3 มี ค 56 13.25 น. ธรรมะต้นเดือน แสดงธรรม โดย องค์หลวงปู่พุทธะอิสระ
(กราบ)
เจริญธรรม เจริญสุข ท่านผู้รับชมรายการ ปุจฉา วิสัชนา ญาติโยมพุทธบริษัท ผู้ชุมนุมกัน ณ. สถานที่ ศาลาการเปรียญ อาวาสวัดอ้อน้อย ที่มาฟังธรรมประจำเดือนทุกท่าน คุณพิธีกร อะไรล่ะ
พิธีกร ...จอห์นสัน ครับ
หลวงปู่ เค้าเขียน มันสะท้อนแสง ตามองไม่เห็น แต่ที่รู้ๆ ก็คือ คุณจอห์นสั้น เหรอ
พิธีกร ครับผม
หลวงปู่ อ๊อ รู้สึกรายการนี้ ใช้พิธีกร เปลืองมาก หายหน้าไปนาน ไปอยู่ไหนมา
พิธีกร ก็อยู่แถวๆนี้แหละครับ
หลวงปู่ เหร๊อ ชั้นยังนึกว่า เอ๊ะ คุณไปไหน ไปเมืองนอก ไปไหน ไม่เห็นหน้า วันนี้มาไง
มากับฝนเหรอ
พิธีกร วันนี้ พอดีว่า เลือกตั้งเสร็จแล้ว ทางพี่แป๊ะ ที่เป็นคนจัดรายการ เค้าก็อยากให้มา
หลวงปู่ Producer ไปเรียกให้มา
พิธีกร Producer ครับผม ตามมา อยากจะมาอยู่แล้วครับ
หลวงปู่ วันนี้ รู้สึก คนไปไหนกันหมดล่ะ (ไปเลือกตั้งค่ะ) อ๊อ เหรอ แล้ว พวกนี้
เลือกแล้วเหรอ (เลือกแล้วค่ะ) เลือกแล้ว ก็ดีแล้ว เลือกคนดีไม๊ ก็เลือกคนดีทุกคนแหละ
พอถาม เลือกคนดี ก็เลือกคนดีทุกคนน่ะ เผอิญ เลือกแล้ว มันมาไม่ค่อยจะดี หรือเปล่า ไม่
แน่ใจ
บ้านเมืองเราไม่รู้ว่า จะจบลงตรงไหน ถ้าหากว่า เรายังฝากชีวิตตัวเองไว้กับการเลือกตั้ง นี่
มันไม่น่าจะเป็นคำตอบสุดท้ายของอนาคตชีวิตบ้านเมือง ด้วยเหตุผลว่า เราไม่รู้ว่า คนที่มา
รับหน้าที่ มาอาสา ที่จะทำงานแทนเรา เพื่อบริหารจัดการบ้านเมือง เป็นคนที่มีความรู้
ความสามารถ เป็นคนดี มีความสามารถ เป็นคนที่ได้เห็นคุณค่าของชีวิต ของประชาชน
เห็นคุณค่าของสิ่งแวดล้อม เห็นคุณค่าของแผ่นดิน ประเทศชาติ แล้วก็พยายามที่จะสร้าง
มูลค่าร่วม ไม่ใช่มูลค่าเฉพาะตัวเอง ได้มากน้อยแค่ไหนอย่างไร
แต่เราก็หวังกันไปเรื่อยๆ หวังว่า จะได้มีโอกาสเลือกตั้ง จะได้เปลี่ยนใหม่ จะได้หาคนดีมา
ทำหน้าที่ใหม่ ทำการงานแทนเราได้ใหม่ อะไรก็ว่าไป ก็หวังกันมาชั่วชีวิต หลายคนที่นั่งอยู่
นี่ก็ ตั้งแต่เริ่มประชาธิปไตยใบแรก จนถึงจะใบสุดท้ายอยู่แล้ว ก็หวังกันไปเรื่อยๆ แต่ว่า
มันก็ยังไม่จบอยู่ในคำตอบที่ว่า ทำให้สังคมงดงาม สิ่งแวดล้อมรุ่งเรือง เศรษฐกิจพออยู่ พอ
ได้ พอมี พอกิน พอเป็น ไม่อด ไม่ฝืดเคือง แล้วก็ ไม่ต้องเป็นหนี้ เป็นสินใคร
แล้วสุดท้ายก็ ประเทศชาติสงบเย็น ยังไม่ได้คำตอบนี้ได้สักที
บางที ฟังแล้ว ก็น่าเบื่อหน่าย พูดแล้ว ก็น่าเบื่อหน่าย หรือ คิดแล้ว ก็น่าเบื่อหน่าย แต่เราก็
จำเป็นต้องทำ ทำหน้าที่ไปเรื่อยๆ
แต่อยากจะบอกว่า ไม่ว่า ใครก็ตามที ต้องไม่ลืมที่จะทำหน้าที่ของตน เพราะ วิธีทำหน้าที่
นั่นแหละ เป็น วิถีแห่งการสร้างบุญอย่างหนึ่ง พระพุทธเจ้าสอนให้ทำบุญ ในการทำหน้าที่
บอกเอาไว้ในบุญกิริยาวัตถุ 10 อย่าง, 1 ใน 10 อย่างก็คือ การได้ทำหน้าที่ พ่อ
ทำหน้าที่พ่อ ผัวทำหน้าที่ผัว เมียทำหน้าที่เมีย ลูกทำหน้าที่ลูก ครูบาอาจารย์ทำหน้าที่ สังคม
นักการเมือง รวมทั้งข้าราชการ ไพร่ฟ้าประชาชน ต่างคนต่างทำหน้าที่ ถ้าทุกคน ถูกต้องใน
หน้าที่ ก็เป็นความอิ่มอกอิ่มใจ
ความอิ่มอกอิ่มใจ ผ่อนคลาย สบายใจ เป็น บุญอย่างหนึ่ง ที่จะทำให้แก่กันและกันโดยไม่
ต้องบริจาค ไม่ต้องให้อะไร แค่ได้ทำหน้าที่ของตน แม้ที่สุด พระเณรเถรชี ก็ได้ทำหน้าที่
ให้ตรง ถูกต้อง
ก็ฝากเอาไว้อย่างนี้ก็แล้วกัน สำหรับนักเลือกตั้งทั้งหลาย รวมทั้งผู้อาสาเข้ามา และ ผู้ที่ไป
เลือกเค้าเข้ามา ก็ให้ต่างคนต่างทำหน้าที่ ดูคนที่เค้ารับผิดชอบ และสำนึกในหน้าที่ แต่ก็
เลือกไปแล้วนี่ ทำยังไงได้ ก็ได้แต่มามองว่า เราก็ได้ทำหน้าที่ในส่วนของเราให้ดีที่สุด ให้
ได้มากที่สุด ให้ได้คุ้มที่สุด ให้ได้รอบคอบที่สุด ให้ได้ประโยชน์สูงสุด ก็แล้วกัน
วันนี้ คุณมา มีอะไรมาคุยกับชั้น
พิธีกร มีเยอะเลยครับ
หลวงปู่ เยอะ ว่า
พิธีกร ก่อนอื่นต้องขอกล่าว สวัสดี นะครับผม ทุกๆท่านนะฮะ ขอต้อนรับทุกท่านเข้าสู่
รายการปุจฉา วิสัชนา ถามมาตอบให้ โดยหลวงปู่พุทธะอิสระนะครับผม.......ผม
ขอเริ่มคำถามแรกนะครับ
ปุจฉา ถ้าจะสร้าง พระซำปอฮุก สูง 2 เมตร จำนวน 3 องค์ มาถวายที่วัดอ้อน้อย
จะได้หรือไม่
วิสัชนา เดี๋ยวนี้ วัดอ้อน้อย เป็นอะไรก็ไม่รู้นะ ใครๆ ก็อยากเอาอ้ายนู่นมาให้ อยาก
เอาอ้ายนี่มาให้ ทั้งพระก็อยากเอามาให้ หมาก็อยากเอามาให้ หมูก็เอามาให้จนเต็มวัดไป
หมด ไม่เห็นเอาลูกสาวมาให้บ้างเลย ก็ไม่เป็นไร อยากเอามาถวาย ก็ไม่ได้ว่าอะไร ไม่ได้
ตำหนิติว่า อนุโมทนา จบ
ปุจฉา ตาเป็นต้อเนื้อ อยากทราบว่า ถ้าไม่รักษาด้วยวิธีลอกต้อเนื้อออก จะมีวิธีอื่นหรือ
ไม่ ปัจจุบันนี้ รู้สึก เคืองตาทุกวัน เวลาโดนลม หรือ ใช้สายตามากๆ
วิสัชนา คนไทยเราเนี่ย จะรักษาหน้า มากกว่า รักษาตีนกับตานะ สังเกตุดูเถอะ เราลง
ทุนกับเรื่องหน้า มากมโหฬาร แต่ระหว่างตีนกับตา นี่ไม่ค่อยสนใจ ทั้งๆ ที่ ตีนกับตา นี่มัน
ทำประโยชน์ให้กับชีวิตมากกว่าหน้าด้วยซ้ำนะ แต่เราลงทุนกับหน้านี่ โอ้โห แพงแสนแพง
ทุ่มเทเงินทอง แต่ตาเรา นี่ไม่ค่อยสนใจ บางทีลองสังเกตุ คนขับมอเตอร์ไซด์ แว่นก็ไม่ใส่ ผง
แมลงอะไรเข้า ก็เบิ่งตา มองไปเรื่อย
งั้น คนไทย นี่ก็จะเป็นโรคตาเยอะมาก เพราะไม่ค่อยระมัดระวังลูกตา อยากฝากว่า วิธีกัน
โรค แก้โรคพวกนี้ โรคตา ทำอย่างที่คุณกำลังทำเนี่ย ใส่แว่น ให้มันได้ป้องกันแสง ป้องกัน
ฝุ่น ป้องกันลมที่มันกระทบกับเยื่อตา ที่มันบอบบางให้ได้มากที่สุด ก็จะทำให้ยืดอายุการใช้
ลูกตา หรือสายตาไปได้ยาวพอสมควร
งั้น โรคที่เป็น ให้หมอเค้ารักษาเถอะ เพราะโรคต้อเนื้อ มันจำเป็นจะต้องได้รับการ เดี๋ยวนี้
เค้ามีวิธียิงเลเซอร์ใช่ไม๊ ฉายแสง ยิงเลเซอร์ที่มันไม่กระทบต่อประสาทตา แล้วก็ทำได้ง่าย
ใช้เวลาร็ว ไม่เจ็บปวด ไม่ทรมานมาก ก็ไปทำ ไปรักษา
จะมาถามว่า หาสมุนไพร โรคต้อทั้งหลาย สมุนไพรอะไร ก็ยังพัฒนาไม่ได้ถึงขั้นนั้น อย่าง
ดีก็แค่บำรุงประสาทตาให้มันแข็งแรง ให้มันแจ่มใส
สมัยก่อนนี้ อยู่ป่า ก็เคยแนะนำให้พวกกะเหรี่ยงที่เค้าเป็นโรคต้อเนื้อ ให้ใช้น้ำมันมนต์ที่หุง
หยอด แต่มันจะแสบและทรมาน แต่รุ่งเช้าขึ้นมา มันจะออกเป็นฝ้าๆ เป็นขี้ตา กัดออกมา
แต่วิธี ก็คือ ต้องใช้ไม้จิ้มฟันสะอาดๆ จุ่มลงไปในน้ำมันมนต์ แล้วก็หยดลงไปข้างละ 1
หยด แต่มันจะแสบมาก พอเช้าขึ้นมา ก็จะสว่าง มันจะไปกัดส่วนที่เป็นต้อออก แล้วตาก็จะ
สว่าง ใส
พวกกะเหรี่ยงเค้าชอบ สมัยก่อนนี้ แนะนำเค้าใช้ แต่เดี๋ยวนี้ ไม่อยากแนะนำ เพราะ เราเคย
ใช้ แล้วเราก็รู้สึกทรมาน แสบ อุ๊ย มันแสบ แต่พอหลังจากนั้นแล้ว มันก็จะหาย มันก็จะดีขึ้น
แล้วก็หายาบำรุงประสาทตากิน จบ
ปุจฉา ปรมัตถปารมี แปลว่า เข้าถึงความหลุดพ้น หรือว่า จะไม่เกิดแล้ว ใช่หรือไม่
วิสัชนา ปรมัตถบารมี คือ บารมี นี่มันมีอยู่ 3 อย่าง คือ สามัญบารมี คือ บารมีทั่วๆ
ไป ตัวอย่างเช่น ยกให้ฟังว่า เราบริจาคเงิน บริจาคทรัพย์ เค้าเรียกว่า สามัญบารมี พอมาถึง
คราวที่เราจำเป็นต้องบริจาคอวัยวะ อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายเรา อย่างนั้น เค้า
เรียกว่า อุปปะบารมี แต่เมื่อคราวที่เราจำเป็นต้องให้ชีวิตเป็นทาน และเป็นอุทิศแก่สรรพ
สัตว์ อย่างนี้ เค้าเรียกว่า ปรมัตถบารมี นั่นคือ ลักษณะปรมัตถบารมี
แต่ไม่ได้หมายถึงว่า ปรมัตถบารมี แล้วจะไม่กลับมาเกิดอีก ไม่ใช่ จบ (สาธุ)
ปุจฉา เราควรมั่นฝึกจิตภาวนาอย่างไร เพื่อที่จะคลายความยึดมั่น ถือมั่น ในการยึดติด
ความเป็นตัวตนของตัวเอง อันจะนำไปสู่ความพ้นทุกข์
วิสัชนา มันมี 2 กรณี
กรณีหนึ่ง คือ กรณีของคนที่ขาดสติ ก็ต้องฝึกสติให้เยอะ เพราะว่า สติ มันเป็นเครื่องทำให้
เราเข้าถึงสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง แต่ถ้าเมื่อใดที่เราไม่มีสติ ให้พยายามฝึก
ให้ตาย สุดท้าย มันก็ได้เป็นสิ่งที่ไม่รู้จริงตามสภาพธรรมที่ปรากฏ
งั้น ต้องฝึกสติ หลังจากฝึกสติ ได้สติแล้ว ก็พิจารณา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือ ที่มีบาง
สำนัก
เมื่อวานซืนนี้ มีพระสำนักหนึ่ง อะไร โพธิ์ๆ เค้าพยายามที่จะมาพูดชวนหลวงปู่ ให้ไปที่
สำนักนี้
เราก็เลยถามว่า สำนักท่าน สอนอะไร
เค้าบอกว่า สำนักเค้า สอนเรื่อง ความไม่มีตัวตน ก็คือ ความเป็นอนัตตา ความไม่มีตัวตน
ไม่มีแม้กระทั่ง ผู้ถูกมอง ไม่มีแม้กระทั่ง ผู้รู้ และไม่มีแม้กระทั่ง ตัวรู้
เราฟังๆ ก็ เออ ก็ดี ก็ถือว่า เป็นการมอง การไม่มีที่น่าจะถูกตรง แต่พอฟังไปฟังมา เค้าก็
บรรยายว่า ก่อนจะเริ่ม ก็ต้องมีการไหว้ครู แล้วก็ มีการสมาทานกรรมฐาน แล้วก็ มีการขอ
ขมาเจ้ากรรมนายเวร แล้วก็ มีการขอขมาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
เราก็เลยถามว่า เอ้า ท่านเป็นคนบอกผมเองไม่ใช่เหรอว่า ไม่มีแม้กระทั่ง ผู้รู้ และผู้ถูกรู้ แล้ว
เอาเจ้ากรรมนายเวรมาจากไหน เอาเจ้ากรรมนายเวรมาจากไหน เอาพระพุทธ พระธรรม
พระสงฆ์มาจากไหน เมื่อมันไม่มีไปทั้งหมดแล้ว
ผมดูเหมือนจะเชื่อท่านตอนแรกที่พูด แต่พอตอนที่ 2 นี่ ผมเริ่มไม่เชื่อท่านแล้ว เพราะ
ท่านเริ่มมีเจ้ากรรมนายเวร มีผู้เป็นก่อกรรม มีผู้ที่เป็นพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์
แสดงว่า ท่านไม่ได้เข้าถึงคำว่า อนัตตา จริงๆ
ฟัง นี่ เข้าใจความหมายไม๊
เค้ามาโฆษณาว่า สำนักเค้า พูดถึง อนัตตาสูงสุด แม้ผู้รู้ ก็ไม่มี, ผู้ถูกรู้ ก็จะไม่มี เมื่อมัน
ไม่มี ทุกอย่าง ก็น่าจะดีละ แต่มันดันมาเอาเจ้ากรรมนายเวรด้วย มันดันมามีเอา พระพุทธ
พระธรรม พระสงฆ์ด้วย หลวงปู่ ก็เลยยกบทโศลกขึ้นบท เมื่อ 30 กว่าปีก่อน ผมเขียน
บทโศลกไว้บทหนึ่งว่า
ลูกรัก เมื่อใดที่เจ้าต้องการสมาธิ เห็นพระพุทธเจ้า ต้องฆ่าทิ้ง, เห็นพระสงฆ์ ต้องหนีให้
ไกล, เจอพระธรรม ต้องเผาทิ้ง
เพราะฉะนั้น พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ จะไม่เกิดขึ้นในขณะที่มีสมาธิ หรือ ต้อง
การสมาธิ เมื่อใดที่มีสมาธิ ต้องการสมาธิ ต้องไม่มีอะไร ต้องไม่มีพระพุทธ ไม่มีพระธรรม
ไม่มีพระสงฆ์ เพราะ อารมณ์สูงสุดของสมาธิ คือ อะไร
อุเบกขา กับ เอกัคคตารมณ์
งั้น คนที่ไม่เข้าใจสภาพธรรมที่เป็นอนัตตา คือ ความไม่มี ก็จะเข้าใจว่า มันจะต้องมีพระ
พุทธ มีพระธรรม มีพระสงฆ์ อ้ายนั่น มันเป็นสมมุติบัญญัติ
เราก็เลย ฟังไปฟังมา ก็เลยบอกว่า เค้าก็พยายามจะบรรยายให้หลวงปู่รู้ว่า อ้ายสิ่งที่เค้าเรียน
มันเป็นกระบวนการที่จะเข้าไปถึงความไม่มีความรู้ ไม่มีผู้ถูกรู้ และก็ ไม่มี ตัวรู้
เมื่อมันเป็นกระบวนการอย่างนั้น หลวงปู่ก็เลยถามต่อว่า ถ้าอย่างนั้น มันจะต่างอะไรกับ
เด็กที่นอนอยู่ในท้องแม่ เพราะเด็กที่อยู่ในท้องแม่ มันก็ไม่ได้รับรู้อะไรมากไปกว่า สิ่งที่แม่
ให้ และความรู้สึกที่แม่บรรยาย หรือว่า ส่งผ่านทางประสาทสัมผัส เรียกว่า มีสัมผัสปสาทะ
อยู่ใน คือ สัมผัสประสาทอยู่ในท้องของแม่เฉยๆ แล้วมันไม่ได้รับรู้อะไรนอกจากท้องแม่
เพราะฉะนั้น ถ้าเราจะบอกว่า บุคคลผู้ที่ต้องการจะถึงคำว่า อนัตตา แล้วไม่มีทั้ง ตัวรู้, ไม่
มีทั้ง สิ่งที่ถูกรู้, ไม่มีทั้ง ผู้รู้ และอ้ายคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย จะเรียกได้ไม๊ว่า เค้า ก็คือ
คนที่เข้าถึงอนัตตา ถ้าไม่มีการศึกษา สั่งสม อบรม เจริญปัญญา
ได้ไม๊
ไม่ได๊ เหมือนกัน งั้น คำถามเมื่อครู่นี้ ถามว่า จะฝึกจิตเบื้องต้นอย่างไร ที่จะทำให้จิตนี้ ไม่
ข้องแวะอยู่กับอุปาทานในขันธ์ทั้ง 5
ก็ต้องเริ่มต้นจาก ศึกษา สั่งสม อบรม สติ ปัญญา แล้วจึงจะเข้ามาสู่ สภาพธรรมที่ปรากฏ
ตามความเป็นจริง แยกแยะด้วย สติ และปัญญาว่า ถูกหรือผิด ดีหรือชั่ว ใช่ ไม่ใช่ ได้หรือ
เสีย
อย่างนี้ จึงจะเรียกว่า ผู้ทำ ถูกต้องตามวิถีแห่งพุทธ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงวางรากฐาน
เอาไว้ 3 ขั้น ก็คือ ศีล สมาธิ แล้วก็ ปัญญา ซึ่งอยู่ในมรรคาปฏิปทา ก็คือ มรรคมีองค์ 8
ประการ จบ (สาธุ)
ปุจฉา มีอาการเป็นผื่นตามร่างกาย คันมาก จะทานยาหลวงปู่ชนิดใดได้บ้าง อาการนี้
เกิดจากสภาวะภายในร่างกาย ไม่ได้เกิดจากสภาวะภายนอก
วิสัชนา วันนี้ มีมาหลายคนนะ โรคนี้, วันนี้รักษาไข้ เป็นทั้งผู้หญิง ผู้ชาย แล้วก็มี
ผู้หญิงคนหนึ่ง เค้าบอกไปปฏิบัติธรรมที่ไหนไม่รู้ แล้วไปโดนตัวอะไรกัด กลับมา มันเฟะทั้ง
2 ขา มันคัน แล้วก็หนังมันเหมือนกับ ไหม้ เน่า
เราก็เลยบอกว่า โรคของคุณ น่าจะมาจาก คล้ายๆ กับ โรคพุ่มพวง โรคแพ้ ภูมิแพ้ งั้น ต้อง
กินยา
อันดับต้นๆ ก็คือ ยาฟอกเลือดก่อน ยาฟอกเลือด ทำให้เลือดเสีย เลือดพิษ ให้มันออกไป
แล้วก็กินยาภูมิแพ้
แล้วขั้นที่ 2 ต่อมา ก็เปลี่ยนจาก ยาฟอกเลือด มาเป็นยาบำรุงเลือด แล้วก็ยังกินยาภูมิแพ้
แล้วก็ทาด้วยน้ำมันมนต์ที่หลวงปู่หุง ก็คนไข้ผู้หญิง น่าจะกลับบ้านไปแล้ว เมื่อหลายเดือน
ก่อนนี้ เค้าทั้งตัวเลยล่ะสาวๆ นะ เป็นทั้งตัวเลย ไปหาหมอ ที่ไหนๆ ก็ไม่หาย เป็นๆ ปี
เหมือนเฟอะไปทั้งตัว แล้วหลวงปู่ก็ให้ยา จนเวลานี้ เค้าไม่เป็นล่ะ แต่ถ้าเมื่อใดที่ไปโดนแดด
แล้วกินอาหารที่มี รสเผ็ดร้อน เค็ม รสจัด ก็จะมีอาการเห่อขึ้น หรือ ถ้าท้องผูก ความร้อนใน
ร่างกายขึ้น ก็จะเห่อขึ้น
งั้น โรคพวกนี้ มันจะต้องทำให้ร่างกาย ขับถ่ายของเสียให้ได้ทุกวัน อย่าทำให้ท้องผูก อย่า
ทำให้ความร้อนมันขึ้น ก็ใช้วิธี ดื่มน้ำยาปรับธาตุ แล้วก็ทำให้ท้องมันอย่าผูก ก็กินพวก
มะละกอบ้าง พวกกล้วยสุกบ้าง มะละกอ ก็กินมะละกอสุกๆ แล้วก็ พยายามลดอาหารที่มีรส
จัด อาหารก็เป็นวิธีรักษาโรคได้อย่างหนึ่ง และอาหาร มันก็ทำให้เกิดโรคได้อีกอย่างหนึ่ง
เหมือนกัน จบ (สาธุ)
ปุจฉา คนที่เป็นโรคเบาหวาน และมะเร็งในลำไส้ จะทาน ว่านลางจืด ได้หรือไม่
วิสัชนา อืม วันนี้มีแต่โรคทั้งนั้นเลยเหรอ เบาหวานและมะเร็งลำไส้ ที่จริง มียารักษาอยู่
แล้ว แล้วทุกวันนี้ เมื่อเช้าก็มีรักษา เบาหวาน ก็กินยาลดเบาหวาน แล้วก็ มะเร็งลำไส้ ก็ต้อง
ดูว่า อยู่ในระยะไหน ก็ต้องกินยาหลายขนานมาก สำหรับมะเร็งในลำไส้ จบ (สาธุ)
ปุจฉา จะฝึกเด็กอย่างไร เมื่อโตขึ้นแล้ว ไม่โกง แล้วก็จะแก้ไขผู้ใหญ่อย่างไร ให้เลิกโกง
วิสัชนา โตขึ้นไม่โกง จะฝึกยังไง สำนึกของพ่อแม่ก่อนเลย ต้องบอกพ่อแม่ให้เป็นคน
ซื่อตรง พ่อแม่นี่ มีนิสัยสันดานอย่างไร ลูกก็จะรับ ซึมซับเอานิสัยสันดานอย่างนั้นออกมา
คนในสมัยนี้ ในระดับที่เราต้องยอมรับกันว่า สังคมยุคปัจจุบันนี้ ถ้าได้ก็ดี
งั้น มันก็จะหาพ่อแม่ที่ ไม่ใช่ของเรา เราไม่เอา มันไม่ค่อยมี หรือ มีน้อยมาก มีแต่พ่อแม่
ที่บอกว่า ได้ก็ดี เหมือนกับคนเค้าเอาตังค์มาให้ ซิ้อเสียง ที่นี่ เลือกตั้งกันครั้งหนึ่ง หัวๆ หนึ่ง
แต่ละบ้าน ครั้งหนึ่งมันได้ไม่ต่ำกว่า 20,000 นะ เค้าไม่ได้ให้กันถูกๆ นะ เค้าให้กัน
หัวหนึ่ง พันหนึ่ง ห้าร้อยเอาไปก่อนวันพรุ่งนี้ พรุ่งนี้จะเลือกตั้ง วันนี้มัดจำไปก่อน 500
วันเลือกตั้ง เสร็จเรียบร้อยแล้ว จ่ายอีกพันห้าหรือสองพัน สามพัน แล้วแต่ว่า หมู่บ้านนี้ มี
จำนวนคนเท่าไหร่ ซื้อกันเป็นหมู่บ้านๆ
แล้วมันมีคนเดียวสมัครที่ไหน มันไม่ได้มีคนเดียวสมัคร สมัครครั้งหนึ่งก็มี 5 คน 10
คน แล้วคิดดูว่า หัวละ สองพัน พันหนึ่ง ห้าร้อย มันได้เท่าไหร่ล่ะ คนๆ หนึ่ง แล้วบ้านหลัง
หนึ่ง มันมีคนเดียวที่ไหน
เพราะงั้น เค้าบอกว่า อยากให้เลือกตั้งทุกวัน มันรับหมดทุกคนไง คือ เค้ารับหมดทุกคน
ไง.. ไม่รู้ คนในวัดไม่มีใครเคยเอา ย่านี่ไม่เคยเอา บอกว่า ไม่เห็นได้สักที
เพราะฉะนั้น ถึงได้บอกว่า พอมันมีคนแบบนี้เข้า มันได้ก็ดี ไม่มีคำว่า ไม่ใช่ของเรา ไม่เอา
มันก็จะกลายเป็นว่า ลูกมันก็ต้องมีคำต่อมาว่า ได้ก็ดี ต่อไปเรื่อยๆ แล้วจะไปถามไง ถาม
ใครว่า โตไปไม่โกงยังไง ก็ขนาดยังไม่โต ก็ได้เห็นว่า ได้ก็ดี อยู่แล้ว เอ่อ ถ้ามันได้ก็ดี ลูก ดี
กว่าไม่ได้
มันจะมีคำนี้อยู่ตลอด ใช่ไม๊ ใครๆ ก็จะสอนลูกหลานอย่างนี้ เอ้อ ได้ก็ดี ลูก ดีกว่าไม่ได้ กำขี้
ดีกว่ากำตด ลูก กำให้มันหมด ทั้งตดทั้งขี้ ลูก อะไรประมาณนี้ จบ (สาธุ)
ปุจฉา อาจินต์กรรม กับ จิตสุดท้าย อะไรสำคัญกว่ากัน
หลวงปู่ อาจินต์ ทำเป็นประจำ กับ จิตสุดท้ายเหรอ ว่า
พิธีกร อะไรสำคัญกว่ากัน
วิสัชนา เออ มันสำคัญกัน คนละกรณี
ถ้าอาจินต์กรรม คือ กรรมที่ทำเป็นประจำวัน ประจำอาทิตย์ ประจำสัปดาห์ ประจำเดือน
ประจำทุกลมหายใจ มันคงปฏิเสธไม่ได้สำหรับปุถุชนว่า มันมีขาดสติ มีไม๊ มีเผลอ
เพราะงั้น เมื่อมันเป็นอย่างนี้ มันก็ต้องอาศัยล่ะ อาศัยว่า ทำยังไง เราจะฝึกตนให้เป็นคนมี
สติให้มาก มีความระมัดระวังอย่างยิ่ง มีมหาสติให้เยอะๆ
เพราะงั้น สำหรับปุถุชน มันก็ยากที่จะพูดถึง เราก็เพียงแต่มุ่งหวังได้ว่า คิดว่า คาดว่า เผื่อว่า
อาจจะว่า จิตสุดท้ายของคนเหล่านี้ ให้มันเป็นจิตสุดท้าย ที่มันเป็นกุศล เป็นจิตสุดท้ายที่มัน
มีคำว่า วางแล้วว่าง ดับแล้วเย็น เถอะ หรือ เป็นจิตสุดท้ายที่มันมีสติ หรือ มีบุญ หรือ นึกถึง
สิ่งที่งดงามของชีวิตเถอะ
แต่ถ้าถามว่า ให้หลวงปู่เลือกระหว่าง อาจินต์กรรม กับ จิตสุดท้าย หลวงปู่เลือกทั้ง 2 อย่าง
ทำ อาจินต์กรรม ที่มันเป็นกุศล ให้ได้ตลอด มันก็ส่งผลให้ถึง จิตสุดท้าย ที่งดงามได้
ถ้าเราไม่สามารถ ก็ให้มีสติ ตอนจิตสุดท้าย ซึ่งมันก็เป็นเรื่องยาก ยาก ไม่ใช่ง่าย แต่ถ้าหาก
เราสามารถทำให้ อาจินต์กรรม ของเรา มีแต่กุศลอยู่ตลอดเวลา แต่บางครั้ง อ้าย จิตสุดท้าย
ของเรา บางทีบางครั้งมันมี เค้าเรียกว่า อุปฆาตกรรม เหมือนที่เค้ามีคำกล่าวว่า ทำบุญแล้ว
ตกนรก เค้าเรียกว่า ใส่บาตรกับพระปลอม ได้ขึ้นสวรรค์ ใส่บาตรกับอรหันต์ ได้ตกนรก
ถามว่า เพราะอะไร
ก็จิตสุดท้าย ของผู้ที่ใส่บาตรกับพระอรหันต์ สมัยก่อน ตัวเองเคยเป็นเสนาบดี เล่าย้อนไปนิด
พระราชาบอกว่า ไปหาพระมา เราปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระราชา จะทำบุญใส่บาตรพระทั้ง
4 ทิศ ให้ครบจำนวน 500 รูป พระอริยเจ้า อ้ายเสนาฯ ก็พยายามไปเฟ้นแต่พระอริย
เจ้า อยู่ไหนเอ๊ย พระอริยเจ้า มันไม่ครบสักที
เดินผ่านมา ก็มาเห็นนายช่างปั้นหม้อ นั่งปรึกษากัน 2 คนผัวเมีย เอ๊ พักนี้ ทำไม ไม่มีใคร
มาจ้างเราปั้นหม้อ อาหารก็ไม่มีจะกินแล้ว คนปั้นหม้อบ่นกัน 2 คนผัวเมีย เสนาฯเดิน
ผ่านบ้าน ได้ยิน 2 คนผัวเมียเถียงบ่นกัน มึงน่ะ ไม่เอาหม้อไปขาย กูน่ะ ปั้นตั้งนานแล้ว
หม้อแยะแล้ว ก็ไม่ยอมเอาไปขาย ข้าวก็ไม่มีจะกิน โวยวายใส่กัน
เสนาฯ ก็บอกว่า นี่ ไม่ต้องทะเลาะกัน พรุ่งนี้ ปลอมเป็นพระ ไปบิณฑบาตรในเมือง พระ
ราชาจะใส่บาตร เสนาฯ พอพูดอย่างนั้น ก็เดินไปเรื่อย
อ้ายฝ่าย 2 คนผัวเมีย ได้ยินเข้าก็ เอาล่ะ เมียเป็นอุปัชฌาย์ โกนผมผัว เอาผ้ามาย้อม มานุ่ง
มาห่ม แล้วตัวเอง ก็เอาหม้อมาตัดปากออก เป็นบาตร เช้า ก็เดินตัวตรงแหน๊ว ตัวรีบ เรียบ
ร้อย ไม่มองหน้าใคร กลัวคนจำได้
เอ้า ของปลอมน่ะ ก็ต้องทำให้เคร่งเข้าไว้ อ้ายของจริง มันไม่สนใจใครไง พระราชาใส่บาตร
ไป ก็ อู้หู องค์สุดท้าย ต้องเป็นผู้วิเศษแน่ เดินเรียบร้อย งดงามมาก ตาย ไปขึ้นสวรรค์ นึก
ถึงจิตสุดท้ายว่า เราได้มีโอกาสใส่บาตรกับพระ ผู้วิเศษ
ฝ่ายเสนาฯ พอพระราชาดันตาย ก็ได้รับเลือกให้เป็นพระราชา ใส่บาตรมั่ง 4 ทิศ เหมือน
กับเค้า ให้ชาวบ้าน ให้เสนา อำมาตย์ ข้าราขการไปเรียกร้องเป่าประกาศ เอาพระมา พระ
แต่ละองค์ที่มา เป็นพระปัจเจกโพธิ์ เป็นพระอริยเจ้า เป็นมหาฤษี เสนาฯใส่ไป ๆ ก็ เก๊หรือ
เปล่าว้า มันจะเก๊เหมือนองค์นั้นแน่ๆ เลย ดูเดินเนี้ยบเหลือเกิน ใช่แน่เลย เก๊หมดเลย 500
นี่ เก๊หมดเลย
จิตมันไม่สงบอ่ะ ตาย ก็ไปตกนรก ทั้งๆ ที่ใส่กับอรหันต์นะ ใส่กับพระปัจเจกพุทธเจ้า
เพราะงั้น มันอยู่ที่ หลวงปู่จึงบอกว่า ก่อนทำ ตั้งใจ, ขณะที่ทำ เต็มใจ, ทำเสร็จแล้ว ให้
สบายใจ นี่ วิธีทำบุญ ก่อนทำ ให้ตั้งใจ, ขณะที่ทำ ก็เต็มใจ, พอทำเสร็จแล้ว ให้สบายใจ
มันจะเก๊ มันจะปลอม กูเอาไว้ก่อนล่ะ กูสบายใจ กูยิ้มไว้ก่อนล่ะ อ่า จิตสุดท้าย ก็ไปขึ้น
สวรรค์
งั้น ถามว่า จิตสุดท้าย สำคัญไม๊
สำคัญ พระพุทธเจ้า ยังบอกเลย
จิต เต สังกิลิฏเฐ ทุคติ ปาฏิกังขา ก่อนจะตาย ถ้าจิตเศร้าหมอง ไปสู่ทุคติ
จิต เต สังกิลิฏเฐ สุคติ ปาฏิกังขา ก่อนจะตาย ถ้าจิตไม่เศร้าหมอง ก็ไปสู่สุคติ
งั้น ถือว่า จิตสุดท้าย ก็สำคัญ
แล้วถามว่า อาจินต์กรรม สำคัญไม๊
ก็สำคัญอีกแหละ เพราะว่า อาจินต์กรรม มันส่งผลให้เรามีชีวิตอยู่ในโลกปัจจุบัน ขณะที่ยัง
ไม่ตาย เราจะรอสบาย ตอนตายอย่างเดียวเหรอ แล้วชีวิตเราขณะที่ยังไม่ตาย จะทำไง
ทุรนทุรายไปเรื่อยๆ อย่างนั้นเหรอ ไม่เสพกุศลจิตเข้าไปมั่ง มีแต่ราคะจิต โทสะจิต โมหะจิต
โลภะจิต กระวนกระวาย ทุรนทุราย
เราก็รู้อยู่แล้ว ราคะคิ โทสะคิ โมหะคิ โลภะคิ อะไรอยู่อย่างนี้ คือ ราคะเหมือนดั่งไฟ โทสะ
เหมือนดั่งไฟ ก็เผาลนให้จิตเราทุรนทุราย
งั้น อาจินต์กรรม ก็สำคัญในขณะที่มีชีวิตอยู่ แล้วก็โลกนี้ โลกหน้าได้ ถ้าเราพยายามที่จะฝึก
แล้ว จิตสุดท้าย ก็ยิ่งสำคัญ เพราะมันเป็นอะไรที่จวนเจียนมาก พวกเราไม่เคยตาย เราไม่รู้
หรอก เราไม่เคยลองตาย ไม่รู้หรอก หลวงปู่ลองบ่อยมาก เลยทำให้รู้ว่า อ้าย จิตสุดท้าย นี่
สำคัญ ถ้ามันไม่มีสติ มันไป สัญญาจิต, หน้าที่ของจิต มันมีอยู่ 4 อย่าง รับอารมณ์ คิด
อารมณ์ รู้อารมณ์ แล้วก็ จำอารมณ์
รับ จำ คิด รู้, คิด รู้ จำ รับ อะไรอยู่อย่างนี้ สลับกันไป สลับกันมา แล้วแต่กุศลจะนำ หรือ
อกุศลนำ
เพราะฉะนั้น อ้าย จิตสุดท้าย ตัวสัญญาจิต มันจะทำหน้าที่ก่อนเลย สำหรับบุคคลธรรมดา
สามัญ สัญญาจิต มันจะทำหน้าที่ก่อนเลย จิตสุดท้าย สมมุติว่า จิตดวงนี้ ดวงหน้ามันจะดับ
แต่อ้ายดวงนี้น่ะ มันทำอะไรไว้ มันด่าใครไว้ มันคิดถึงอะไรไว้ มันระลึกถึงอะไรไว้ มันจะ
ส่งผลไปให้ดวงที่ดับทันทีเลย อ้ายดวงพี่ มันส่งให้ดวงน้อง
งั้น อ้ายดวงน้อง เมื่อรับอิทธิพลมาจากดวงพี่ มันก็ไปตามที่ๆ ชี้นำ
จิตสุดท้ายสำคัญมาก สำคัญมากในเวลาที่เราใกล้ตาย แต่อาจินต์กรรม ซึ่งเป็นกุศลจิต ก็
สำคัญในขณะที่มีชีวิตอยู่ จบ (สาธุ)
ปุจฉา มีทางไหนบ้าง ที่พญานาคจะสามารถเอาชนะพญาครุฑได้
วิสัชนา หนังกะติ๊ก ลูก, หนังกะติ๊ก กับ ลูกปืน ต้องเอาพญานาคมาฝึก ฝึกยิงปืน กับ
ยิงหนังกะติ๊ก จบ ถามปัญญาอ่อนจริงๆ กูก็ตอบปัญญาอ่อน เหมือนกัน (สาธุ)
ปุจฉา ยาม 3 คือ กี่โมงครับ
วิสัชนา ยาม 3 ของหลวงปู่ ใช่ไม๊, ยาม 3 ตื่นขึ้น บำเพ็ญเพียร ก็ประมาณซัก ตี
3 ตี 4, ยาม 3 น่ะ ตี 3 ตี 4 จบ (สาธุ)
ปุจฉา วัตถุมงคลของหลวงปู่ พระผงสมเด็จประทานพร ฝังพระธาตุไว้ที่หน้าอก อยาก
ทราบว่า เป็นพระธาตุที่ฝังเป็นพระธาตุของพระพุทธเจ้าพระองค์ใด
วิสัชนา สมเด็จประทานพร ? ฝังพระธาตุ ? ไว้ที่หน้าอกด้วย ต้องเห็นภาพ จำไม่ได้
มันเยอะมาก เลยไม่ทราบ ต้องเห็นก่อน
พิธีกร ต้องเห็นด้วยนะครับ เรียนเชิญเอามาด้วยนะครับ
หลวงปู่ ต้องเห็น จบ (สาธุ)
ปุจฉา ผมเป็นชาย อายุ 58 ปี เป็นไข้ ต่อมน้ำลายอักเสบ มีหนองด้วย ทานยาลด
ไข้ของหลวงปู่ 5 เม็ด และหยดน้ำมันกานพลู ทานมา 1 สัปดาห์แล้ว อาการยังไม่ดีขึ้น
ควรจะต้องปรับยา หรือ ทานยาอะไร
วิสัชนา น้ำมันกานพลู เค้าใช้ทาภายนอก แล้วถ้ามันมีอาการไอ จึงจะหยดใส่กับน้ำอุ่นๆ
แล้วใช้จิบ เพื่อจะทำให้หลอดลมขยาย ละลายเสมหะ ละลายเสลด แล้วก็ไม่ระคายเคืองใน
ลำคอ
มันไม่น่าเกี่ยวอะไรกับหนอง ที่เป็นหนอง น่าจะต้องทานยาปฏิชีวนะ หรือไม่ก็ ยาแก้อักเสบ
ถ้าเป็นหนองขนาดนั้น อยากแนะนำให้ใช้ขี้ผึ้งเทพโอสถ เอาสำลีซับน้ำลายในช่องปากให้
แห้งอย่างไว แล้วก็ใช้ขี้ผึ้งเทพโอสถ cotton bud ทาขี้ผึ้งเทพโอสถ ป้ายขี้ผึ้งเทพ
โอสถ แล้วก็เข้าไปทา อย่างนี้น่าจะดี น่าจะหาย
เข้าใจว่า อาการไข้ เกิดจากการอักเสบในช่องปาก
อีกวิธี ก็คือ ใช้น้ำมันมนต์ กรอกปากเข้าไป ไม่ต้องกลืน อมทิ้งไว้ อมกลั้วปาก กลั้วลำคอ
อมทิ้งไว้ซัก 5 นาที แล้วก็ทำเป็นโก่งคอ ก๊ากๆๆ แล้วจึงจะบ้วนทิ้ง หรือ อมเอาไว้จน
กระทั่งน้ำมัน มันจืดแล้วก็บ้วนทิ้ง อย่างนี้ก็ได้ จะกลืนเข้าไปก็ได้ ถ้าไม่กระดากคอ ที่จริง
กลืนเข้าไปก็ดี ก็ใช้ได้ จบ (สาธุ)
ปุจฉา มีเลือดออกมามากผิดปกติ เนื่องจากกำลังจะหมดประจำเดือน จะรักษาอย่างไร
วิสัชนา อะไรนะ
พิธีกร คือ วัยกำลังจะหมดประจำเดือน แล้วมีเลือดออกมามากผิดปกติ จะรักษาอย่างไร
หลวงปู่ อืม
พิธีกร ได้ยินแว่วๆ ว่า ให้ตัดมดลูก นะครับ
หลวงปู่ นี่ เห็นอาตมา เป็นอะไรนะ สูตินารีแพทย์เหรอ หมอสูฯ เหรอ เอ่อ กิน
ฮอร์โมนน่ะ เค้ามียาบำรุงฮอร์โมน กินยาบำรุงฮอร์โมนก่อน พวกยาโสมฟ้า ยาบำรุง
ฮอร์โมน กินครั้งละ 2 เม็ด เช้า เย็น เค้าไม่ได้ปวดประจำเดือนใช่ไม๊ แค่เลือดออก เออ
ให้มันออกไปเถอะ จบ (สาธุ)
พิธีกร คำถามสุดท้าย แล้วนะครับ มีเพิ่มเติมไม๊ครับ ไม่งั้น เดี๋ยวเป็นคำถามพิธีกรมั่ง
หลวงปู่ เหรอ ว่า
ปุจฉา แม่อายุ 79 ปี เป็นเบาหวาน แต่ไม่ยอมไปหาหมอ และไม่ยอมกินยา ขอ
ร้องให้ท่านดื่มน้ำปรับธาตุวันละ 1 ขวด และทานยาลดไขมันฯ เบอร์ 38 ทานได้
ประมาณ 2 เดือน แล้ว อยากทราบว่า จะทานยาและน้ำปรับธาตุอย่างนี้ ต่อไปเรื่อยๆ ได้
หรือไม่
วิสัชนา ได้ ไม่มีปัญหาอะไร น้ำยาปรับธาตุ ยิ่งช่วงนี้ อากาศร้อนๆ มันจะลดความทุรน
ทุรายอวัยวะภายในได้ กิน เช้าขวด เย็นขวด ไม่ได้เสียหายอะไร มันก็เป็นน้ำสมุนไพร
อย่างหนึ่ง ทำให้เรารู้สึก ตับเย็น อากาศร้อนๆ อย่างนี้ เคยได้ยินคำว่า ร้อนตับแลบไม๊ เอ๊อ
ประมาณนั้นแหละ มันทำให้ตับเราเย็น เมื่อตับเราเย็น เวลาเรานอน ก็ไม่ทุรนทุราย
อ้ายที่นอนดิ้น กระสับกระส่าย เหมือนเรา หลับๆ ตื่นๆ หลับไม่สนิท เค้าเรียกว่า โรคตับร้อน
ถ้าวิชาแพทย์แผนโบราณ เค้าจะบอกว่าเป็น โรคตับร้อน ก็ต้องกินน้ำปรับธาตุให้ตับมันเย็น
แล้วจะได้นอนหลับสนิท กินได้
ส่วนโรคเบาหวาน ทำอาหารให้แม่กิน เช่น เอาตำลึงมาต้ม จิ้มน้ำพริกบ้าง แกงเลียงตำลึงบ้าง
ตำลึง บวบ อะไรอย่างนี้, ลดพวกไขมัน อย่าเอาไปผัด ไปทอด พวกผัด พวกทอด พวกนี้
อย่าไปทาน แล้วก็คุมอาหาร อยู่กับแม่ ก็ทำอาหารให้แม่กิน ใช้อาหารเป็นยา จบ (สาธุ)
ปุจฉา อยากถาม อานิสงส์ของบท อาการวัตตาสูตร จากหนังสือที่ศึกษามา บอกว่า ถ้า
ใครสวดบทนี้ จะได้เกิดเป็นพระอินทร์ 30 กัป และเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ 36 กัป โดย
ประมาณ
หลวงปู่ อะไรน่ะ
พิธีกร อาการวัตตาสูตร อยากทราบว่า มุ่งหลุดพ้น แล้วยังต้องกลับมาเกิดอีก 36 กัป
พวกนี้ด้วยหรือไม่
หลวงปู่ อืม ลองสวดดูแล้วหรือยังล่ะ
พิธีกร ลองดูแล้วครับ
หลวงปู่ แล้วได้
พิธีกร ยังไม่ตายเลยครับ หลวงปู่
หลวงปู่ พยายามไปเรื่อยๆ พยายามไปเรื่อยๆ แล้วเดี๋ยว ก็สำเร็จประโยชน์เอง ดีนะ
อุตส่าห์สวด สวดหลายหน้าไม๊
พิธีกร ก็ตามที่บทสวดมีครับ ก็ 4-5 หน้าครับ อาการวัตตาสูตร 17 บท น่ะครับ
หลวงปู่ เอ่อ สวดไปเรื่อยๆ เดี๋ยว ดีเองแหละ ลูก
สิ่งสำคัญ มันไม่ใช่อยู่ที่ว่า สวดได้ทุกวัน หรือไม่ แต่สำคัญว่า สวดแต่ละครั้ง แต่ละวัน แต่
ละโอกาส จิตกับมนต์ มันรวมกันหรือไม่ ถ้าจิตกับมนต์ มันรวมกัน มันก็ทำให้อานิสงส์ใน
มนต์นั้นๆ ก็จะสำเร็จประโยชน์ จบ (สาธุ)
ปุจฉา คนแก่ ขาชา แล้วก็เจ็บที่ขา หลวงปู่จะมียาอะไรให้ทานบ้าง
วิสัชนา นั่น มันก็โรคคนแก่ ถ้าไม่อยากเจ็บ ไม่อยากชา ก็อย่าแก่ ต้องตายก่อนแก่ จะ
ได้ไม่เป็น ที่พูดมานี่ มันโรคคนแก่ งั้น ก็รักษาไปตามอาการ เจ็บป่วย ปวดตรงไหน ก็ใช้
ยาถู ยาทา ยาทาน ยาดม ยาอม ไปตามเหตุตามปัจจัย จบ (สาธุ)
ปุจฉา ขณะเดินปฏิบัติในขั้นที่ 4 ( ขั้นที่ 3 + ลมหายใจ) จะมีน้ำลายอยู่ใน
ปากมาก ไม่ทราบว่า เป็นเพราะสาเหตุใด
วิสัชนา อะไรนะ
พิธีกร มีน้ำลายอยู่ในปากมาก ไม่ทราบว่า เป็นเพราะสาเหตุใด
หลวงปู่ น้ำลายหลุดออกจากปาก เดินน้ำลายไหล
พิธีกร มีวิธีแก้ไขอย่างไรมั๊งครับ
หลวงปู่ เดินน้ำลายหยดเหรอ อ๋อ ต้องไปฉีดยากันพิษสุนัขบ้า ใช่ไม๊
พิธีกร ยังไม่หยดครับ แต่ว่าอยู่ในปาก
หลวงปู่ อ๋อ ยังไม่หยด อย่างนั้น ใช้แค่ขั้นดมยา รมยาไปก่อน มันมีด้วยเหรอ เดินแล้ว
น้ำลายหยด เอ่อ มันเป็นความรู้สึกหรือเปล่า ถ้าเดินถึงขนาดน้ำลายหยด ก็ไป นู่นเถอะ ลูก
ศรีธัญญา แสดงว่า อการเข้าขั้นล่ะ โคม่าละ จบ (สาธุ)
ปุจฉา ขอแปลสักครู่นะครับ เวลาโกรธ พยายามท่อง สัตว์ทั้งปวง ใจเป็นสุข, สัตว์
ทั้งปวง จงเป็นสุข สัตว์ทั้งปวง จงเป็นทุกข์ เท่าไหร่ก็ไม่หาย จะทำอย่างไรได้ครับ
หลวงปู่ จงพ้นทุกข์ ไม่ใช่ จงเป็นทุกข์
สัตว์ทั้งปวงน่ะ จงเป็นสุข แต่สัตว์ทั้งปวง จะรู้ไม๊ว่า กูเป็นทุกข์
ก็ดี ทำได้ ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย จบ (สาธุ)
ปุจฉา ตื่นมาแล้ว แขนกับขาหน้า เหรอฮะ
หลวงปู่ อ๊อ เค้ามีขาหลัง ด้วยเหรอ
พิธีกร แขนกับขา อ๋อ แขนกับขา ชา ไม่ทราบเพราะสาเหตุใด
วิสัชนา สรุปแล้ว ขาหน้า หรือ ขาหลัง
พิธีกร ขาชา ครับ ขาชา
หลวงปู่ อ๊อ แขนกับขา ชา ก็อาจจะมาจากการนอนทับแขนขาตัวเอง ถ้าไม่อยากชา ก็
ก่อนนอน ก็ถอดแขนและขา โยนทิ้งไป มันจะได้ไม่ชา ลูก ก็เมื่อถามปัญญาอ่อน ก็ตอบ
แบบปัญญาอ่อนๆ อย่างนี้แหละ จบ (สาธุ)
พิธีกร มีอีกไม๊ครับ มีคำถามอีกไม๊ครับ สามารถเรียนถามมาได้เลย นะครับ
หลวงปู่ เอ้า พิธีกร หมดมุขแล้วเหรอ
ปุจฉา ถ้าเกิดว่าเรา ก่อนสวดมนต์ใช้บทอัญเชิญเทวดา แล้วพอสวดเสร็จแล้ว เราต้อง
ส่งไม๊ครับ
วิสัชนา อืม รู้สึกมาเที่ยวหลังนี่ จะหนักไป เทพๆ ไปเรียนสำนักไหนมาเนี่ย ก็โดย
ธรรมเนียม เค้าทำกันโดยธรรมเนียมว่า เมื่อเชิญมา ก็ต้องเชิญกลับ แต่เทวดาท่านก็ไม่อยู่
กับเราหรอก เสร็จงาน ท่านก็ไปตามเหตุตามปัจจัย แต่โดยธรรมเนียม เชิญ ก็ต้อง ส่ง เค้า
เรียกว่า บทส่งเทวดา สัพเพ พุทธาจบ (สาธุ)
ปุจฉา เจริญบทเมตตาใหญ่ จำเป็นต้องเจริญบทนี้ ตอนเที่ยงคืนหรือเปล่าครับ
วิสัชนา คุณ นี่หนักไปทางคาถาอาคมนะ ใช้หลายบทมากเลยนะ กว่าจะสยบได้ เออ
มันไม่ใช่อยู่ที่มนต์ที่ท่อง ลูก มันอยู่ที่จิตของเรา จิตเรา มันมีอานุภาพไม๊ จิตเรามีพลังไม๊ จิต
เรามีอำนาจไม๊ จิตเรามีเดช มีศักดาไม๊
ถ้าจิตเรา มีอานุภาพ มีพลัง มีเดช มีศักดา แค่คำพูดว่า พินาศ หรือ คำว่า เจริญ ก็ ศักดิ์สิทธิ์
แล้ว
แต่ถ้าจิตไม่มีอานุภาพ ไม่มีพลัง ไม่มีเดช ไม่มีศักดา ให้ยกคาถาทั้งจักรวาลมาพูด มันก็ไม่
มีประโยชน์อะไร ไม่ได้ผลอะไร
งั้น อำนาจ มันอยู่ที่จิต
จิต ถ้ามีเดช มีอำนาจ มีศักดา มีอานุภาพ เค้าเรียกว่า มีจิตตานุภาพ แค่คำว่า เจริญ ก็ได้ผลละ
หรือไม่ก็ พินาศ ก็ ประสบละ ได้รับผลนั้นละ มันไม่ต้องมีคาถาอะไร เยอะแยะมากมาย
เพราะงั้น เค้าจึงให้ฝึกจิตไง จิตที่ฝึกดีแล้ว ย่อมยังความสุขมาให้
พระพุทธเจ้า สอนอย่างนั้น จิตที่ฝึกดีแล้ว ย่อมยังความสำเร็จมาให้
งั้น ถ้าเราไม่ฝึกจิต แล้วเราพยายามจะทำให้มันเป็น อย่างที่เราอยากให้เป็น มันก็ยาก คน
โบราณเค้าจึงได้กลัวไง พระองค์ไหน ที่มีอำนาจ มีเดช มีตบะ ฤษีชีไพรองค์ไหน ที่มีอำนาจ
มีเดช มีตบะ อย่าไปทำให้ท่านโกรธ เพราะว่า ถ้าท่านโกรธ แล้วเดี๋ยวท่านสาปแช่ง แล้วจะ
ต้องซวยข้ามภพข้ามชาติ เค้าก็ไม่ค่อยจะมีใครกล้าเข้าไปวุ่นวาย จบ (สาธุ)
ปุจฉา ตอนนี้ เป็นกังวลมากกับผลการเลือกตั้งผู้ว่าฯ หลวงปู่ มีข้อแนะนำอย่าไรให้
ปฏิบัติตนให้เข้ากับคนกรุงเทพฯได้
วิสัชนา กังวลอะไร ผู้ว่าฯ มันก็อยู่บ้านมัน มันไม่ได้อยู่บ้านเรา ไม่ใช่จะมาแย่งข้าวเรา
กิน ต่างคนต่างอยู่ แล้วจะไปกังวลอะไร อืม โง่ ไม่เห็นมีอะไร ใครมาเป็น ก็ประเทศไทย
มันไม่ได้เปลี่ยนประเทศไทยไปเป็นอย่างอื่น
ยกเว้นว่า เรานิ่งดูดาย นอนหลับทับสิทธิ์ ไม่ใส่ใจ ไม่สนใจ แล้วปล่อยให้มันปู้ยี่ปู้ยำ ทำ
อันตรายต่อบ้านต่อเมือง อย่างนั้น ประเทศไทย อาจจะเปลี่ยนเป็นประเทศอื่นไปเสียก็ได้
เราก็ต้องช่วยกันดูแลเอาใจใส่ ใครมาเป็นก็ตามทีเถอะ
หลวงปู่ เชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า อย่างน้อยคนมันก็ต้องมีสำนึกบ้างล่ะ สำนึกในหน้าที่ สำนึกที่จะ
รักญาติ รักมิตร รักแผ่นดิน บ้าง ไม่งั้น มันคงอยู่ไม่ได้ถึงวันนี้ คิดอย่างนี้ ก็แล้วกัน อย่าไป
กังวลมันมากเลย จบ (สาธุ)
ปุจฉา เวลาไปถ่ายรูปที่องค์พระ ปรากฏว่า รูปออกมา มีดวงกระจายอยู่ในรูปภาพ
ขยายดู จะเห็นว่า เป็นลักษณะคล้ายดวงตา น่าจะใช่ดวงตาเทวดาหรือเปล่า
หลวงปู่ ดวงตาอะไรนะ
พิธีกร ดวงตาเทวดาครับ
หลวงปู่ อุ๊ย ดวงตาเทวดา ใหญ่ขนาดนี้ อาจจะเป็นเพราะว่า กล้องมันรั่ว แสงมันเข้าหรือ
เปล่า อย่าไปอะไรเยอะแยะมากมาย สมัยก่อน เจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราช ท่านเสด็จที่นี่
มานั่งอยู่ในโบสถ์กับหลวงปู่ อ้ายวิชชุ อ้ายพวกนั้น มันถ่ายรูปออกมา มีแสงเรืองรอง เป็นสี
นู้นสีนี้เยอะแยะ หลวงปู่ยัง เอ๊อ กล้องมึงเจ๊ง กล้องมึงเสีย ฟิล์มมันมีปัญหา อย่าไปอะไรมัน
มากมาย จบ (สาธุ)
พิธีกร หมดครับ
หลวงปู่ หมดมุขเหรอ อ้าว หมดก็เลิกสิ ใครจะถามอะไรอีกไม๊ เดี๋ยวจะได้ปฏิบัติธรรม
นี่ คุณหายหน้าหายตาไปไหนมาเนี่ย
พิธีกร ไปศึกษาทางโลกครับ
หลวงปู่ อู้หู พูดซะ ฟังดู เหมือนดีเลยล่ะ แสดงว่า ที่ผ่านมา บวชอยู่ตลอดเลย
พิธีกร ไปทำงาน ถ่ายละคร เป็นดารา ครับผม
หลวงปู่ อุ๊ย ไม่ต้องเน้นได้ขนาดนั้นหร๊อก ชั้นก็เป็นดารา เหมือนกัน ว่า
พิธีกร อ๋อ ปุจฉาครับ อ่านตั้งนาน ต้องฟังให้ดีครับ
ปุจฉา 217/218 อยู่หมู่บ้านสุขสมบูรณ์ ซอยพหลโยธิน 50 ถนนสายไหม
กรุงเทพฯ 10200 อยากทราบว่า เลขที่ด้านบน มีอะไรไม่ดีหรือเปล่าครับ 217/218
ครับหลวงปู่
วิสัชนา ถามผิดสำนักแล้วมั๊ง ชั้นไม่ได้หมอดูนะ เอ้า คุณตอบเค้าซิ ในฐานะที่ชำนาญ
เรื่องเทวดาฟ้าดิน
พิธีกร ในฐานะที่ชำนาญนะฮะ 217 รวมกันได้ 10 นะฮะ, 10, 1 กับ 0
รวมกันได้ 1 ผมว่า ดีแล้ว ส่วน 218 นี่ บวกได้ 11, 1+1 เป็น 2, 2 =
เทพราชาพระจันทร์นะครับผม ถือว่า บ้านนี้ดีครับผม ถ้าเกิดไม่... นะครับ
หลวงปู่ กูว่าแล้ว แววหากิน เอ่อ ตั้งแต่เริ่มต้นไปเลี้ยงหมา จนกระทั่งมา เอ่อ หากินได้
ทุกอย่างเลยนะ ดี เอ้า มีใครจะถามอะไรอีกไม๊ บ้านเลขที่ของใคร จะมีปัญหา เชิญถามหมอ
ได้
พิธีกร ถ้าเกิดว่า ไม่มีโอกาส อยากจะขออนุญาตประชาสัมพันธ์
หลวงปู่ เอ้า เชิญ ประชาสัมพันธ์
พิธีกร วันที่ 16 ทุกวันเสาร์ที่ 3 ของเดือน หลวงปู่จะร่วมเจริญถวายแด่ในหลวง
ที่โรงพยาบาล ศิริราช เสาร์ที่ 16 มีนาคมนี้ เวลา บ่าย 2 นะครับผมใครอยากจะร่วมกัน
ก็ไปเจอกันได้นะครับผม
การบรรพชาอุปสมบท ตอนนี้เปิดรับสมัครแล้วนะครับ จนถึงวันที่ 28 มีนาคม ....
และบวชในวันที่ 31 มีนาคม
ส่วนวันที่ 30 มีนาคม เรียนชิญทุกท่าน มาร่วมเฉลิมฉลองวันประสูติพระโพธิสัตว์กวนอิม
ที่โรงเจหอคุณธรรมฟ้า วัดอ้อน้อย แห่งนี้นะครับ จดทันไม๊ครับ
หลวงปู่ ขอให้ทุกท่าน ที่รับชมรายการนี้ จงรุ่งเรือง เจริญ และสำเร็จประโยชน์ สม
ปรารถนา ความสมปรารถนานั้น สำคัญที่สุด คือ เราต้องมีสติ มีปัญญา แล้วมี อานุภาพของ
จิต
ทุกคนอยากสมปรารถนา แต่ไม่รู้วิธีว่า ปรารถนา จะสมได้อย่างไร
เหตุปัจจัย มันต้องพร้อมมูล อันดับ 1. คือ จิตมีอานุภาพ 2. ก็คือ ทำได้ พูดได้ คิดได้
และ มีสติปัญญาตั้งมั่น ทั้งหมดนี่คือ เหตุปัจจัยของการสมปรารถนา เจริญธรรม
(สาธุ)
เดี๋ยว พิธีกร ปิดรายการสิ หรือ จะไปปิดข้างนอก ไปปิดที่โรงเจดีกว่า ไปปิดที่หน้าเจ้าแม่ฯ
ให้เค้าถ่ายรูปโรงเจและเจ้าแม่ฯ แล้วไปปิด แล้วก็เชิญชวนโฆษณาตอนนั้น วันเกิดเจ้าแม่ฯ
ไป
อ้าว ตีมือให้กับ
พิธีกร ขอบคุณมากครับ
กราบพระ แล้วก็ไปพัก ลูก เข้าห้องน้ำ แล้วเดี๋ยว มาปฏิบัติธรรม
กล้องตามไปที่อาคารพระโพธิสัตว์
(กราบ)
เอ๊ เลขที่วัด นี่มัน 005555 มันจะออกยังไง จะเป็นยังไง อยากถามหมอ
ไป เข้าห้องน้ำ ลูก แล้วเดี๋ยวมาปฏิบัติธรรม เคลียพื้นที่
เมื่อไหร่ จะได้เรียน เข้าสู่กระบวนการ สภาวะธรรมว่าง กันเสียที ยังกอกแกกๆ อยู่ใน
อารมณ์ว่าง
3 มี ค 2556 14.35 น. ระหว่างปฏิบัติธรรม โดยองค์หลวง
ปู่พุทธะอิสระ (ฝึกสติ เดินในขั้นที่ 1 ภาคที่ 1,2,3 ขั้นที่ 2, 3, 4 , เพ่ง
ตัวรู้ ตามจุดในร่างกาย , ปราณโอสถสลับกับสุญญตสมาธิ)
เอ้า เตรียมปฏิบัติธรรม
เดี๋ยวนี้ มีสำนักปฏิบัติธรรม เกิดขึ้นเยอะแยะมากมาย แล้วแต่ละสำนัก ก็อวดอ้างสรรพคุณ
ความรู้ ความสามารถว่า มีคุณวิเศษอย่างนั้นอย่างนี้ สามารถทำได้เช่นนั้นเช่นนี้
สิ่งสำคัญที่สุด ให้ลูกหลานทั้งหลาย ต้องเอาไปเทียบกับ หลัก ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าเทียบใน
หลักศีล สมาธิ ปัญญา ยังกว้างไป ยังไม่กระจ่างชัด ก็ลงรายละเอียดลึกลงไปใน มรรคมีองค์
8 ประการ มีความเห็นชอบ มีความเพียรชอบ มีเจรจาชอบ มีการงานชอบ มีสติชอบ มี
สมาธิชอบ เหล่านี้ พยายามเทียบดู
ถ้าเทียบดู มรรคมีองค์ 8 แล้ว เรายังรู้สึกว่า มันไม่สมบูรณ์ ก็เอาไปลงในธรรมอีก 3
อย่าง ก็คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ถ้า 3 อย่าง มันชัดเจน ก็คือ จบ หรือ ถ้าหากว่า เค้าสอน
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็ต้องให้เห็นปัจจัยของอนัตตลักขณะสูตร ที่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงสอนว่า อะไรถึงเป็นอนิจจัง อะไรเป็นทุกขัง อะไรเป็นอนัตตา
ขณะเดียวกัน ก็ต้องใช้หลักปฏิจจสมุปบาท เอาเข้ามาวัด มาเทียบดู เมื่อเทียบแล้ว มันรวม
กันได้ทั้งปฏิจจสมุบรรณธรรม ทั้งอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทั้งมรรคมีองค์ 8 ประการ ทั้ง
อริยสัจ 4 ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค แล้วก็ทั้ง ศีล สมาธิ ปัญญา ถ้าอย่างนั้น น่าจะเป็น คำ
สอนที่ถูกต้อง ถูกตรง
เพราะว่า พักหลังนี้ จะมี คนที่ไปปฏิบัติธรรมมาแล้ว ฝั่นเฝือน ฝั่นเฝือ เป็นบ้าใบ้ หรือไม่ก็
เป็นโรคประสาท โรควิกลจริต โรคผิดประเภท อะไรไปเลอะเทอะ เยอะแยะมากมาย
ที่จริง จะให้หลวงปู่มาแก้ปัญหา แก้อารมณ์ แก้สภาพจิต ไม่ได้ทำไม่ได้ ทำได้ แต่ไม่ค่อย
อยากจะทำ เพราะว่า มันเป็นกรรมของสัตว์แต่ละตน แต่ละชนิดๆ เหมือนกับลูกศิษย์สัญชัย
ก็อยู่กับพวกลูกศิษย์สัญชัย พวกสัญชัย
เพราะงั้น กว่าจะได้รับกฏแห่งกรรมชนิดนั้นๆ มา มันก็ต้องมีเหตุปัจจัย มาแต่อดีตเหมือนกัน
ถ้าจะช่วย ก็ไม่ได้ยากเท่าไหร่ แต่อยากจะบอกว่า ใช้ปัญญาให้มากๆ อย่าใช้ศรัทธา ปัญญา
ให้เยอะๆ ในการวิจารณ์ วิเคราะห์ พินิจพิจารณา
อย่ามองว่า รูปแบบมันดี รูปแบบมันงดงาม รูปแบบมันถูกจริต
ถ้าเอาแต่รูปแบบ แล้วไม่มีแก่น เหมือนกับต้นมะละกอ ไม่มีแก่น อย่างนั้น มันก็อยู่ได้ไม่
นาน
งั้น ต้องอาศัยแก่นเป็นหลัก ยึดแก่นให้ได้
แก่นของพุทธศาสนานี้ สิ่งสำคัญที่สุด คือ ต้องมีปัญญา พอมีปัญญา แล้วมันอยู่กับอะไร
มันใช้ได้หมด ไปอยู่กับต้นอ้อ ก็กลายเป็น..ได้ ไปอยู่กับมีดดาบ ก็ยิ่งกลายเป็นดาบที่คม
กล้า คมกริบ ตัดเพชรได้ อย่างนี้เป็นต้น แต่ถ้าไม่มีปัญญา แล้วไปอยู่กับวัชระที่มันคมกริบ
ตัดเพชรได้ ก็กลายเป็นทื่อ เป็นสากกะเบือ ทำอะไรไม่ได้
งั้น สำคัญที่สุด แก่นของศาสนานี้ ต้องฝึกให้มีปัญญา แล้วเราจะได้ไม่หลง ไม่โง่ ไม่โดน
เค้าหลอก แหกตา เห็นมีการโฆษณาชวนเชื่อ มีการเชิญชวน
ที่จริง มันก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร แข่งกันที่จะขายสินค้า ศรัทธาของตน ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย
แต่มันจะเลวร้ายเอาตรงที่ว่า อ้ายคนเข้าไปแล้ว มันงมงาย มันเชื่อง่าย ไม่ใช้ปัญญา นั่นคือ
ความเลวร้าย แล้วมันทำให้คนไม่มีสติปัญญา นั่นเป็น ความเลวร้าย
สิ่งที่หลวงปู่ไม่ชอบ แล้วก็ไม่อยากได้รับ หรือ สอนนั้น ก็คือ สอนให้คนโง่ เพราะ เมื่อใดที่
เราสอนให้คนไม่มีปัญญา และ โง่เขลา สู้ตายเสียดีกว่า ด้วยเหตุผลว่า มันจะต้องรับผล ส่งต่อ
เนื่อง จนเรากลายเป็นคนโง่เขลา
หา มาแทบตาย สุดท้าย เค้าหลอกเอาไปกิน อย่างนี้ จะมีชีวิตอยู่ไปทำไม
ทำ แทบตาย สุดท้าย ไม่ได้อะไร จะทำไปทำไม
เลือดตาแทบกระเด็น ตกทุกข์ได้ยาก ลำบาก และ เลือดตาแทบกระเด็น แต่ไม่มีสาระอะไร
จะมีไปทำไม
เพราะงั้น นี่คือ ความโง่ ความไม่มีสติปัญญา
ชีวิตหลวงปู่ จะทำชีวิต แบบไม่มีสาระอย่างนั้น สู้ตายดีกว่า แล้วก็ไม่ชอบสอนให้ใคร เป็น
คนไร้สาระแบบนั้น
งั้น ก็ต้องระวัง ระมัดระวัง
คุยกับพระ คุยไปคุยมา เค้ามาจากวัดไร่ขิง เค้าเล่าให้ฟังว่า เพื่อนๆ พระเค้าบอกมาว่า ท่าน
นี่.... เค้าก็เล่าให้ฟัง หลวงปู่ก็บอก อย่าว่าแต่วัดไร่ขิง ว่าท่านเลย วัดอ้อน้อยก็บอก ว่า
ดูท่าน จะกลัวๆ... เค้ามาทั้งแม่ทั้งน้อง ทั้งครอบครัว แม่ก็บวชชี น้องก็บวชเป็นชี
พราหมณ์ อยู่อาศัย...
งั้น คำสอนใดที่มันทำให้เรามีปัญญา ใช้ได้ แต่ถ้า สอนแล้ว แม้กระทั่ง ตัวปัญญา ยังทิ้ง ไม่
ใช่ละ เพราะว่า พระพุทธศาสนานี้ สอนอะไร
คำสอนสูงสุดของพุทธศาสนานี้ คือ อะไร (ปัญญา)
เอ๊อ แล้วถ้าบอกให้ทิ้งปัญญา แล้วมันจะเหลืออะไร ก็เหลือแต่ความมืดบอด
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงสอนอยู่แล้ว ปัญญา คือ แสงสว่างของโลก เมื่อปัญญา เป็น แสง
สว่างของโลก แล้วไปทิ้งตัวปัญญา แล้วมันเหลืออะไร ก็ไม่เหลืออะไร
เมื่อมันไม่เหลืออะไร แล้วมันจะมีชีวิตอยู่ไปทำไม มันก็ไม่ต่างอะไรกับสัตว์นรกที่อยู่ใน
นรกขุมหนึ่ง ซึ่งเป็นบริวารของโลหะกันตนรก ซึ่งเป็นมหานรกยิ่งใหญ่ มันเป็นนรกที่มืดบอด
มันมืดจนกระทั่งไม่รู้ว่า ความมืด คืออะไร มันจะต้องตกไปอยู่ในนรกขุมนี้
นรกขุม มันได้มาจากอะไร
มันได้มาจาก การทำลายปัญญา ทำร้ายปัญญา ไม่เห็นแสงแห่งปัญญา ไม่ฝึก ศึกษา
สั่งสมอบรมปัญญา อ้ายอย่างนี้ ก็ลำบาก
งั้น หลายวันมานี่ คุย เจอแต่พวกสำนักนั้นสำนักนี้ ก็คุยให้ฟัง
งั้น ลูกหลานก็ ไม่ใช่ว่า ห้ามไม่ให้ไป, ไปได้ทุกที่ ถ้ามีปัญญาไป, แต่ถ้าไป แล้ว โง่
กว่าที่นี่สอน แล้วก็อย่าไป แสดงว่า มันไม่ใช่ขึ้นกว่าเก่า มันแย่ และ ตกต่ำลง ถือว่า มันเสื่อม
ใช้ไม่ได้
เว้นเสียแต่ว่า คนชอบใจ เอาล่ะ ชอบ ชอบใจก็เอา เอาความชอบใจ เรื่อง ใช่ไม่ใช่ ก็ได้
แต่มันไม่ใช่ คือ มันใช้ไม่ได้ มันก็อย่ามา บ่นไม่ได้...
เอ้า ปฏิบัติธรรมลูก เตรียมตัว
(กราบ)
ผู้ที่ยืนไม่ได้ เดินไม่ได้ ก็ใช้วิธีเคาะนิ้ว ตามจังหวะก็ได้ คนแก่คนเฒ่า ยืนไม่ได้ เดินไม่ได้
หัวเข่ามันเจ็บ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ก็ใช้วิธีเคาะนิ้ว กำหนดจิตรู้ในจังหวะที่เคาะ เป็นการสร้าง
ตัวรู้, ฝึก ตัวรู้, สั่งสมท่านผู้รู้ ให้พร้อมรับรู้
เดินจังหวะที่ 1 ภาคที่ 1
..................
อาม่า เก่งนะ เดินได้ตั้ง 3 ขา
................
เดินให้มี ตัวรู้ อยู่กับตัว
ขั้นที่ 1 ภาคที่ 2
ใครไม่เคย ยกมือขึ้น รุ่นพี่ช่วยแนะนำ
..................
ขั้นที่ 1 ภาคที่ 3
ใครไม่เคย ยกมือ รุ่นพี่ช่วยแนะนำ
...............
ให้มี ตัวรู้ ตั้งมั่น อยู่กับตัว
อย่าให้ ตัวรู้ หลุดออกไปจากตัว
รู้สึก อยู่กับตัว, รับรู้ อยู่เฉพาะตัว
................
ตั้งมั่น แน่วแน่ อย่า รู้ นอกตัว
..................
รู้ ให้ชัดเจน, อย่า รู้ แบบผิวเผิน
.................
ขยับขึ้นขั้นที่ 2
ใครไม่เคย ยกมือขึ้น รุ่นพี่ช่วยแนะนำ
....................
ขั้นนี้ จิตอยู่ที่เท้า
ทุกครั้ง ที่เท้ากระทบพื้น ให้รู้สึกได้
..................
ขวา ก้าว กระทบพื้น รู้, ซ้าย กระทบพื้น รู้
................
ซ้ายรู้ ขวารู้, ซ้ายรู้ ขวารู้, สั่งสม ตัวรู้ ให้ได้มาก
..................
รู้ ให้ชัด จนถึง อารมณ์ของกรรมฐาน
.................
ซ้าย รู้ ชัดเจน, ขวา รู้ ชัดเจน
แล้วมันจะมีความรู้สึก เพลิดเพลิน
...................
ขยับขึ้นขั้นที่ 3
ใครไม่เคย ยกมือ รุ่นพี่ช่วยบอกที
..................
ขยับขึ้นขั้นที่ 4
ใส่ ลมหายใจ เข้าไปทุกครั้งที่ก้าว
...................
หยุดอยู่กับที่
หลับตา
สูดลมหายใจเข้า กว้าง ลึก เต็ม
.............
หายใจออก เบา ยาว หมด ให้ผ่อนคลาย
...................
สำรวจดู กล้ามเนื้อในร่างกาย ตั้งแต่หัวจรดปลายตีน ตรงไหนบ้าง ที่ขมึงทึง ตึงเครียด
สูดลมหายใจเข้าไป ให้ลมผ่านจุดนั้น แล้วหายใจออก
...................
หายใจเข้าใหม่ กว้าง ลึก เต็ม
..............
หายใจออก ผ่อนคลาย สบายๆ
.................
สำรวดูโครงสร้างภายในกายซิ
2 ขา ยืน มั่นคงไม๊, 2 มือ กำ เกร็ง หรือเปล่า
2 แขน ทิ้งดิ่งข้างลำตัว อย่างผ่อนคลายไม๊
ไหล่ ไม่ลู่ ไม่ยก ไม่เอียง ไม่เกร็ง
มือ ไม่กำ นิ้วไม่งอ ปล่อยให้ผ่อนคลายตามสบาย
ท้อง หลัง อก เอว ปรับสมดุลย์
ให้สามารถรับน้ำหนักได้อย่างเหมาะสม เป็นฉากกับพื้น
คอไม่เงย ไม่เชยคาง ไม่เอียงคอ ไปด้านใดด้านหนึ่ง
ให้เป็นฉากกับหัวไหล่
ลืมตา มองตรงไปข้างหน้า
...............
มี ตัวรู้ จับอยู่ที่กลางกระหม่อม
รับรู้ ได้ที่กลางกระหม่อม รู้สึก ได้ที่กลางกระหม่อม
สัมผัสได้ ที่กลางกระหม่อม
ดูซิว่า อะไรปรากฏขึ้นที่กลางกระหม่อม
เอา ความรู้สึก จับ
ลืมตา
................
ไอร้อน ที่ปรากฏอยู่ที่กลางกระหม่อม จะมาก จะน้อย
ไออุ่น ที่ปรากฏอยู่ที่กลางกระหม่อม จะมาก จะน้อย
สัมผัสให้ได้
....................
อย่าหลับตา
..................
ตั้งมั่น อยู่ที่กลางกระหม่อม, แนบแน่น อยู่ที่กลางกระหม่อม
รู้ ชัดได้ ที่กลางกระหม่อม
.................
หันตัวไปทางทิศทั้ง 4 ดูซิว่า ตัวรู้ ยังอยู่คงที่ไม๊
ไม่ใช่ ยืน แข็งทื่อ แล้ว รู้, แต่ว่า หัน แล้วให้ รู้
.....................
ต้อง รู้ ให้ได้ ในทิศทั้ง 4
....................
เมื่อกลับมาที่เดิม แล้ว ลองสังเกตุดูซิว่า ตัวรู้ ยังอยู่กับที่ไม๊
...................
ยังมี ตัวรู้ กลางกระหม่อม ทุกทิศ หรือเปล่า
หรือ ทิศไหน เบาบาง ก็ให้หยุดอยู่ในทิศนั้น
.....................
ต้อง รู้ ให้ชัด ให้ได้ทุกทิศ เรียกว่า รู้แจ้งชัด ให้ได้ทุกทิศ
อย่า รู้ เฉพาะบางทิศ
...................
เคลื่อน ตัวรู้ มาอยู่ที่ กลางฝ่ามือ
................
สัมผัสให้ได้ว่า กลางฝ่ามือ เกิดอะไรขึ้น
.................
จิตนิ่ง อยู่ที่กลางฝ่ามือ , รู้ชัด อยู่ที่กลางฝ่ามือ
รับรู้ ได้เฉพาะกลางฝ่ามือ, สัมผัส ได้ที่กลางฝ่ามือ
ปราณ ที่ไหลวนเวียน พลุ่งพล่าน ออกจากกลางฝ่ามือ ให้ชัดเจน
...................
ไม่ได้บังคับ แต่ รู้ เฉยๆ
...................
ค่อยๆ ย่อเข่า ลงนั่งกับพื้น
ยัง รู้ อยู่ที่ กลางฝ่ามือ
.................
อย่า ให้เคลื่อนจากฝ่ามือเด็ดขาด
ขณะที่ รู้ อยู่ที่กลางฝ่ามือ ก็ รู้ ชัดเจน
..................
เมื่อ ตัวรู้ ตั้งมั่น ก็ถือว่า เราอยู่ในอารมณ์ของกรรมฐาน
.................
ระวังจะเคลิ้ม ระวังจะเผลอ
อย่าหลับตา
..................
เคลื่อนจาก กลางฝ่ามือ ไปอยู่ที่ ปลายนิ้วชี้
................
ทำให้ ปราณ ไหลเวียน ไหลรินจาก กลางฝ่ามือ ไปสู่ ปลายนิ้วชี้
...................
รู้ เฉพาะที่ ปลายนิ้วชี้, สัมผัสได้ที่ ปลายนิ้วชี้
รู้ ชัดได้ ที่ ปลายนิ้วชี้ ทั้ง 2
....................
รู้ การไหลเวียนของ ปราณ ที่ ปลายนิ้วชี้
เผอิญ รู้ ลมหายใจ ด้วย ก็ไม่ต้องใส่ใจ
มันจะไป รู้ การเต้นของชีพจร ที่ซอกคอ หรือ ที่ข้อมือ ก็ไม่ต้องใส่ใจ
แสดงว่า มันจะดึงเราหลุดออกไป จากนอกกรรมฐาน ที่กำลังตั้งมั่น
................
ให้ รู้ เฉพาะ ปลายนิ้วชี้ เฉยๆ
..................
อย่าหลับตา
...................
เคลื่อนจาก ปลายนิ้วชี้ มาอยู่ นิ้วกลาง
.................
รู้ อยู่เฉพาะ ปลายนิ้วกลาง, สัมผัส ได้ที่ปลายนิ้วกลาง
ชัดเจน ที่ปลายนิ้วกลาง
อย่าหลับตา เดี๋ยวจะเคลิ้ม
..................
ไอร้อน ที่พุ่งออกมาจาก ปลายนิ้วกลาง สัมผัสให้ได้อย่างชัดเจน
ไม่ใช่ ซอกนิ้ว, ไม่ใช่ ข้างนิ้ว แต่ ปลายนิ้ว
ปลาย คือ ปลาย ให้ซื่อตรง แม่นยำ
อย่าหลับตา
................
เคลื่อนจาก ปลายนิ้วกลาง มาอยู่ที่ นิ้วนาง
.....................
ไล่ตั้งแต่ กลางฝ่ามือ ไปถึงโคนนิ้วนาง ข้อกลางนิ้วนาง และ ปลายนิ้วนาง
ทำเป็นขั้นตอน
..................
รู้ ให้ได้ ถึง ไอร้อน ที่ปรากฏอยู่ที่ ปลายนิ้วนาง
..................
สัมผัสให้ชัดเจน
................
อย่าหลับตา
....................
เคลื่อนจาก ปลายนิ้วนาง มาอยู่ที่ นิ้วก้อย
...................
กลางฝ่ามือ ข้อต้นของปลายนิ้วก้อย ข้อกลางของปลายนิ้วก้อย
แล้วก็ สุดท้าย ปลายนิ้วก้อย
ไล่ไปทีละขั้น
.........................
เราจะรู้สึกได้ว่า ที่ ปลายนิ้วก้อย หน่วงๆ หนักๆ ก่อน
แล้วจึงจะปรากฏ ไอร้อน ขึ้น
...................
ปลายนิ้วก้อย จะหนักกว่าทุกนิ้ว ด้วยความรู้สึกได้
นั่นคือ อารมณ์ของกรรมฐาน
เรายังอยู่ในอารมณ์ของกรรมฐาน
.................
เคลื่อนจาก ปลายนิ้วก้อย มาอยู่ที่ นิ้วโป้ง
...................
นั่นหมายถึง นำปราณ ย้อนกลับจาก ปลายนิ้วก้อย
มาสู่กลางนิ้วก้อย โคนนิ้วก้อย กลางฝ่ามือ
แล้วไหลขึ้นไปที่ นิ้วโป้ง คือ ข้อต้น ข้อกลาง และข้อปลาย
...................
ระวังจะเผลอ
...................
ดึง ปราณ ย้อนกลับมาสู่ที่ กลางฝ่ามือ
....................
จากปลายนิ้วโป้ง อยู่ที่ กลางฝ่ามือ 2 ข้าง
.................
ระวัง ขั้นตอนนี้ให้ดี
เดี๋ยวจะสอนให้ ดูดปราณ เข้ามาสู่ที่ กลางกระโหลกศีรษะ ทั้ง 2 ข้าง
ตั้งใจ
...................
ยังอยู่ที่ กลางฝ่ามือ 2 ข้าง
....................
ดูด ปราณ จากกลางฝ่ามือ ให้เข้ามาสู่ ข้อมือ
ท่อนแขนด้านล่าง ไล่ขึ้นมาจนถึง ข้อศอก
.................
ท่อนแขนด้านบน
...............
หัวไหล่
.............
กระดูกคอด้านหลัง
.................
กระโหลกศีรษะด้านหลัง
...............
แล้วตั้งอยู่ที่ กลางกระหม่อม
..................
ทำให้ได้ พยายาม
...................
ทำได้ ประสาททุกส่วน มันจะตื่นตัว
เลือด จะสูบฉีดไปเลี้ยงสมองได้อย่างเหมาะสม
ออกซิเจน ก็มี เหมาะสมอยู่ในสมอง
พวกที่ง่วงหงาวหาวนอน ก็จะหาย ยกเว้นพวกที่ทำไม่ได้
ก็จะเงิกงากๆ ซึมเศร้า อยู่ตามบรรยากาศรอบกาย
มันมีวลี ที่เรียกว่า ตื่นตา ตื่นตัว ตื่นใจ
มันจะได้ขั้นนี้
................
เรียกว่า ตื่นทั้งภายใน และ ตื่นทั้งภายนอก
................
ตื่น อย่างมีพลัง แล้วจะรู้สึกสดชื่น
..................
ฝึก ย้อนกลับลงไปใหม่ จากกลางกระหม่อม ไปสู่กระโหลกศีรษะด้านหลัง ต้นคอด้านหลัง
หัวไหล่ แล้วก็ไล่ลงไปที่ ท่อนแขนด้านบน ข้อศอก ท่อนแขนด้านล่าง ข้อมือ และ กลางฝ่า
มือ ใหม่
ทำ
..................
ฝึก ย้อน เดินไป เดินกลับ จนคล่อง
เรียกว่า ชำระไขกระดูก
...................
ทำได้หมดจด ทุกขั้นตอน ก็จะเกิด ปราณร้อน ที่ลำตัว ที่หัวไหล่ กระดูกสันหลัง กระโหล
กศีรษะด้านหลัง แม้ต้นคอ และ กลางกระหม่อม
.................
พอ
สูด ลมหายใจเข้า กว้าง ลึก เต็ม
...............
หายใจออก เบา ยาว หมด
.....................
อีกที ค่อยๆ สูดลมหายใจเข้าไป ช้าๆ เบาๆ เติมไปทีละนิด จนเต็ม
...................
แล้วก็หายใจออก ยาวๆ เบาๆ อย่างหมดจด ผ่อนคลาย
....................
อีกสักครั้งหนึ่ง ให้เบากว่านี้
ค่อยๆ สูดลมหายใจเข้า ช้าๆ ให้นุ่มนวล ให้สุภาพ
อย่าฮวบฮาบ
....................
เมื่อเต็มแล้ว ก็ผ่อนลมออก เบาๆ ยาวๆ อย่างสุภาพ นุ่มนวล ผ่อนคลาย
.................
เราจะรู้สึกว่า ลม มัน สุขุมขึ้น จิตสุขุมขึ้น
ทีนี้ มาอยู่กับลมหายใจ
หายใจเข้า ภาวนาว่า สัตว์ทั้งปวง จงเป็นสุข
................
หายใจออก สัตว์ทั้งปวง จงพ้นทุกข์
.................
พอ
สูด ลมหายใจเข้า กว้าง ลึก เต็ม
หายใจออก ยกมือไหว้พระกรรมฐาน ลืมตา แล้วเข้าที่
....................
จิตพวกมึง สว่างขึ้นนะ รวมกันแล้ว เทียบได้กับพระอาทิตย์ แต่มีสีเลือด
ถึงจะเป็นพระอาทิตย์สีเลือด ก็ดีกว่า หิ่งห้อย
..................
บางคนน่ะ หลับ เป็นอาชีพเลย, สัปหงก เป็นกิจวัตร
ไม่พยายาม
..................
(กราบ)
ที่ให้ทำสลับกัน ปราณโอสภ สลับกับวิชา สุญญตสมาธิ
3 มี ค 2556 16.15 น. หลังปฏิบัติธรรม โดยองค์หลวงปู่
พุทธะอิสระ ( ที่ให้ทำปราณโอสถสลับกับสุญญตสมาธิ)
(กราบ)
ที่ให้ทำสลับกัน ปราณโอสถ สลับกับวิชา สุญญตสมาธิ ก็เพราะว่า หลวงปู่ ไม่อยากให้ว่าง
แบบขี้เกียจ
เข้าใจความหมายของคำว่า ว่างแบบขี้เกียจ ไม๊
ก็คือ มันแกล้งว่าง มันพยายามว่าง แต่มันไม่มีอะไรให้ว่าง
เพราะงั้น วิชาปราณโอสถ มันทำให้มีอะไรๆ ให้ได้ว่าง
คำว่า มีอะไรๆ ให้ได้ว่าง ก็คือ มันทำให้อานุภาพของจิต มีมากขึ้น
เรารู้สึกได้ไม๊ว่า จิตมีพลัง พวกมึงรวมตัวกัน นี่ เป็นเกจิได้องค์หนึ่งเลยนะ ไปปลุกเสกพระ
พุทธรูปนี่ วิ่งได้ รวมๆ กันแล้ว ปลุกเสกพระพุทธรูปได้ ยังดีกว่าเกจิบางคน สัปหงกเงิกงากๆ
หลับแล้วหลับอีก
เพราะงั้น เราจะเห็นว่า วิชาปราณโอสถ นี่มันจะทำให้อานุภาพของจิตมีมาก มีพลังมาก
งั้น หลวงปู่ อยากให้ว่าง โดยมีอำนาจพลัง ไม่ใช่ว่าง แบบท้าวมหาพรหม คือ นิ่งดูดาย ไม่
ใส่ใจ เพราะมันต้องพัฒนาความว่าง ก็บอกแล้วว่า ว่างมี 2 สภาวะ
ว่างโดยอารมณ์ว่าง กับ ว่างโดยสภาวะธรรมว่าง
งั้น ว่างโดยอารมณ์ว่าง ทำไม่ยาก แต่ว่างโดยสภาวะธรรมว่าง มันต้องใช้อะไร เป็นแกน
หลัก
สติ สัมปชัญญะ นั่นก็คือ ใช้ปัญญา
งั้น วิชาปราณโอสถ มันจึงจำเป็น ที่จะสร้างให้จิตมีพลัง มีพลังอันเป็นที่ตั้งของปัญญา
จึงฝึก จึงสอน จึงอบรม ให้ทำสลับกัน ไม่ใช่ว่างอยู่ตลอดเวลา แล้วสุดท้าย กลายเป็นสันหลัง
ยาว ขี้เกียจ เพราะปุถุชน มันเป็นไปได้ทั้งนั้นแหละ ว่างจนขี้เกียจ ทำอะไรก็ไม่ทำ ว่างอย่าง
เดียว คือ ว่าง ว่าง ว่าง ว่าง แต่พวกนี้ เวลากิน เอา, อ้าว ทำไม มึงไม่ว่างล่ะ, หิว,
เวลาแจก เอา, ทำไม มึงไม่ว่าง, อยากได้ พวกนี้
เพราะงั้น ว่างแบบนี้ ไม่เอา
อย่างนี้ ไม่ใช่เรียกว่า ว่าง
ก็บอกแล้วว่า ความว่าง ถึงที่สุด มันจะข้าม ตัวกู ไป
พอพ้นจาก ตัวกู ไป แล้วมันจะมีอะไรเหลือแบ่งให้คนอื่นเยอะแยะ แต่กว่าจะถึงขั้นนั้นได้
จะต้องเข้าสู่ สภาวะธรรมว่าง
แล้วการจะเข้าสู่สภาวะธรรมว่าง มันจะต้องมี ปัญญามากๆ ที่มองเห็นทุกข์อริยสัจ มองเห็น
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มองเห็นสามัญลักษณะ ชัดเจน ทุกสภาวะธรรมที่ปรากฏขึ้นในขณะ
จิตหนึ่งๆ ไม่ใช่แค่อย่างหนึ่งๆ
เพราะงั้น มันจะเป็นขณะจิตหนึ่งๆ โดยสภาวะธรรมที่เกิดขึ้น ตามสภาพธรรมที่ปรากฏ
ตามความเป็นจริงได้นั้น มันต้องใช้ปัญญาอย่างยิ่ง เหมือนกับแสงสว่าง ที่มันมหาศาลมาก
ที่มันไม่สามารถจะมีเงาของเม็ดทราย ซ่อนเร้นอยู่ได้เลย มันจะต้องส่องผ่านทะลุเม็ดทราย
ไม่ใช่ส่องผ่านภูเขาอย่างเดียว มันต้องส่องผ่านเม็ดทรายไปได้ด้วย
มันทำให้ทุกอย่างอันตรธานหายไปสิ้น แม้ฝุ่นละออง ก็ไม่ปรากฏเงา อย่างนี้เป็นต้น
ต้องให้ได้ ถึงขั้นนั้น
งั้น ก็เลยจำเป็นว่า ต้องฝึก จิตตานุภาพ ทำให้จิตมีอานุภาพให้มาก มีพลังจิตมากๆ เพื่อเอา
ไปใช้ในสภาวะธรรมว่าง ซึ่งเป็นขั้นที่สูงสุด
เอ้า ตั้งใจ ถวายทาน ว่า นะโม 3 จบ
................
สาธุ
(กราบ)
สังฆทานและสิ่งของทั้งหลายที่ลูกหลานถวาย หลวงปู่รับแล้ว ยกให้เป็นสมบัติของวัดและ
มูลนิธิฯ เพื่อใช้ในกิจกรรมสาธารณะสงเคราะห์ สาธารณะประโยชน์ ขอท่านทั้งหลาย
อนุโมทนา
ปัจจัยลาภที่พวกท่านถวาย หลวงปู่รับแล้ว ยกให้เป็นสมบัติของพระสงฆ์ เพื่อใช้หนี้พระ
ศาสนา กูยังเป็นหนี้เค้าอยู่ 70,000 ใช้ไปเรื่อยๆ เดี๋ยวหมดไปเอง (สาธุ)
เอ้า ตั้งใจ กรวดน้ำ ว่าตาม แล้วรับพร
..............
ตั้งใจรับพร ลูก
...............
(สาธุ)
โชคดี ลูก ธรรมะรักษา ให้เดินทาง โดยสวัสดิภาพ ปลอดภัย รุ่งเรือง เจริญ อายุยืน สุขภาพ
แข็งแรง
(สาธุ)
กราบลาพระ อะระหัง สัมมา
.............
เอ้า มีข่าวฝากประชาสัมพันธ์
บริษัท พฤกชเวชฯ กับบริษัท บุญกุศลฯ เค้าจะรับสมัครพนักงานการตลาด หรือ พนักงาน
การขาย มันอันเดียวกันหรือเปล่าวะ เอ่อ เดือนละ 15,000 สตาร์ด แล้วก็ให้ % ทำ
ยอดได้ ก็ให้ %
ขายอะไรบ้าง ขายตั้งแต่สากกะเบือ ยันเรือรบ มีอะไร ขายหมด
2 ตำแหน่ง
แล้วก็ ข้าว วันนี้ พระโต๊ด เค้าเอาข้าว เค้าเรียก ข้าวป่า อะไรล่ะ หอมนิล เค้าวิจัยมาแล้วว่า
ต่อต้านมะเร็ง มีสารอะไรล่ะ สูงมากกว่าข้าวธรรมดาถึง 10 เท่า
แต่มันหุงยากมาก หลวงปู่ให้พระเค้าหุงให้ ใช้เวลาแช่ เท่าไหร่วะ วันหนึ่ง มันมีสารนั่น
เยอะมากไง เลยหุงยากมาก แต่หุงเสร็จแล้ว มาต้มข้าวต้มกิน อร่อยมาก หอม
พวกคนดอย พวกกะเหรี่ยงขึ้นเขา เอ่อ นั่นแหละ แต่หุงยากมากนะ ครั้งแรก นึกว่า ไม่ยาก
เลยแช่ครึ่งชั่วโมง ไปต้ม น้ำแห้ง 3 เดือด ยังเป็นข้าวสารอยู่เลย
เปลี่ยนใหม่ ให้เอาไปแช่อีกวันหนึ่ง คืนกับวันหนึ่ง แล้วมาต้ม อีก 3 ชั่วโมง (อู้หู)
อย่าแดกเลย ...แดกยาก เพราะสารอ้ายกาบา (GABA) มันเยอะมากไง อ้ายสาร
บ้าๆ เนี่ย มันสูงกว่าระดับปกติ 10 เท่า เค้าวิจัยมา นี่ กูปลูกที่ข้างหลัง แล้วก็ให้เค้าปลูก
ไว้ที่ ห้วยเขย่ง บนภูเขา เป็นข้าวที่หายาก
ที่จริง จะสกัดเอามาทำ ยาปวดข้อเข่า ยาบำรุงไขข้อ แล้วเอา สารมันมาสกัดเป็นยาต้าน
มะเร็ง เป็นเม็ดๆ แต่ก็ลองมาปลูกกินดู แต่กินแล้วอร่อย เม็ดมันสั้น คล้ายๆ ข้าวญี่ปุ่น
เอ่อ กว่าจะได้กิน ยากมาก แต่กินแล้ว แทบจะไม่ต้องกินกับกับ กินข้าวเปล่าก็อร่อย กลิ่น
หอม แต่มันกินยาก มันแดกยาก อย่าแดกเลย
พระโต๊ด เมื่อไหร่จะได้กินเนี่ย
แต่แช่ไว้ทั้งวันทั้งคืน ไม่เละนะ ปกติ ข้าวสารธรรมดา ครึ่งชั่วโมงก็เปื่อยแล้ว อ้ายนี่ แช่ไว้
วันหนึ่งกับคืนหนึ่ง ยังเฉยอยู่เลย เออ เป็นข้าวที่หายาก
ลองดู ใครขยันเอาไปแช่ ต้มข้าวต้มกิน แก้เหน็บชา ต้านสารอนุมูลอิสระ มะเร็ง แล้วก็เป็น
ยาบำรุงประสาทตา เค้าวิจัย ผลวิจัยเค้าออกมาแล้ว กรมวิทยาศาสตร์
แต่มันเป็นข้าวที่ทำกินยาก แต่ก็อยากให้ไปกิน ด้วยเหตุผลว่า มันเป็นของดี บำรุงร่างกาย
ทำให้ร่างกายปลอด..
ก็จะให้บริษัท บุญกุศลฯ กับ พฤกชเวชฯ เค้าทำ 3 อย่าง
จากประสบการณ์ที่ไล่ไปแจกข้าว เวลาทุกขเวทนาของชาวบ้าน ทำให้เห็นสภาพที่น่าจะเกิด
เค้าเรียกว่า ฝืดเคืองอาหารกับน้ำดื่ม
ก็เลยจะทำ 2 อย่าง คิดไว้ในใจว่า จะทำข้าว ช่วงจังหวะที่มีปัญหา เราจะทำแจก ไม่มี
ปัญหา เราก็ขาย ขายของดี แต่ต้อง...
อีกเรื่องหนึ่งก็คือ ทำน้ำ กำลังให้เค้าหาเครื่องกรองน้ำแร่ ให้น้ำธรรมดาเป็นน้ำแร่ ทำเครื่อง
กรองน้ำแร่ แล้วก็ทำน้ำดื่ม กำลังหาเครื่อง
เพราะว่า 2 สิ่งนี้ มันเป็นความจำเป็นสำหรับคนที่ตกทุกข์ได้ยาก ช่วงมี อุทกภัย วาตภัย
มีปัญหา เราก็ไปแจก ช่วงธรรมดา ก็ขายราคาถูก เอาเงินมาทำประโยชน์พระศาสนา ไม่
ต้องไปขอเรี่ยไร บริจาค ตั้งใจว่า จะทำ
งั้น ก็เลยทำนา ทุกวัน เช้า กลางวัน เย็น ไปดู นี่ ตากข้าวไว้ ไม่รู้มันเก็บทันหรือเปล่า
ข้าวไม่ได้ใส่ปุ๋ยเคมี
เอ้า ใครซื้อไป ก็บอกน๊า ไม่ใช่พอหุงปุ๊บ แล้วผัวเตะนะ เพราะว่า .... เออ ต้องใช้
เวลาแช่วันกับคืนหนึ่ง แล้วจึงจะเอามาต้ม ต้มข้าวต้ม กินอร่อยมาก ไม่ต้องกินกับอะไรเลย
เมื่อเช้า หลวงปู่ฉัน ฉันข้าวเปล่าๆ ก็อร่อย
(หลวงปู่แจกพระ คณะทำงานที่ยังไม่ได้รับเมื่อวันปีใหม่)
เอ้า ขอบใจคณะทำงานทุกฝ่าย ทุกคนที่มาช่วยงานพระศาสนา พระที่ให้ เก็บไว้บ้าง อย่า
ไปขาย ขายวันนี้ ราคาเท่านี้ วันหน้า มึงจะมาเสียดาย ...งั้น เก็บไว้บ้าง
เอาละ กลับบ้านได้ละ ลูก กูก็เปลี้ย เพลีย เหนื่อยแล้ว
ถ้าจะขาย ก็ขายกาแฟ ไปรอ บุญกุศล ไม่ได้กินหร๊อก
(กราบ)
นี่ กูกำลังลงทุนทำ อ้ายแสงอาทิตย์นะ พลังงานแสงอาทิตย์ โซล่าเซลล์ กูทำก่อนที่รัฐบาลจะ
บอกว่า วิกฤตพลังงาน กำลังคิดจะทำ นี่ให้คนไฟฟ้าฝ่ายผลิต เค้ามาช่วยวางระบบ มันจะทำ
เมื่อไหร่ ขืนไม่ใช่ ไฟฟ้าทุกวันนี้ เดือนละ 2 แสนกว่าบาท เอ่อ ไม่ไหว หาตังค์
ก็ ถามว่า แพงไม๊ แพง ลูก เฉพาะค่าแผ่น นี่ 10 กว่าล้าน แต่ระยะยาว มันคุ้ม วันนี้ ถ้า
หลวงปู่อยู่ ไม่ทำ วันข้างหน้า สมภารชั้นต่อไป ก็ไม่มีปัญญาทำ ก็ทำให้มันยอมเป็นหนี้
ไม่ยาก กู ยังมีใบไม้เยอะ (สาธุ)
(กราบ)