือ ออกอยู่
ถ้าลมเข้า ก็ภาวนาว่า สัตว์ทั้งปวง จงเป็นสุข
ลมออก ก็ภาวนาว่า สัตว์ทั้งปวง จงพ้นทุกข์
.................
สูดลมหายใจเข้า กว้าง ลึก เต็ม    
..................
หายใจออก ยกมือไหว้พระกรรมฐาน
................
พอ เริ่มเย็นลงไม๊ หา รู้สึก เย็น ไม๊
อืม คนที่ยังทำไม่ได้ ก็ต้องฝึกให้หนัก
สำคัญที่สุด คือ จิตนี้ ต้องสร้างอานุภาพ มีสติมากๆ
ต้องมี ตัวรู้ เยอะๆ, รู้มาก รู้ให้เยอะ
มี ตัวรู้ในจิต มาก
จิตมีอาการอยู่ 4 อย่าง รับอารมณ์ คิดอารมณ์ จำอารมณ์ รู้อารมณ์
ทุกวันนี้ เราใช้แค่ รับ กับ คิด แล้วก็ จำ
บางทีคิด ก็คิดแต่เรื่องเลอะเทอะ
รับ จำ, รับ จำ อยู่ตลอด แต่ ตัวรู้ ไม่ค่อยใช้
งั้น วิถีแห่งปัญญา วิถีแห่งปราณ วิถีแห่งสมาธิ
เค้าจะใช้แต่ ตัวรู้ กับ ตัวคิด
รู้ กับ คิด, รับ กับ จำ เค้าไม่ต้องใช้
ชีวิตชาวบ้าน ปกติ ใช้แค่ 2 ตัว รับ จำ, รับ จำ, รับ จำ
แต่ชีวิตของนักบวช ชีวิตของสมณะ ชีวิตของพระโยคาวจร
ใช้ รู้ รับ จำ คิด ครบหมด
เลือก รับ ในสิ่งที่ควรรับ, เลือก จำ ในสิ่งที่ควรเก็บ
แล้วนำมา คิด วิเคราะห์ จึงถึงคำว่า รู้
แต่ชาวบ้าน ทั่วไป ใช้ 2 ตัวเท่านั้น รับ จำ, รับ จำ, รับ จำ อยู่อย่างนั้นแหละ
เวลาจะ คิด ก็ คิดไม่เป็น คิดหาทางออกไม่ได้
เรีบกว่า คิดไม่ถูก ใช้จิตไม่เป็น จิตจึงไม่มีพลัง
จิตมันไม่มีพลัง ก็ไม่สามารถจะคุม มหาภูตรูป หรือ ธาตุทั้ง 4 ภายในกายได้
งั้น ที่หลวงปู่ฝึก คือ ฝึกให้เกิด ตัวรู้ ให้มาก
เมื่อมี ตัวรู้, มี สติ มากๆ มันก็จะไป balance กับอ้าย ตัวรับ กับ จำ
หรือ ทำให้ ตัวรับ ตัวจำ มีกำลังอ่อนด้อยลง
ทำให้ ตัวรู้ มีมากขึ้น
ทีนี้ ก็มาเรียนรู้ วิธีคิด ว่า เราจะคิดยังไง ให้ร่างกายเกิดสมดุลย์
ก็เหมือนอย่างที่เมื่อครู่สอนให้ว่า
วิธีหายใจเข้า หายใจที่ถูก เอาออกซิเจนเข้าไปให้เหมาะสม ไม่ใช่ฮวบฮาบ
เวลาหายใจออก ก็ให้หมดจด คายคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาให้หมด ไม่ใช่ให้กระอัก

กระอ่วน ตกค้าง แล้วก็เก็บสะสมไว้เป็นมลภาวะ
คำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นวิทยาศาสตร์ เป็นสาธารณธรรม เป็นของสาธารณชน

ของบุคคลผู้มีปัญญาจะเข้าถึง ไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง
สำคัญว่า เราต้องเข้าใจ, เข้าใจ ฝึกใจ และ เพียรพยายามทำให้ได้
ทดสอบทุกกระบวนการ อย่าเพิ่งเชื่อ
สิ่งที่หลวงปู่สอน ก็ไม่ได้สอนให้เชื่อ สอนให้พิสูจน์
พิสูจน์ว่า มันเป็นจริงไม๊  ว่า ความเย็นปรากฏขึ้นในขณะที่เราทำสมาธิในบรรยากาศที่ร้อน

รุ่ม
แล้วจริงไม๊ล่ะ แล้วความร้อนในขณะที่ทำสมาธิ ทำให้มันปรากฏขึ้น เป็นปราณสุริยะ หรือ

ปราณร้อน เกิดขึ้นได้ จริงไม๊
เอ่อ มันต้องฝึก ต้องศึกษา อย่าเพิ่งเชื่อ
วิชาปราณโอสถ เค้าถ่ายทอดเฉพาะพระโพธิสัตว์ เท่านั้น เค้าไม่สอนคนนอกด้วยซ้ำ
แต่กูเข็นพวกมึงมาหลายปีแล้ว สอนมาทุกวิชาแล้ว อะไรๆ ก็สอนเยอะแล้ว มึงไม่ไปไหน

เลย กูเลยต้องงัดเอาของเก่ามาใช้ สอนสารพัดสอน พวกมึงน่ะ สอนจนตายหนีกูไปหลาย

คนแล้ว
เอ้า พอ ถวายทาน ลูก
(กราบ)
..............
สังฆทานและสิ่งของทั้งหลาย รวมทั้งปัจจัยที่ลูกหลานถวาย หลวงปู่รับแล้วนะ ลูก ยกให้เป็น

สมบัติของวัด และมูลนิธิฯ เพื่อใช้ในกิจกรรมบวชพระ บวชเณร ภาคฤดูร้อน เป็นค่าอาหาร

เครื่องใช้ นุ่งห่มของพระเณรใหม่ ขอท่านทั้งหลายอนุโมทนา ลูก (สาธุ)
ให้ลูกหลานทั้งหลาย มีส่วนในบุญที่หลวงปู่ได้บวชพระบวชเณร เป็นจำนวน เท่าไหร่วะ

181 รูป  ขอท่านทั้งหลายอนุโมทนา ลูก (สาธุ)
ปัจจัยที่ลูกหลานถวาย เมื่อเช้านี้กับวันนี้ หลวงปู่รับแล้ว ส่งให้เค้าไปจัดซื้ออาหารเลี้ยงพระ

ใหม่ เณรใหม่ สตางค์ทุกบาทของพวกท่าน จะกลายเป็นเลือดเนื้อ และชีวิต ลมหายใจของ

พระเณร ตลอด 1 เดือน ขอท่านทั้งหลายอนุโมทนา ลูก (สาธุ)
ตั้งใจกรวดน้ำ ว่าตาม แล้วรับพร
.................
ตั้งใจรับพร ลูก
...............
(สาธุ)
โชคดี ลูก ธรรมะรักษา ให้รุ่งเรือง ร่ำรวย อายุยืน สุขภาพแข็งแรง ปัญญารุ่งเรืองดั่งพระ

อาทิตย์ยามเที่ยงวัน ทุกคนเทอญ (สาธุ)
ให้เดินทางกลับโดยสวัสดิภาพด้วย ลูก
ฤดูร้อน หน้านี้ตลอดฤดูร้อน หลวงปู่จะสอนปราณเย็น เพื่อใช้สำหรับบำบัดโรคร้อน อันจะ

พึงเกิดขึ้น เช่น โรคบิด โรคถ่าย เป็นมูก โรคร้อนใน กระหายน้ำ โรคเลือดเป็นพิษ โรค

ความดันฯ โรคเส้นประสาทวิปราต
โรคเหล่านี้ มันเกิดจากในหน้าร้อนทั้งนั้นน่ะ อีกสารพัดโรค
จะสอนให้ฝึกปราณเย็น
ต้องฝึกให้ได้ทุกครั้ง ทำได้ทุกวัน ยิ่งดี ลูก เราจะได้ไม่เป็นโรค
แล้วนอกจากไม่เป็นโรคแล้ว สุขภาพดีแล้ว จิตเราก็มีพลัง
จิตมีพลัง แล้วก็มีปัญญา ที่จะจัดสรรกระบวนการของกาย ธาตุทั้ง 4 ที่อยู่ภายในกาย ก็

จัดสรรให้สมดุลย์ได้ ให้เหมาะสม แล้วก็มีอานุภาพที่สามารถจะทำให้เรามีฌานสมาบัติได้
ฝึกให้ได้ถึงฌานสมาบัติ
ทำจนกระทั่งถึงขั้นว่า กระบอกตาเย็น ช่องหูเย็น รูขุมขนเย็น เอ่อ ทำให้ได้
ต้องฝึกไปเรื่อยๆ สำคัญ ต้องฝึก ตัวรู้ เยอะๆ
กราบลาพระ อะระหัง สัมมา
(กราบ)
...................
(กราบ)
พระใหม่ เณรน้อย เนี่ยนะ วันนี้ ยังไม่เข้าที่เข้าทาง ยังไม่สงบ ยังไม่เป็นลูกหลานสมณะ ยัง

ไม่เป็นเหล่ากอสมณะ ก็พอเข้าใจได้ เพราะเป็นผู้ใหม่ แต่ถ้าสัปดาห์หน้า ยังมีอาการอย่างนี้

อยู่ สงสัยจะได้แช่ขี้ล่ะ เอ้อ ต้องมีรายการแช่ขี้ ไม่ใช่เณรแช่ พระใหม่แช่ แต่พระพี่เลี้ยง

ต้องแช่ เพราะพระพี่เลี้ยง เป็นผู้ฝึกสอน ต้องรับผิดชอบ เป็นผู้กำกับดูแล เป็นเหมือนดั่งพ่อ

แม่
เห็นไม๊ว่า ชาวบ้าน เวลาเค้าปฏิบัติธรรม เค้าตั้งใจ เค้าสงบ เค้าสำรวม เราเป็นคนที่ให้เค้าไหว้

เรากลับเป็นลิงหลอกเจ้า ส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าว พวกอยู่ข้างหลัง เล่นกันให้หลึ้ม
ปฏิบัตธรรม ก็เลอะเทอะ ไม่ตั้งใจ ไหว้พระ ก็ไม่ตั้งใจ, แผ่เมตตา ก็เขี่ยนิ้วเล่น แล้วจะมี

คุณค่าอะไรให้ชาวบ้านเค้าไหว้ กินข้าวชาวบ้านเค้าไปทุกเม็ดๆ น่ะ เรามีคุณค่าอะไรให้เค้า

บุญเอาที่ไหน
ไม่งั้น เดี๋ยวเกิดเป็นควาย 500 ชาติแน่เลยมึง ข้าวเม็ดหนึ่ง ก็ 1 ชาติ
มื้อหนึ่ง มึงกินกี่เม็ดน่ะ ถ้าไม่มีบุญให้เค้า
งั้น ต้องระวัง พี่เลี้ยงน่ะ กำกับดูแลหน่อย อย่าทำร้ายเด็ก การที่พ่อแม่ไม่ใส่ใจลูกหลาน

แล้วลูกหลานไปทำชั่ว นี่ ก็ถือว่า พ่อแม่ทำร้าย ทำร้ายลูกหลาน
การที่ครูบาอาจารย์ไม่สั่งสอนอบรมลูกศิษย์ ลูกหา ทำไม่ถูกต้อง ก็ถือว่า ครูบาอาจารย์ทำ

ร้ายลูกศิษย์
เพราะงั้น วันนี้ เข้าใจได้ว่า ยังใหม่ แต่วันต่อๆ ไป ไม่ใหม่แล้ว เริ่มเก่าละ
งั้น ต้องดีกว่า ดีกว่าวันนี้ ต้องคิดเสมอว่า วันนี้ ต้องดีกว่าเมื่อวาน ดีกว่าวันเก่าๆ