15 มีนาคม 2556    13.30 น. (1) ปกิณกะ หัวข้อ เรื่อง การทำงานในยุคโลกาภิวัฒน์ ณ. สำนักพระราชวัง แสดงธรรม โดย องค์หลวงปู่พุทธะอิสระ

พิธีกร       หลวงปู่พุทธะอิสระ ท่านได้ขึ้นบนเวที เพื่อเตรียมแสดงธรรม ต่อไป ขอเชิญ

ท่านประธานในพิธี ท่านดิสธร วัชโรทัย รองเลขาธิการพระราชวัง ขึ้นจุดธูปเทียนสักการะ

พระรัตนตรัยก่อนค่ะ
...............
พิธีกร      เชิญท่านประธานลงมาที่ที่จัดไว้ให้ แล้วเดี๋ยวจะมีกล่าว คำบูชาพระรัตนตรัยโดย

พร้อมเพรียงกัน
..............
เมื่อเราได้บูชาพระรัตนตรัยเรียบร้อยแล้ว ก็จะเชิญท่านประธาน กล่าวเปิดบรรยายธรมใน

วันนี้ ให้กับเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวัง เชิญท่านประธานค่ะ
ประธาน       ครับ ก็เป็นครั้งที่ 2 แล้วนะครับ ได้มาร่วมงานในวันนี้ ต้องกราบเรียนท่านหลวงปู่พุทธะอิสระนะครับว่า ก็เป็นแนวปฏิบัติ ซึ่งทางโครงการฯ ได้ปฏิบัติมาเป็นประจำ ในทุกๆ ปี ก็ทุกไตรมาส ก็จะมีการเทศน์ แล้วก็จะกราบเรียน ผู้ที่อยู่ในห้องประชุมในนี้ว่า

ในทุกวันจันทร์ต้นเดือน เราก็จะมีการตักบาตรที่อาคาร 609 ที่อาคารเรือนรับรองนี้ ทุก

วันทร์ 8 โมงเช้า ก็เป็นกิจกรรมอีก 1 กิจกรรมที่ทำให้พวกเราชาวสำนักพระราชวังได้มี

โอกาสทำบุญกัน มองดูเหมือนพวกเราจะมีเวลา แต่แท้ที่จริงแล้ว พวกเราขาดเวลา เพราะ

เวลาที่พวกเราจะมาถึงที่ทำงาน ก็จะแย่อยู่แล้ว เพราะฉะนั้น หลายคนจะไม่มีโอกาสได้ทำ

บุญตักบาตร ฟังเทศน์ เข้าวัด
อันนี้ ก็กิจกรรมอันหนึ่งที่ดี แล้วก็เห็นพวกเราหลายคน มีนักเรียนเข้ามาร่วมฟัง ก็ดีใจ แล้วก็

เป็นส่วนหนึ่งซึ่งผมเคยตั้งคำถามไว้เสมอว่า ศาสนาทุกศาสนา เป็นศาสนาที่ดี ศาสนาพุทธก็

เป็นอีก 1 ศาสนาที่พวกเราได้มาตั้งแต่กำเนิด หลายๆ คนก็เลยไม่ได้ให้ความสำคัญกับ

พุทธศาสนาสักเท่าไหร่ เพราะไม่รู้ว่า การที่เป็นพุทธศาสนาแล้ว มีหน้าที่อะไรบ้าง ผมก็คง

ยกตัวอย่างกันง่ายๆ ว่า มุสลิม อิสลาม เค้ายังต้องละมาดกันทุกวันศุกร์ ศาสนาคริสต์เค้าต้อง

ไปโบสถ์กันทุกวันอาทิตย์ แต่ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ทำบุญเมื่อไหร่ก็ได้ ไปวัดเมื่อไหร่ก็

ได้ ทั้งๆ ที่มีทั้งวันพระ วันโกน วันอะไรสำคัญๆ แต่พวกเราไม่ได้โดนบังคับให้ไป
ดังนั้น สำนักพระราชวัง ในฐานะผมได้มาดูแลในส่วนตรงนี้ ก็ได้เห็นความสำคัญ อย่างน้อยๆ

เราจะประกาศตัวเราเองว่า เป็นพุทธศาสนิกชน หรือ นับถือพุทธศาสนา ก็ได้มีโอกาสทำ

บุญในทุกๆเดือน และในทุกๆ 3 เดือน ก็จะนิมนต์พระที่พวกเรานับถือบูชา เคารพ ได้มา

เทศน์ สั่งสอน และแนะนำวิถีทางปฏิบัติตนที่ควรจะเป็น
กราบเรียน พระคุณเจ้าว่า พวกเราหลายคนตรงนี้ มีความตั้งใจ และไม่ได้อยู่ในภาคบังคับ

ด้วย มาด้วยจิตที่อยากจะได้มีโอกาสเข้าร่วมฟังการเทศนาของพระคุณเจ้าว่า เราจะได้นำไป

ใช้ในการดำรงค์ชีวิต แล้วก็เป็นหลักในการดำเนินชีวิตในโอกาสต่อไป
ขอขอบคุณ ที่ให้ความร่วมมือกับโครงการส่วนพระองค์ แล้วก็ยินดี ถ้าอยากจะแนะนำ หรือ

รู้จักเป็นลูกศิษย์พระองค์ใด ก็มาแจ้งคุณศุภชัยฯ ที่ดูแลโครงการนี้ หรือ คุณอรุณีฯ แล้วเรา

จะได้ เค้าเรียกว่า หลากหลายความคิด ก็คงจะไม่มีอะไร ก็ขออนุญาตเปิดเป็นทางการ แล้ว

ก็หวังว่า พวกเราจะได้นำคำสั่งสอนของท่าน เอาไปใช้เป็นหลักในการดำรงค์ชีวิตให้เรามี

ความสุขต่อไป ขอบพระคุณมากครับ
พิธีกร     ในอันดับต่อไป ก่อนที่เราจะรับฟังเทศนาธรรมจากหลวงปู่พุทธะอิสระ ในหัวข้อ

การทำงานในยุคโลกาภิวัฒน์ ดิฉันขออนุญาตแนะนำ และกล่าวประวัติของหลวงปู่พุทธะ

อิสระ เพื่อให้พวกเราที่บางท่านยังไม่มีโอกาสได้รู้จัก หรือ เคยฟังธรรมจากท่านได้ทราบ

นะคะ
หลวงปู่พุทธะอิสระ หรือ พระสุวิทย์ ธีรธัมโม ท่านเป็นชาวกรุงเทพมหานครโดยกำเนิด

โยมพ่อท่านชื่อ นายชมพู โยมแม่ชื่อ นางอัมพร นามสกุล ทองประเสริฐ ท่านเริ่มบวชเรียน

ครั้งแรกเมื่ออายุได้ 20 ปี โดยบวชที่วัดคลองเตยใน กรุงเทพมหานคร ได้รับฉายาว่า ธีร

ธัมโม แปลว่า ปราชญ์ทางธรรม หลังจากนั้น ในปีพุทธศักราช 2532 ได้มีโยมผู้มีจิต

ศรัทธา ซื้อที่ดินในเขตอำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม ได้สร้างวัดขึ้น เป็นวัดใน

โครงการเฉลิมพระเกียรติในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระชนมายุ 72

พรรษา ได้สร้างเสร็จในปี 2535 และได้นิมนต์หลวงปู่พุทธะอิสระ ไปเป็นเจ้าอาวาสอยู่

ที่วัดนั้น
ในช่วงที่ท่านอยู่วัดคลองเตยใน ท่านได้รับนิมนต์ไปเทศนาธรรมที่วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี

ในการแสดงธรรมครั้งนั้น ผู้ฟังจำนวนมาก นับหมื่นคนมีความประทับใจในการแสดง

ธรรมของท่านมาก โดยไม่คิดว่า ท่านเป็นพระที่พรรษาน้อย จะสามารถแสดงธรรมได้ลึก

ซึ้งกินใจได้ถึงเพียงนี้ น่าจะเป็นพระอาวุโสมากกว่า จึงได้ถวายนามท่านว่า เป็นหลวงปู่

หมายถึงว่า หลักการแสดงธรรมของท่านเป็นระดับพระที่มีอาวุโส พรรษาสูง
ผลงานการแสดงธรรม และเผยแพร่ธรรมะต่างๆของหลวงปู่พุทธะอิสระ เช่น การที่ท่าน

ได้ทำหนังสือธรรมะ เทป และซีดี เผยแพร่ เพื่อเป็นธรรมทานให้กับผู้คนจำนวนมาก

หนังสือธรรมะของท่านที่ท่านแต่งเอง มีถึง 500 เรื่อง แล้วก็ยังมีการแสดงธรรมใน

สถานที่ต่างๆ ในปีหนึ่งไม่ต่ำกว่า 100 แห่ง โครงการบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อนที่

หลวงปู่ได้จัดเป็นประจำทุกปีที่วัดของท่าน โดยที่ไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น แต่เพื่อปลูกฝัง

คุณธรรมให้กับเด็กๆ ในช่วงปิดเทอม แล้วก็ยังมีโครงการค่ายจริยธรรม โดยจัดให้พระใน

วัดได้อบรมจริยธรรม คุณธรรม ให้กับนักเรียน นักศึกษา และองค์กรต่างๆ มีผู้มาเข้า

ค่ายอบรมที่วัดของท่าน ปีหนึ่ง ประมาณ 3,000 คน
นอกจากนั้น ก็ยังมีโครงการอื่นๆ ที่ท่านได้ทำ เช่น โครงการศูนย์การเรียนรู้ชุมชนธรรม

อิสระ เปิดโอกาสให้เด็กยากจนในย่านเขตจังหวัดนครปฐม และใกล้เคียง ได้เรียนหนังสือต่อ

ถึงระดับชั้นอุดมศึกษา โดยที่ท่นเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้ นอกจากนั้น ก็ยังมีโครงการอื่นๆ ที่

ท่านได้ช่วยเหลือประชาชน เช่น โครงการสร้างบ้าน ห้องสมุดสาธารณะให้กับผู้ประสบภัย

สึนามิ ที่เกาะลันตา จังหวัดกระยี่
นอกจากนั้น หลวงปู่ได้ร่วมไปแสดงธรรมกับชาวมุสลิมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อ

สร้างความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นในประเทศ
โครงการต่างๆ ที่กล่าวมาแล้ว ถ้าทุกท่านจะติดตามเพิ่มเติม ก็ยังมีโครงการธรรมะที่ท่าน

แสดงในปัจจุบันนี้อีก ทางทีวี ช่อง 5 รายการวิถีธรรม วิถีไทย เวลา 5.00 - 5.30

นาฬิกา ทุกวันศุกร์, รายการธรรมะกับชีวิต ทุกเช้าวันอังคารทางคลื่น 97.75
อันนี้ ก็เป็นประวัติคร่าวๆ และเรื่องราวของการเผยแพร่ธรรมะของหลวงปู่ หลังจากนี้ เรา

จะขออาราธนาศีล ขอศีลท่านก่อน เพราะว่า หลังจากการฟังธรรมแล้ว เราจะมีการถวาย

ผ้าป่า เราก็จะขอศีลจากท่านก่อน เพื่อให้เกิดสิ่งที่บริสุทธิ์ก่อนที่จะถวายทาน
ทุกท่าน ขอเชิญตั้งใจอาราธนาศีลโดยพร้อมเพรียงกัน
.................
(กราบ)
พิธีกร    เมื่อเราได้รับศีลกันเรียบร้อยแล้ว ก็จะกราบนิมนต์ ขอความเมตตากับหลวงปู่

พุทธะอิสระ กล่าวเทศนาธรรม ในหัวข้อ การทำงานในยุคโลกาภิวัฒน์ เพื่อเป็นแนวทาง

โปรดเมตตาแสดงธรรมค่ะ
เจริญธรรม เจริญสุข ท่านสาธุชนคนในวัง ที่รักทุกท่าน นำโดย คุณดิสธรฯ รองเลขาราช

สำนัก และท่านผู้เจริญ ที่รักทุกท่าน
ก่อนอื่น ต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า การแสดงธรรมครั้งนี้ ถือว่า เป็นกรณีพิเศษ วิธีการ

แสดงธรรม เป็นวิธีที่พิเศษ โดยวิธีการใช้คำว่า ปุจฉา และวิสัชนา
ธรรมชาติ ชั้นใช้คำเรียกตัวเอง แทนตัวว่า  ฉัน ก็แล้วกันนะ เพื่อให้เข้าใจได้ง่าย เพราะชั้น

ชอบที่จะพูดในสิ่งที่คนอื่นอยากฟัง แต่จะไม่พูดในสิ่งที่ตัวเองอยากพูด เพราะว่า ถ้าพูดใน

สิ่งที่ตัวเองอยากพูด คนอื่นอาจจะไม่อยากฟังก็ได้ ทีนี้ ก็จะพูดในสิ่งที่คนอื่นอยากฟัง
แล้วเราจะรู้ได้ยังไงว่า คนอื่นอยากฟังอะไร ก็ต้องมา ด้วยการถาม ถามปัญหา ซึ่งวิธีนี้ พระ

ผู้มีพระภาคเจ้า ทรงใช้เมื่อ 2,000 กว่าปีก่อน สำหรับกำหราบทิฏฐิ มานะ ของผู้คนที่

ยังไม่เคารพศรัทธา แล้วก็ใช้ในการทำให้เกิดความเข้าใจ ความศรัทธา แล้วก็ เกิดปัญญา

มากขึ้นในการสดับตรับฟังพระธรรมเทศนา
เพราะฉะนั้น การแสดงธรรมในวันนี้ ก็แบ่งเป็น 2 ช่วง ช่วงแรก อาจจะกล่าวเรื่อง ปกิณกะ

หัวข้อของท่านผู้ให้แสดง ช่วงที่ 2 ก็เป็นปุจฉา และวิสัชนา
งั้น เจ้าหน้าที่ ช่วยแจกเศษกระดาษให้กับท่านผู้ฟังทุกท่าน เผื่อจะมีปัญหาถาม แล้วช่วย

เขียนใส่เศษกระดาษ แล้วพิธีกร ก็จะช่วยทำหน้าที่ถามปัญหาแทนผู้ฟังทุกท่าน แล้วชั้นฟัง

ปัญหาแล้ว ถ้าตอบได้ก็จะตอบ ด้วยสติปัญญาที่มี แต่ถ้าตอบไม่ได้ ก็ต๊ะเอาไว้ก่อน ติดเอา

ไว้ก่อน มีโอกาสแล้วจะมาตอบใหม่ก็แล้วกัน
นี่คือ วิธีแสดงธรรมของวันนี้
ทีนี้ ก็เข้ามาในเรื่องของหัวข้อ ที่ท่านผู้นิมนต์ตั้งเอาไว้ว่า หน้าที่ในการทำการงานในชีวิต

ปัจจุบัน ในยุคโลกาภิวัฒน์ หน้าที่และการงานในยุคโลกาภิวัฒน์ หรือ ในชีวิตปัจจุบัน
สิ่งหนึ่งที่ชั้นฟังคุณดิสธรฯ พูดเริ่มต้น เป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก ก่อนที่เราจะมานั่งคุยกันตรงนี้

เราก็ไปสั่งสนทนากันในห้องรับรอง คุณดิสธรฯ ก็จะมีคำพูดประโยคหนึ่ง ซึ่งติดใจชั้นมาก

ก็คือ ก่อนที่คุณจะมารับอาสาทำการงาน โดยเฉพาะทำการบริหารบ้านเมือง หรือ เป็น

นักการเมือง ผู้รับอาสา ผู้มาขันอาสา สำคัญที่สุด คุณต้องมีสำนึกในการรับผิดชอบหน้าที่ คือ

ถ้าถูกต้องในหน้าที่ ไม่บกพร่องในหน้าที่ รับผิดชอบหน้าที่ ตรงต่อหน้าที่ คุณก็จะทำการ

งานทุกทีได้อย่างเจริญรุ่งเรือง ทุกเรื่องได้อย่างสำเร็จประโยชน์
แต่ถ้าหากว่า ไม่ถูกต้อง บกพร่อง ไม่สำนึก และขาดความรับผิดชอบในหน้าที่ อย่าว่าแต่

มาขันอาสาที่จะทำการงานเลย แม้แต่หน้าที่ของตัวเอง หรือว่า เรื่องของตัวเอง กิจกรรมที่ตัว

เอง พึงกระทำต่อตัวเอง ที่ชั้นใช้คำกล่าวว่า ทรยศ หรือว่า เป็นกบฏต่อตัวเอง ก็จะเกิดขึ้น
งั้น ปัญหาของการทำหน้าที่ กับ การไม่ทำหน้าที่ มันสร้างปัญหาให้เกิดในบ้านในเมืองนี้ ที่

มันเป็นอยู่ทุกวันนี้ ที่มันเกิดปัญหา ก็เพราะว่า ทุกคน ไม่ค่อยสำนึก รับผิดชอบหน้าที่ แล้ว

คุณทราบไม๊ว่า การทำหน้าที่ นี่ มันเป็น 1 ในบุญกิริยวัตถุ 10 อย่าง
บุญกิริยาวัตถุ 10 อย่าง ก็คือ วัตถุซึ่งประกอบไปด้วยกิริยา แล้วทำให้เกิดบุญ มี 10

อย่าง
1 ใน 10 อย่างนั้น ก็คือ การทำหน้าที่ให้ถูกต้อง เพราะเมื่อใด ที่พ่อเห็นลูกหลานทำ

หน้าที่ พ่อก็จะภูมิใจและเป็นสุขใจ
บุญ แปลว่า ความอิ่มใจ สุขใจ สบายใจ
เมื่อ บุญ แปลว่า ความอิ่มใจ สุขใจ สบายใจ มันก็เกาะเกี่ยวกับสังคม สิ่งแวดล้อม และชีวิต

ของผู้คนใกล้ชิด รวมทั้งตัวเองด้วย มันจึงทำให้เกิดบุญ  เช่น ตัวอย่าง ถ้าเรากลับบ้าน แล้ว

เห็นลูกทำการบ้าน คุณพ่อบ้าน กลับบ้านตรงเวลา แม่บ้านทำการงานเหมาะสม บ้านสะอาด

สะอ้าน ข้าวปลาอาหาร หุงหาพร้อมสมบูรณ์ ลูกหลานอยู่ในระเบียบวินัย พ่อบ้านกลับมา

เหนื่อยๆ มาเจอภาระกรรมที่ไม่มีอยู่ในบ้าน มีแต่ความปลอดโปร่ง ผ่อนคลาย โปร่งเบา

สบาย แล้วไม่มีภาระให้กลัดกลุ้ม ไม่ให้ว้าวุ่น ไม่ร้อนรุ่มในใจ
 พ่อ แม่ หรือว่า ลูกหลาน ก็ทำหน้าที่อย่างถูกต้อง พ่อบ้านกลับมาเจอภาพอย่างนี้เข้า ก็จะ

อิ่มใจ สุขใจ สบายใจ เหมือนกัน คุณแม่บ้าน กลับเข้าบ้าน เจอผัว เจอลูก เจอครอบครัว

พร้อมพรั่ง อยู่กันพรั่งพร้อม พร้อมหน้าพร้อมตา ผัวไม่แอบตีกอล์ฟ ลูกก็ไม่แอบไปซิ่งที่

ไหน ทุกคนกลับมากินข้าวโต๊ะเดียวกัน ต่างคนต่างมีโอภาปราศรัย ทำหน้าที่ของตนๆ อย่าง

ถูกต้อง แม่บ้านก็อิ่มใจ สุขใจ สบายใจ
เรื่อง หน้าที่ระหว่างกัน ก็ทำให้เกิดบุญได้ประมาณนี้ แล้วหน้าที่สำหรับตัวเอง ก็ยิ่งมีบุญ

มากขึ้น ตัวอย่างเช่น ถ้าเราเป็นคนที่มีสำนึกรับผิดชอบต่อตัวเอง เช่น เข้าบ้าน ถอดถุงเท้า

รองเท้า วางเป็นที่ ถุงเท้า ถ้ามันอับ มันชื้น ก็ผึ่งถ้าจะใส่พรุ่งนี้ รองเท้าก็วางให้อากาศมันถ่าย

เท ไม่ไปซุก ไปหมก เสื้อผ้า กางเกง ถอดแล้ว รองเท้าถอดแล้ว ถุงเท้าถอดแล้ว ก็วางให้มัน

เหมาะสม ไว้ในที่ๆ เหมาะสม
ภาระกรรม ภาระกิจ กับตัวเอง ทำหน้าที่ของตนอย่างถูกต้อง ไม่บกพร่อง มีระเบียบจนเป็น

ระบบของความคิด คนที่เป็นแม่บ้านก็ตาม คนที่อยู่ใกล้ชิดกับคนที่มีระเบียบและความคิด

เป็นระบบ ก็จะรู้สึกอุ่นใจ สบายใจ เพราะเราไม่มลภาวะ ไม่เป็นพาหะของโรค ไม่เป็นคน

ทำให้เกิดปัญหาในสังคมรอบข้าง
แต่ถ้าเรามีลูกบ้าน หรือว่า สมาชิกในครัวเรือน มักมากอยากได้ มักง่าย ไม่ใส่ใจ ขาดความ

รับผิดชอบ ใช้อะไรก็ทิ้งส่ง โยนตรงนั้น ทิ้งตรงนี้ เลอะเทอะ ขาดระเบียบ ไร้สำนึก ถ้าเป็น

อย่างนี้ทุกคนมาอยู่ใกล้ใคร คนนี้ก็จะกลัดกลุ้ม ว้าวุ่น ทุรนทุราย เพราะเรากลายเป็นมลภาวะ

เป็นตัวปัญหา เป็นตัวถ่วง และเป็นตัวสร้างให้เกิดปัญหากับคนรอบข้างไม่จบสิ้น
งั้น เรื่อง หน้าที่ พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงบรรจุเอาไว้ในคำว่า บุญกิริยาวัตถุ
การทำหน้าที่ที่ดี นี่แหละ มันทำให้เกิดบุญ เราไม่ต้องไปใส่บาตรทำบุญที่ใด แค่ทำหน้าที่

ของตนๆ แต่ละวัน หน้าที่สำหรับตน หน้าที่สำหรับคนอื่น หน้าที่สำหรับสังคม หน้าที่

สำหรับสิ่งแวดล้อม และหน้าที่สำหรับส่วนรวม
หน้าที่ตั้งแต่ระบบจุลภาค จนถึงระบบมหาภาค เราทำหน้าที่อย่างถูกต้อง ไม่บกพร่อง บุญละ

เป็นบุญยิ่งใหญ่ละ
ชั้นมีคำกล่าวอยู่คำ ตอนที่สนทนากันว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้า

พระบรมราชินีนาถ ถ้าทั้ง 2 พระองค์ มีข้าราชบริพาร สำนึกรับผิดชอบในหน้าที่ ข้า

ราชการในบ้านเมืองนี้ สำนึกรับผิดชอบในหน้าที่ พระองค์จะสุขกายสบายพระราชหฤทัย

อย่างล้นพ้นเลย
แต่ทุกวันนี้ ต้องยอมรับว่า อ้ายที่ชั้นต้องประกาศขายวัด ก็เพราะว่า ข้าราชการไม่สำนึกรับ

ผิดชอบในหน้าที่ ข้าราชบริพารในพระองค์ ก็คือ ผู้ทำหน้าที่เป็นข้าราชการ ทำงานสนอง

เบื้องยุคลบาทของพระองค์ ไม่สำนึกรับผิดชอบในหน้าที่ อบต. กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นาย

อำเภอ ปลัดอำเภอ ผู้ว่าฯ รองผู้ว่าฯ อุตสาหกรรมจังหวัด อุตสาหกรรมประเทศ  คือ ไม่

สำนึกรับผิดชอบในหน้าที่ แล้วไม่คิดว่า หน้าที่ที่ตัวเองกระทำ ทำให้เกิดมลภาวะกับใคร

อันนี้สำคัญ
เราอย่าคิดว่า เราทำหน้าที่แล้ว ก็ดีแล้ว บางครั้งหน้าที่ที่เราทำ ถ้ามันทำให้เกิดมลภาวะกับ

คนอื่นๆ ก็แสดงว่า หน้าที่เราไม่ถูกต้อง มันบกพร่องไป
หน้าที่ที่ถูกต้องจริงๆ แล้วเป็นหน้าที่ที่ต้องไม่ทำร้ายใคร ไม่ทำลายใคร ไม่เบียดเบียนตน

แล้วก็ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนเสียหาย อันนั้นจึงจะเรียกว่า หน้าที่ที่ทำให้เกิดบุญ เป็น บุญ

กิริยาวัตถุได้
กิริยา ก็เกิดบุญ, วัตถุที่ทำ ก็เป็นบุญ อย่างนี้เป็นต้น
แต่ถ้าหน้าที่ใดๆ ที่มันทำลงไปแล้ว เราคิดว่า เราทำหน้าที่แล้ว แต่มันไม่ถูกต้อง ด้วยเหตุผล

ว่า สิ่งที่เราทำ มันไปเกาะเกี่ยว และทำร้ายทำลายคนอื่น ทำให้คนอื่นเศร้า เสียหาย และ

เป็นอันตราย แม้เราจะบอกว่า เราทำหน้าที่แล้ว ก็ไม่เป็นบุญเหมือนกัน ด้วยเหตุผลว่า สิ่งที่

เราทำนั้น มันเบียดเบียนตน หรือไม่ก็ เบียดเบียนคนอื่น
งั้น หน้าที่ที่จะเป็นบุญกิริยาวัตถุ หรือ หน้าที่ที่จะทำให้เกิดบุญ ต้องเป็นหน้าที่ที่ไม่เบียด

เบียนตน และไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนเสียหาย
งั้น ถ้าจะถามชั้นว่า ในยุคโลกาภิวัฒน์ ยุคไอที อินเตอร์เนท เยอะแยะมากมาย เราจะทำ

หน้าที่อย่างไร คือ จะทำชีวิตอย่างไร ทำภาระกรรมเช่นไร ถึงจะเข้ากับยุคนี้ได้ดีที่สุด ก็

ต้องทำหน้าที่อย่างมีสำนึก
หน้าที่อย่างเดียวไม่พอ ต้องบวกสำนึกเข้าไปด้วย
สำนึกของอะไร
สำนึกของมนุษย์
มนุษย์ นี่มันไม่ใช่คนนะ เพราะ มนุษย์ นี่มันสูงกว่าคน
คน นี่ แปลว่า ยุ่ง แต่มนุษย์นี่ แปลว่า ใจสูง ใจประเสริฐ
ชั้น เวลาไปสอนในมหาวิทยาลัยก็ตาม สอนในโรงเรียนก็ตาม มีอยู่ช่วงหนึ่ง ที่เค้านิมนต์ไป

เป็นอาจารย์พิเศษ สอนนักศึกษาปริญญาเอก วิชาบริหารจัดการชั้นสูง ที่มหาวิทยาลัย

ขอนแก่น นักศึกษาในห้องชั้น ลูกศิษย์ก็มีอยู่ประมาณสัก 10 กว่าคน ที่จะเรียนดอกเตอร์
ชั้นจะสอนกับเค้าว่า สิ่งที่คุณจะต้องทำ ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตามที ต้องทำด้วยคุณสมบัติ

ของมนุษย์ คุณธรรมของมนุษย์ อย่าทำเพราะคนทำ แต่ทำด้วยมนุษย์ลงมือกระทำ
คนกับมนุษย์ ต่างกันอย่างไร
คน นี่มันแปลว่า ยุ่ง แต่มนุษย์ นี่มันมี คุณธรรม คุณสมบัติ
มนุษย์ มีคุณธรรมอะไร
มนุษย์ มีคุณ 4 อย่าง เพราะ คุณธรรมทำให้ทำคุณประโยชน์ ชีวิตก็มีคุณค่า สังคมก็เกิด

คุณภาพ
แล้ว คุณธรรม อะไรของมนุษย์
เริ่มต้นเลย พระผู้มีพระภาคเจ้า สอนไว้ชัด นิมิตตัง สาธุรูปานัง กตัญญู กตเวทิตา, คน

ไม่มีนะ แต่มนุษย์ต้องมี กตัญญู รู้คุณ กตเวทิตา ตอบแทนคุณ
นี่ คุณธรรมเบื้องต้น ชั้นแรกๆ ของมนุษย์เลย พระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้เลย ถ้ามนุษย์ตนใด

ไม่มีกตัญญู รู้คุณ ไม่มีคิดจะตอบแทนบุญคุณ นั่น ไม่ใช่มนุษย์ละ ถ้าจะเป็นมนุษย์ พระ

พุทธเจ้าเรียกว่า มนุสสเปโต มนุษย์เหมือนเปรตที่กินไม่รู้จักอิ่ม ไม่สำนึกบุญคุณคน ไม่

สำนึกบุญคุณผู้มีคุณต่อเรา หรือ มนุสสเดรัจฉาโน มนุษย์เหมือนดั่งสัตว์เดรัจฉาน
อันนี้ ชั้นไม่ได้ว่าใคร แต่ยกเอาพระพุทธพจน์ขึ้นมา กล่าวอ้างให้พวกคุณได้เข้าใจความ

หมายว่า มนุษย์ที่ดี ต้องประกอบไปด้วยอะไร
1.    ก็คือ มีความกตัญญู รู้คุณ กตเวทิตา ตอบแทนคุณ
2.    มีหิริ ความละอายชั่ว โอตัปปะ ความเกรงกลัวบาป และ
3.    มีสติ สัมปชัญญะ คือ มีสติ ความระลึกได้ สัมปชัญญะ ความรู้ตัว
คุณธรรม 3 อย่างนี้ เดรัจฉานไม่มี หรือ ถ้าเดรัจฉานมี ก็มีอยู่แค่อย่างเดียว เช่น กตัญญู

มันอาจจะไม่ใช่กตัญญู มันอาจจะเป็นสัญชาติญาณ เช่น สัตว์รักพ่อแม่ กตัญญูต่อพ่อแม่

เช่น สุนัข อย่างนี้เป็นต้น เราเห็นว่า สุนัขเชื่อง แล้วก็เป็นที่ไว้วางใจของมนุษย์ เวลาเราจะมี

ข่าวออกมาเสมอว่า มนุษย์ผู้เลี้ยงสัตว์นั้นๆ สุนัขตัวนั้นตาย คนเลี้ยงตาย แต่สุนัขก็นอนเฝ้า

จนกระทั่งมีเจ้าหน้าที่มาเก็บศพ อย่างนี้เป็นต้น แล้วเราคิดว่า หมาตัวนี้กตัญญู อาจจะไม่ใช่

แต่นั่นเป็นความรัก ความผูกพัน เป็นสัญชาติญาณ ไม่ใช่คุณธรรม
อย่าเข้าใจว่า มันเป็นคุณธรรมนะ เพราะคุณธรรม นี่มันต้องมาจากสำนึก
ชั้นถึงได้บอกว่า ไม่ว่า คุณจะทำหน้าที่อะไร มันต้องมีสำนึก และสำนึกของอะไร
สำนึกของมนุษย์ ต้องมีองค์ประกอบอะไรบ้าง สำนึกของมนุษย์
ก็ มีกตัญญู รู้คุณ กตเวทิตา ตอบแทนคุณ, มีหิริ ความละอายชั่ว มีโอตัปปะ ความเกรง

กลัวบาป ที่จริง ถ้าทำได้อย่างนี้นะ พระพุทธเจ้า เรียกมนุษย์ตนนั้น ว่าอะไร มนุสสเทโว

มนุษย์เหมือนดั่งเทวดา ไม่ใช่มนุสสเปโต ไม่ใช่มนุสสเดรัจฉาโน แต่กลายเป็น มนุสสเทโว

มนุษย์มีคุณดั่งเทวดา
เพราะงั้น ไม่ว่าคุณจะทำในยุคไหน ทำภาระกรรมในเรื่องอะไร ถ้าสำนึกในหน้าที่ของมนุษย์

เรื่องที่คุณทำ คำที่คุณพูด สูตรที่คุณคิด ทั้งชีวิต คุณจะเต็มเปี่ยมไปด้วย เพราะคุณธรรม ทำ

ให้คุณทำคุณประโยชน์ สังคมมีคุณภาพ ชีวิตเกิดคุณค่า
แต่ถ้าเมื่อใดที่คุณทำหน้าที่อย่างไร้สำนึก คุณก็จะได้อะไรๆ ที่มันมากไปด้วยขยะ เยอะ

แยะมากมาย และกลายเป็นตัวก่อปัญหา เป็นตัวสร้างมลภาวะ ชั้นเขียนบทโศลกเอาไว้พัน

กว่าบท หนึ่งในพันกว่าบท ก็เขียนไว้หน้าวัดเลย บทนี้ ชั้นชอบมาก
ผู้ที่เข้ามาที่นี่ ต้องทำสิ่งเหล่านี้ ปราบพยศ ลดมานะ ละทิฏฐิ ดำรงค์สติ ดำริเป็นสัมมา
แล้วก็เขียนไว้อีก 2 บทว่า
ผู้ที่เข้ามาอยู่ที่นี่ ต้องทำสิ่งเหล่านี้ พึ่งตัวเองให้ได้ และเป็นที่พึ่งของคนอื่นได้ จึงจะอยู่ที่นี่ได้
บางคนพึ่งแต่ตัวเองได้ แต่ไม่สามารถจะทำตัวเองให้เป็นที่พึ่งของคนอื่น แถบเป็นภาระให้

แก่คนอื่น อย่างนี้ มาอยู่ ก็มาเป็นกาฝากของคนอื่น เป็นเหมือนดั่งไม้เลื้อยที่จะพันต้น ยืนต้น
โอ้ ชั้นนี่เทศน์ดีมากเลย เทศน์ยังไม่ทันจบเลย คนหลับไปแล้ว
อีหนู ตื่นๆๆ ลูก ไปอดนอนที่ไหนมา หลวงปู่จะไม่พูดอยู่กับคน 2 ชนิด
1.    คนหลับ
2.    คนตาย
ชั่วชีวิต จะไม่ยอมเทศน์ให้ใครฟัง 2 อย่างนี้ คน 2 ประเภทนี้ จะไม่ยอมพูดให้ฟัง เวลา

เค้านิมนต์ไปสอนนิสิตในจุฬาลงกรณฯ คณะอักษรศาสตร์ นิสิตเต็มห้อง ท่านอาจารย์

บรรจบฯ ท่านชอบนิมนต์ไปคณะมนุษย์ศาสตร์ แล้วก็นิสิตไม่หลับ ก็คุย, ไม่คุย ก็เล่น

อะไรเค้า อ้ายโทรศัพท์ กดโทรศัพท์ อะไรต่ออะไร เค้าไม่รู้
เราบอก เฮ้ มึงจะนิมนต์กูมาทำไมวะ เนี่ยวะ นิมนต์มาคุยแข่งกัน, เอ้า ขึ้นมา อีหนู มา

มึงมาเอาไมค์ไป กูไปนั่งตรงนู้น จบ เลิกเลย เลิกคุย
เพราะฉะนั้น อยากบอกว่า ฟังธรรมเนี่ย มันทำให้เกิดปัญญานะ ลูก วิถีแห่งการได้เกิด

ปัญญา มันมี
1.    สุตตมยปัญญา ฟัง
2.    จินตมยปัญญาคิด
3.    ภาวนามยปัญญา ใครจะแปลว่าอะไรก็ชั่ง แต่หลวงปู่ขอแปลว่า ลงมือทำ

เสียที
ฟัง คิด แล้วก็ ทำเสียที บางคน ฟัง แล้ว คิด แต่ไม่ยอม ทำ อย่างนี้ก็ไม่เกิดปัญญา ไม่ทำให้

เกิดปัญญา แล้วการฟังธรรม มันเป็นบุญอย่างหนึ่งนะ ลูก ฟังธรรม นี่เป็นบุญนะ แล้วฟัง

ธรรมโดยไม่สนใจฟังธรรมนั้นเนี่ย มันก็เป็นบาปอย่างหนึ่งเหมือนกันนะ
ถามว่า เพราะอะไร
พระองค์หนึ่ง เป็นอรหันต์ขีณาสพ เป็น 1 ในมหาสาวก 80 รูป ท่านชื่อ จุลปัณฑกะ

บวชเข้ามาในพุทธศาสนา พระพี่ชายเป็นอรหันต์ไปแล้ว ตัวเองเห็นพระพี่ชายเป็นอรหันต์

ก็อยากเป็นอรหันต์มั่ง ก็มาบวช บวชตั้งแต่เป็นเณรจนเป็นพระ ว่านะโม 3 จบ ไม่ได้
ถามว่า เพราะอะไร
ก็สมัยยุคที่เค้าฟังธรรมกัน สมัยพระพุทธเจ้ามีนามว่า พระมหากัสสป เค้าฟังธรรมกัน ดัน

นั่งหลับ พอตื่นขึ้นมา ก็โวยวาย เล่นกับคนนั้นที คนนี้ที พูดนั่นพูดนี่ พอตายจากชาตินั้น ก็

ไปตกนรกหมกไหม้อยู่ หูหนวก ตาบอดอยู่พักใหญ่ 500 ชาติ พอพ้นจากนั้น ก็มาเกิด

เป็นลูกของเศรษฐี เป็นน้องของพระอรหันต์ แล้วก็มาบวชตามเขา แต่ก็โง่ ไม่รู้เรื่องอะไร

เพราะว่า ตัวเองไม่สนใจที่จะสั่งสม อบรมปัญญา
งั้น ปัญญา มันได้มาจาก ฟัง คิด ทำ สุตตมยปัญญา จินตมยปัญญา และ ภาวนามยปัญญา

ฟัง คิด ทำ ถ้าไม่ฟัง มันจะเกิดปัญญาไม่ได้ ไม่ศึกษา สั่งสม ไม่อบรม ไม่เรียนรู้ ก็ไม่ใช่คน

หลวงปู่เขียนบทโศลกไว้อีกบทว่า
ลูกรัก คนดี ไม่ใช่มียี่ห้อว่า เป็นคน หรือว่า เป็นมนุษย์ แต่คนดี มันต้องผ่านกระบวนการ ฝึก

ศึกษา สั่งสม อบรม แล้วก็ เรียนรู้ จึงจะเรียกว่า มนุษย์ ไม่ใช่อยู่ดีๆ แล้วก็มาเป็นมนุษย์

เป็นคนเลย ไม่ใช่
เพราะถ้าเมื่อใดที่เจ้าเกิดมา แล้วเป็นมนุษย์ เป็นคนเลย แสดงว่า พระพุทธเจ้าก็ไม่สำคัญ

ครูบาอาจารย์ก็ไม่จำเป็น แต่ที่เราเป็นมนุษย์ เป็นคนสมบูรณ์ขึ้นมาได้ เราต้องยอมรับการ

ฝึก ศึกษา สั่งสม อบรม แล้วก็ เรียนรู้
ถ้าคนๆ ใดปฏิเสธการ ฝึก ศึกษา สั่งสม อบรม เรียนรู้ พ่อก็ว่า มีชีวิตเหมือนไม่มีชีวิต
หลวงปู่จะเขียนบทโศลก สอนไว้อย่างนี้ จึงอยากจะบอกว่า คุณกับชั้นเจอกันนี่ แล้วก็ไม่รู้ว่า

อีกยาวไม๊ ไม่รู้ว่า เค้าจะนิมนต์มาหรือเปล่า เพราะเป็นคนที่พูด ปากไม่ค่อยอยู่สุข พูดตรง

ไปตรงมา
ชั้นเป็นคนไม่ค่อยชอบเอาใจใคร แต่ชั้นชอบความถูกต้องมากที่สุดในชีวิตชั้น
เพราะอย่างนี้แหละ เค้าถึงได้ส่งดอกไม้จันใส่ซองมาให้ชั้น ตอนชั้นประกาศขายวัดใหม่ๆ

วันวาเลนไทน์ น้องหนูได้ดอกกุหลาบ แต่หลวงปู่ได้ดอกไม้จัน เค้าใส่มาให้ พร้อม ไม่มี

เขียนจ่าหน้าซองว่า อะไร ฝากให้หลวงปู่ เราเปิดซองดู โอ้โห ดอกไม้จัน
อ้ายดอกไม้จัน รู้จักไม๊ น้องหนู เค้าใช้ทำอะไร
อ้าว ไม่ได้ให้วันแห่งความรักเหรอ
งั้น ก็เลยอยากบอกท่านที่รักทั้งหลายว่า คือ ธรรมะเนี่ย หลวงปู่ไม่รู้ คนอื่นคิดยังไงนะ แต่

สำหรับหลวงปู่แล้ว คนปฏิบัติธรรมะ มันจะทำให้ซื่อตรง ลูก คิดอย่างไร ทำอย่างนั้น ทำ

เช่นไร พูดแบบนั้น
คิด ทำ พูด ต้องเรื่องเดียวกัน
คนปฏิบัติธรรม คนศึกษาธรรม คนมีธรรม จะต้องไม่เสแสร้ง ไม่ใส่หน้ากากเข้าหากัน นั่น

คือ คนมีธรรมะ แต่ถ้าคนที่ พูดอย่าง คิดอย่าง ทำอีกอย่าง อ้ายนั่น ไม่มีธรรมะละ ทำเมา

แล้ว ลูก
งั้น หลวงปู่ จึงเป็นคนไม่ชอบที่จะเอาใจใคร แต่ชอบที่จะพูดในสิ่งที่ ไม่ว่าจะถูกใจหรือไม่

แต่มันต้องถูกต้อง ใช้ได้ดีที่สุด ในเวลานี้ เค้าให้น้องหนูมานอน หรือ มาฟัง
เอ่อ อย่านอน ไม่งั้น เดี๋ยวหลวงปู่ก็นอนมั่ง เพราะหลวงปู่ ก็ง่วงเป็นเหมือนกัน
อ้าว ทีนี้ ก็กลับมาเรื่องของเรา บ่นไปซะตั้งเยอะ
เรื่องของเรา ก็คือ เรื่องฐานะ วิธีการที่จะทำชีวิต ทำหน้าที่ให้เข้ากับสภาพ ไอที อินเตอร์เนท

แล้วก็สิ่งแวดล้อม ก็อย่างที่บอกมาว่า เราท่านทั้งหลาย ทุกคนมีความสามารถ ทุกคนมี

ความคิด ทุกคนมีสติปัญญา ที่จะนำพาชีวิตเข้าไปสู่วัตถุประสงค์ หรือ เป้าหมายได้ ส่วนจะ

ถูลู่ถูกัง สำเร็จประโยชน์ ได้บ้างเสียบ้าง หรือ ได้อย่างเดียวแล้วไม่มีเสีย อันนั้น มันอยู่ที่ว่า

คนๆ นั้นเป็นมนุษย์มากแค่ไหน
ถ้าเป็นมนุษย์น้อย ก็จะถูลู่ถูกังไป แต่ถ้าเป็นมนุษย์อย่างมากๆ
มนุษย์มากๆ มีอะไร
ก็มนุษย์ที่มีคุณลักษณะพิเศษ เหมือนที่หลวงปู่ เวลาไปสอนเด็กนักเรียนเล็กๆ ชั้นจะบอกครู

ครูมาเข้าค่ายที่วัด จะบอก ครู ขออะไรอย่างได้ไม๊ ก่อนจะสอนวิชาความรู้ให้เด็ก ควรจะ

สอนคุณลักษณะของมนุษย์ให้เด็กก่อน แล้วเค้าถาม ครูถามนะ ครูโรงเรียนวิถีพุทธเนี่ย เค้า

ถามชั้นว่า แล้วคุณลักษณะของมนุษย์ คือ อะไรคะ
คุณลักษณะของมนุษย์ คือ อะไร น้องหนูว่า อะไร
ใครตอบได้บ้าง คุณลักษณะของมนุษย์
เอ้า ตอบได้ ให้ค๊อฟฟี่เม็ดหนึ่ง ลูก
มนุษย์ มีคุณลักษณะอะไรบ้าง นี่เค้าไปออกช่อง 5 นะ เจ้าหน้าที่ราชสำนัก อย่าอายเค้านะ

เวลาชั้นไปถามคนอื่น เค้าตอบได้นะ
คุณลักษณะมนุษย์ มีอะไรบ้างเอ่ย
มีศีล 5 ? ไปซะไกลเลย ป้า, ยังไม่ต้องถึงนั่น ยังไม่ต้องถึง
คุณลักษณะของมนุษย์ เมื่อกี้ บอกไปแล้วไง
เอ้อ มีความกตัญญู รู้คุณ, มีกตเวทิตา ตอบแทนคุณ
เดรัจฉานมีไม๊ เดรัจฉานไม่มีนะ ลูก อ้าว แล้วถามว่า อ้ายที่หมามันนั่งเฝ้าคนที่เลี้ยงมัน ที่

นอนตาย นั่นไม่ใช่เพราะว่า คุณสมบัตินะ แต่มันเป็นสัญชาติญาณ ความผูกพันนะ ไม่ใช่

คุณสมบัติ
ถ้าหากว่า เดรัจฉานตนนั้น มีคุณสมบัติปานนั้น เค้าไม่เรียกเดรัจฉานนะ เค้าเรียก พระ

โพธิสัตว์ แสดงว่า ต้องเป็นมหาสัตว์มากกว่าสัตว์ธรรมดาแล้ว เป็นผู้มีสำนึกละ เรียกว่า

เป็นพระโพธิสัตว์ละ
เพราะฉะนั้น คุณสมบัติของมนุษย์ ข้อแรกเลย นิมิตตัง สาธุรูปานัง พระพุทธเจ้าสอนไง
นิมิต คือ เครื่องหมาย ของคนดี นิมิตตัง
สาธุรูปานัง, สาธุ แปลว่า ความดี เรื่องดี สิ่งดี คนดี วัตถุดี ชนิดที่ดี นิมิตตัง สาธุรูปานัง
กตัญญู กตเวทิตา เครื่องหมายของคนดี ต้องกตัญญู รู้คุณ กตเวทิตา ตอบแทนคุณ
แล้ว 2. หิริ ความละอายชั่ว โอตัปปะ ความเกรงกลัวบาป
3. สติ ความระลึกได้ สัปชัญญะ ความรู้ตัว
มนุษย์ ถ้าขาดธรรม 3 สิ่งนี้ ไม่มีสิทธิ์เป็นมนุษย์หรอก
แล้วถ้าเป็นมนุษย์สมบูรณ์แล้ว ไม่ต้องกลัวว่า จะทำหน้าที่แบบลุ่มๆ ดอนๆ ถูลู่ถูกัง ผิดๆ

พลาดๆ เพราะอะไร
เพราะ สติ ความระลึกได้ สัมปชัญญะ ความรู้ตัว มัน ทำ พูด คิดไม่ผิดพลาดอยู่ละ
มนุษย์ตนใดถ้ามีธรรม 3 อย่างนี้ เป็นองค์ประกอบของตนนั้น ท่านผู้นั้น จะทำอะไรก็ไม่

ผิด พูดอะไรก็ไม่ผิด คิดอะไรก็ถูกหมด นั่นแหละ คือ คุณลักษณะของมนุษย์
เพราะงั้น เวลาคุณจะ ทำ พูด คิดอะไร ไม่ว่าจะหน้าที่อย่างไร ถ้าคุณมีสำนึก ใช้คำว่า สำนึก

พูดรวมๆ ก็คือ สำนึกรับผิดชอบในหน้าที่ อย่างมนุษย์ที่ดีเค้าพึงกระทำ
โอ๊ย เป็นบุญของแผ่นดิน จบ
ถามปัญหา เชิญ
ใครถามอะไร มีไม๊
15 มีนาคม 2556    (2) ปุจฉา วิสัชนา สำนักพระราชวัง แสดงธรรม โดย

องค์หลวงปู่พุทธะอิสระ
ปุจฉา      วัดของหลวงปู่ สงบสุข แล้วก็น่าอยู่ มากไม๊เจ้าคะ แล้วทำไมถึงจะขาย
วิสัชนา      คุณไม่ได้ตามข่าวเลยเหรอ ได้ยินว่า คุณก็เชียร์ชั้นให้ขายได้ หรือเปล่า
มันเป็นเรื่องประมาณนี้น่ะคุณ เราอยู่มานานแล้ว สมัยก่อนนี้ คุณอ่านประวัติชั้น ที่จริงแล้ว

ชั้นเนี่ย เป็นคนสร้างวัดนี้เอง ตอนที่ชั้นสร้างวัด ชั้นมีตังค์ติดตัวแค่ 3 บาท คุณโยมทองห่อ

วิสุทธิผล ซื้อที่ถวายชั้น ตอนนั้น คือ สมัยก่อนนั้น อยู่วัดคลองเตย เราจะมีบวชถวายพระ

ราชกุศลทุกปี แล้วชั้นเป็นแม่กอง บวชพระบวชเณรถวายพระราชกุศล แล้วเผอิญมีพระรุ่น

หนึ่ง ที่บวชถวายพระราชกุศลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวครบ 60 พระพรรษา ชั้น

บวชตั้ง 160 รูป แล้วพระเหล่านั้น บวชแล้วไม่ยอมสึก แต่ว่า สมภารบอกว่า ไม่มีที่อยู่

ให้สึก เราสงสารพระใหม่ เค้ามีศรัทธา ก็เลยหาที่อยู่ให้เค้า
แรกๆ ก็ไปอาศัยโรงเจ ซึ่งไต้ซือ เค้าตายแล้ว เค้ายกโรงเจให้ พระไปอยู่โรงเจ ก็เพราะว่า

สมภารเค้าจะไม่ให้อยู่ ไม่ให้พระใหม่อยู่ แต่เค้ามีศรัทธาอยากอยู่ เพื่อถวายพระราชกุศล

คือ เค้าครบโครงการแล้วไง แต่เค้าไม่อยากสึก เค้าอยากจะอยู่ต่อ เพื่อเรียนศึกษาธรรมะ

แล้วกรรมฐาน
ทีนี้ เมื่อไม่มีวัดไหนรับเค้า เราก็เลยต้องหาที่อยู่ให้เค้า ก็ไปอยู่โรงเจ อยู่โรงเจได้พักหนึ่ง

เค้าก็แจ้ง สังฆการีมาไล่จับ ชั้นก็ต้องพาพระใหม่หนีออกมาจากโรงเจ ไปหาที่อยู่ ก็ไปอยู่

ตรงนั้นบ้าง ไปอยู่ตรงนี้บ้าง ตะลอนๆ ไป สุดท้าย โยมทองห่อ เค้ารู้เข้า เค้าก็เลยมาถวายที่

ให้แปลงหนึ่ง อ้ายที่ที่เค้าถวาย มันอยู่ที่ อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม
ที่จริง รากเหง้าส่วนของพ่อชั้น โยมพ่อชั้น ก็อยู่แถวนั้น เราก็เลยไป ผลปรากฏว่า อ้ายที่ที่

แกถวายนั้น มันน้ำเต็มหมดเลย เราก็บอก อู้หู กูต้องดำน้ำหาหลักหินนะเนี่ย ถวายที่ 9 ไร่

แล้วทั้งตัวชั้น ปกติชีวิตชั้นไม่เคยพกเงิน แล้วไม่เคยออกรับกิจนิมนต์ไง พอถ้ารับกิจนิมนต์

ได้ตังค์มา ตั้งแต่บวชมา ไม่เคยไปสวดมนต์ ฉันเพล สวดผีในบ้านใคร เพราะว่า ไม่ชอบ

แต่ชอบที่จะไปแสดงธรรม หรือ ชอบที่จะไปปฏิบัติธรรม
ทีนี้ พอมันไม่มีตังค์ มันก็ไม่รู้จะเอาตังค์ที่ไหนมาสร้างวัด ชั้นก็ใช้วิธีมองสวรรค์ มองฟ้าดิน

ล่ะนะ โอ กูมีตังค์อยู่ 3 บาท แล้วกูจะเอาตังค์ที่ไหนมาถมที่ วะเนี่ย น้ำทั้งนั้นเลยล่ะ น้ำแค่

อกน่ะ แค่เอวน่ะบางที่ วัดอ้อน้อยปัจจุบันเนี่ยนะ มันไม่มีที่ดอนเลยล่ะ คุณ น้ำท่วม เค้าขาย

ให้ถูกๆ แกซื้อ 9 ไร่ 30,000 บาท ถูกขนาดนั้น แล้วมันจะหาที่อะไรมา
ก็ผลปรากฏว่า รุ่งขึ้น แกเหมือนจะรู้ว่า ชั้นบ่นล่ะนะ แกก็เอาตังค์ มาถวายให้อีก

300,000 สมัยนั้น 300,000 ก็เยอะอยู่ เอ้า เราก็ได้สตางค์มาถมที่ ทำอะไรต่อ

อะไร
แล้วก็เผอิญ ชั้นมีบริวารดี บริวารชั้นเค้าชื่อ ศรีนวล
อยากรู้ไม๊
ศรีนวล ก็คือ วิญญาณดวงหนึ่ง ที่ตามชั้นอยู่ตลอดเวลา เค้าก็จะทำหน้าที่ไปบอกบุญให้กับ

คนที่อยู่ใกล้บ้าง ไกลบ้าง ว่า เอ๊ย หลวงปู่ทำวัด คือ ก่อนหน้านั้น ชั้นเป็นที่โด่งดังในวัดท่าซุง

ก็เพราะว่า เค้าเรียกชั้นว่า อาจารย์ปู่ ท่านฤษีลิงดำ เค้าเรียกชั้น อาจารย์ปู่ หรือไม่ก็

พระองค์ที่ 10
เพราะเหตุผล สมัยก่อน พลเอก พิจิตร กุลละวณิชย์ ตอนนั้นยังเป็นพลโท หรือ พลตรี อยู่

กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ ก็ไปฟังธรรม เค้าก็ถวายสตางค์มาเป็นกระสอบๆ ชั้นก็เลย

บอกว่า วัดเค้าสร้าง เค้าทำงานเนี่ย ตอนนั้น ชั้นไปธุดงค์แล้วกลับมา ผ่านตรงนั้นพอดี ก็แวะ

เพราะว่า รู้สึกถ่ายออกมาเป็นเลือด ก็แวะกับลูกศิษย์ เป็นหมอ เราก็ไม่รู้ว่า เค้ามีงาน แต่พอ

เห็นผู้คนมาเยอะแยะ เราก็ โอ้ เค้ามีงาน
เค้ามาขอฟังธรรม ก็แสดงธรรม พอแสดงธรรม แล้วเค้าก็ถวายสตางค์ กระสอบปุ๋ยนี่ รู้สึก

10 กว่ากระสอบ เยอะมาก ผู้คนมาฟังธรรมเป็นหมื่นๆ เราก็ มาคิดว่า เอ๊ วัดเค้าทำงาน

เค้าก็อยากได้ตังค์ เราก็ไม่ควรเอาตังค์ออกจากวัด เราก็เลยคืนเค้าไป ทองคำ อะไรๆ เป็น

ถาดๆ ก็คืนเค้า แล้วเราก็มานั่งนึก โอ๊ รู้อย่างนี้ กูจะสร้าง กูเอามาซักถุงหนึ่งนะ เอามาสร้าง

วัดนะ ก็บ่นกับสวรรค์ บ่นกับท้องฟ้า
เวลามีความทุกข์ ชั้นก็จะระบายกับสวรรค์
รุ่งขึ้น เค้าก็มีคนเอาตังค์มาให้ ถามว่า เอ้า มายังไง เค้าก็บอกว่า มีผู้หญิง ผมยาวๆ นุ่งชุดไทย

เข้าไปเข้าฝันเค้า บอกว่า หลวงปู่กำลังสร้างวัด กำลังลำบาก ขาดสตางค์ ช่วยเอาตังค์มาถวาย

หน่อย
ตั้งแต่นั้น ชั้นก็สร้าง จนกระทั่ง วัด 9 ไร่ เวลานี้ มัน 200 กว่าไร่ แล้วก็ปลูกต้นไม้

เยอะมาก
เจ้าประคุณสมเด็จพระญาณสังวรณ์ สมเด็จพระสังฆราช ท่านชอบ สมัยที่ท่านยังแข็งแรง

ท่านชอบจะเสด็จไปที่วัด เอาสตางค์ไปถวายให้สร้างซุ้มประตู ชั้นยังปีนหลังคา ทำซุ้มประตู

หน้าวัด ท่านจอดรถลงมา กวักมือเรียก ชั้นไม่รู้ว่า ใคร แต่มีรถตำรวจนำหน้า แล้วนั่งรถตู้สี

เหลือง พระใหญ่มา รีบตะกายลงมา อังสะตัว สบงตัว หาจีวรไม่ได้ ลงไปกราบท่าน
ท่านบอก ไม่ต้องๆ, ทำอะไรอ่ะ, กำลังสร้างซุ้มประตู กระหม่อม, อ้าว แล้วไม่มี

ช่าง, ตังค์ไม่มี กระหม่อม, กูบอกตรงๆ
รุ่งขึ้น ท่านก็เลยให้คนเอาตังค์มาถวาย ให้ 300,000 ช่วยสร้างซุ้มประตู แล้วก็เอา

จีวรมาให้ เพราะ ชั้นไม่ได้ใส่จีวร เอาจีวรมาให้ 15 ไตร ก็ทำมาจนกระทั่ง อยู่มาได้ซัก 5

ปี แล้วชั้นก็หนีออกจากวัด เพราะไม่ชอบเป็นตำแหน่ง สมภาร ก็ไปอยู่ป่า 5 ปี ก็กลับมา

เค้าก็ให้เป็นสมภาร เป็นเจ้าคณะปกครอง เป็นเจ้าคณะตำบล แต่อยู่ได้ซักปีสองปี ก็ไม่ถูก

โฉลก ก็ลาออก
ไม่ถูกโฉลก ก็เพราะ ไม่ชอบวิธีการประชุมของเค้า ประชุมกันทีไร ก็ไม่เคยถามว่า ธรรมะ

ที่ท่านปฏิบัติ มีอะไรบ้าง แล้วชาวบ้านรับธรรมะได้มากน้อยแค่ไหน คนรอบวัดลำบากลำบน

ยากแค้นแสนเข็ญอย่างไร มียาเสพติด มีความทุกข์ยากอย่างไร
ประชุมกันทีไร ก็ปีนี้ ใครจะขอพระครูฯ ใครจะขอเจ้าคุณฯ อย่าลืมส่งบัญชีรายชื่อ ส่งผลงาน

เราก็มองว่า เอ๊ ไม่เห็นประชุมเรื่องอื่นเลย นอกจากประชุมแต่เรื่องพวกนี้ แล้วมันก็มีข่าว

คราวเรื่อง อธิกร เราก็เป็นเจ้าคณะปกครอง เจ้าคณะจังหวัดสั่งให้ไปรับอธิกร ก็เกิดมีอธิกร

ขึ้น แล้วหลวงปู่สำรวจตรวจได้ว่า เป็นความผิดจริงตามนั้น ผู้หญิงเค้ามาร้อง ขนาดบอก

ตำหนิในร่มผ้าได้ แต่เค้าก็ยังช่วยกัน จนกระทั่ง สิ่งที่หลวงปู่วินิจฉัยไป กลายเป็นถูก จากผิด

เป็นถูก
เราก็เลย อ๊า ลาออกดีกว่า อย่างนี้ไม่ถูกใจ ไม่ถูกโฉลก ก็ลาออก พอลาออกเสร็จ แล้วก็เค้า

หาว่า เป็นอะไรล่ะ เป็นเหมือนกับพระมหาเถระ ตอนนั้น ชั้น 30 กว่าพรรษาแล้ว เดี๋ยว

ทำงานเยอะไป ก็จะได้เป็นเจ้าคุณฯ เป็นพระครู เป็นอะไร เราก็เลย สึก
สึกเช้า บวชเย็น จะได้ไม่เดือดร้อนชาวบ้าน เพราะชั้นเป็นคนที่เวลาเรามีปัญหา เราจะกำจัด

ตัวเอง เราจะไม่โทษคนอื่น ถ้าเราไปทำให้เค้ารู้สึกระคายเคือง ไม่สบายจิตใจ เราจะไม่ว่าเค้า

แต่เราจะรู้สึกว่า ตัวเราเป็นต้นเหตุ ชั้นก็เลยจัดการตัวเอง เพราะว่า ตอนนั้นเจ้าประคุณ

สมเด็จพระญาณสังวรณ์ ที่เล่าถึงพระองค์ เพราะว่า พระองค์มาขอร้องให้ชั้นได้สร้าง เค้า

เรียก อะไร ศูนย์วิปัสสนาจารย์ของจังหวัดนครปฐม และเป็นศูนย์แรกของประเทศไทยที่

ใช้มหาสติปัฏฐาน 4
แล้วต่อมา ก็ประกาศเป็นราชกิจจานุเบกษา ก็คือ ประกาศเป็นกฏมหาเถระสมาคม ให้ตั้ง

หลักสูตรมหาสติปัฏฐาน 4 สอนทั่วประเทศ แล้วเราเป็นศูนย์แรก ที่ศูนย์ริเริ่ม ซึ่งจะต้อง

ทำหน้าที่ แล้วเราทำงานเยอะมาก เสียทั้งเงิน เสียทั้งเวลา
ก็คิดดู ชั้นสอนพระ 15 วัน 300 รูป 15 วัน 15 คืนเนี่ยนะ พระภาค 14 มาทั้ง

ภาค
ตื่นตี 3 นอน 5 ทุ่ม ทุกวันๆ แล้วก็จ่ายตังค์ หมดไป 2 ล้านกว่าบาท เพราะว่า สมเด็จ

พระสังฆราชอุตส่าห์มาขอร้องให้ช่วยทำ เราก็ทำจนเต็มที่ เขียนอะไรถวายท่าน สอนขนาดนี้

วันสุดท้าย เค้าบอกว่า อ้ายที่ท่านสอนมาทั้งหมดน่ะ เหมือนลมตดของผม ที่พูดมาทั้งหมดน่ะ

เหมือนลมตดของผม
ชั้นจะทำยังไง ชั้นก็เลยบอก ขอบคุณครับ ที่เห็นผมเป็นส่วนหนึ่งของตูดท่าน
สบายใจ มันจะได้ไม่ต้องอึดอัดขัดใจไง ขอบคุณครับ อย่างน้อย ท่านก็ให้ความสำคัญต่อผม

แค่ผมเป็นลมตดของท่าน ก็ดีใจแล้ว ไม่ต้องเป็นอะไรอย่างอื่นมากกว่านี้ ขอบคุณครับ
เพราะงั้น เราก็เลย เบื่อไง ชั้นก็เลยเบื่อ รำคาญ ก็เลยลาออกทุกตำแหน่ง แล้วก็เป็นพระ

ธรรมดาๆ ที่ไม่ต้องการอะไร ทำหน้าที่ ทำงานให้เยอะหน่อย
ทีนี้ มันก็มีปัญหาว่า อ้ายโรงงานฝั่งตรงข้ามนี่ อีตอนเค้ามาสร้าง ไม่ได้สร้างถูกต้องตาม

กฏหมาย ด้วยเหตุผลว่า อบต. มุบมิบกัน เซ็นต์อนุมัติ แล้วตอนสร้าง ขึ้นโครง ชั้นก็ให้

คนไปถามว่า ทำโรงงาน หรือว่า ทำอะไร เค้าบอกว่า ทำโกดังเก็บสินค้า แต่ทำไปทำมา

กลายเป็นโรงงาน มันกลายเป็นโรงงาน แม้กระทั่ง ผู้ใหญ่บ้านยังไม่รู้เลยนะว่า เป็นโรงงาน

เพราะว่า เค้าก็คิดว่า เป็นโกดังเก็บสินค้า  เพราะว่า กฏหมายใหม่ มันเป็นสิทธิ์ของอบต.

นายก อบต. เป็นผู้อนุมัติ
พอสร้างเป็นโรงงานผลิตสินค้า ก็คือ ผลิตอาหารสัตว์ เค้าก็ใช้วิธี เอารำ เอากากถั่ว เอาปลาป่น

ปลาป่น เค้าไม่ใช่เป็นปลา แต่เป็นขนไก่ เป็นกระดูกสัตว์สดๆ เนี่ย เอามาเทกอง แล้วก็ดูด

เข้าไปในเครื่อง เพื่อผ่านการอบให้แห้ง แล้วก็เอามาบด แล้วก็ผสม ทีนี้ มันก็ฟุ้ง ฟุ้งในโรง

งานเค้า แล้วอบแบบนี้ เค้าจะทำยังไง เค้าก็ใช้วิธีดูดขึ้นปล่อง พอดูดขึ้นปล่อง มันก็พ่น มัน

ก็มาทางวัด มันกระจายไปทั่ว
มันไม่มีกระบวนการกรองไง ชั้นเนี่ย เป็นโรคหลอดลมอักเสบ มา 2 ปีเต็มๆ แล้วก็โรค

ภูมิแพ้เรื้อรัง ต้องฉันยาแก้อักเสบ จนตับชั้นทรุดน่ะ ชั้นก็พยายามบอกกับเค้านะ สื่อความ

หมายให้โรงงาน แล้วก็บอกกำนัน เป็นกรรมการวัด ก็บอกกำนันไปบอก โรงงานเค้าบอกว่า

ของเค้านี่ นายกฯอบต. เป็นคนอนุมัติ กำนันก็ไปคุยกับนายกฯ อบต. นายกฯอบต.

ก็โวยวาย กำนันก็มาพูดให้ชาวบ้านฟัง กำนันก็เลยถูกเรียกไปตบด้วยปืน ต่อมาอีก 2 เดือน

กำนันก็โดนรถชนตาย เพราะเผอิญโรงงานนี้ มีนักการเมืองใหญ่ระดับชาติมาเปิด มันก็เลย

เป็นปัญหา
แล้วไม่ใช่เค้าอนุมัติแค่โรงงานนี้โรงงานเดียวนะ ยังมีโรงงานถลุง หรือ หลอมเหล็กหล่อ

แล้วก็โรงงานผสมสารเคมียาฆ่าแมลง ซึ่งเค้าอนุมัติเอาไว้ก่อนที่จะหมดวาระอีก 2-3

โรงงาน เราก็เลยมานึกว่า วันเด็กปีที่ผ่านมา เด็กนักเรียนมาที่วัดชั้นเป็นหมื่นคนนะ เพราะ

ชั้น วันเด็กทุกปี ก็จะรวมเด็กจากที่ต่างๆ มารวมกันที่หน้าวัด แล้วก็ทำกิจกรรม เรียกว่า วัน

ดอกไม้บานของแผ่นดิน
เด็กก็จะมาปฏิบัติธรรม เล่นเกม ตอบเกมปัญหาธรรมะ สนุกสนาน แจกของขวัญ
ก็คุยกับเค้าว่า มาจากไหน เค้าบอก อยู่ใกล้ๆ โรงเรียนใกล้ๆ แล้วก็เรียนหนังสือเป็นไงบ้าง

หนู, เค้าบอก ไม่รู้เรื่องเลย เพราะว่า มันเวียนหัวมาก มันไอ มันจาม เพราะว่า ฝุ่นมันเข้า
เราก็เลย เอ๊ ถ้าอย่างนี้ ไม่ไหวละ ต้องทำอะไรสักอย่าง ก็เลยคิดว่า อย่าไปเดือดร้อนคนอื่น

เลย เราขายวัดดีกว่า ก็เลยเป็นที่มา การประกาศขายวัด
ทีนี้ พอขายวัด มันก็เลยกลายเป็นข่าวโวยวายขึ้นมา สำนักพุทธ แทนที่จะมาถามเราว่า

ทำไม มีเดือดร้อนอะไรถึงขาย กลับเอากฏหมายมาขู่เราว่า จะมาสอบบัญชี เราก็เลย เอ๊ นี่มัน

สำนักพุทธ หรือ สำนักโรงงาน เพราะสำนักพุทธ มันต้องมาถาม ทำอะไร เราเดือดร้อนอะไร

ทำไมท่านถึงต้องขายวัดหนี แต่ก็ไม่มาถาม แต่ดันจะเอากฏหมายมาขู่เราอีกว่า จะมาตรวจ

สอบทรัพย์สิน
ไม่ต้องมาตรวจสอบ เพราะที่วัดชั้น พระทุกองค์ คือ ที่วัดน่ะ มีบัญชีเดียว เพราะ ทุกอย่าง

เป็นของกลาง พระไม่ได้มีตังค์พกอยู่แล้ว เราก็เลยบอก ได้ ตรวจสอบวัดอ้อน้อยได้ แต่ต้อง

ตรวจสอบมันทุกวัดก่อนนะ เพราะวัดแต่ละวัด เราเป็นเจ้าคณะปกครอง เรารู้ดีว่า มันมี

บัญชีสมภาร มีบัญชีไวยาวัจกร มีบัญชีวัด สารพัดบัญชี เยอะแยะมากมาย
มันก็เลยมีความรู้สึกว่า มันก็ต้องสู้ พอประกาศขายวัดไปได้สักพักหนึ่ง หมู่บ้านห้วยด้วน

ประกาศขายหมู่บ้าน ขายหมู่บ้านตาม เพราะว่า เค้าเห็นว่า เราสู้แล้วมันมีผลไง คือ ข้า

ราชการระดับใหญ่ๆ ก็หันมาสนใจ ขนาดรัฐสภา ยังส่งผู้ตรวจการมาดูว่า มันมีปัญหาอะไร

ทำไมหลวงปู่ถึงจะต้องขายวัด อัยการ อธิบดีกรมอัยการ ยังส่งลูกน้องมาดู เอ๊อ หลวงปู่ทำได้

ขายหมู่บ้านมั่ง
ถามว่า ทำไม เค้าขาย
หมู่บ้านนั้น มันมีโรงงานเผายาง เอายางรถยนต์ 500 กว่าตัน ไปยัดอยู่ในเล้าหมู เล้าหมู

ใหญ่ๆ เค้ามาซื้อเล้าหมูเก่า แล้วคนที่เป็นเจ้าของโรงงาน ไม่ใช่คนไทยนะ เป็นคนไต้หวัน

แล้วเอานอมินีไทยมาใช้ โดยมีกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน มาเป็นลิ่วล้อ
เผา เนี่ยคุณ พื้นนี่อยู่ไม่ได้นะ ลูบไปเนี่ย ดำหมดเลยนะ
สาธารณสุข มาบอกว่า คนแก่ เด็ก และคนท้อง ห้ามอยู่ใน area นี้ รอบๆ โรงงานนี้

แต่ผู้ใหญ่บ้าน มาบอกกับชาวบ้าน ชาวบ้านไปโวยวาย ผู้ใหญ่บ้านบอกว่า จะมาโวยวาย

อะไร มัน มีฝุ่นก็เข้าบ้าน ปิดประตู หน้าต่าง มีกลิ่น ก็หาผ้ามาปิดจมูก ดูผู้ใหญ่บ้านมัน

แล้วจะมาโวยวายอะไร พอถึงปี เค้าก็แจกเสื้อแล้ว เดี๋ยวเค้าก็เอาของมาให้ จะมาโวยวาย

ทำไม
คือ ผู้ใหญ่บ้าน อบต. เจ้าหน้าที่บ้านเมือง รวมทั้งนายอำเภอ ชาวบ้านติดป้าย ขายหมู่บ้าน

นายอำเภอบอก เอาลงเดี๋ยวนี้ อายขายขี้หน้าเค้า จะเอาเหมือนวัดอ้อน้อยเหรอ ซวยเราอีก

ด่าเราอีก
เนี่ย มันเลยเป็นที่มา แต่วัดชั้น น่าอยู่ไม๊ คำถามสั้นๆ
น่าอยู่มาก ชั้นปลูกต้นไม้เยอะมาก ชั้นเป็นคนชอบต้นไม้ ชั้นเนี่ย ออกไปอยู่ป่าข้างนอก จน

สมเด็จพระสังฆราช มาขอร้องบอกว่า ท่านเรียกชั้น หลวงปู่หนุ่ม, หลวงปู่ (หนุ่ม)

บอกว่า ถ้าอยากอยู่ป่า ปลูกต้นไม้เยอะๆ แล้วช่วยทำงานพระศาสนา อย่าออกไปข้างนอก

เพราะออกไปข้างนอก ชั้นไม่ได้ทำงานไง ท่านขอให้อยู่ช่วยทำงาน สมัยท่านแข็งแรง ท่าน

จะไปบ่อยมาก ท่านก็จะนิมนต์มาฉันที่พระตำหนักบ่อยๆ ท่านกับชั้น จะสนิทกัน
งั้น ที่วัดก็จะมีกิจกรรมบวชถวายทุกปี 25 ปีแล้ว ไม่เคยหยุด แล้วทุกเดือน ชั้นจะพากันมา

อย่างเสาร์ที่จะถึงนี้ ถ้าคุณว่างๆ ก็เชิญ ทุกเสาร์ที่ 3 ของเดือน เวลาบ่ายโมง ก็จะมาสวด

มนต์ ถวายพระพรที่โรงพยาบาลศิริราช เป็นปีละ ทุกเดือนๆ ละครั้ง ก็มาครั้งหนึ่ง ก็พันกว่า

คน ลูกศิษย์ ลูกหลาน ก็มาร่วมกัน พอได้สตางค์มา ก็จะรวบรวม เพราะว่า สวดมนต์จบ

แสดงธรรม ก็จะมีคนถวายตังค์ ชั้นก็จะรวบรวม นำขึ้นถวายให้กับสำนักพระราชวัง แต่

เที่ยวนี้ ตั้งใจว่า จะมอบให้มูลนิธิอุทกพัฒน์ เพราะคราวที่แล้ว ก่อนนู้น ให้ไปรู้สึกจะ

ล้านกว่าบาท ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ท่านตั้งมูลนิธิอุทกพัฒน์ เพื่อช่วยเรื่องน้ำท่วม

แต่เที่ยวนี้ มูลนิธิอุทกพัฒน์กับ ชั้นตามข่าว ได้ยินว่า กับ ท่านผบ. ทบ. ไปช่วยเรื่อง

ภัยแล้ง เพราะทุกเดือน ก็จะให้กับโรงพยาบาลศิริราช เอาไว้เป็นเงินทุนช่วยผู้ป่วยอนาถา

แต่เที่ยวนี้ ก็จะเอาสตางค์ที่ได้มา ไม่รู้จะได้เท่าไหร่ บางที 300,000, 500,000

อะไรอย่างนี้ ได้ทุกเดือนแหละ ก็จะให้มูลนิธิอุทกพัฒน์เค้า ไปช่วยขุดบ่อน้ำ อะไรต่ออะไร

เพื่อจะได้ใช้ เพราะปีนี้แล้งมาก
ชั้นไปทางเหนือ ทางอีสานนี่ โอ้โห ทุรนทุราย ทรมาน เหนือ เมื่อ 3-40 ปีก่อนไปธุดงค์

เจอหลวงปู่แหวนยังอยู่ เขา นี่ยังเขียวชะอุ่ม เดี๋ยวนี้หัวโล้นหมด มันมีบางพื้นที่ แถว

แม่ฮ่องสอน ข้าราชการในพื้นที่ ถึงกับให้มาบอกชาวบ้าน ให้เวลา 3 เดือน
คุณรู้ไม๊ ให้เวลา 3 เดือน ทำอะไร
ตัดต้นไม้
ตัดต้นไม้ เพื่ออะไร
ตรงนั้น เค้าจะมีทางเข้าไปสู่พม่า จะเปิดด่าน ทำกิจกรรมอะไร
เค้ามีกระบวนการ ที่จะหาพื้นที่ป่าสงวน มาทำตลาด ทำที่ชุมชน เค้าให้เวลาตัดต้นไม้ 3

เดือน เป็นเรื่องเป็นราว ชั้นไปแจกของพวกปกากะญอ พวกชาวบ้านเค้าเล่าให้ฟัง
ถามว่า ทำอะไร
รับจ้างเผาป่า
เผาป่า ครั้งหนึ่ง ก็ได้ 700 ได้ 500 เพราะเผาป่า แล้วมันทำให้มีควัน มีไฟ พอมีไฟ

แล้ว มันก็จะได้เบิกงบฯได้ ก็รับจ้างเผาป่า แล้วก็รับจ้างดับไฟ ต้องมีคนเผาก่อน รับจ้างเผา

ก่อน แล้วจึงจะมีคนรับจ้างดับ อีกตามมา นี่คือ วิธีการ
นี่เค้าถามชั้น เรื่องอะไรเนี่ย ไปยาวเลย จบ
พิธีกร     ก็เป็นอันจบปุจฉาแรกนะคะ ที่เกี่ยวกับวัดหลวงปู่ หลวงปู่ก็ได้บรรยายจนเราเห็น

ภาพ ซึ่งบางคน ก็ไม่เคยไปที่วัดหลวงปู่มาก่อน
ปุจฉา       การภาวนา กับวิปัสสนา ต่างกันอย่างไร
วิสัชนา        วิปัสสนา มันเป็นอุบาย ทำให้เกิดปัญญา แต่ภาวนา แปลโดยความหมาย ก็คือ

ทำให้เจริญ ทำอะไรให้เจริญ ทำจิตให้เจริญ ทำกายให้เจริญ ทำชีวิตให้เจริญ เค้าก็เรียกได้ว่า

ภาวนา
แต่ความหมายตรงๆ ของคำว่า ภาวนา มันหมายถึง ทำจิตให้เจริญ ซึ่งมันบวกเข้าไปในคำว่า

วิปัสสนา, สมถะและวิปัสสนาด้วย
สมถะ มันเป็นเรื่องของสมาธิ แต่วิปัสสนา เป็นเรื่องของปัญญา จบ
ปุจฉา        มีบางคนกล่าวว่า การแก้กรรมที่ทำได้อย่างดีที่สุด ก็คือ การทำวิปัสสนา เพื่อ

แก้กรรม หลวงปู่คิดว่า การนั่งวิปัสสนา ช่วยแก้กรรมได้หรือไม่
วิสัชนา          ชั้นน่ะ อยากตบปากคนที่สอนอย่างนี้จริงๆ เลย, จริงๆ ไม่ใช่อยากตบปาก

คนถามนะ อยากตบปากคนที่สอนแบบนี้จริงๆ เลย
พระพุทธเจ้า เป็นสุดยอดของผู้ภาวนาไม๊, เป็นไม๊, เป็นสุดยอดของผู้ภาวนาไม๊ แล้ว

ทำไม ท่านยังโดนพระเทวทัต กลิ้งก้อนหิน ทำให้ห้อพระโลหิตล่ะ ก็เพราะอดีตชาติ ท่านมี

กรรมกับพระเทวทัต ใช่ไม๊ เอ้อ อ้ายคนสอนแบบนี้ ไม่ใช่คนถามนะ คนสอนแบบนี้ มันน่า

ตบปากจริงๆ เลย นอกจากบิดเบือนพระพุทธศาสนา แล้วยังทำให้สาระสำคัญของพระ

ศาสนาเสียหายด้วย
กรรมเนี่ย บุคคลพึงกระทำ ไม่ว่าจะเป็นกรรมดี หรือ กรรมชั่ว ต้องรับกรรม เว้นแต่จะเป็น

อโหสิกรรม, อโหสิกรรม ไม่ใช่คนอื่นมาอโหสิ ผู้ร่วมกระทำกรรมนั้นและผู้รับกรรมนั้น

จะต้องเป็นผู้อโหสิ คือ เจ้ากรรมนายเวรของกันและกันเท่านั้น จึงจะเป็นผู้อโหสิกรรมได้ จึง

จะเป็นกรรมอโหสิ
เพราะงั้น มันแก้กันไม่ได้ ถ้าแก้กรรมได้ โอ๋ย ป่านนี้ คุกว่าง
อ้าว จริงไม๊ล่ะ แก้กรรม ไปตีหัวเค้ามา วิ่งเข้าวัด
หลวงพ่อแก้กรรมหน่อย พอแก้กรรมเสร็จ ตำรวจมา อ่ะ อย่าๆ แก้กรรมเสร็จแล้ว อย่าจับ

เอ้อ คุกว่าง ทำไม่ได้ พูดส่งเดช
คนที่สอนอย่างนี้ ไม่ใช่พุทธ สอนกันตามอารมณ์ของคนที่ คนโง่สอนคนโง่
ถามว่า อ้าว แล้วภาวนา ก็ดูตัวอย่าง โจรองคุลีมาร บวชมาเป็นพระแล้ว ก็ยังไม่วายเลยล่ะ

โดนชาวบ้านเอาก้อนหินเขวี้ยงกะบาล ตัวเนื้อนี่เลือดโชกไปทั้งตัว บิณฑบาตรไม่ได้ข้าวสักที

เพราะคนได้ยินว่า องคุลีมาลมาบิณฑบาตร ถ้าไม่เกลียด ก็กลัว หนีเลย
ท่านเป็นนักภาวนาไม๊ บวชเข้ามาตั้งแต่วันแรก ก็หลับตาภาวนาตลอด ก็หลับตาทีไร ก็เห็น

เอานิ้วกูคืนมา เอาชีวิตกูคืนมา จนภาวนาไม่ได้ แล้วสุดท้าย ถามว่า พ้นจากกรรมนั้นไม๊
ไม่ได้พ้นนะ แต่ท่านก็เร่งปฏิบัติธรรมให้มากขึ้น คือ แรงกรรม กับ แรงภาวนา
อ้ายแรงภาวนา มันเหมือนกับเครื่องบินไอพ่น กับอ้ายแรงกรรม มันเหมือนกับควายลากรถ

มันก็ตามกันไม่ทัน อย่างนี้พออธิบายได้ แต่มันแก้กันไม่ได้ หมายถึงอะไร
คนที่ภาวนา จนลุถึงมรรคผลนิพพาน กรรมนั้นก็จะตามไม่ทัน หรือ ตามทันก็เบาบางมาก

ยกเว้นเป็นอุปฆาตกรรม กรรมอันหนักสาหัส อย่างนี้เป็นต้น ดูตัวอย่างเช่น พระโมคคัลลานะ
อ้าว ถ้าบอกว่า แก้กรรมได้ พระโมคคัลานะ นี่มีฤทธิ์มากไม๊
มีฤทธิ์มาก เป็นอัครสาวกข้างซ้าย ท่านนิพพานเพราะอะไร พูดเป็นภาษาชาวบ้าน ตาย

เพราะอะไรเพราะโดนคน 500 คน พวก เนี่ยมาทุบจนกระดูกละเอียดเป็นผง และ

สาเหตุอะไรที่ทุบ เพราะอดีตชาติ เคยไปทุบตีพ่อแม่ มาเป็นอรหันต์แล้ว กรรมนั้นก็ตาม

มาสนอง แก้กรรมได้ไม๊ แก้ไม่ได้
ฉะนั้น อ้ายคำสอนที่บอกว่า แก้กรรมๆ เนี่ย มันน่าตบ แล้วขยี้ด้วยหลังแหวนนะ มันไม่ถูก

นะ คุณ มันสอนไม่ถูก ชั้นเป็นคนที่ไม่ชอบอะไรที่มันจะบิดเบี้ยวความจริง อย่า จบ
ปุจฉา    เค้าบอก การนั่งสมาธิแล้ว เวลานั่งจิตใจไม่สงบ ถ้านั่งแล้ว จิตใจไม่สงบ จะได้บุญ

หรือไม่ แล้วจะทำอย่างไร ถึงจะนั่งแล้ว ทำให้ได้บุญ
วิสัชนา        หลับเถอะ ลูก เมื่อมันไม่สงบ ก็หลับมันไปเลย ไม่ต้องไปอะไรมันมาก ตื่น

แล้วค่อยว่ากันใหม่ จบ
ก็มันไม่สงบแล้ว จะไปทำอะไรมันล่ะ ก็หลับมันไปเลย ไม่ต้องอะไรมากมาย
จิตมนุษย์นี่ มันไงยิ่งกว่าลิง แล้วมันเหมือนปรอท จับตรงนี้ มันผุดตรงโน้น จับตรงโน้น มัน

ผุดตรงนี้ ถ้าคุณไม่มีสติมั่นคง ปัญญาไม่กล้าแข็ง คุณตามจิตไม่ชัดหรอก
เพราะงั้น สิ่งที่คุณควรกระทำ เริ่มต้นจากการฝึก ชั้นใช้คำว่า จัดระเบียบของกาย จนเป็น

ระบบของความคิด ปกติเราตื่นนอนขึ้นมา ลุกพรึ่บเข้าห้องน้ำ ก็เปลี่ยนเสียใหม่ ตื่นนอนขึ้น

มา น้ำตั้งบนหัวนอนก่อนนอน ก็ดื่มสักแก้วใหญ่ๆ เก็บที่นอนเข้าที่ พับผ้าห่ม มุ้งหมอนให้

เข้าที่ แล้วก็เข้าห้องน้ำ กลับออกมา ต้องมาทำใหม่ไม๊ ไม่ต้องล่ะ
เนี่ย จัดระเบียบของกาย ทำทุกอย่างๆ เป็นระเบียบ แล้วความคิดมันจะเป็นระบบ ทีนี้ จะ

มามานั่งหลับตา ก็ง่ายมากละ แต่ถ้าเป็นคนมักง่าย ทำอะไรสุรุ่ยสุร่าย ไม่มีระเบียบ ขาดวินัย
คนที่ขาดระเบียบวินัย อย่าหวังว่าจะได้สมาธิจากไหน ส่วนใหญ่เป็นกะทิทั้งนั้นล่ะ จบ นอน
ปุจฉา        หลวงปู่เชื่อหรือไม่ เวลาตายแล้ว ที่มีญาติกรวดน้ำไปให้ จะได้รับหรือไม่ แล้ว

ถ้าลืมกรวดน้ำ ก็จะไม่ได้รับ ใช่หรือไม่
วิสัชนา        อยู่บ้านเลขที่เท่าไหร่, ไม่, ชั้นตาย จะได้ไปบอกไง ตอนนี้ ยังไม่ตาย เลย

ไม่รู้ว่า เป็นอย่างนั้น จริงหรือเปล่า ถ้าอยากรู้ก่อน ก็ไปก่อนชั้น ก็แล้วกัน จบ
ก็ พระพุทธเจ้าสอนว่า อย่างนี้น่ะ สอนว่า บุพเพกตปุญญตา แล้วก็ ทำบุญมาดีแต่ปางก่อน

ก็สำเร็จประโยชน์อย่างนี้ แล้วก็ เปรตพลี อุทิศส่วนกุศลให้เปรต พระพุทธเจ้าสอนอย่างนี้
ถามว่า เชื่อหรือไม่ ชั้นเชื่อว่า พระพุทธเจ้ามีจริง เชื่อว่า พระธรรมมีจริง เชื่อในพุทธานุภาพ

เชื่อในธัมมานุภาพ เชื่อในสังฆานุภาพ แล้วจึงจะเชื่อในพระธรรมคำสั่งสอนของพระผู้มี

พระภาคเจ้า
งั้น เชื่อในกฏของกรรม ก็ต้องเชื่อในภพชาติ จบ
ปุจฉา        ปัจจุบัน มีข่าวไม่ค่อยดี เกี่ยวกับพระจำนวนมาก
หลวงปู่      เอาอีกละ
พิธีกร        หลวงปู่มีความคิดเห็นอย่างไร สำหรับพระที่ไม่รักษาศีล แล้วก็ เป็นตัวอย่างที่

ไม่ดี
หลวงปู่        อื๊ม คนอื่นก็ไม่ดีเยอะแยะ เอาแต่พระอย่างเดียว หาเรื่อง เอาพระด่าพระ มันก็

เป็นธรรมชาติล่ะ คุณ ถามว่า สมัยก่อน มีไม่ดีไม๊ สมัยพระพุทธเจ้ามีไม๊, มี๊, แต่มัน

ไม่มีเดลินิวส์ ไทยรัฐ
อ้าว จริงๆ ไม่มี ไอที อินเตอร์เนท สมัยก่อนนี้ ถามว่า มีพระข่มขืนศพ มีไม๊, มี, มี

พระสมสู่กับเดรัจฉาน มีไม๊, มี๊ ถ้าไม่มี จะมีวินัยห้ามเหรอ เพราะวินัย จะเกิดตามหลัง

คนกระทำผิด, มีพระขโมยของไม๊, มี๊, ตระบัดสัตย์ ยักยอก, มี แต่มันไม่มีเดลิ

นิวส์ ไทยรัฐ ไม่มีหนังสือพิม์ ไม่มีโฆษณา ไม่มีโพนทะนาเองแหละ
เพราะงั้น ไม่ได้มีอะไรแตกต่างกับ 2,000 กว่าปีก่อนเล๊ย ทุกวันนี้ ไม่ได้มีอะไรแตก

ต่างเล๊ย ที่มันแตกต่าง ตรงที่เรารู้เร็วกว่า เรารู้ได้กว้าง ได้ลึกกว่า เท่านั้นเองแหละ
งั้น อยากบอกว่า อย่าใช้คำว่า พระไม่ดี, จำไว้ ชั้นเคยพูดกับนักข่าวเยอะแยะว่า คุณไป

เขียนคำว่า พระชั่ว นี่มันผิดนะ เพราะตามพจนานุกรม พระ นี่แปลว่า ผู้ประเสริฐ ดีเลิศ

แล้วก็ งามพร้อม มันไม่มีคำว่า ชั่ว
อ้ายที่ชั่วน่ะ ไม่ใช่ พระ มันเป็นใคร ก็ลูกชาวบ้าน ลูกชาวบ้านเข้ามาบวช แล้วบวชแล้ว นี่

เค้ายังไม่เรียกว่า พระ พระพุทธเจ้ายังไม่เรียกว่า พระ พวกเราดันไปเรียกเอง พระพุทธเจ้า

เรียกว่า อะไร พระพุทธเจ้า เรียกว่า ภิกษุ,  เรียกว่า นักบวช, เรียกว่า สมณะ แล้วจึง

จะพัฒนาขึ้นสู่คำว่า พระ
ภิกษุ นี่แปลว่า อะไร ผู้เห็นภัยในวัฏฏะ หรือ แปลว่า ผู้ขอเค้ากิน คนขอเค้ากิน นี่มันต้องลด

ความยะโส เย่อหยิ่ง จองหอง แล้ว
พัฒนาจากภิกษุ ขึ้นมาสู่ความเป็น นักบวช อันแปลว่า ละ วาง ปล่อย เว้น ความชั่วทาง กาย

วาจา ใจ ละได้แล้ว วางได้แล้ว เว้น แล้ว
จึงพัฒนามาสู่ความเป็น สมณะ อันแปลว่า สงบกาย สงบวาจา แล้วก็สงบใจ, สงบ แล้ว
จึงจะพัฒนามาสู่ความเป็นพระ อันแปลว่า ประเสริฐ ดีเลิส แล้วก็ งามพร้อม
พระ หยุดไม๊ ยังไม่หยุด ยังพัฒนาต่อ แปลว่า อริยเจ้า ประเสริฐยิ่งกว่าความประเสริฐทั้งปวง
เห็นไม๊ว่า มันต้องผ่านกี่ขั้นตอนน่ะ มาถึงคำว่า พระ แต่นี่ไม่ใช่ พอบวชวันนี้เป็น พระ เลย

อย่างนี้ เราไปยกให้ท่านเอง พอท่านทำชั่ว ก็เลยหาว่า พระชั่ว
คนพูดอย่างนี้น่ะ บาปนะ เพราะไปเปิดพจนานุกรมดูสิ พระ แปลว่า อะไร, ประเสริฐ ดี

เลิศ งามพร้อม ไม่มีชั่ว อ้ายที่ชั่ว ลูกชาวบ้าน
อ้าว ฟ้าจะผ่าแล้ว, ป้า เลิกเถอะ จบ
ปุจฉา      สมมุติว่า เราอโหสิกรรมให้กับคู่กรรม แล้วคู่กรรมไม่อโหสิกรรมตอบเรา ก็ยัง

คงมีกรรมต่อกัน ใช่หรือไม่
วิสัชนา      ใช่ เพราะว่า มันไม่อโหสิไง ตลบมือข้างเดียวไม่ดัง กรรมที่เป็นอโหสิ คือ ต้อง

เป็นคู่กรรม, คู่กรรม คู่กัดน่ะ, คู่ฟัด คู่เหวี่ยง นั่นแหละ ประมาณนั้นล่ะ จึงเรียกว่า

เป็นกรรมอโหสิ
แต่ถ้าอโหสิอยู่คนเดียว แล้วอีกคนไม่รู้เรื่องอะไร มันก็ไม่ใช่อโหสิ ยกเว้น เราเป็นผู้

โดนกระทำ แล้วเราอโหสิกรรมให้ผู้กระทำ อย่างนี้น่ะ ได้
แต่ถ้าเราเป็นผู้ที่ไปกระทำเค้า แล้วเรา เอ้อ ต่อยเค้าเปรี้ยงๆ แล้วก็บอก เอ้อ กูอโหสิให้มึง

อย่างนี้ มันไม่ได้เรื่อง ไม่ใช่ เราต้องเป็นผู้โดนต่อย แล้วเราบอก เอ๊อ อโหสิให้ อย่างนี้น่ะ ใช่

อโหสิ จบ
พิธีกร       ปุจฉา        
หลวงปู่     เลิกกี่โมง เนี่ย นานๆ นิมนต์ที ล่ะนะ เอาให้คุ้มไปเลย
พิธีกร     ตอนนี้ก็ 16 นาฬิกาค่ะ
หลวงปู่        อ้อ เหรอ
พิธีกร     แต่ว่า ข้างนอกฝนตก ก็ออกไปไม่ได้
หลวงปู่       เอ๊ย ชั้นมารถ ไม่ได้เดินไป
พิธีกร     เจ้าหน้าที่ไม่มีรถ เจ้าค่ะ
หลวงปู่        อ้อ เหรอ
พิธีกร      ต้องรอฝนหยุด เจ้าค่ะ
หลวงปู่          อ้อ แสดงว่า อาศัยพระดับฝนเหรอ เอ้าๆๆ ว่าไป
พิธีกร      ถ้าอย่างงั้น
หลวงปู่       วิสัชนา          
พิธีกร       งั้น ขออีกซัก 5 ปุจฉานะคะ
หลวงปู่         อู้หู ไม่น้อยเลยนะ หยุดพอดี ฝนน่ะ
ปุจฉา       ผู้ถามบอกว่า กระผมมีแฟนมาระยะหนึ่งแล้ว เมื่อเวลาผ่านไป จึงรู้ว่า แฟน

กระผม มีครอบครัวแล้ว แบบที่เราไม่เคยรู้มาก่อน แบบนี้จะเรีกว่า ผิดศีลหรือไม่ครับ
วิสัชนา       อืมฮื่ม นี่มันรายการอะไรวะเนี่ย รายการอะไรเนี่ย รายการนี้รายการอะไร

รายการธรรมะนะจ๊ะ มาถามผิดรายการหรือเปล่าเนี่ย เอ๊อ อย่างนี้ เค้าเรียกว่า เป็นอะไรนะ

เป็นชู้เหรอ หรือ เป็นอะไร เป็นอะไร
พิธีกร      ก็ทำนองนั้น เจ้าค่ะ แต่ว่า คนที่
หลวงปู่        สมัยนี้น่ะ สมัยใหม่นี้ เค้าเรียก อะไร เอ่อ เป็นกิ๊ก ผิดไม๊เหรอ ถ้ายังไม่มีอะไร

กัน ก็คงผิดทางใจน่ะ ลูก แต่ถ้ามีอะไรกัน ก็ถือว่า เราเป็นชู้ เป็นความผิดบาป แต่สมัยนี้ เค้า

ไม่ต้องกลัวแล้ว ชั้นเคยไปเผาศพคนๆ หนึ่งที่ราชบุรี มันเป็นเพื่อนของลูกศิษย์ แล้วเค้า

นิมนต์ไป
เมียมันเอาอะไรใส่โลง คุณรู้ไม๊ มันเอาขวานกับเอาเลื่อยใส่โลงไป
คนเค้าถาม เฮ้ย มึงเอาขวานกับเลื่อยใส่ไปทำไม เค้ารักผัวเค้ามาก แต่ผัวเค้าเจ้าชู้มาก แล้ว

เค้ากลัวผัวเค้าต้องไปปีนต้นงิ้ว  เค้าเลยให้ขวานกับเลื่อย ดูมันปัญญาอ่อน
เพราะฉะนั้น คุณไม่ต้องกลัวแล้ว ต่อไปนี้ ต้นงิ้ว มันจะหมดไปจากนรก พอพูดอย่างนี้

เดี๋ยวมันเป็นชู้กันทั้งประเทศเลยแหละ
อ้าว จริ๊งจริง ดูมันปัญญาอ่อน มันเอาขวานกับเลื่อยใส่โลงไปให้ผัวมันน่ะ กลัวผัวมันจะปีน

ต้นงิ้ว
อย่างนั้น เวลาคุณตาย คุณก็เตรียมตัวไว้เถอะ เอาเลื่อยยนต์ก็แล้วกัน ง่ายดี ไวหน่อย
ถามว่า เป็นบาปไม๊ ก็รับศีลไปแล้วนี่ กาเมฯ คุณรู้ไม๊ว่า ผิดศีลข้อนี้ แล้วมันเป็นเหตุอะไร

มันทำให้เราไม่มีเครดิตนะ ไม่เป็นที่ยอมรับและเชื่อถือ ทำดีก็ไม่ได้ดี เกิดภพชาติต่อๆ ไป

ทำอะไรก็ไม่เห็นดี งั้น ถ้าไม่อยากให้เครดิตตัวเองเสีย ก็อย่าไปละเมิดสิทธิ์คนอื่น จบ
พิธีกร       ขอถามต่อแทนผู้ปุจฉาว่า เค้าไม่ทราบมาก่อน แต่ไม่ทราบว่า หลังจากที่ทราบ

แล้ว ยังเป็นแฟนต่อหรือไม่ หรือว่า ถ้ารู้แล้ว เลิกการกระทำนั้น จะถือว่า ผิดศีลหรือไม่ ถ้า

เค้าไม่รู้ เจ้าค่ะ
หลวงปู่        ก็ ศีลนี่มันมีอยู่ 2 ลักษณะ คุณ, ผิด เพราะว่า เจตนา กับ ผิดเพราะรู้เท่า

ไม่ถึงการณ์ หรือไม่มีเจตนา
ในข้อกาเมสุมิจฉาจาร ถ้าไม่มีเจตนา คือ ไม่มีเจตนาแล้วไม่รับรู้มาก่อน ถือว่า ไม่ผิดนะ

ถือว่าไม่ผิด มันไม่เหมือนกับ สุราเมฯ หรือไม่ ก็ไม่เหมือนกับ ปานาติบาท ปานาติบาท

แม้คุณไม่รู้ แต่ทำให้สัตว์ตายก็เป็นกรรมนะ เป็นกรรมชนิดหนึ่งที่ต้องชดใช้
ในกรณีอย่างนี้ ไม่ถือว่าเป็นกาเมสุมิจฉาจาร จบ
หลวงปู่      เลิกหรือยังล่ะ เลิกหรือยัง (ยังค่ะ) ยังเหรอ
พิธีกร      ยังมีญาติโยมมีคำถาม
หลวงปู่      ไม่ใช่ ชั้นถามว่า อ้ายกิ๊กกับชู้คนนั้น มันเลิกกันหรือยัง อะไร ไปไหนกันเนี่ย
พิธีกร      อันนี้ ไม่ทราบคำถามของใคร ช่วยแสดงตนด้วยค่ะ
หลวงปู่       อุ๊ย มันจะกล้าเหรอ เอ๊อ ไม่ได้ เลิกซะ ลูก อย่าไปทำบาปทำกรรม ผู้หญิงเยอะ

แยะ
ปุจฉา        คำว่า อภัย กับคำว่า อโหสิกรรม เหมือนกันหรือไม่
วิสัชนา          มันต้อง อภัย ก่อนแล้วจึงจะถึงคำว่า อโหสิ
อโหสิ มันเป็นกรรมที่ได้รับผลกระทบโดยพฤติกรรม แต่ อภัย มันเป็นสิ่งที่ออกมาจากหัวใจ

มันเป็น นามธรรม แต่ อโหสิ เป็น กายกรรม มันเป็น พฤติกรรม
งั้น ต้อง อภัย เสียก่อน แล้วจึงจะมาถึงคำว่า อโหสิ จบ
ปุจฉา       จะทำอย่างไร น้องชายติดยาเสพติดอย่างหนัก ทำให้คุณแม่เครียดทุกวัน จะมีวิธี

ให้เค้าเลิกยาได้หรือไม่ ที่วัดหลวงปู่มีวิธีรักษาหรือไม่
วิสัชนา         ที่วัดชั้นมี อโรคยาคลีนิค นะ อาทิตย์ต้นเดือน และอาทิตย์ที่ 2 ของเดือน ก็

จะมีคนไข้มาให้รักษา ใช้สมุนไพรรักษา ก็มีคนที่มาให้บำบัดโรคยาเสพติด มีเหมือนกัน

แต่พวกนี้ อย่าไปอาศัยยาอย่างเดียว ต้องอาศัยสังคมและสิ่งแวดล้อม เค้ากินยาแล้วก็ยังไป

เจอยาอีก สังคมรอบข้างมันหนีไม่ได้ ลำบาก
ที่วัดชั้นมีพระ ซึ่งเมื่อก่อนนี้ คือ เค้ามาบวชเณร แล้วก็สึกออกไป แล้วก็ไปเรียนช่างเทคนิค

แล้วสุดท้าย ก็ไปติดยาในโรงเรียน ทีนี้ พอติดยาหนักเข้าก็หลอน หลอนก็ทำร้ายพ่อแม่

แล้วพี่ชายไปเป็นทหารอยู่ที่ใต้ อยู่ที่นราธิวาส แล้วช่วงหนึ่งที่ชั้นไปแจกของขวัญให้กับ

พวกทหารที่ใต้ เค้ารู้ เค้าได้ยินเข้า เค้าเคยเห็น เค้าเคยรับของขวัญ เค้าก็เลยตามมาขอร้อง

บอกว่า ให้ช่วยรับน้องชายเค้ามาบวชที ตอนนั้น เค้าเครียดมากเลย น้องชายเค้า นี่ โวยวาย

ไล่ทุบ ไล่ตีคน
ไปฝากสมภาร สมภารก็บอก ไม่เอา ไม่รับ สุดท้าย เค้าเลยมาร้องไห้ ขอร้อง หลวงปู่ก็เลย

บอกว่า มึงพูดรู้เรื่องไม๊, รู้, เรียกมาคุยหน่อย ก็เรียกมา ก็มองหลวงปู่ตาขวางๆ เราก็

เลยบอก มึงอยากอยู่ในวัดนี้ไม๊, อยาก, อยากเป็นคนสมบูรณ์ๆ เป็นคนดีกับเค้าบ้าง

ไม๊, อยาก , อ้าว อย่างนั้น มึงอยู่ได้ มึงไม่ต้องไปไกล มึงอยู่ใกล้ๆ กูก็แล้วกัน ถ้าไปไกล

เดี๋ยวมึงโดนคนอื่นเค้าทุบ หรือไม่ ก็ไปทุบคนอื่น
ทุกวันนี้ ได้บวช แล้วก็รู้สึกสุขภาพเค้าดี พ่อแม่ก็มาใส่บาตร เหมือนกับขึ้นสวรรค์ เค้ากิน

ยาทุกวัน ต้องกินยา ที่วัด บวช ก็ไม่ได้ เช้าเอน เพลนอน บ่ายพักผ่อน กลางคืนจำวัด ดึกดู

โทรทัศน์ ค่ำซัดมาม่า อะไรน่ะไม่ใช่ ต้องมีงานทำ บวชแล้วก็ต้องทำงาน ต้องช่วยเหลือสังคม
ก็บอกแล้วว่า อยู่ที่นี่ ต้องทำ 2 สิ่ง พึ่งตัวเองได้ และเป็นที่พึ่งของคนอื่นได้ อยู่ได้
เค้ามีบวชภาคฤดูร้อนด้วยนะ ใครมีลูกมีหลานจะบวชภาคฤดูร้อน บวชถวายพระราชกุศล

บวชแล้ววันที่ 27 ชั้นจะพามาสวดมนต์ ที่โรงพยาบาลศิริราช ศาลา 100 ปี บวชแล้วก็

ไปอยู่ที่ทองผาภูมิ ไปถือธุดงค์หลังจากบวชแล้ว 15 วัน ก็ไปอยู่ที่ทองผาภูมิ
บวช 1 เดือน บวชฟรี ใครมีลูกหลาน พาไปสมัครบวชก็เชิญ จบ
ปุจฉา       อ่านหนังสืออย่างไร จะให้จำแม่น และการมีแฟน ถือว่า เป็นกรรม หรือเปล่า
วิสัชนา        แสดงว่า จะหาเรื่อง เลิก เหรอ จะหาเรื่องเลิก อีตอนที่รักกันใหม่ๆ ล่ะ หมาเห่า

เตะหมา พอรักกันไป รักกันมา หมาเห่า หันมาด่าเมีย อีห่านี่ มึงเดินยังไงให้หมาเห่า อะไร

อย่างนี้ ประมาณนั้น ที่จริง มีแฟน มันน่าจะมีความสุขนะ ถ้าหากว่า ไม่สร้างปัญหา และ

ไม่มีปัญหาระหว่างกัน มันก็น่าจะมีความสุขในระดับหนึ่ง เพราะว่า มันเป็นกามคุณ เป็น

อะไรที่พึงพอใจ มันเป็นธรรมชาติของสังคมมนุษย์
คำถามที่ 2 เค้าถามว่า อะไรนะ
พิธีกร      ทำอย่างไร ที่จะให้อ่านหนังสือแล้วจำแม่น
หลวงปู่     อ่านหนังสือ จำแม่น ไม่ยาก ทำใจให้ว่าง คุณต้องทำใจให้ว่างๆ
เด็กสมัยนี้ อ่านหนังสือ หูฟังซาวด์เบ๊าท์ แต่ตาดูหนังสือ ปากอ่าน แต่หูฟังอย่างอื่น ไม่ถูกต้อง

คือ ทุกอย่าง มันต้องรวมอยู่กับหนังสือ เวลาชั้นอ่านหนังสือนี่ ชั้นเป็นคนที่อ่านหนังสือน้อย

มาก แต่เวลาชั้นเปิดอ่านหนังสือ ชั้นจะเอาความเข้าใจเป็นหลัก
ชั้นอ่านหนังสือน้อยมาก แต่ชั้นเขียนหนังสือเยอะมาก บทโศลกที่ชั้นเขียน เวลาชั้นไปอยู่ป่า

นั่งๆ อยู่ชั้นก็จะปิ๊ง ใช้ค่า ปิ๊ง อย่างเวลาชั้นไปอยู่บนถ้ำไก่หล่น ถ้ำที่หัวหิน ที่พระบาท

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ไปสร้างฝาย แล้วน้ำ มันแห้ง เพราะฝายมันรั่ว แล้วชั้นก็ไปซ่อมให้

ขอพระบรมราชานุญาต ซ่อม แล้วชั้นก็อยู่บนเขา บนถ้ำ ก็เห็นฟอสซิล ของทะล สัตว์ทะเล

มันอยู่ตามผนังถ้ำ
นั่งๆ อยู่ เราก็นึก เออ ก็เขียน
สรรพสิ่งเริ่มประปราย ดารารายเปลี่ยนวิถี ทะเลลึกเนิ่นนานปี มาวันนี้ กลายเป็นสูง
เวลาชั้นเขียนหนังสือ นี่ชั้นจะทำใจว่างๆ จะไม่คิด จะไม่ฟุ้งซ่าน คือ ไม่แยกสมาธิออกจาก

สิ่งที่เรากำลังจะทำ แล้วไม่ต้องจำ จะเข้าใจ ถ้าอาศัยการจำ เดี๋ยวไปสะดุดก้อนหิน ก็ตก

หล่นหาย แต่ถ้าเข้าใจ ไม่ต้องจำ จะอยู่กับเราได้ตลอดทั้งปีทั้งชาติ
บทโศลกพวกนี้ ชั้นเขียนมาตั้งแต่ 30 กว่าปีที่แล้วล่ะ ก็เขียนด้วยความเข้าใจไง เหมือน

กับสมัยก่อน ชั้นอยู่ถ้ำรังเสือ หลวงปู่โต๊ะท่านอยู่ถ้ำสิงโตทอง พอตกเย็น ท่านก็จะให้เณรมา

เรียกไปนั่งคุยกัน ซดน้ำชา ชั้นเขียนบทโศลกไว้บทหนึ่งถวายท่าน ใช้สมมุติ ให้เกียรติใน

สมมุติ ยอมรับสมมุติ รับประโยชน์ในสมมุติ ได้ประโยชน์จากสมมุติ ท้ายที่สุด อย่ายึดติด

ในสิ่งที่เป็นสมมุติ
ท่านยังบอกว่า คนที่เขียนนี่ ถ้าไม่ใช่อรหันต์ ก็ต้องเป็นผู้วิเศษล่ะ
เราก็เลยกราบถวายท่านว่า ไม่ใช่หรอก ก็เขียนด้วยใจว่างๆ ทุกอย่างในโลกนี่ มันสมมุติทั้ง

หมดแหละ มันไม่มีอะไรเป็นของจริง ถ้าเข้าใจความหมายนี้ เราก็จะอยู่กับสมมุติอย่างเป็น

ผู้ใช้มัน ไม่ใช่ให้มันมาใช้เรา จบ
พิธีกร      กราบขอบพระคุณค่ะ ไม่ทราบว่า หลวงปู่จะเมตตา
หลวงปู่      นั่นแน่ะ กูว่าแล้ว
พิธีกร       ปุจฉาต่อหรือเปล่าคะ เพราะฝนยังไม่หยุดตกนะคะ
หลวงปู่        ถ้ามันหยุด 2 ทุ่มนี่ ชั้นไม่ต้องมานั่งตอบจนกระทั่ง
พิธีกร      หลวงปู่ มีกิจนิมนต์ที่ไหนต่อหรือเปล่า เจ้าคะ
หลวงปู่        กลับวัด อ้าว แล้วพวกคุณ ไม่มีลูก ไม่มีผัว ไม่เรียกหาบ้างหรือไง ไม่ต้องห่วง

ชั้นหรอก ห่วงพวกคุณเถอะ เหลืออีกหลายคำถามเลยเหรอ
พิธีกร     เหลือประมาณ 5 เจ้าค่ะ
หลวงปู่      อ้าว ไหนเมื่อกี้บอก 5
พิธีกร      เมื่อกี้ขอ 5 เจ้าค่ะ แต่ยังไม่หมด ถ้าจะให้หมด ก็อีก 5 เจ้าค่ะ 5 ปุจฉาเจ้าค่ะ
หลวงปู่       อู่ ใครบอกว่า ผีน่ากลัว เอ้าๆๆ เอาให้หมด ไหนๆ นานๆ ที
ปุจฉา       เค้าบอกว่า การครองสติ เค้าทำได้แค่เดี๋ยวเดียวเท่านั้น เดี๋ยวสติก็ท่องเที่ยวไปได้

ไกลๆ จนบางครั้ง ก็แปลกใจว่า จะทำให้มีสติได้อย่างไร
วิสัชนา       อาทิตย์ต้นเดือน อาทิตย์กลางเดือน กับอาทิตย์สุดท้ายของเดือน อาทิตย์ที่ 4

น่ะ คุณ ไปที่วัด ชั้นจะฝึกมหาสติฯ แล้วทุกอาทิตย์ต้นเดือน กลางเดือน ช่วงเช้า ชั้นรักษาไข้  

ช่วงบ่าย ก็จะสอนกรรมฐาน ฝึกสติ คุณลองไปฝึกกับเค้าดูก็ได้ ฝึกง่ายๆ ไม่มีอะไร
ว่างๆ ไปที่วัด อาทิตย์ต้นเดือน อาทิตย์กลางเดือน ตอนช่วงบ่ายโมงถึง 4 โมงเย็น ลองไป

ฝึกดู
หรือไม่ ก็เริ่มฝึกจากชีวิตประจำวัน จัดระเบียบของกาย จนเป็นระบบของความคิด ซีดีกับ

เทป หนังสือธรรมะ เค้าแจกให้หรือยัง
พิธีกร     แจกให้แล้ว เจ้าค่ะ
หลวงปู่     เอ่อ ลองไปศึกษา เปิดฟัง อ่านดูบ้าง ในนั้น เค้าจะมีสอน ลูกศิษย์เค้าเขียน

ประสบการณ์ทางวิญญาณ ที่อยู่กับชั้น เรียนกรรมฐานกับชั้น เค้าเขียนเอาไว้ ลองไปศึกษา

ดูก็ได้ จบ
น้องหนูได้หรือยัง ลูก ยังไม่ได้เหรอ เอ้า เดี๋ยวเค้าแจกให้ ลูก เข้าใจว่า ชั้นเอามา 300 ชุด

ไม่ใช่เหรอ
พิธีกร     350 ชุด เจ้าค่ะ
หลวงปู่        เอ่อ เดี๋ยวแจกให้น้องหนูด้วย สู้อุตส่าห์มานั่งสัปหงก เงิกงากๆ ก็เอาวะ พอได้

บ้างล่ะ ดีกว่าอยู่เปล่าๆ ลูก อย่างนี้ หลวงปู่ชื่นชมนะ เพราะว่า อย่างน้อยก็มาหลับในที่ฟัง

ธรรม ก็ดีกว่าหลับในโรงหนังโรงละครน่ะ ลูก ก็ยังได้หลับล่ะ หลับบ้าง ตื่นมา อ้าว จบแล้ว

เหรอ หลวงพ่อ
ข้างล่างก็เต็มทน ข้างบนก็เต็มที เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ จบ
ปุจฉา        เราจะใช้หัวข้อธรรมะใด ปรับใจตนเองเมื่อเห็นว่า ทุกวันนี้ สังคมมันเลวร้าย

จนไม่น่าอยู่ แล้วก็เกิดความท้อใจที่จะทำดีต่อไป
วิสัชนา     โธ่ ชั้นเนี่ยนะ เจอทุกวัน แล้วเราก็รู้ว่า คนที่มาหาเราแต่ละคน เค้าไม่ได้มีความ

สุข เค้าก็เอาความทุกข์มาระบายให้เรา แล้วถ้าเราทำตัวเป็นถังเต็มๆ มันก็จะล้น แต่ถังว่างๆ

มันก็จะไหล มันก็จะซึมเข้ามา
งั้น ทำหน้าที่ดีที่สุด ก็คือ ชั้นจะทำใจให้มันว่างๆ มองความว่างเป็นอารมณ์ เหมือนที่พระผู้

มีพระภาคเจ้า ทรงสอนโมฆราชว่า โมฆราชะ เมื่อใดที่เธอเห็นความว่าง เมื่อนั้นมัจจุราชจะ

ไม่เห็นเธอ
ตอนที่ชั้นประกาศขายวัด 2 วันต่อมา มีคนมาเตือนชั้นว่า ระวังจะโดนรถ 10 ล้อ เหยียบ

อีกวัน 2 วันต่อมา ก็มี อ้ายดอกไม้จันมาให้ มาถวาย
แล้วชั้นว่างตลอด เฉยๆ เพราะชั้นถือว่า สิ่งที่ชั้นทำ มันเป็นเรื่องถูกต้อง ถ้าจะตายเพราะ

ความถูกต้อง ก็ไม่ได้เรื่องเสียหายอะไร ดีกว่าเราจะต้องมานั่งยอมรับความผิดพลาด แล้ว

ก็ทำความผิดพลาดให้มันเกิดขึ้น แล้วทนต่อความผิดพลาดไม่จบสิ้น
งั้น อยากบอกพวกคุณว่า การที่จะอยู่กับโลกที่มันบีบคั้นอย่างนี้ มันต้องทำใจให้ว่างบ้าง เค้า

เรียกว่า มีปรมัตบ้าง
สมมุติบัญญัติ ประกอบกับ ปรมัตสัจจะ จึงจะอยู่กับโลกใบนี้ได้ แต่ถ้ามีแต่สมมุติบัญญัติ

แต่ขาดปรมัตสัจจะ ปรมัต ก็คือ อะไร ความว่างไง มองทุกอย่างให้มันเป็นของว่างๆ ซะบ้าง
ถามว่า ทำไม มันถึงว่าง
อ้าว เราบอกว่า อันนี้ ไมค์, มันไม่ใช่ไมค์ อันนี้ที่จับอยู่ มันเป็นเหล็ก แล้วผิวของเหล็ก ก็

เป็นพลาสติกหุ้ม ข้างในก็เป็นอะไร ก็ประกอบด้วยองค์ประกอบมากมาย มีสายไฟหุ้ม

ฉนวนเยอะแยะ แล้ว ไมค์ จริงๆ มันอยู่ที่ไหน
ตัวไมค์ จริงๆ มันไม่มี มันว่าง มันหลายสิ่งรวมกัน เรียกสิ่งนั้นว่า หนึ่งสิ่ง, หนึ่งสิ่งนั้น ชื่อนี้

อย่างนี้เป็นต้น เมื่อถึงคราวหนึ่งสิ่งนั้น มันหมดอายุขัย หนึ่งสิ่งนั้นมันแตกไป ก็กลายเป็น

หลายๆ สิ่ง ออกมาเป็นสรรพสิ่ง
ถ้าเข้าใจความหมายนี้ ก็ถือว่า เป็นปรมัตสัจจะ
งั้น ต้องศึกษา ต้องศึกษาธรรมะ
ธรรมะ นี่มันเป็นเครื่องล้าง เครื่องชำระ เครื่องฟอก ทำให้ใจสบาย เวลาเราสกปรก ตัวเนื้อ

สกปรก เราต้องอาบน้ำ เราต้องล้างชำระ แต่ถ้าใจนี้มันสกปรก อะไรมันก็ล้วงไปล้างชำระ

ไม่ได้ ต้องใช้ธรรมะ ต้องศึกษาธรรมะ
มนุษย์ใดถ้าปฏิเสธธรรมะ มนุษย์นั้นก็จะอยู่อย่างทุกข์ยากเดือดร้อน ทุรนทุราย
อะไรล่ะ อะไรป้า บ่นอะไร จบ
ปุจฉา         บุคคลที่ปฏิบัติธรรม รักษาศีล แต่ไม่ประกอบอาชีพเพื่อเลี้ยงดูบิดามารดา แต่

ชอบที่จะเดินทางไปปฏิบัติธรรมตามสถานที่ต่างๆ บางทีก็ต้องใช้ปัจจัยที่ค่อนข้างมาก ซึ่งก็

ขอจากคนในครอบครัว อยากถามว่า บุคคลเช่นนี้ จะได้บุญหรือไม่ แล้วถ้าคนในครอบครัว

ไม่มีให้ จะบาปหรือไม่
วิสัชนา        บุญน่ะ เค้าได้ แต่ไม่สำนึกในหน้าที่ เท่านั้นเอง เพราะสิ่งที่เค้าทำ เค้าได้ แต่

หน้าที่ของเค้าไม่ได้ เค้าขาดสำนึก ขาดจิตสำนึกรับผิดชอบต่อหน้าที่
หน้าที่ของเค้า คืออะไร
ความเป็นลูก ก็ต้องดูแลพ่อแม่ ต้องใส่ใจ เค้าขาดจิตสำนึกในความรับผิดชอบหน้าที่
แล้วถามว่า บุญ ทำไมถึงได้
อ้าว ก็เค้าทำน่ะ เค้าทำ เค้าก็ได้ แต่มันได้บุญใน เหมือนกับได้ เอาดอกไม้ไปปักในหลุมขี้

เข้าใจความหมายไม๊ มันมีสภาพแบบนั้นน่ะ ดอกไม้มันไม่ได้อยู่ในแจกันอย่างดี มันดันไป

อยู่ในหลุมขี้ แทนที่สีมันจะสวย แต่มันสวยในกองขี้ มันก็ดูไม่ดี ยังไงมันก็ดูไม่ดี จบ
แหม เปรียบซะเห็นภาพเลย
พิธีกร     ปุจฉาต่อไปค่ะ
หลวงปู่     เหลืออีกกี่ข้อ จ๊ะ
พิธีกร       เหลืออีก 2 อีกเอง ค่ะ
ปุจฉา          ถ้าเราโดนผู้อื่นหาเรื่อง หรือ แทงข้างหลังอยู่เสมอ แล้วเราก็พยายามสงบนิ่ง

ไม่โต้ตอบ แต่บางครั้ง ก็โมโห เราควรจะใช้หลักธรรมใดระงับ ดีที่สุด
วิสัชนา         คนที่เค้าด่าเราเนี่ยนะ เค้าอยากให้เราเป็นทุกข์นะ ถ้าเค้าด่าเรา แล้วเรายิ้มให้

เค้าเนี่ย เค้ากระอักเลือดนะ เค้าลำบากนะ ชั้นมีครั้งหนึ่ง สมัยอยู่วัดคลองเตยใน แล้วคนก็

เอาแมวมาปล่อยเยอะมาก แล้วใครๆ ก็ไม่เลี้ยงไง เราก็มีความรู้สึกสงสารนะ
พอบิณฑบาตรได้ ก็ปลาทูบ้าง ปลาเค็มบ้าง ไข่บ้าง มาหยำๆ แล้วก็ให้มันกิน เลี้ยงมัน มันก็

มาเป็นร้อยๆ ตัวเลยนะ แมวนี่มันรู้นะ มันกินข้าวหน้ากุฏิชั้น แต่เวลามันขี้มันเยี่ยว ไปขี้

เยี่ยวหน้ากุฏิหลวงตา วันดีคืนดี กลับมาจากบิณฑบาตร หลวงตาแกก็มาเลยเชียว
ท่าน บอกมันบ้างสิ เลี้ยงมันอย่างเดียว แล้วไม่รู้จักสอนมัน จะขี้จะเยี่ยว ก็ให้มันไปขี้ที่อื่น

เยี่ยวที่อื่นสิ ทำไมไม่รู้จักสอนมันมั่ง
เราก็เลยนั่ง ทำตาปริบๆ แล้วก็ หลวงตา เหนื่อยไม๊ครับ, ทำไม, ฉันน้ำก่อน นั่งฉันน้ำ

ก่อน ยืนเดี๋ยวเป็นลม อายุมาก เดี๋ยวหอบ
เค้าเห็นเราไม่หือ ไม่อือ ไม่กระตือรือร้น แถมชวนฉันน้ำอีก เค้าไปเลย
อย่างหนา ก่อนจะไป สะบัดพรึบ อย่างหนา
ฮึ จะไปอะไร เค้าด่าเพื่อให้เราเป็นทุกข์ แล้วเราต้องไปทุกข์กับเค้าด้วยเหรอ
ชีวิตเรา ต้องแขวนไว้บนฟองน้ำลาย ที่กระดกบนปลายลิ้นชาวบ้านเหรอ แล้วจะมีชีวิตไป

ทำไม หา ไหนบอกว่า เป็นชีวิตของเราไง ถ้าเป็นชีวิตของเรา ทำไมต้องไปติดบนฟองน้ำลาย

แถมอยู่ปลายลิ้นเค้าอีก จะถุยเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ อย่างนี้ จะเรียกว่า เป็นเจ้าของชีวิตได้ยังไง
ชั้นน่ะ ไม่สนใจหร๊อก ใครจะว่าอะไร ยังไง ไม่สนใจ
ถ้ามันไม่ถูกต้อง ยิ่งไม่สนใจใหญ่ ใครจะพูดว่า บ้า เฟอะ เลอะเทอะ ไม่สนใจอ่ะ มึงมาพา

โวย
ชั้นพูด ชั้นคิด ชั้นทำ ขอให้มันเรื่องเดียวกัน ชั้นพอใจละ ไม่ได้เสแสร้ง ก็พอละ
ใจคิดอะไร ปากพูดอย่างนั้น สมองคิดแบบนั้น เท่านั้นเอง แล้วก็ทำเช่นนั้น อย่างนั้น
งั้น ไม่ต้องกลัวว่า ใครเค้าจะมาตำหนิติว่า
งั้น อย่าเอาชีวิตไปฝากไว้บนฟองน้ำลาย ที่กระดกบนปลายลิ้นชาวบ้าน แสดงว่า คุณจะโดน

ถ่มถุยเมื่อไหร่ก็ได้ ชีวิตคุณนี่มันแย่มากๆ จบ
พิธีกร      ปุจฉาสุดท้ายแล้วนะ เจ้าคะ หลวงปู่
หลวงปู่     ขอบคุณม๊าก
ปุจฉา         หลวงปู่คิดว่า คนที่มีอายุมาก แล้วก็ผ่านกิเลสครอบงำมานาน ยังสามารถจะ

เปลี่ยนทัศนคติให้เค้า ได้หรือไม่ ควรใช้ธรรมะข้อใด
วิสัชนา       มันก็มีกิเลสหลายข้อนะ มันขึ้นอยู่กับว่า กิเลสข้อไหน
ปัญหามันอยู่ที่ว่า เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า มนุษย์เนี่ย มันโดนหล่อเลี้ยงให้เจริญเติบโต

ด้วยกิเลสและตัณหานะ ไม่เชื่อ คุณลองกลับไปย้อนดูชีวิต ที่คุณโตได้ไม่ใช่เพราะตัณหา

และกิเลส แล้วคุณโตเพราะอะไร
อยากกินข้าว นี่เป็นตัณหาไม๊, อยากใส่เสื้อสวยๆ ผ้าดีๆ นี่เป็นตัณหาไม๊ เป็นทั้งนั้น
เพราะฉะนั้น ชั้นถึงได้เขียนบทโศลกสอนลูกหลานไว้ไง
ลูกรัก คนฉลาดใช้กิเลส คนโง่โดนกิเลสใช้
ลูกรัก ชั่วชีวิตพ่อ บนโลกใบนี้ มีแค่มนุษย์ 2 เผ่าพันธุ์ 1. เผ่าพันธุ์โง่ 2. เผ่าพันธุ์

ฉลาด แต่สำหรับสายตาพ่อแล้ว เผ่าพันธุ์โง่ มีมากกว่า เผ่าพันธุ์ฉลาด
งั้น เราต้องกลายเป็นเผ่าพันธุ์ฉลาด เพื่อจะใช้กิเลส อย่ากลายเป็นเผ่าพันธุ์โง่ เพื่อโดนกิเลสใช้
ชั้นมาแสดงธรรม นี่ก็มาด้วยกิเลสนะ อยากให้คุณได้รู้ธรรมะไง แต่ชั้นใช้มัน ไม่ใช่ให้มัน

มาใช้ชั้น
คุณมาฟังธรรม มีกิเลสไม๊, มี๊ อยากมานั่งฟัง เนี่ย เป็นกิเลสอย่างหนึ่ง แต่กิเลสไม่ดี มา

แลกเอากิเลสดีกลับไป เป็นของดีกลับไป อย่างนี้เป็นต้น เค้าเรียก เป็นผู้ใช้กิเลส
งั้น พยายามฝึก ศึกษา สั่งสม อบรม สติปัญญา ใช้มากๆ แล้วคุณจะมีอำนาจเหนือกิเลส ไม่

ใช่เป็นคนที่โดนกิเลสครอบงำ จบ
พิธีกร      เจ้าค่ะ กราบขอบพระคุณ หลวงปู่ ที่ได้วิสัชนาข้อปัญหาธรรมต่างๆ ให้กับผู้รับ

ฟังการบรรยายธรรมในวันนี้
หลวงปู่      เค้าจะมีอีกเมื่อไหร่เนี่ย
พิธีกร     จะเป็นครั้งต่อไป เดือนมิถุนายน เจ้าค่ะ
หลวงปู่      จะนิมนต์ชั้นมาอีกไม๊
พิธีกร      ถ้าหลวงปู่เมตตา ก็จะเรียนนิมนต์ในรอบต่อไป น่าจะเป็นปี 57 เจ้าค่ะ
หลวงปู่      ปี 57 เลยเหรอ มิน่า ถามซะใหญ่เลย เผื่อเอาไว้ปี 57
พิธีกร       ทางคณะผู้จัดทำ บรรยายธรรม ในวันนี้ ต้องขอกราบขอบพระคุณ หลวงปู่

พุทธะอิสระ แห่งวัดอ้อน้อย อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม เป็นอย่างมาก นะเจ้าคะ

ที่ได้เมตตามาบรรยายธรรมในวันนี้ แล้วก็ยังมีหนังสือธรรมะดีๆ มาแจกให้กับญาติโยมทุก

คนด้วยค่ะ.....ขอแสดงมุทิตาจิตด้วยการถวายผ้าป่าและเครื่องไทยธรรมแด่ หลวงปู่

องค์เทศนาธรรม
เนื่องจากท่านประธานฯ ติดฝน ก็เลยเดินกลับมาไม่ได้ ก็จะขอเชิญ คุณวิชัยฯ ซึ่งเป็นผู้

บริหารท่านหนึ่งของโครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดา คุณศุภชัยฯ ขึ้นมาถวายผ้าป่า และ

เครื่องไทยธรรมแด่ หลวงปู่พุทธะอิสระ.....
หลวงปู่      ตั้งใจกรวดน้ำ แล้วรับพร ปัจจัยที่พวกคุณถวาย ชั้นรับแล้ว ยกให้เป็นสมบัติ

ของวัด และมูลนิธิฯ เพื่อใช้ในกิจกรรมบวชพระ บวชเณรในภาคฤดูร้อน ถวายพระราช

กุศลต่อ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ขอท่าน

ทั้งหลายอนุโมทนา (สาธุ)
ส่วนข้าวสาร อาหารแห้ง ก็เอาเข้าโรงครัว เพื่อทำอาหาร ประกอบเลี้ยงพระเณรที่มาบวช

ตลอด 1 เดือน ขอท่านทั้งหลาย อนุโมทนา (สาธุ)
ตั้งใจกรวดน้ำ ว่าตาม แล้วรับพร ลูก
................
ตั้งใจรับพร ลูก
..............
(สาธุ)
จำเริญ ลูก ธรรมะรักษา ให้รุ่งเรือง โชคดี มีสุขภาพแข็งแรง มีอายุยืนยาว มีปัญญาแจ่มใส

ลูก
กราบลาพระ
อะระหัง สัมมา
...............    
ธรรมะ รักษาทุกคน ลูก
พิธีกร       ต้องขอกราบขอบพระคุณในเมตตาธรรม ของหลวงปู่พุทธะอิสระ ที่ได้เมตตา

สละเวลาอันมีค่า มาแสดงธรรมให้กับข้าราชสำนักในวันนี้ โอกาสหน้าจะขอเมตตาจาก

หลวงปู่ นิมนต์มาเทศนาธรรมให้กับผู้ที่ยังไม่มีโอกาสเข้ามาฟังในวันนี้ด้วยค่ะ
แล้วก็ขอขอบคุณ..... แล้วก็ปัจจัยที่ได้ในการถวายผ้าป่าร่วมกัน 17,240 บาท

กราบอนุโมทนากับทุกท่านด้วย.......