11 ก ย 55 บ่าย สถาบันดำรงค์ราชานุภาพ ณ. กระทรวงมหาดไทย ธรรมะโดย องค์หลวงปู่พุทธะอิสระ
พิธีกร ค่ะ ขอเรียนเชิญทุกท่านที่ห้องประชุมเลยนะคะ วันนี้ สถาบัน ดำรงค์ราชานุภาพ
ได้จัดให้มีการบรรยายตามโครงการเสริมสร้างจริยธรรมให้กับข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ใน
สังกัดกระทรวงมหาดไทย โดยได้นิมนต์พระคุณเจ้าหลวงปู่พุทธะอิสระ จากวัดอ้อน้อย
อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม มาเป็นองค์วิทยากรในวันนี้ โดยจะบรรยายเรื่อง การ
พัฒนาจิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน จะขอกล่าวประวัติท่านหลวงปู่โดยคร่าวๆ เพื่อ
ให้ทุกท่านได้ทราบดังนี้ค่ะ
หลวงปู่พุทธะอิสระ หรือ พระสุวิทย์ ธีรธัมโม ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย และเจ้าคณะ
ตำบลห้วยขวาง อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม ท่านได้รับฉายาว่า ธีรธัมโม แปลว่า
ปราชญ์ทางธรรม
ครั้งหนึ่ง ท่านได้มีโอกาสแสดงธรรมที่วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี การแสดงธรรมครั้งนั้น จับ
ใจท่านผู้ฟังมากซึ่งไม่คิดว่าพระหนุ่ม พรรษาไม่มากจะแสดงธรรมได้ดีถึงเพียงนี้ น่าจะ
เป็นพระอาวุโสมากกว่า จึงเรียกท่านว่า หลวงปู่ แล้วก็เรียกต่อๆ กันมา
ผลงานสำคัญของท่านได้แก่ การแสดงธรรมทุกวันอาทิตย์ต้นเดือนที่วัดอ้อน้อย,
โครงการเผยแผ่ธรรม ด้วยหนังสือธรรมะและเทปเสียง, โครงการเผยแพร่ธรรมทางเวป
ไซด์ วัดอ้อน้อย และทางหนังสือพิมพ์ ธรรมลีลา รายเดือน, โครงการอบรมพระ
วิปัสสนาจารย์, โครงการศากยบุตรกู้วิกฤต, โครงการบรรพชาและอุปสมบทพระภิกษุ
และสามเณรภาตฤดูร้อน, โครงการธรรมศึกษาในโรงเรียน, โครงการค่ายจริยธรรม
ให้กับนักเรียน นักศึกษาในช่วงปิดเทอม, โครงการกลุ่มออมทรัพย์ วัดอ้อน้อย,
โครงการแจกมหาทานแก่ครอบครัวผู้ยากไร้, กองทุนดูแลพระสงฆ์อาพาธ จังหวัด
นครปฐม, โครงการอนุรักษ์ธรรมชาติและศาสนา, โครงการศูนย์การเรียนรู้ชุมชน
ธรรมอิสระ, โครงการสถานบำบัดและฟื้นฟูสุขภาพด้วยธรรมชาติ และศูนย์พัฒนาจิต
วิญญาณเชิงท่องเที่ยว
ในโอกาสนี้ ขอกราบนิมนต์พระคุณเจ้า หลวงปู่พุทธะอิสระ ได้บรรยายธรรมในเรื่อง การ
พัฒนาจิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ให้กับพวกเราได้รับฟังต่อไป ขอบพระคุณค่ะ
เจริญธรรม เจริญสุข ท่าน ผ.อ. ผู้อำนวยการ อะไรก็ไม่รู้ล่ะ เพราะคุยกันนิดหน่อยเอง
แต่ว่าที่รู้ๆ ก็คือ มีความสำคัญตรงที่ว่า มีวิธีคิดที่จะพัฒนาบุคคลากรด้วยวิถีธรรม วิถีพุทธ
คือ นำเอาวิถีธรรมมาใช้ในวิถีงาน วิถีชีวิต แล้วก็เป็นหลักคิดในการบริหารจัดการการงาน
และชีวิต ก็ถือว่า เป็นวิธีคิดที่น่ายกย่องและน่าศรัทธายิ่ง
ถามว่า เพราะอะไร
มันก็คงจะสืบเรื่องเนื่อง ต้นเรื่องที่เค้าให้เสวนา หรือให้พูดคุยในวันนี้ เรื่อง การพัฒนาจิต
มันทำให้ชั้นนึกถึงคำสอนที่ชั้นสอนเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา เรื่อง ชีวิตมนุษย์ไม่ควรปฏิเสธ
คำภาวนา ด้วยเหตุผลว่า อาหารมีความจำเป็นสำหรับกายฉันใด คำภาวนา ก็มีความจำเป็น
สำหรับจิตนี้ฉันนั้น เพราะว่า ถ้าจิตนี้มันไม่ภาวนา ตามหลักการอภิธรรม ท่านว่าไว้ว่า มันมี
เครื่องเสพที่เรียกว่า เจตสิก เครื่องปรุงจิต
มันมีเครื่องเสพอยู่ 3 อย่าง ก็คือ กุศลจิต อกุศลจิต และ อัพยากฤตจิต
ถ้าเมื่อใดที่เราไม่ภาวนา แน่นอนล่ะ มันก็ไม่มีกุศล เพราะว่า กุศล กับคำว่า ภาวนา นี่มันคู่
กัน
อ้ายภาวนานี่ ก็แปลว่า เจริญ ทำให้จิตนี้เจริญ
เมื่อไม่ภาวนา มันก็มีอกุศล และอกุศล มีอะไรบ้าง ก็มี ราคะอกุศล โทสะอกุศล โลภะอกุศล
โมหะอกุศล หรือที่ พระผู้มีพระภาคเจ้า ท่านจำแนกเอาไว้ว่า ราคะวิตก โทสะวิตก คือ วิตก
หรือตรึกอยู่ในราคะ, วิตกและตรึกอยู่ในโทสะ, วิตกและตรึกอยู่ในโมหะ, วิตกและ
ตรึกอยู่ในโลภะ อย่างนี้ เราก็มีแต่เรื่องวิตก หรือตรึกอยู่เรื่องพวกนี้ เรื่องรอบตัวเรา มีราคะ
โทสะ โมหะ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ด้วยโทษฐานของความไม่ภาวนา
ถามว่า เพราะอะไร
ภาวนานี่มันเป็นเรื่องอะไรบ้าง มันมีอะไรที่จะใช้คำภาวนา
ที่จริง คำว่า ภาวนา แปลว่า ธรรม และเครื่องผูกใจ คือ เครื่องผูกใจ เครื่องมั่นในใจ เครื่อง
บังคับจิตใจ เครื่องประคองใจ เครื่องทำให้ใจนี้ชุ่มฉ่ำ สงบเย็น เครื่องทำให้ใจนี้ไม่ทุรนทุราย
ไม่เร้าร้อนและ เครื่องเปลื้องพันธนาการของจิตใจ
ถ้าแปลโดยศัพท์ ก็แปลว่า เครื่องเจริญใจ
ถ้าเราไม่ทำให้เราเจริญใจ ไม่เปลื้องจิตใจ เสื้อผ้าเราสกปรก ยังต้องอาศัยผงซักฟอกซัก ตัว
เนื้อสกปรกยังต้องใช้น้ำล้าง น้ำอาบ แต่ถ้าใจนี้มันสกปรก มันไม่มีอะไรล้วงไปล้างได้นะ ยก
เว้นธรรมะและคำภาวนา งั้น ถ้าเรามีราคะ ฟอกใจอยู่ตลอด, โทสะ ฟอกใจอยู่ตลอด,
โมหะ ฟอกใจอยู่ตลอด, โลภะ ฟอกใจอยู่ตลอด, ราคะ โทสะ โมหะ อวิชชา ตัณหา
อุปาทาน อยู่ในจิตใจอยู่ตลอดเวลา
มันเข้าทางไหนบ้าง ก็ ตาเห็น หูฟัง จมูกดม ลิ้นได้ กายสัมผัส แล้วใจก็ปรุงแต่งมันขึ้นมา
ดีไม่ดี ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น อยู่บ้าน นอนอยู่ ดิ้นจนหนังกลับไม่หลับ ก็ยังคิดมาก คิดถึงคนนั้น
คิดถึงคนนี้ คิดว่า เมื่อเช้านี้ แหม ยายคนนั้นมันด่าเราหรือเปล่า เห็นมันมองค้อนเราขวับๆ
เมื่อคืนนี้ แหม กินข้าวไม่ค่อยได้ เพราะคนในบ้านมันไม่ค่อยถูกใจเรา อะไรอย่างนี้ คิดไป
ได้ ต่างๆ นาๆ
ทั้งหมดมันมาจากคำว่า จิตสกปรก จิตไม่ภาวนา
งั้น ถามว่า เมื่อภาวนาแล้ว มันได้ประโยชน์อะไร
คนเรา ถ้าภาวนาแล้ว มันจะอิ่มอกอิ่มใจ คนที่ภาวนาได้ ภาวนาดีเนี่ยนะ ภาวนาแล้วเจริญใจ
มันจะทำให้อิ่มอกอิ่มใจ อ้ายคนอิ่มอกอิ่มใจนี่มันไม่ตะกละ ไม่อยากกินอะไรนะ อ้าว จริงๆ
คนอิ่มอกอิ่มใจนี่ มันไม่โลภ ไม่อยากได้ ไม่ต้องการอะไรของใคร แม้อาหารเต็มโต๊ะ ก็ไม่
อยากกินนะ มันอิ่มอกอิ่มใจ เหมือนคนอยู่ในฌานน่ะ อยู่ในสมาบัติ ถ้าจะเทียบคนอิ่มอก
อิ่มใจแล้วจะเทียบกับทฤษฎีใหม่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โอ้โห ถูกตรงเลย
หัวใจสำคัญของทฤษฎีใหม่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ต้องภาวนา
ถ้าไม่ภาวนา นี่จะไม่รู้จักอิ่ม เมื่อไม่รู้จักอิ่มก็จะอิ่มป่าไม้ มีเท่าไหร่มันก็กินหมด ทรัพยากร
ในแผ่นดินมีเท่าไหร่ มันก็กินหมด
แต่ถ้ามันอิ่มอกอิ่มใจ นิดหน่อย เค้าก็พัฒนาให้ได้ดีได้ แล้วก็พออกพอใจ อิ่มอกอิ่มใจไป
กับสิ่งที่มี สิ่งที่ทำ และสิ่งที่ได้
แต่เพราะ คนในแผ่นดินนี้ไม่ค่อยนิยมภาวนา เหมือนโบราณไง
ถามว่า เพราะอะไร
เพราะโบราณเค้าสอนให้ภาวนาโดยวิถีแห่งไทย วิถีแห่งความเชื่อแบบไทยๆ
ถ้าจะบอกว่า ภาวนาแล้วมันทำให้อิ่มอกอิ่มใจ คนโบราณเค้าคงไม่เชื่อ ลูกหลานคนโบราณ
เค้าคงไม่เชื่อ ก็มี เล่ห์เพทุบาย กุสโลบาย กรรมวิธีดึง ดึงให้คนหันมาภาวนา เช่น สอนว่า เออ
ถ้าเอ็งภาวนาบทนี้นะ ลูก เอ็งจะเป็นเศรษฐี เพราะ บทนี้เป็นหัวใจเศรษฐี อย่างนี้เป็นต้น
ถ้าเอ็งภาวนาบทนี้นะ เอ็งจะหนังเหนียว ยิงไม่เข้า ฟันไม่ออก อะไรอย่างนี้
ถ้าเอ็งภาวนาบทนี้ แล้วจะทำมาค้าขายดี รุ่งเรือง ร่ำรวย เจริญ อย่างนี้เป็นต้น
แต่ทั้งหมด มันเป็นเครื่องผูกใจ ให้ ไม่โดนราคะครอบ ไม่โดนโทสะครอบ ไม่โดนโมหะ
ครอบ ไม่โดนตัณหา ไม่โดนอวิชชาครอบ แต่เอาใจ มาจดจ่อ จับจ้อง จริงจังอยู่กับภาวนา
นั้นๆ ที่ตัวเองคิดว่า มันจะทำประโยชน์ให้เรา มันจะให้ประโยชน์ต่อเรา มันจะอำนวย
ประโยชน์สุขต่อเรา แล้วเราต้องการความสำเร็จและความมุ่งหวังนั้นจงเกิดแก่เรา ด้วยการ
ภาวนาบทนี้ เหล่านี้ อย่างนี้ เช่นนี้ และวลีนี้ อย่างนี้เป็นต้น
งั้น คนโบราณ จึงมีสมบัติเหลือไว้ให้เราผลาญกันทุกวันนี้ เพราะคนโบราณขยันภาวนา
แต่คนสมัยนี้ ขยันกินน่ะ ขยันกิน เลยไม่มีอะไรเหลือให้ลูกหลานชั้นหน้าๆ ไม่รู้ลูกหลานชั้น
หน้าๆ มันจะเหลืออะไร ชั้นไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ไปเชียงราย แล้วก็ไปแสดงธรรมที่
เชียงใหม่ อ้ายภูเขาเมื่อ 30 ปี 40 ปีก่อนที่เคยไปดู เป็นที่อยู่ของม้ง ของแม้ว เดี๋ยวนี้
ม้งแม้วไม่ได้อยู่แล้ว มันอยู่เข้าไปอีก ข้างในอีกลึกๆ ถามว่า เพราอะไร
ก็มีนายทุนเจ้าของรีสอร์ทไปกว้านซื้อ ทำรีสอร์ทบ้าง ปลูกยางบ้าง ปลูกยาง ปลูกสวนอะไร
ต่ออะไรสารพัด มันทำให้เห็นว่า พอลับหลังมาซักอาทิตย์ อาทิตย์นี้เริ่มล่ะ
เริ่มอะไร น้ำมันลง ฝนมันตก น้ำมันลง แล้วอ้ายยาง อ้ายปาล์ม นี่มันเป็นพืชหากินหน้าดินนี่
มันไม่ได้มีรากหยั่งลึกลงไปในดินใต้เขา เสร็จแล้ว ฝนตก มันก็ไม่มีอะไรชะน้ำเอาไว้ มัน
ก็น้ำก็บ่าไหลลงมาสู่เมือง แล้วก็กลายเป็นสีขุ่นแดง
อ้ายดินภูเขาทางภาคเหนือ มันไม่ใช่ดินภูเขาหิน มันเป็นภูเขาดิน เราก็ลุยกันไป ถางกันไป
ฟันกันไป ปลูกกันไป ทำร้ายทำลายกันไป จนสุดท้าย ตัวเองก็มาตายทั้งหลัง
ทั้งหมดนี่มัน โทษจากคำว่า ไม่ภาวนา คือ ไม่มีคำว่า อิ่มใจ ไม่มีคำว่า พอใจ
งั้น อยากจะบอกท่านที่รักทั้งหลายว่า ถ้าเมื่อใดที่เราคิดว่า จะพัฒนาจิต มันต้องเริ่มต้นจาก
คำว่า ภาวนา ให้ได้ก่อน ภาวนาอะไรก็ได้
หายใจเข้า สัตว์ทั้งปวง จงเป็นสุข
หายใจออก สัตว์ทั้งปวง จงพ้นทุกข์
ออกจากบ้าน สัตว์ทั้งปวง จงเป็นสุข สัตว์ทั้งปวง จงพ้นทุกข์ ก็ดีกว่า นั่งอยู่ แล้วมาคิด ใคร่
ครวญอยู่ นั่งรถอยู่ รถติด ก็ด่าอ้ายคนทำรถติด ด่าไฟแดง ด่าจราจร ด่าคนขับรถช้า ด่าคน
แซงข้างหน้า ด่าคนข้ามถนน ดีไม่ดี ก็ด่าอ้ายคนนั่งข้างๆ
พอมันภาวนา มันก็ไม่ต้องด่าใครไง มันก็ไม่มีโทสะอยู่ในใจ พอไม่มีโทสะ ใจมันก็อิ่ม ก็ฟู
มาทำงาน จิตใจมันก็เฟื่องฟู สบาย มองหน้าใคร ก็ยิ้มให้เค้า มันไม่ยิ้มให้เรา เราก็ยิ้มให้มัน
สุดท้าย มันก็ต้องแสร้งยิ้ม จะแสร้งยิ้ม หรือ เต็มใจยิ้ม ก็ดีกว่าแสยะยิ้ม
รวมๆ สรุปก็คือ เมื่อไม่มีใครยิ้มให้เรา ยิ้มให้กระจก ก็ยังดีกว่า ไม่มีจะยิ้ม
งั้น เรื่องการภาวนานี่ มันเป็นเรื่อง การผูกใจให้อยู่ในกุศล อยู่ในความเจริญ อยู่ในเรื่องงด
งาม อยู่ในเรื่องดีงาม
งั้น คนโบราณ นี่เค้าสอนเป็น สอนดี มีวิธีสอน
แต่คนสมัยนี้ ไปด่าว่าคนโบราณ ถ้าใครจะมาภาวนา ทำอะไรอยู่อ่ะ, กำลังท่องหัวใจ
เศรษฐี, ฮื๊อ คร่ำครึ, บ้า ไม่รู้จัก ไม่มีวิทยาศาสตร์ ปัญญาอ่อน เชื่ออะไรงมงาย,
กำลังทำอะไรอยู่, กำลังท่องคาถา มหาเสน่ห์
คาถาอะไรก็ได้ แต่จิตนี้มันอยู่กับองค์ภาวนา ให้ทำไปเฮอะ มันจะคาถา มหาเศรษฐี,
คาถามหาระรวย, คาถาท่องแล้วมันไม่ซวย ทำให้ใจมันชุ่มฉ่ำเย็นสบาย ท่องไปเถอะ แต่
ให้มันอยู่กับใจจริงๆ นะ ไม่ใช่ปากท่อง แล้ว ตาก็ล่องลอย ใจก็เลื่อนลอย เค้าเรียกว่า ท่อง
แต่ปาก อย่างนี้เค้าเรียก ท่องมนต์แต่ซาก
เหมือนๆ กับที่สัปดาห์ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ชั้นสอนกรรมฐานที่วัด บอกให้คนที่ไปวัด ท่อง
มนต์ ให้เริ่มมนต์บทตั้งแต่ อานาฏาปริตยสูตร บอกว่า เมื่อไรที่ใจออกไปข้างนอก ก็ เริ่ม
ท่องใหม่ คือ คุณจะท่องไปสักกี่บทก็แล้วแต่ กี่บรรทัดก็แล้วแต่ ถ้าใจหลุดแว๊บออกไป
ต้องกลับมานับ 1 ใหม่
เริ่มท่อง ตั้งแต่บ่ายโมง ยัน 4 โมงเย็น ยังไม่จบบทเลย บางคนนั่งนึก มาสารภาพว่า กำลัง
คิดอยู่เชียวว่า ถ้าหลวงปู่ไม่บอกเลิก ไม่รู้ว่าเย็นนี้ จะมีโอกาสได้กลับบ้านไม๊
เพราะ อะไร
เพราะ ใจเราไม่อยู่กับมนต์ มนต์กับใจไม่รวมกันเป็นหนึ่ง ไม่ซื่อตรงต่อมนต์
แต่คนโบราณ เค้าไม่ใช่นะ คนโบราณ นี่เค้าทดลอง ทดสอบกับมนต์นั้นๆ ถึงขนาดเอา
เครื่องล่อเลยล่ะ นี่ หัวใจเศรษฐีนะ ถ้าเอ็งท่องได้อย่างนี้ ก็คือ ใจต้องหนักแน่นอยู่ในมนต์
ต้องจมปลักอยู่ในมนต์ มนต์กับใจต้องรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน จนกระทั่งเกิดอภินิหาร เกิด
อานุภาพ เกิดจิตตานุภาพ เกิดความศักดิ์สิทธิ์ เรียกว่า เกิดตบะ กำลังใจ เกิดบารมีธรรมใน
จิตใจ เรียกว่า มนต์กับใจรวมกันเป็นหนึ่ง
เดี๋ยวนี้ อย่าว่า อานาฏาปริตยสูตร หรือ อิติโส ภควา เลย แค่ นะโม 3 จบ คุณกล้ายืนยัน
ได้ไม๊ว่า คุณอยู่กับ นะโม ครบทั้ง 3 จบ
ดีไม่ดี นะโม ตัสสะ, อะระหะโต ไปไหนแล้วก็ไม่รู้ แว๊บไปไหนแล้วก็ไม่รู้ คือ ใจมันไม่
ได้อยู่ไง มันไม่อยู่จนครบไง
ทั้งหมดน่ะ คือ สาระของการภาวนา คือ ความจริงที่เราจะต้องภาวนาให้เป็น ถ้าเมื่อใดที่เรา
ภาวนาไม่เป็น ใจนี้ มันตะกละอยู่ตลอดล่ะ มันอยากอยู่ตลอด มันหิวอยู่ตลอด มันต้องการ
อยู่ตลอด มันขวนขวาย มันกระเสือกกระสน มันดิ้นรน มันทุรนทุราย มันอยากได้ มัน
ตะกรุมตะกรามตะกละตลอด
แต่เมื่อใดที่ภาวนาจนได้ จนจบเนี่ย มันจะมีคำว่า อิ่ม เต็ม อิ่มใจ เต็มใจ สุขใจ สบายใจ พอ
ใจมันเป็นสุขเสียแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าบอกว่า มโน บุพพัง คมา ธรรมมา มโน เสฏฐา
มโน มยา การทั้งหลาย มีใจเป็นนาย มีใจเป็นหัวหน้า มีใจเป็นใหญ่ ทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยใจ
คนใจอิ่ม มันทำอะไร มันก็ มันเหลือให้ อ้ายคนใจตะกละ ทำอะไรไม่เหลือให้ใครหรอกนะ
คุณ อ้ายคนพร่องในใจกับคนอิ่มใจ เต็มใจ อ้ายคนพร่องในใจ มีความพร่องในหัวใจ มันทำ
อะไรนี่ มันขาดไปหมดนะ อ้ายนู่นก็ยังไม่พอ อ้ายนี่ก็ยังไม่ได้ อ้ายนั่นกูก็ยังไม่มี มันเป็น
ไปอย่างนี้ซะหมด
แต่ถ้าอ้ายคนมีใจที่อิ่ม เต็ม ตื้นอยู่ในหัวใจ ทุกอย่างมันเหลือเฟือไปหมด มันมีเหลือเฟือ
พร้อมที่จะแบ่งปัน แจกจ่าย แบ่งให้กับคนข้างๆ รอบข้างได้เสมอๆ
งั้น เมื่อครู่นี้ ชั้นชวนท่าน ผ.อ. บอกว่า ว่างๆ พาบริวาร ไปภาวนาที่วัดบ้างก็ได้ แล้วคุณ
ไม่ต้องไปหาคอร์สทำอะไรเลย ให้คุณภาวนาให้ได้ในใจเถอะ ให้ใจนี้มันอิ่มใจ ให้มันอิ่มใจ
มันเต็มใจ มันสุขใจ มันสบายใจ แล้วคุณจะทำอะไรแบบชนิดเหลือเฟือ ไม่ใช่ขาดแคลน
เหมือนทุกวันนี้
ทุกวันนี้ ทำอะไรก็ขาดแคลนไปหมด สุดท้ายก็ขาดใจ ขาดน้ำใจ ขาดหัวใจ ขาดความจริงใจ
ขาดกำลังใจ แล้วก็ ทำด้วย จำใจทำ ไม่ใช่เต็มใจทำ
งั้น เรื่อง หัวใจของมนุษย์ที่จะบริสุทธิ์ มันได้มาจากคำภาวนา และธรรมะ
ถ้าเมื่อใดที่คุณปฏิเสธคำภาวนา เอาบทอะไรก็ได้ คุณ ไม่จำเป็นต้องครบทั้งหมด เอาแค่ซัก
บรรทัดเดียว นะโม ก็ ไม่ต้องว่า ให้ครบ 3 จบก็ได้ เอาวันละจบ วันละบรรทัด นะโม ตัสสะ
ภะ คะ วะ
ชั้นน่ะ สวดมนต์ในวัด ชั้นจะสอนพระอย่างนี้ นะ โม ตัส สะ ภะ คะ วะ โต ต้องอย่างนี้นา
ไม่ใช่ นะโมตัสสะภควโตอรหโตสัมมาสัมพุทธัสสะ แต่ใจมันล่องลอยไปไหนก็ไม่รู้ล่ะ
ต้องอ่านแบบคนโง่อ่าน คือ ใจนี่ อย่าทำฉลาดกับมัน
ถ้าเมื่อใดที่คุณฉลาดกับใจน่ะ คุณ คือ โง่ที่สุดในโลก
งั้น ต้องทำโง่ๆ เข้าไว้, โง่ๆ กับใจตัวเอง อย่าไปโง่กับคนอื่นนะ
โง่กับใจตัวเอง ค่อยๆ อ่านไปทีละตัว แล้วใจคุณจะผูกกับมนต์นั้นอย่างแนบสนิท
มนต์กับใจคุณ จะรวมกันเป็นหนึ่งเดียว
ที่วัดชั้นน่ะ จะสอนเดินหน้า ถอยหลังด้วยซ้ำไป แต่อย่าทำแบบเณรที่มาบวชที่วัดนะ เออ
มันคุยกันดึกไง พาไปธุดงค์ แล้วมันคุยกันดึก เราก็, 4 ทุ่มแล้ว เณรยังคุยกันลั่นกลด
เราก็ตะโกน เณร ทำอะไร ทำไมไม่สวดมนต์ซักที, มันเห็นว่า ดึกแล้ว มันอยู่ในป่า,
อ้ายเราก็ยืนดูมันข้างๆ กลด, เพราะมันมืด มันมองไม่เห็นเรา มันทำไง พอได้ยินเสียง
เราตะโกน แต่มันไม่เห็นตัว มันก็กลัว แต่ว่า ไม่สวดมนต์ก็ไม่ได้ สุดท้าย มันก็หันมาที่หัว
นอนมันน่ะ แล้วก็ยกมือ หลับตาไปซักพักหนึ่ง ไม่ถึงอึดใจล่ะ แล้วมันก็ลืมตามา บอกว่า
หลวงพ่อ เหมือนเดิม แล้วมันก็ล้มตัวลงนอน
อ้ายเราก็ยืนอยู่ข้างๆ ถาม เณร ทำอะไรอ่ะ, มันตกใจ, อะไรครับ, มึงทำอะไร
เมื่อกี้, หลวงพ่อ เหมือนเดิม ครับ, เหมือนเดิมอะไรของมึง, ก็วันนี้ มันดึกแล้ว เมื่อ
วาน ผมสวด อิติปิโส พาหุง ผมก็เลยบอก หลวงพ่อ เหมือนเดิม, ก็คือ เหมือนเดิมตอนที่
เหมือนเมื่อวานนี้ อิติปิโส พาหุง
อย่าไปภาวนาแบบนี้ ถ้าภาวนาแบบนี้ เค้าเรียกว่า ไม่เจริญ ไม่ได้ทำให้จิตพัฒนา
งั้น กระบวนการภาวนา มันเป็นกระบวนการพัฒนาจิต ฟอกจิต ชำระจิต ล้างจิต ทำจิตนี้ให้
ผ่องแผ้วและผ่องใส มันก็จะตรงกับคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า ที่อยู่ในหลักหัวใจของ
พระพุทธศาสนา เรื่อง สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง การไม่ทำบาปทั้งปวง กุสะลัสสูปะสัม
ปะทา การทำกุศลให้ถึงพร้อม มีวงเล็บด้วยนะ กุสะลัสสู แปลว่า ทำกุศลให้ถึงพร้อม ด้วย
ความชาญฉลาด
เดี๋ยวนี้ คนเราทำกุศล หรือ ทำบุญ ไม่ได้ฉลาดเลยนะ ที่จริง กุศล แปลว่า ฉลาด แต่เดี๋ยวนี่
เราทำไม่ค่อยฉลาดนะ
9 โมง มีคนมาบิณฑบาตร ก็ยังหน้าด้านใส่นะ อ้ายนี่เค้าเรียก หน้าด้านใส่นะ
ถามว่า เพราะอะไร
ก็รู้ทั้งรู้ 9 โมง นี่ มันเป็นหน้าที่ของคนมาบิณฑบาตรเหรอ มันเป็นเรื่องของคนมาขอทาน
ไม่ใช่มาบิณฑบาตร ถ้าขอทาน ก็ไม่ควรถือบาตร ไม่ควรจะตบแต่ง ห่มเหลือง โกนหัว
แสดงว่า มันหลอกไม๊หลอก แล้วเราโง่กว่าคนหลอก จะไม่เรียกว่า หน้าด้าน แล้วเรียกว่า
อะไร
มันต้องรู้จัก คือ ต้องฉลาดที่จะให้
คำว่า กุสะลัสสูปะสัมปะทา แปลว่า ฉลาดในการทำดี ไม่ใช่โง่ในการทำ ทำดีก็ต้องฉลาดด้วย
ไม่ใช่ทำดี ก็สักแต่ว่าทำ, ทำแบบโง่ๆ ก็ไม่ถือว่า ดีนะ เค้าเรียกว่า อัปรีย์ ไม่ใช่ดีหรอก
งั้น ทำดี ต้องฉลาด
ศาสนานี้ มีคำสอนสูงสุด คือ ต้องฉลาด
เหมือนกับที่ชั้นไปสอนเณร สอนพระ สอนเณรว่า น้องเณร น้องหนูรู้ไม๊ ลูก ว่า คำสอนสูง
สุดของพระผู้มีพระภาคเจ้า คือ อะไร, คุณว่า คือ อะไร
เอ้า ไม่ถามเณรล่ะ ถามป้ากับยาย ที่นั่งอยู่แถวนี้ล่ะ พวกคุณป้า คุณตา คุณยายทั้งหลายน่ะ
พระพุทธเจ้าสอนอะไร คุณ
...............
ตอบตามสูตรเป๊ะเลยนะ ตามสูตรที่เล่าให้เมี่อกี้ ฟังเลย
คำสอนสูงสุดคือ อะไร
ไหน ผ.อ. คุยว่า อบรมธรรมะบ่อยๆ ไง นี่ทำให้เสียหน้า ผ.อ. นะ, เห็นว่า มี
อาจารย์นู้น อาจารย์นี้ มาอบรมบ่อยมากเลย, 2 เดือนครั้งบ้าง, เดือนละครั้งบ้าง
อะไรอย่างนี้
คำสอนสูงสุดของพระพุทธศาสนา
เพราะมีปัญญา จึงเห็นทุกข์
เพราะมีปัญญา จึงรู้เหตุเกิดทุกข์
เพราะมีปัญญา จึงรู้ว่า ทางดับทุกข์นั้นมีอยู่
และเพราะมีปัญญา จึงรู้ข้อปฏิบัติให้ถึงทุกข์ดับได้
นั่นแหละ คือ คำสอนสูงสุด
สรุปแล้ว คำสอนสูงสุดของพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าสอนให้มีอะไร
มีปัญญา สอนให้มีปัญญา ไม่ใช่สอนเรื่องอื่นเลย
งั้น พระพุทธศาสนา สอนให้เราฉลาด
เมื่อไรที่เราเรียกตัวเองว่า พุทธบริษัท แปลว่า บริษัทที่ชาญฉลาด
เมื่อใดที่เราโง่ แสดงว่า เราไม่ใช่พุทธบริษัท
บริษัทผู้ชาญฉลาด จะต้อง รู้ ตื่น และเบิกบาน
คำว่า พุทธบริษัทนี่ แปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
เราใช้ยี่ห้อนี้มานานแล้ว เราไม่เคยทำให้ตรงต่อยี่ห้อเท่าไหร่ เราก็มียี่ห้อติดหน้าผากไป
เดินไปก็คุยว่า เราเป็น ยี่ห้อชาญฉลาด ตื่น เบิกบาน สำราญใจ แต่ชีวิตเราก็จมปลักอยู่ใน
อะไรๆ ก็ไม่รู้ล่ะ ราคะวิตก โทสะวิตก โลภะวิตก โมหะวิตก อกุศลวิตก วิตกอยู่แต่
เรื่องอย่างนี้ กลายเป็นผู้วิตกจริตไปเรื่อย
แต่กุศลวิตก ปัญญาวิตก ความชาญฉลาดวิตก ความรุ่งเรืองเจริญวิตก ยากมาก
เราไม่ค่อยคิดถึงความจริงของชีวิตเรา แต่ชอบคิดถึงปัญหาของคนอื่น แล้วเอาปัญหาคนอื่น
มาเป็นปัญหาชีวิตเรา เราก็เลยไม่ได้พัฒนาชีวิตตัวเอง
ทั้งหมดมันมาจากคำว่า ไม่ฉลาด ไม่มีปัญญา
แล้วไม่ฉลาด ไม่มีปัญญา มันมาจากอะไร
ไม่ขยันภาวนา ไม่รู้จักภาวนา ไม่เรียนรู้ ไม่ศึกษาธรรมะ ไม่เข้าใจวิถีธรรม อย่างถูกต้อง
งั้นก็ อยากบอกว่า ว่างๆ ท่าน ผ.อ. ลองเอารถเข็นขนไปวัด รถอะไรก็ได้ขนไปวัด แล้ว
ก็ลองไปอบรมเจริญภาวนา แบบชนิดที่วิถีพุทธ
ภาวนานี่มันมี 2 วิถีนะ ถ้าวิถีสมถะ ก็วิถีโลก, วิถีโลกุตตระ ก็คือ วิถีวิปัสสนา
วิถีวิปัสสนานี่ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้ในหลักมหาสติปัฏฐาน 4
ถ้าวิถีสมถะ ก็แบบที่สำนักที่เค้าสอนๆ กันทั่วๆ ไป ก็คือ ทำให้ใจนิ่ง ใจสนิท ใจหยุดอยู่เฉยๆ
ไม่ต้องเคลื่อนไหวอะไร นั่นเค้าเรียก วิถีสมถะ
แต่ถ้าวิถีปัญญา นิ่งไม่ได้ วิถีปัญญา นี่มันเปรียบประดุจ เหมือนดั่งอากาศที่ซึมสิงอยู่ใน
บรรยากาศ หรือว่า ความชื้นที่อยู่ในรอบๆ ตัวเรา นั่นเค้าเรียกว่า วิถีของปัญญา
วิถีนี้แหละ เป็นวิถีแห่งโลกุตตระ แต่วิถีสมถะ ศาสนาอื่น เค้าก็มีสอน
วิถีสมถะ เปรียบเหมือนดั่งภูเขาลูกหนึ่งที่ไม่สะดุ้ง ไม่หวั่นหวาด ไม่สะดุ้งผวา ไม่หวั่นไหว
ต่อสิ่งใดๆ นั่นเค้าเรียกว่า วิถีสมถะ
งั้น ความหมายของชีวิตที่จะพัฒนา ที่จะเจริญได้ มันปฏิเสธภาวนาไม่ได้เลย
คุณท่องบทใดก็ได้ เอาเป็นว่า หัวใจเศรษฐี หรือ หัวใจอะไรล่ะ หัวใจเสน่ห์ หัวใจเมตตา
มหานิยม อะไรก็ได้ หรือไม่รู้ จะทำอะไรก็ดีกว่าไปด่าชาวบ้าน ดีกว่านินทาชาวบ้าน ดีกว่า
คิด วกวนใคร่ครวญ ทบทวน ย้ำทำย้ำคิดแต่เรื่องเศร้าหมอง ทำให้ใจขุ่นมัว ก็ สัตว์ทั้งปวงจง
เป็นสุข สัตว์ทั้งปวงจงพ้นทุกข์
สัตว์ทั้งปวงน่ะเป็นสุข แต่สัตว์ทั้งปวงจะรู้ไม๊ว่า กูกำลังเป็นทุกข์ อย่าไปว่าอย่างนี้นะ
สัตว์ทั้งปวงจงเป็นสุข สัตว์ทั้งปวงจงพ้นทุกข์ เอาอย่างนี้ ว่าไปอย่างนี้ ดีกว่าปล่อยให้ ราคะ
มันครอบใจ โทสะมันครอบใจ โมหะมันครอบใจโลภะมันครอบใจ
ขณะที่ราคะครอบใจ ถ้าตายไปเนี่ยนะ ไม่รู้ไปเกิด เป็นอะไรนะ
พระพุทธเจ้าบอกว่า จิตเต สังกิลิฏเฐ ทุคติ ปาฏิกังขา ก่อนตาย ถ้าจิตเศร้าหมอง ไปสู่ทุคตินะ
ถ้า จิตเต สังกิลิฏเฐ สุคติ ปาฏิกังขา ก่อนตาย จิตไม่เศร้าหมอง ไปสู่สุคติ
ในขณะที่โทสะครอบงำ สุคติ หรือ ทุคติ เกิด กำลังด่าๆ ชาวบ้าน ฟันปลอมหลุดเข้าหลอดลม
อ้าว หายใจไม่ออก ตายขึ้นมา นี่ อะไรมันเกิดขึ้น เป็นลมตายอย่างนี้ เส้นเลือดแตก เส้น
เลือดสมองแตก มีปัญหา นอนอยู่โรงพยาบาล ตาย อย่างนี้ เพราะจิตใจเศร้าหมองขุ่นมัว
งั้น ทำยังไง ให้เกิดมาแล้ว อย่าลงทุนซื้อนรก ไหนๆ เกิดมาเป็นคนทั้งที ก็ขวนขวาย แสวง
หาทางไปสวรรค์ให้เยอะขึ้น อย่าไปซื้อนรกมากนัก
ถ้าคิดจะด่าใคร ก็ต้องบอก อ้าว เรามีปากเอาไว้สร้างทางนรกทำอะไร นึกในใจแบบนี้บ้าง
มันก็จะหุบปากทันที ไม่ใช่มีปากเอาไว้สร้างทางนรก แต่มีปากเอาไว้สร้างทางสวรรค์ มีหู
เอาไว้ฟังเสียงสวรรค์ ถ้าเสียงนรก ฟังแล้ว ใจมันไม่สุข มันเศร้าหมองใจ ก็อย่าเอามาฟัง
ถ้าได้ยิน ก็สักแต่ว่าได้ยิน อย่าปรุงแต่งให้เป็นอารมณ์ใดๆ
เท่านี้ เราก็จะกลายเป็นผู้ที่อยู่ในโลกได้อย่างพอ อิ่ม แล้วก็ ผ่อนคลายสบาย
ขอแก้ข่าวนิดหนึ่ง เมื่อครู่นี้ ท่านพิธีกรบอกว่า ชั้นเป็นเจ้าอาวาส เป็นสมภาร เคยเป็น แต่
ลาออกแล้ว ไม่อยากเป็น จบ มีใครอยากถามอะไร เชิญ
มีไม๊ ถามได้ เค้ามีไมค์ตั้งไว้ เค้าไม่ได้ตั้งโชว์ เค้าตั้งให้ถามนะนั่น
เอากระดาษเขียนให้พิธีกรถามให้ก็ได้ กระดาษข้างหน้า แจกกระดาษ แล้วเขียนถาม
ถามได้ทุกเรื่อง ยกเว้นหวยออกอะไร เออ หวยออกอะไร อย่าถาม
ภาวนาแล้ว มันจะทำให้เราร่ำรวยนะ คุณ, ภาวนาแล้ว ทำให้เราเจริญ, ภาวนาแล้ว ทำ
ให้เราฉลาดภาวนาแล้ว ทำให้เราแข็งแรง, ภาวนาแล้ว ทำให้เราโชคดี, ภาวนาแล้ว ทำ
ให้เรามีกำลัง
เจริญ ร่ำรวย ฉลาด โชคดี มีกำลัง ทำไมไม่เอา
จริงๆ ทำได้ หาได้ แสวงได้ เกิดกับเราได้ ด้วยการลงมือภาวนา
แล้วภาวนาอย่างไร
อะไรก็ได้ที่ผูกใจไว้ไม่ให้เศร้าหมอง วันทั้งวัน คุณมีใจไม่เศร้าหมองไม๊ ไม่ต้องภาวนาบท
ไหนเลย เอาง่ายๆ สัตว์ทั้งปวงจงเป็นสุข สัตว์ทั้งปวงจงพ้นทุกข์, อ้าว คู่กับลมหายใจ
หน่อยก็ได้
หายใจเข้า สัตว์ทั้งปวงจงเป็นสุข หายใจออก สัตว์ทั้งปวงจงพ้นทุกข์ เท่านี้ล่ะ ใจเราก็ไม่ตก
อยู่ในราคะ โทสะ โมหะ อวิชชา ตัณหา และอุปาทาน
ไม่ต้องกลัวว่า เราจะมีเวลาว่างพอที่จะไปด่าชาวบ้าน ตำหนิชาวบ้าน จับผิดชาวบ้าน อิจฉา
ชาวบ้าน นินทาชาวบ้าน ใส่ร้ายชาวบ้าน
แม้ที่สุด ก็ไม่ต้องกลัวว่า จะหาทุกข์ใส่ตัวเรา เพราะใจเราอยู่กับภาวนา แล้วเราก็จะแข็งแรง
ทั้งใจ แข็งแรงทั้งกาย แข็งแรงในอารมณ์ หลับเป็นสุข ตื่นเป็นสุข อยู่สบาย นอนหลับไม่
ฝันร้าย ตายแล้วไปสู่สุคติ
นี่คือ ผลของการภาวนา
ไม่ถามเหรอ หรือ กำลังภาวนาอยู่ รวมทั้งคนที่กำลังอย่างนี้ๆ
เออ ฟังพระทีไรนี่ แหม มันหลับได้หลับดี ฟังคอนเสิร์ต ดูหนัง นี่มันตาสว่างทุกที
มันเกิดอะไรกันขึ้นเนี่ย
ให้รู้ไว้นะเนี่ย ถ้ามีอาการอย่างนี้ แสดงว่า เราไม่ได้มาจากมนุษย์นะ
อ้าว จริง จริ๊ง ไม่ใช่มาจากสวรรค์ด้วย อย่าเข้าใจผิด นึกว่า จะไม่มาจากมนุษย์แล้ว อ้อ
แสดงว่า ผมมาจากสวรรค์ ไม่ใช๊
เออ ไม่ได้มาจากมนุษย์ ไม่ได้มาจากสวรรค์ ไม่ได้สูงจากสวรรค์ ไม่ใช่มาจากชั้นพรหม
มาจากไหน คิดเอาเองก็แล้วกัน
เพราะงั้น คนที่สั่งสมอบรม เจริญธรรมมาแต่เก่าก่อน มันเหมือนกับน้ำที่เจอน้ำ น้ำที่เจอ
ทางน้ำ น้ำที่เจอคลอง น้ำที่เจอลำธาร มันก็จะไหลบ่าลงไปหา
แต่คนที่ไม่เคยสั่งสมอบรม เจริญธรรมมาเก่าก่อน มันเหมือนกับน้ำที่เจอภูเขา เคยเห็น น้ำ
ไหลขึ้นเขาไม๊ ไม่หร๊อก มันทางตันเลยล่ะ มันไปไม่ได้เลยล่ะ มันจอดอยู่ตรงนั้น ดีไม่ดี มัน
ก็ซึมหายไปหมดเลย มันไม่ไหลต่อไปล่ะ
งั้น เราจะดูสันดานเราได้ว่า ใครเป็นผู้ที่สั่งสมอบรมธรรมมาเก่าก่อน เจริญธรรมมาเก่าก่อน
มีกุศลกรรมมาแต่อดีตชาติ นี่เราจะดูได้ว่า เราชอบอะไร เออ เราชอบอะไร
ถ้าเราชอบอะไรเป็นชีวิตจิตใจ แสดงว่า นี่ไม่ใช่ของใหม่ล่ะ มันของเก่าเลยล่ะเนี่ย ของเก่า
ที่ทำมา ไม่ใช่ชาติเดียวด้วยนะ พวกนี้ต้องหลายชาติด้วย ถึงขนาดชอบจนชาติปัจจุบันน่ะ
ต้องหลายชาติทีเดียว เค้าเรียกว่า สันดาน มันติดสันดาน
คำว่า สันดาน ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย บางทีบางครั้ง คนที่อบรมเจริญธรรมมา พอเห็น ฟังพระ
เค้าแสดงธรรม บุคคลเค้าพูดธรรม ก็จะเข้าไปฟังธรรมอย่างนี้ นี่เค้าติดจนสันดาน ติดจน
กลายเป็นสันดาน แต่ไม่ใช่สันดานเสีย เค้าเรียกว่า สันดานดี ไม่ใช่สันดานดิบ
ไม่มีใครถามเหรอ ไม่มีใครถาม ก็เลิกสิ
เอ้า เชิญ เออ ข้างหน้า กล้าจัง, มิน่า มานั่งหน้าเนี่ย
พิธีกร กราบนมัสการพระคุณเจ้าค่ะ คำว่า เจริญภาวนาของพระคุณเจ้า คงไม่ได้หมาย
ถึงว่า ท่องบ่นมนต์อย่างเดียว ถ้าในเวลาทำงาน เราเจริญอานาปาณสติขณะที่เราทำงานไป
ด้วย อันนั้นก็ถือว่า เป็นการภาวนาด้วยหรือไม่
หลวงปู่ ที่จริง บทภาวนา เมื่อครู่บอกแล้วว่า มันคือ เครื่องผูกใจ อะไรที่ใจคุณผูกไว้
สิ่งที่ใจเราผูกไว้ แต่ไม่ใช่เกมนะ, กำลังทำอะไรอยู่, ภาวนาอยู่, น่า ถวายหลังแหวน
เออ เพราะว่า ภาวนาเนี่ย ต้องปราศจาก ราคะ โทสะ โมหะ อวิชชา ตัณหา และอุปาทาน
อ้ายที่อยู่กับเกมเนี่ย มันภาวนาไม๊, ไม่ เพราะมันมีอะไร, มันไง, มีราคะไง มีตัณหา
ความทะยานอยาก งั้น จะมาอ้างว่า เล่นเกม ภาวนา ไม่ได้นะ
งั้น วิธีภาวนาที่แท้จริง มันต้องปราศจากอกุศล อะไรก็ได้ ที่ทำให้คุณปราศจากอกุศล อย่า งั้น
หลับก็ใช้ได้ซิคะ ไม่ใช่นะ คุณคิดเหรอว่า หลับไม่มีอกุศล
ใครบ้างที่หลับแล้วไม่ฝันเลย ยกมือซิ ไม่มี๊ ดีไม่ดี ตื่นมา นั่งหอบเสียแทบแย่เลย ถามว่า
เป็นไง, เพิ่งหนีผีมา
เพราะฉะนั้น หลับก็มีกุศลและอกุศลให้ เราก็เสพทั้งกุศลและอกุศลด้วยเหมือนกัน แต่ส่วน
ใหญ่ กุศลไม่ค่อยมีเหลือให้เสพ ส่วนใหญ่ฝัน ก็จะฝันแต่เรื่องเลอะเทอะเปรอะไปเรื่อย
เฉื่อยไป คนน้อยมากที่หลับแล้ว แหม วันนี้ฝันดี ฝันว่า เทวดาพาไปเที่ยวอะไรที่นู่นที่นี่
ฝันว่า โอ๊ มีบุญ เจริญรุ่งเรืองอยู่ในวิมานดี
มีคนฝันแบบนี้ไม๊ ในห้องนี้
นี่หัวเราะ ไม่ได้ดูถูก แต่มันเป็นเรื่องจริง ยากนักที่จะฝัน แม้แต่ตัวพระเอง ก็ไม่ใช่ฝันได้
อย่างนี้บ่อยๆ นัก งั้น การหลับ นี่ อย่าคิดว่า เราไม่ได้โดนอกุศลครอบ ก็ไม่ใช่ ก็โดนอกุศล
ครอบเหมือนกัน พระพุทธเจ้า มีพราหมณ์มาถามพระองค์ว่า ภันเต ภควา ข้าฯแต่องค์พระ
ศาสดาผู้เจริญ ผู้ที่บวชในศาสนาของพระองค์เนี่ย เป็นศากยบุตร พุทธชิโนรส ทั้งหมดหรือ
พระเจ้าค่ะ เพราะพราหมณ์เห็นว่าคนที่บวชในพุทธศาสนาในยุคนั้น เป็นอรหันต์ก็มี โสดาฯ
ก็มี สกทาคาฯ อนาคาฯ ก็เยอะ แล้วก็มีลาภ เหาะเหิน เดินอากาศก็ได้ มีฤทธิ์ มีเดช มีอำนาจ
พราหมณ์ก็สงสัย อยากถาม
ผลปรากฏว่า พระพุทธเจ้าบอกว่า ไม่ ทั้งหมดหรอก พราหมณ์ มีคน 2 ประเภท
2 ประเภทไหน พระเจ้าค่ะ, คือ คนหลับกับคนขาดสติ นี่ ไม่ใช่สาวกของเรา ตถาคต
งั้น การภาวนา นี่แหละ คือการใช้ ยี่ห้อพุทธบริษัทสมบูรณ์ เพราะ เราไม่ขาดสติ
ถ้าเมื่อใดที่เราขาดสติ เราอย่าไปอ้างตัวเองว่า เป็นพุทธบริษัท ไม่มีสิทธิ์
พระพุทธเจ้ายก 2 บุคคลประเภทนี้ว่า ไม่ใช่สาวกของเรา ตถาคต ให้คุณแขวนสมเด็จฯ
เต็มคอ แขวนพระประธานทั้งองค์ คุณก็ไม่ได้ชื่อว่า คุณเป็นพุทธสาวกของพระพุทธเจ้าถ้า
คุณไม่มีสติ
งั้น เราจะทำให้เกิดสติได้อย่างไร
ก็ต้องภาวนา
ภาวนากันอย่างไรบ้าง
ก็ไม่จำเป็นต้องมาท่องอะไรทั้งหมดหรอก ผูกใจไว้ในเรื่องที่มันเป็นกุศลน่ะ
อะไรที่เป็นกุศล, กุศล แปลว่า ความชาญฉลาด ตัวอย่างเช่น เวลาเราทำการงาน ยืนอยู่,
ตอนนี้คุณนั่งอยู่ใช่ไม๊, คุณกำลังภาวนาอยู่ไม๊, ก็ไม่ยาก, คุณนั่งอยู่ กายก็นั่งหลังตรง
ตัวตรง หรือจะงอ จะก่อ อะไรก็เรื่องของคุณ แต่มีจิตรู้อยู่ในกาย อย่าส่งออกนอกกาย,
หูฟัง, ตาดู,ใจคิด, หูฟัง, ตาดู, ใจคิด แต่คิดในสิ่งที่ฟังนะ ไม่ใช่คิดในสิ่งนอก
เหนือจากสิ่งที่ฟัง
อย่างนี้ ก็ถือว่าเป็นการภาวนา หูฟัง, ตาดู,ใจคิด
แล้วถ้าไม่ฟัง สมมุติว่า ถ้าไม่ฟัง จิตก็อยู่กับกาย เรียกว่า กายานุปัสนาสติปัฏฐาน ถ้าแยก
เป็นอิริยาบถย่อย ก็ถือว่า เป็นสติปัฏฐาน เรื่อง มีสติพิจารณาการนั่งของกาย เรียกว่า อิริ
ยบถบรรพ อย่างนี้เป็นต้น
เพราะฉะนั้น การภาวนา ไม่ใช่หมายถึงว่า ต้องท่องทั้งหมด แต่มันหมายถึง กระบวนการที่
เรามีจิตอันผูกไว้ในแหล่ง และในสถานที่ หรือในวิธีที่ทำให้จิตนี้เจริญ แต่ว่าไม่ใช่อยู่กับ
ราคะ ไม่ใช่อยู่กับโทสะ ไม่ใช่อยู่กับโมหะ ไม่ใช่อยู่กับโลภะ เพราะว่า อยู่กับราคะ โทสะ
โมหะ โลภะ มันเจริญไม๊ จิตน่ะ ไม่เจริญ นอกจากไม่เจริญแล้ว มันยังเสื่อมลงอีก มันยังต่ำ
ทรามลงอีก มันยังแย่ลงไปอีก มันยังตกต่ำแย่ลงไปอีก
งั้น จะทำยังไงให้จิตนี้ มันเจริญ
ก็อยู่กับกุศล อยู่กับสิ่งที่มันไม่เสื่อม คือ ทำให้มันเจริญขึ้น คือ สติ สัมปชัญญะ หรือ ความ
เงียบ ความสงบ บทท่องบ่นอะไรก็แล้วแต่เถอะ ที่จะผูกจิตคุณให้อยู่ได้
แล้วมันใช้ได้กับทุกศาสนานะ พุทธ คริสต์ อิสลาม ฮินดู ไทย พุทธ อะไรก็ใช้ได้หมด จบ
มีใครถามอะไรอีก เชิญ
เอ้า อ่านเองสิ, เอ้า เค้าฝากคุณนี่ ไม่ได้ฝากชั้น
ผู้ถาม มีคนฝากมาครับว่า การกำหนดดูลมหายใจ แล้วรู้สึกสบาย โปร่งใส เหมือนกับลม
พัดผ่านร่างกายได้ หมายถึงอะไร
หลวงปู่ ก็ถือว่า เป็นการภาวนาอย่างหนึ่งนะ กำหนดดูลมหายใจเนี่ย แต่ประมาณว่า
สบาย รู้สึกเหมือนกับยืนอยู่บนเนินเขา ระวังจะตกเขานะ อ้ายอาการอย่างนั้น แสดงว่า เรา
หลุดจากลมหายใจล่ะ
นั่นถือว่า เป็นการเคลื่อนจากความดีล่ะ มันมาอยู่กับอารมณ์ที่เป็นเครื่องล่อล่ะ ไม่ถูกต้องนะ
อย่าไปเชื่อ อ้ายใครที่เค้าสอนพวกคุณว่า ภาวนาแล้ว เห็นแสงสว่างรุ่งโรจน์ เห็นพระพุทธรูป
ชั้นเขียนบทโศลกเอาไว้ คนชอบว่าชั้น ว่า
ลูกรัก เมื่อใดที่เจ้าต้องการสมาธิ เห็นพระพุทธเจ้า ต้องฆ่าทิ้ง, เจอพระธรรม ต้องเผา,
เห็นพระสงฆ์ ต้องหนีให้ไกล
คนมันอ่านบทโศลกบทนี้ แล้วมันด่าชั้นใหญ่เลย หาว่า ไม่เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม
พระสงฆ์
เอ้า สิ่งที่คุณต้องการ คือ อะไรล่ะ
สมาธิ หรือว่า พุทธเจ้า หา คุณนั่งสมาธิ คุณต้องการสมาธิ หรือ คุณต้องการพระพุทธเจ้า
ต้องการอะไร
นั่นสิ แล้วเห็นพระพุทธเจ้า จะเอาไว้ทำไม, หา, ก็เราต้องการสมาธิ ถูกไม๊
นี่แหละ ซื่อตรง แต่คนมันไม่รู้ มันด่าชั้น หาว่า ชั้นไม่เคารพพระพุทธเจ้า
เมื่อใดที่เจ้าต้องการสมาธิ เห็นพระพุทธเจ้า ต้องฆ่าทิ้ง, เห็นพระธรรม ต้องเผา, เห็น
พระสงฆ์ ต้องหนีให้ไกล
นั่น ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการ, สิ่งที่เราต้องการ คือ สมาธิ
นี่คือ ความซื่อตรงของจิต, คนมีธรรมะ นี่ต้องซื่อตรง คุณ
หัวคิดอะไร ใจคิดอย่างนั้น, ปากพูดอย่างไร ใจคิดแบบเดียวกับปาก, ทำ พูด คิด ต้อง
เรื่องเดียวกัน ฝึกให้ ทำตนเป็นคนซื่อตรงซะ นั่นแหละคือ ธรรมะ
ธรรมะอยู่กับใคร จะทำให้ตนเป็นคนซื่อตรง
อ้ายใจคิดอย่าง ปากพูดอย่างหนึ่ง มือทำอีกอย่างหนึ่ง นั่นเค้าเรียกว่า เสแสร้ง ตลบแตลง
ปลิ้นปล้อน หลอกลวง ใส่หน้ากากเข้าหากัน อย่างนั้น ไม่ถูกต้อง ไม่ใช่ธรรมะ นั่นมัน ธรรม
เมา
งั้น จำไว้ว่า เมื่อใดที่คุณต้องการสมาธิ เช่น คุณกำลังดูลมหายใจ ดันไปรับรู้ รู้สึกได้ว่า
สบายเหลือเกิน เหมือนมีลมพัดผ่านมา สบาย เย็น ชุ่มฉ่ำ ลมหายใจไปไหนแล้ว หายไม๊,
หายสิ มันจะเหลืออะไรเล่า, มาอยู่กับความสบายที่ลมพัดผ่านมาไง, มันไปเสพสุขไง,
ลมหายใจก็หาย แล้วมันจะเจริญไม๊ สมาธิ, ก็ไม่เจริญแล้ว วิชาอานาปาฯ ก็จบแค่นั้นล่ะ
งั้น ถ้าจะพัฒนาให้สูงขึ้น ต้องไม่สนใจ แม้พุทธเจ้ามาปรากฏข้างหน้า ก็ต้องไม่ยุ่ง เราต้อง
ซื่อตรงต่อกรรมฐานที่กำลังทำ จนกว่ามันจะสิ้นสุดกรรมฐานนั้นๆ อย่างนี้เป็นต้น จบ
มีใครถามอะไรอีก
ไม่ถามแล้วเหรอ
นี่ กำลังภาวนาอยู่เหรอ
ชั้นพูดกับคุณ ดุดันเกินไปไม๊, ไม่ ชั้นเป็นคนตรงไปตรงมาอย่างนี้
เวลาชั้นสอนธรรมะ ชั้นจะสอนตรงๆ ไม่ชอบอ้อมค้อม แล้วพูดให้ชัดเจน
คนฟัง สื่อภาษากับคนฟังที่หัวใจ ต้องหาวิธีชำแรกเข้าหูให้ได้ แล้วเข้าไปสู่ใจแล้วทำให้สะดุ้ง
ให้รู้สึกได้ว่า สิ่งที่พูดนั้น มันสามารถทำได้ เข้าใจได้
เอ้า ไม่ถามจริงๆ น่ะ ท่าน ผ.อ. เค้าเลิกแล้ว เค้าไม่ถาม ชั้นก็ไม่มีอะไรพูดแล้ว เพราะ
สิ่งที่ต้องการพูด ก็พูดจนหมดแล้ว มีไม๊
เอ้า ให้ถาม เชิญ, เขียนมาก็ได้, ไม่ต้องกลัวหร๊อก ชั้นไม่ดุขนาดนั้นหร๊อก
ปุจฉา ดู ลมหายใจเข้า ออก, เวลาสุข ก็รู้ว่า สุข, ได้ยิน ก็รู้, ดูกาย ก็รู้, ปวด ก็
รู้, เจ็บ ก็รู้ และเวลาเมื่อย ก็กลับ รู้ว่า เมื่อย ที่กำลังกลับตัวอยู่
หลวงปู่ คุณไม่ค่อยสบายหรือเปล่า นี่ จบแล้วเหรอ
พิธีกร จบแล้วค่ะ
หลวงปู่ จบคำถามแล้วใช่ไม๊ ไม่ เมื่อกี้ คุณจบคำถามหรือยัง
พิธีกร ค่ะ อันนี้คำถามแรกค่ะ
หลวงปู่ เอ้า ชั้นตอบก่อนแล้วกัน เดี๋ยวคุณถามใหม่
พิธีกร ค่ะ
หลวงปู่ เออ สรุปแล้ว คุณดูอะไร ดูปวดเข่า, ปวดข้อ, ดูสุข, ดูทุกข์ หรือ ดูลม
หายใจ
เห็นไม๊เนี่ย แบบนี้, เลยไม่รู้ว่า ชีวิตตัวเองต้องการอะไรแน่ เพราะดูไปหมดทุกเรื่อง
สรุปแล้ว คุณดูอะไรจริงๆ แล้วคุณรู้อะไรจริง อย่างนี้เนี่ย ไม่รู้อะไรได้จริงเลย เพราะคุณดู
ไปหมดทุกเรื่องไง
วิชา อานาปาณสติ เค้าดูลมหายใจ มีตั้ง 13 ขั้นตอน คุณยังดูไม่ครบเลย ไปดูปวด ดูเมื่อย
ดูสุข ดูทุกข์ ดูอะไรต่ออะไรสารพัดดู แล้วสรุปแล้วคุณดูอะไรล่ะ หมดเวลาแล้ว ก็ยังไม่รู้ กู
ดูอะไรกันแน่ ห่าย จบ เอ้า จบแล้ว
ปุจฉา มีวิธีการอย่างไรที่จะทำงานกับเพื่อนร่วมงาน ให้มีความสุข ถ้าเพื่อนร่วมงานเป็น
คนไม่มีเหตุผล เลือกงาน ควบคุมอารมณ์ไม่ได้
วิสัชนา อาศัยพระ ด่าเพื่อนเหรอ, ไปทุกงาน ก็เจอแบบนี้, ทำใจไว้แล้วว่า กูต้อง
เจอแบบนี้
ดีนะ นี่ แค่ด่าเพื่อน ไม่ได้ด่านายนะ เอ๊อ ก็ไม่เห็นยาก, ก็ยิ้ม, รู้ทั้งรู้ว่า เค้ามีสภาพ
แบบนั้น แล้วทำไมเราต้องเอาเค้ามาคิด ที่บรรยายมานี่ ที่ถามมานี่ ก็แสดงว่า คุณก็รู้จักเค้า
แล้วทำไมโง่ไปแบกเค้า
เมื่อรู้ว่า เค้าเป็นขี้ ก็อย่าเอานิ้วไปแตะขี้ ก็จบ นี่รู้ทั้งรู้ว่า เป็นขี้ ก็ยังไปกอดขี้เอาไว้ แล้วจะ
มานั่งบ่นอะไร สมน้ำหน้า จบ
ปุจฉา ขอให้หลวงปู่ขยายความ กรณีพระสงฆ์บิณฑบาตรในเวลา 9.00 น. ว่า
เป็นบาปอย่างไร
วิสัชนา ขอทาน บิณฑบาตรที่ไหน
แต่ถ้าไปพม่า ไม่ใช่นะ ไปพม่า เค้าบิณฯ กันเวลานั้นนะ บางที 11 โมง น่ะ เค้าบิณฯนะ
ชั้นเนี่ย ไปธุดงค์พม่า ออกแต่เช้าเลย, ตี 5 ยังไม่ได้กินเลย ไม่ได้กินหร๊อกนะ เดินไป เอ๊
เราก็ว่า มันออกก็ไม่เช้านักนะ เห็นลายมือในที่มืด ก็ออกเดินบิณฑบาตร
เอ๊ ทำไมมันไม่เห็นมีใครมาวางหน้าบ้านเลยว่ะ เดินผ่านไป ลองกลับไปอีกทีน่ะ เดินย้อน
กลับไปอีกที เอ๊ะ ไม่มีเว้ย ทั้งไปทั้งกลับ เห็นท่าจะไม่ดีเว้ย
ซักพัก ก็ได้ยินเสียง, 8 โมงกว่า 9 โมงนะ ได้ยินเสียงเค้าตีระฆัง ดัง โม้งๆ กังสดาลน่ะ
อ้ายระฆังแผ่นๆน่ะ ถึงได้รู้ว่า อ๊อ สัญญาณบิณฑบาตร
เอาวะ ดูว่า เจ้าถิ่นเค้าเดิน ต่อแถวเค้า โอ๊ เค้าไม่มาบิณฯหน้าบ้าน เค้าเข้าไปในครัวเลย เข้า
ไปในบ้านเลย เออ ถึงได้รู้ว่า อ๋อ คนพม่าเค้าไม่ได้บิณฯ คือ เค้าไม่ได้เอาข้าวมาวางหน้า
บ้าน อ้ายเมืองที่เราไปล่ะนะ เค้าไม่ได้วางหน้าบ้าน เค้าเข้าไปในบ้านเลย เข้าไปในครัวเลย
เราถึงไม่ได้กินข้าว แต่ก็จะ 11 โมง แล้วนะ กว่าจะเดิน ไปกลับก็พอดีล่ะ 11 โมง
แต่บ้านเรานี่ไม่ได้ ขืนมาเดิน 11 โมง อ้ายนั่น มันเก๊แล้ว พระเก๊ พระปลอมล่ะ, 9
โมง นี่ก็แย่ล่ะ ถือว่า แย่เต็มทีล่ะ สายล่ะ ยกเว้นว่า พระเณรท่านออกไปบิณฑบาตรจำนวน
มากๆ เช่นว่า เค้าบวชภาคฤดูร้อน บวชถวายพระราชกุศล แล้วไปบิณฑบาตรข้าวสาร
อาหารแห้ง อ้ายอย่างนั้น ก็ว่าไปอีกอย่าง แต่ถ้าบิณฑบาตรข้าวสุก ขนมสด แล้วไปทำเป็น
เดิน 9 โมง 10 โมง อย่างนี้ อ้ายนั่น ไม่ใช่แล้วล่ะ เก๊แล้วล่ะ จบ
คุณ ลุกๆ นั่งๆ หัวเข่า จะแย่มั๊ง นี่ ไม่ได้แซวนะ หนู เห็นใจจริงๆ
ปุจฉา คำภาวนา เหมือนกัน หรือ แตกต่างกับ บริกรรม อย่างไร และสามารถสร้างพลังจิต
ได้หรือไม่
วิสัชนา มันขึ้นอยู่กับว่า ไม่ว่าคุณจะบริกรรมก็ตาม ภาวนาก็ตามเนี่ยนะ มันขึ้นอยู่กับว่า
คุณมีใจด้วยหรือเปล่า คุณทำด้วยหัวใจไม๊ คุณเต็มใจทำไม๊ คุณตั้งใจทำไม๊ ใจคุณจดจ่อกับ
สิ่งที่คุณทำหรือไม่ ตรงนั้นต่างหากเล่า จบ
วันนี้ กลับไปบ้าน เอายาหม่องทาเข่าแน่ เลย
ปุจฉา หลักในการทำงานให้มีประสิทธิภาพ ควรมีหลักอย่างไร นอกจาก สติ ปัญญา
การภาวนา จำเป็นต้องภาวนาตลอดเวลาหรือไม่ อย่างไร
วิสัชนา ที่คุณพูดมาทั้งหมดน่ะ นั่นคือ หลักการทำงาน หลักครองเรือน หลักการมีชีวิต
หลักในการมีลมหายใจ และหลักในความเป็นมนุษย์ เป็นคนน่ะ เพราะถ้าคนขาดสติปัญญา
ไม่ต่างอะไรกับเดรัจฉานเลย ชั้นเขียนบทโศลก สอนลูกหลานเอาไว้บทว่า
ลูกรัก เมื่อใดที่เอาคุณธรรม ศีลธรรม สัจธรรม และสติ ปัญญา ออกจากตัวเจ้า พ่อว่า เจ้าก็
ไม่ต่างอะไรกับเดรัจฉาน ก็เดรัจฉานมีกิน เจ้าก็มี, เดรัจฉานมีเกลียด เจ้าก็มี คือ
เดรัจฉานมันเกลียดของใดๆเราก็เกลียดเป็นเหมือนกัน, เดรัจฉานมีโกรธ เราก็มี,
เดรัจฉานแสวงหาของที่โปรด เราก็มี แต่ที่เราต่างจากเดรัจฉาน เพราะเรามีสำนึก มีสติ
ปัญญา
และสำนึกและสติปัญญานี่แหละ มันเป็นเครื่องยกสถานภาพของเราให้เป็นสัตว์สังคมชั้นสูง
แล้วมันก็ เป็นกระบวนการในการที่จะเข้าสังคม ทำงานกับสังคม อยู่ในสังคม
ด้วยสำนึกและสติปัญญานี่แหละ มันเป็นเครื่องทำให้เรามีคุณค่า มีประสิทธิภาพ ทำอะไร
ให้เกิดประสิทธิผล จบ
ปุจฉา การดูลมหายใจเข้าออก กับ การภาวนา พุทโธ อันใด จะได้สมาธิมากกว่ากัน
วิสัชนา อืม มันขึ้นอยู่กับคนล่ะนะ เหมือนกับคนกินข้าว บางทีบางครั้ง คนบางคนกินข้าว
แกงจืด ก็กินอร่อย กินอิ่ม แต่บางคนเจอแกงจืดทุกวัน ก็แย่เหมือนกัน ก็ต้องเปลี่ยนเป็นเผ็ด
เป็นเปรี้ยวบ้าง ถูกไม๊ งั้น กรรมฐานก็เหมือนกัน มันขึ้นอยู่กับคนน่ะ คนชอบกับคนไม่ชอบ
บางทีคนๆ นี้ อาจจะชอบอานาปาฯ อ้ายคนๆ นั้นไม่เอาเลย อานาปาฯไม่รู้เรื่อง อานาปาฯที
ไร จะไปปาทุกที คือ จะหลับทุกที, อานาปาฯทีไร ก็จะง่วงโงกทุกที, บางคนชอบอานา
ปาฯ แต่ไม่ชอบมานั่งภาวนา ท่องจำอะไร ไม่ชอบ อะไรอย่างนี้
มันขึ้นอยู่กับคน แล้วคนเหล่านี้ มันก็สั่งสม คือ เรามีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์
มีกรรมเป็นทายาท เรียกว่า กัมมะทายาโท มีกรรมเป็นเครื่องมา และเราอยู่ได้อาศัยกรรม
งั้น แม้กรรมฐาน กัมมะ และเรื่องที่เรากระทำ ก็ขึ้นอยู่กับคน สิ่งที่คุณกำลังฟังชั้น และฟัง
ชั้นรู้เรื่อง ก็แสดงว่า คุณไม่ได้ฟังชั้นมาชาติเดียวนะ มีบางคนมันไปยันวัดเลยนะ พอได้ยิน
เสียงชั้นโวยวาย ด่ามึงมาพาโวย พูด มึงๆ กูๆ มันเขียนหนังสือมา พระอะไร พูดจา มึงมา
พาโวย
คือ ชั้นเทศน์สอนธรรมะตั้ง 3 ชั่วโมง มันจับความได้แค่ว่า มึงกับกู เท่านั้นแหละ เนี่ย มัน
ได้แค่นี้ล่ะ ก็แสดงว่า มันไม่ได้ทำบุญกับชั้นมา คือ มันไม่เคยฟังธรรมอะไรชั้นเลย
ชั้นก็เลยบอก เอ๊อ เกิดท้องพ่อท้องแม่ กูก็เพิ่งได้เคยเห็นน่ะ คนมันกินทุเรียนทั้งเปลือก
ฟังรู้เรื่องไม๊
ก็รู้ทั้งรู้ว่า ทุเรียนมันมีเปลือก ก็ปอกเปลือก แล้วก็กินเนื้อใน แล้วก็อย่ากินมันทั้งลูก ข้างใน
หมด เพราะเม็ดมันก็มี ทำไมไม่ใช้ปัญญาที่จะแทะเอาเนื้อๆ กิน
เออ คนมันโง่ ก็ได้เปลือกไป ไม่ได้เนื้อไป อะไรประมาณนี้
งั้น เรื่อง คนฟังคนอื่นรู้เรื่อง ไม่ใช่ฟังมาเรื่องเดียวนะ ครั้งเดียว ทีเดียว ชาติเดียวนะ มัน
ต้องฟังมาหลายชาตินะ ถึงจะมีปัญญาเข้าใจ รู้จัก ตามสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็น
จริงได้
คนบางคนน่ะ พูดให้ตาย มันก็ถามว่า เหรอ จบแล้วเหรอ แค่นี้น่ะ
ชั้นไปสอนกรรมฐานพระน่ะ คุณ สมเด็จพระสังฆราช ท่านเสด็จไปที่วัด ตอนที่ท่านยังแข็ง
แรง ขอร้องชั้น ท่านเรียกชั้นว่า หลวงปู่หนุ่ม ท่าน อย่าไปป่าเลย อยากไปป่า ก็ปลูกต้นไม้
เยอะๆ ช่วยทำงานพระศาสนา, ถามว่า ทำอะไร ฝ่าบาท, ให้ช่วยตั้งสำนักปฏิบัติธรรม
มหาสติปัฏฐาน 4 ครั้งแรกของประเทศไทย ที่จังหวัดนครปฐม เพราะนครปฐม พุทธ
ศาสนาเข้าเป็นครั้งแรก
เอาพระทั้งจังหวัดมาสอนกรรมฐาน มหาสติปัฏฐาน 4
ชั้นลงทุนไปล้านกว่าบาท สอนพระ 400 กว่ารูป ใช้เวลา 15 วัน 15 คืน คือ สอนทั้ง
วันทั้งคืนนี่แหละ เพราะต้องกินนอนอยู่กับท่าน นอน 4-5 ทุ่ม ตื่น ตี 2 กว่า สอนอบรม
เสียสตางค์ด้วย ถามว่า เสียสตางค์ ก็เชิญหมอประเวศ วสี, เชิญคนดังน่ะ เสถียรพงษ์
วรรณปก พวกนี้ ก็ต้องจ่ายสตางค์ให้เค้า ใช่ไม๊ ค่ารถ ค่าน้ำมัน ค่าอะไรสารพัด เราก็ลงทุน
หมด แล้วก็สอนกรรมฐานด้วย
หมดไป 15 วัน ให้เค้าเขียนคำถาม ถามมา เค้าเขียนมาว่า อ้ายที่ท่านสอนมาทั้งหมดน่ะ
เหมือนลมตดของผม, ดูมัน, อ้ายเราก็ ขอบคุณครับ อย่างน้อยก็เห็นผมเป็นส่วนหนึ่ง
ของตูดท่าน เท่านั้นแหละ เพราะรู้แล้วล่ะว่า เออ มันก็ทำบุญกับเรามาแค่นั้น มันก็ฟังเป็น
ลมตดไป
อ้ายคนที่เค้าทำบุญมาดีกว่านี้ มันก็ฟังรู้เรื่อง จนกระทั่งแปรกลายเป็นลูกศิษย์ลูกหา ยอมรับ
เคารพนับถือ งั้น ธรรมชาติ แม้แต่พระพุทธเจ้าก็มี เป็น ถามว่า เพราะว่า อะไร
อุปกาชีวกไง พระพุทธเจ้าตรัสรู้มาใหม่ๆ จะแสดงธรรมให้ฟัง บอกว่า เราเป็นผู้ตรัสรู้เอง
โดยชอบ ไม่มีศาสดาอื่นสอนเรา อุปกาชีวกหัวเราะ หึๆ ไม่เชื่อ เดินหนีไปเฉยๆ เลย เห็นไม๊
ถ้างั้น มันไม่ใช่ว่า อยู่ดีๆ จะฟังกันรู้เรื่องหร๊อกนะ มันต้องสั่งสมอบรมกันมานา
ทั้งหมดเนี่ย คุณกับชั้นมีกรรมเหมือนกันนา ไม่รู้ว่า กรรมใครกรรมมันแหละ กรรมหนัก
กรรมเก่าอะไรก็ไม่รู้ เมื่อไหร่จะหมดกรรมเนี่ย 2 โมงครึ่งแล้ว เอ้า จบ
อ้าว คุณก็มีกรรม ลุกๆ นั่งๆ อยู่นั่นแหละ เออ
ปุจฉา อยากทราบว่า คนขาดสติ เป็นโรคจิต เกิดเพราะอะไร (ป่วยตั้งแต่เด็ก)
วิสัชนา เออ ก็คนบ้าน่ะสิ เพราะอะไร, คนขาดสติ มันเกิดจากอะไร, ก็มาจากการ
ไม่ฝึกสติ, ภพชาติที่แล้วๆ มา คุณจำไว้ว่า อะไรที่เป็นเหตุให้ขาดสติ คือ ศีลข้อที่ 5
นั่นแหละ คือ สาเหตุทำให้ขาดสติ ศีลข้อที่ 5 เสพเครื่องมึนดองของเมา ไม่ฟังธรรม คน
กินเหล้านี่ ฟังธรรมไม่รู้เรื่องอยู่แล้ว คนเมายา เมาม้านี่ มันฟังคำสอนอะไรไม่ได้อยู่แล้ว
ทำสาเหตุให้ตนเป็นคนขาดสติ ไม่ใช่ชาติเดียวนะ อ้ายพวกนี้มันต้องสั่งสมนานนะ ลงทุน
นานนะนั่น กว่าจะได้ผลถึงขนาดนั้นน่ะ
อ้าว จริ๊ง คนเรา กว่าจะเกิดมาบ้าในชาตินี้ได้ มันไม่ใช่ลงทุนมาชาตินี้ชาติเดียวล่ะนา มัน
ต้องสั่งสมความบ้ามา ลงทุนมามโหฬารนะ ถึงจะมาเป็นคนบ้าได้ อุ๊ย แสดงว่า เค้าต้นทุนสูง
เออ
งั้น ใครที่นั่งอยู่นี่ อยากจะทำต้นทุนให้สูง ก็เอา เมาให้เยอะๆ เข้าไว้ เดี๋ยวก็ได้ต้นทุนสูงที่สุด
ล่ะ จบ
ยืนตรงนั้นซะเลยก็ได้นี่ ไม่ต้องไปอะไรมาก
ปุจฉา พุทธะอิสระ ในทางพุทธ มีความหมายอย่างไร ใช่ความไม่ยึดติด ยึดมั่นหรือไม่
วิสัชนา อืม คุณอย่ามายุ่งอะไรกับชั้นเลย ไม่เกี่ยวอะไรกับคุณเลย เอาเรื่องของคุณดีกว่า
จบ
ปุจฉา ถ้าเป็นพระแท้ๆ มาบิณฑบาตร เวลา 9 โมง ถือว่า ผิดวินัยสงฆ์หรือไม่ แล้ว
ตอนบิณฑบาตรเดินไป แต่ตอนกลับนั่งแท๊กซี่ หรือสามล้อ เหมาะสมหรือไม่
วิสัชนา อ้อ ไม่แท้หรอก, อย่างนั้น ไม่แท้, พระแท้ๆ เค้ามีความละอาย, หิริ
ความละอายชั่ว โอตัปปะ ความเกรงกลัวบาป, ถ้าอย่างนั้น ไม่ใช่, มันบวชเข้ามาหา
กิน, อ้ายคนบวชหากิน ไม่เรียกว่า พระ อย่าลืมว่า คนบวชเข้ามานี่ เค้าไม่ได้เรียกว่า พระ
เลยหรอก พวกเราดันไปยกให้เองแหละ
คนบวชเข้ามา เค้าเรียก ภิกษุ พระพุทธเจ้าเรียกว่า ภิกษุ, ภิกษุ แปลว่า ผู้เห็นภัยในวัฏฏะ
ถ้าแปลอีกอย่างก็คือ ผู้ขอเค้ากิน, อ้ายคนขอเค้ากินเนี่ย มันต้องลดความยะโส โอ้อวด
เย่อหยิ่ง จองหอง
ต้องอ่อนน้อมถ่อมตน ขออะไร จึงได้กิน
จากภิกษุ ก็พัฒนามาสู่ความเป็นนักบวช ซึ่งแปลว่า ละ, ละ วาง ปล่อย เว้นความชั่ว ทาง
กาย วาจา ใจ
จากนักบวช จึงจะพัฒนามาสู่ความเป็น สมณะ อันแปลว่า สงบกาย สงบวาจา สงบใจ
จาก สมณะ หยุดไม๊, ยังไม่หยุดนะ คุณ ยังต้องพัฒนาขึ้นมาสู่ความเป็นพระ แปลว่า ผู้
ประเสริฐ ดีเลิศ แล้วก็ งามพร้อม
แต่นี่ เราไม่ใช่ บวชเข้ามา ก็เรียก พระ เลย เนี่ย มันก็เลยชั่วอย่างที่เห็น
งั้น พระนี่ ไม่ชั่ว อ้ายที่ชั่วไม่ใช่ พระ มันลูกชาวบ้าน เข้ามาบวช แล้วก็ทำผิด ทำพลาด ทำ
เสียหาย
งั้น เราก็อย่าไปสนับสนุน ถ้าเรารู้ว่า เค้าทำไม่ดี ก็อย่าใส่ให้กิน เค้าไม่ใส่ให้กิน เค้าก็อยู่ไม่
ได้ ถ้าเราไม่ใส่เค้ากิน เค้าจะอยู่ได้ไม๊ อยู่ไม่ได้ แต่เพราะเราไม่ฉลาดไง เราไม่มี กุสลัสสูป
สัมปทาไง คือ ทำความดีด้วยความโง่เขลาไง
อ้ายอย่างนั้น เค้าไม่เรียกว่า ทำดีนะ, ทำชั่วนะนั่นน่ะ เพราะสนับสนุนคนชั่วให้อ้วน ให้
แข็งแรง เมื่อรู้ว่า แกมาบิณฑบาตรเอาตอน 9 โมง, หลวงตา มาทำไม นี่มันหมดเวลา
แล้ว, ก็ไล่กลับวัดไป ก็จบ
แต่นี่ เราดันไปใส่ให้เค้ากินเสียนี่ แล้วเราจะว่า อะไรล่ะ จบ
ปุจฉา การเจริญภาวนา ต่างจาก กรรมฐาน หรือไม่ อย่างไร การเจริญภาวนา จำเป็น
ต้องมีอาจารย์แนะนำหรือไม่
วิสัชนา กรรมฐานนี่ กรรม แปลว่า การกระทำ, ฐาน คือ ที่ตั้งของใจ, ภาวนา ก็คือ
ทำใจให้เจริญ มันไม่ได้มีอะไรแตกต่างกันหรอก มันต่างกันตรงวลี ที่เรียกขาน
แล้วก็ถามว่า ภาวนาก็ตาม กรรมฐานก็ตาม จำเป็นต้องมีอาจารย์ไม๊
ก็ ถ้าคุณคิดว่า จำเป็น ก็จำเป็น, แต่ถ้า ไม่คิดว่า จำเป็น ก็ไม่จำเป็น
ชีวิตชั้น ไม่มีครูสอนกรรมฐานนะ ครูที่สอนกรรมฐานคนแรก ก็เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านก็
ไม่ได้สอนอะไรมาก แค่เกศา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ เท่านั้น คือ สอนในโบสถ์ แล้วหลัง
จากนั้น ท่านก็ลาตาย, ไม่ใช่ คือ ท่านมรณภาพไป ก็ไม่ได้สอนอะไรชั้นเยอะ ชั้นก็อาศัย
ขวนขวาย เรียน ศึกษาจากคัมภีร์วิสุทธิมรรค
ทีแรกๆ ชั้นไม่ได้เรียน มหาสติปัฏฐาน 4 , ชั้นท่อง, อยากมีฤทธิ์น่ะ ตอนนั้นบวช
ใหม่ๆ อยากมีฤทธิ์
อยากมีฤทธิ์ แล้วทำไง, อ้าว ก็เพ่ง กสิน, เพ่งกสินไฟ, พรรษาแรกนี่ ชั้นสามารถทำ
ให้ไฟลุกในมือได้ ไฟลุกในบาตร ลุกในนิ้วได้ เออ ต่อมา ก็เพ่งกสินน้ำ เพ่งกสินดิน ดำลงไป
ในน้ำ ในคลอง ไปเอาดินสีอรุณ ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค ท่านบอกว่า ใช้ดินสีอรุณ ดินไขปู
ขุยปู อยู่กรุงเทพฯ ไม่มีขุยปูที่ไหน ก็ไปเอาดินใต้แม่น้ำ เอามาถึง ก็เอามาตากแดด บดแห้ง
แล้วก็ป่นเป็นผง แล้วก็มาร่อน ให้กลายเป็นดินนวล เสร็จแล้วก็ เอาไปใส่กาว ทำสดึงตั้ง นั่ง
เพ่งดิน ปฐวีกสินัง, ปฐวีกสินัง อะไรอย่างนี้
แล้วก็มาเพ่งน้ำ เอาน้ำใส่กะละมัง ปิดห้องหมด บิณฑบาตร ฉันมื้อเดียว, 10 โมงก็
ฉัน, 6 โมงครึ่ง ออกบิณฑบาตร เดินนับหมอนรถไฟ วัดคลองเตยใน อยู่แถวคลองเตย
เดินนับหมอนรถไฟ สมัยก่อนนี้ 30-40 ปีที่แล้ว มันยังมีสลัมเยอะแยะ ไม่ได้เจริญ
เหมือนสมัยนี้หร๊อก
แล้วก็ นั่งเพ่งน้ำ, ตาเห็นน้ำ ใจรู้น้ำ, ตาดูน้ำ ใจรู้น้ำ, ชั้นเอาน้ำใส่กะละมัง เหยียบ
บนกะละมัง เท้าชั้นไม่เปียกน้ำ โอ้โห ภูมิใจมากเลย กูได้เดินบนน้ำแล้วเว้ย ไม่ต้องไปนั่ง
เรือบิณฑบาตรแล้ว เพราะว่า ฝั่งตรงข้ามเป็นฝั่งบางกะเจ้า
รุ่งขึ้น แต่งตัวเต็มยศเลย เดินตะพายบาตร มือถือตาลปัตร อาสนะ 1 ผืน, ไปถึง ก็เข้า
ฌานเลย ตาเห็นน้ำ ใจรู้น้ำ, ตาเห็นน้ำ ใจรู้น้ำ อยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เอาล่ะ โยมรออยู่
ฝั่งนู้น เดี๋ยวกูจะไปบิณฑบาตรล่ะ, ก้าว, จุ๊บ, มันหายไปทั้งหัวเลย บาตรเบิด ลอย
ตุ๊ดป่องๆ ตะกายขึ้นมา นอนแผ่หลา หาฝาบาตรไม่เจอ ตั้งแต่นั้น เลิกเลย
เอ้า อยู่ในห้อง มันทำได้, พออยู่แม่น้ำเนี่ย ใจมัน อยากไง มันเกิดตัณหา ความ
ทะยานอยาก มันเกิดขึ้นไง อวิชชามันครอบ อ้ายองค์ฌานมันหาย มันเสื่อมไง แล้วตอนนั้น
ทั้งไฟลุกเนี่ยนะ เดินบิณฑบาตร ไฟอยู่ในบาตร มองอะไรเป็นไฟไปหมด เค้าเรียกว่า อุค
คหนิมิต คือ นิมิตติดตา มองจนเห็นไฟเต็มไปหมดล่ะ แล้วก็ ทุกคนเลวหมด ยกเว้น เราดีคน
เดียว แม้แต่อุปัชฌาย์ก็ไม่ดี เพราะมันเกิดอหังการ มมังการ แต่โง่ คิดอะไรไม่เป็น แต่จำ
ได้แม่นมาก
เออ ปาติโมกข์ สวดพรรษาแรก ชั้นอ่านครั้งเดียว จำได้หมดเลย ไม่ได้อ่านด้วย ใช้วิธีจดใส่
กระดาษ แล้วตอนเดินบิณฑบาตร ท่อง ไปและกลับ วันละสิกขาบทๆ จบ
พิธีกร ปุจฉาค่ะ
หลวงปู่ ยัง จบปฏิโมกข์ ไปนั่งเฮอะ ชั้นจะบอกว่า จบปาติโมกข์
พอจบปาติโมกข์เสร็จแล้ว เราก็มานึก เอ๊อ เรานี่มันไม่ฉลาดเลย ไม่ฉลาด มันไม่คิดไง แต่
มันจำได้ดี แต่มันคิดอะไรไม่ได้ ใครถามปัญหาอะไร นี่ตอบไม่ได้เลยนะ แต่ความจำน่ะ
แม่นมาก เพราะว่า ฝึกสมถะไง ก็เลยมานั่งนึกว่า เอ๊ ถ้าเราจะมานั่งฝึกสมถะ แล้วไม่ฉลาด
วิเคราะห์ปัญหาไม่ได้ แก้ปัญหาไม่ได้ แล้วชีวิตเรา จะมีปัญญาได้ยังไง ก็เลยเลิกฝึกสมถะ
ก็มาฝึกวิปัสสนา, ฝึกวิปัสสนา ก็ไปเปิดวิสุทธิมรรค ดู ก็ไปเจอ มหาสติปัฏฐาน 4, ใน
มหาสติปัฏฐาน 4 กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน, อานาปาฯ นี่เรารู้ล่ะ อ้าว ไม่สาธยาย ไม่ทำ
เอ้า ทีนี้ มันก็มี อิริยาบถบรรพ กับ สัมปชัญญบรรพ, อิริยาบถบรรพ ก็ฝึกล่ะ,
สัมปชัญญะ ก็คือ ยาก มันต้องใช้ปัญญาล้วนๆ, อย่างนั้น ก็มีปฏิกูลสัญญา กับ นวสีวถิกา
บรรพ ที่อยู่ในกายานุปัสสนาสติปัฏฐาน ก็เลยเอาปฏิกูลสัญญา มาฝึก
ชั้นฝึกปฏิกูล ทำไง คุณ
ชั้นลงไปแช่ในหลุมขี้ แค่คอ อยู่อย่างนั้นน่ะ 15 วัน ให้เด็กส่งนมวันละกล่อง ฝึกเองน่ะ
ไม่ได้มีครูสอน อุ๊ย แต่นิ่งมาก ถ้าไม่นิ่ง ถ้าหลับ ก็กินขี้ล่ะ คือ สัปหงกไม่ได้ล่ะ, เพราะน้ำ
มันแค่นี้น่ะ, มันส้วมใกล้แม่น้ำ มีที่ไหน น้ำมันจะแห้งล่ะ คุณ, เออ นิ่งมาก แล้วก็ สติ
ตื่นอยู่ตลอดเวลา เรารู้ตัวอยู่ตลอด ออกไปข้างนอกไม่ได้ไง ออกไปข้างนอก เดี๋ยว มันเผลอ
ไง, เผลอ เดี๋ยวมันก็หลับ
งั้น ก็ต้องพยายามพยุง
ชั้นออกมาจากหลุมขี้เนี่ยนะ เดินบิณฑบาตรเนี่ย อ้ายพระใหม่ มันบวชเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่
ไม่รู้ เพราะชั้นมัวแต่ฝึกกรรมฐานอยู่ไง มันอยู่ชั้นบน ชั้นเดินบิณฑบาตรตอนตี 5 กว่าๆ
ใกล้จะ 6 โมงเช้า มันขากข้างบน, มันถุย โป๊ะ, แหม โดนเป๊ะ พอดีเลยล่ะ, มัน
แม่นอะไรอย่างนั้นก็ไม่รู้ล่ะนะ เราก็เงยหน้าไป นึกในใจว่า ถ้าเป็นสมัยก่อนนะ เราจะบอก
กับมันว่า เฮ้ย กูบวชแต่ตัวนะ ตีนกับมือ ยังไม่ได้บวช แต่วันนั้นน่ะ นิ่งมากเลย ใจมันนิ่งมาก
หันไปยิ้มให้มัน แล้วก็ยกผ้าเช็ด แล้วก็เดินบิณฑบาตรต่อ ไม่รู้สึกอะไร เพราะว่า ใจมันนิ่ง
มันไม่กระทบต่ออิฏฐารมณ์ และอนิฏฐารมณ์ใดๆ แล้วมีปัญญา รู้ชัด เข้าใจตามสภาพธรรม
เพราะเห็นปฏิกูลทั้งภายในและภายนอกตัวเองไง
ไม่อยู่ในบ่วงใดๆ ทั้งสิ้น
สมัยก่อน บวชเข้ามาแล้ว กลัวสึก ชั้นฝึกกรรมฐานตั้งแต่พรรษาแรก เพราะกลัวจะสึก
เพราะหนีแม่บวช, หนีแม่บวช หนีพ่อบวช, กลัวสึก, เดี๋ยวพอสึกแล้ว เดี๋ยวพ่อแม่
จับไปเลี้ยงหมู ก็เลยกลัวไง ก็เลยบวช บวชแล้วทีนี้จะอยู่ยังไงให้ได้อยู่ให้ได้นาน จะได้ไม่
ต้องสึกไปเลี้ยงหมู ไม่ต้องสึกไปทำงานบ้าน ที่บ้านเค้ามีฟาร์มหมู ก็เลยหาวิธี หากุสโลบาย
ก็เรียนกรรมฐาน ไม่ต้องได้อาศัยครู ก็ใช้ตำรา ใช้คัมภีร์ ลองผิดลองถูกเรื่อยไปล่ะ
แล้วก็ พรรษาที่ 3 ชั้นก็เดินธุดงค์แล้ว ออกธุดงค์แล้ว เพราะอุปัชฌาย์ตายตั้งแต่พรรษา
แรก พอชั้นบวชไม่กี่วัน แกก็หนีตาย เพราะอีตอนไปสมัครบวชน่ะ ไปคนเดียว ใช่ไม๊
เพราะหนีญาติไปบวชนี่ เค้าก็ถาม แม่มึงไปไหนอ่ะ พ่อมึงไปไหน, แม่ แม่อยู่บ้าน,
พ่อ, พ่ออยู่บ้าน, อ้าว แล้วใครบวช, ผมบวช แล้วหลวงปู่, เรียกแก หลวงปู่,
แล้วหลวงปู่ถามถึงพ่อแม่ทำไม, อ้าว ต้องให้พ่อแม่มาสิ, อืม ผมบวชนี่ ไม่ใช่พ่อแม่
บวช เออ เราก็เถียงกับแกนะ ก็ผมบวชนะ ไม่ใช่พ่อแม่บวช
เผอิญ แกกับครอบครัว จะสนิทกัน แกรู้ว่าเรา เออ อยากบวชจริงๆ มีศรัทธา ก็เออ เอ้า มึง
อยู่วัดไปแล้วกัน พออยู่ไปซักพักหนึ่ง แกก็ให้บวช หลายวันอยู่ล่ะ เป็นเดือนล่ะ แล้วแกก็
ให้บวช บวช 3 วันแรกเนี่ย ไม่ได้บิณฑบาตรหรอก คุณ เพราะว่า เป็นพระใหม่นี่ ห่มผ้า
ยังไม่เป็นเลย แล้ววัดในกรุงเทพฯน่ะ เค้าไม่ได้สนใจกันหรอก เค้าต่างคนต่างกิน ต่างคน
ต่างอยู่ เค้าไม่ได้มาฉันรวมกันเหมือนวัดบ้านนอก ใครบิณฯ ได้ ก็ตัวใครตัวมัน กุฏิใครกุฏิ
มัน แล้วเรา 3 วัน ไม่มี
ปกติพระบวชใหม่ มันต้องมีอุปฐาก ถูกไม๊ โยมอุปฐาก ต้องส่งปิ่นโต ต้องให้ข้าวให้น้ำตอน
บวชใหม่ๆ เราไม่มีนี่ เราหนีบวชน่ะ หนีเค้าบวช สุดท้าย ก็ต้องอาศัย นอน ป่วยด้วย เค้าว่า
โรคแพ้ผ้าเหลืองหรืออะไรเนี่ย ป่วย นอนหมดแรงอยู่ในห้อง ปิดประตู นอน วันที่ 3 มั๊ง
หลวงตาแกก็มาเคาะประตูเรียก ชื่อหลวงตาเส็ง แกตายล่ะ แกคนตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4
อยู่มา 5 แผ่นดิน อายุเยอะล่ะ
แกก็ เฮ้ย ท่าน แก เฮ้ย ก่อนนะ แล้วก็ ท่าน ฉันอะไรบ้างหรือยังเนี่ย, ยังเลย, แล้ว
เป็นอะไร, ผมเป็นไข้ครับ ตัวมันร้อน หนาว สั่นไปหมด, แกก็ไปเอาโอวันตินกับนม
มาให้อย่างละกระป๋อง เราได้เห็นโอวันตินกับนมก็ดีใจล่ะ โอ้โห 3 วันนี่ กูเพิ่งจะได้กินโอ
วันตินนะกับนมเนี่ย
ตอนนั้น นอนหายใจรวยรินแล้วล่ะ น้ำตาคลอเบ้าแล้วล่ะ น้อยใจ อนาถ ในวาสนาตัวเองว่า
บวชทั้งที แหม จะมาตายตอนที่ยังไม่ทันบิณฑบาตร มองพระล่ะ จริงๆ หมดแรงล่ะ คุณ,
3 วันนี่ ไม่ได้กินข้าวเลยนะ หมดแรงล่ะ นอน มองพระล่ะ พระนี่ ชั้นไม่รู้ตาฝาดหรือเปล่า
หรือ ด้วยพิษไข้ พระพุทธรูป พูดให้ชั้นฟัง อัตตา หิ อัตโน นาโถ
หลวงตามาเคาะ เอาโอวันตินมาถวาย ก็เลยถามแก หลวงตา อัตตา หิ อัตโน นาโถ นี่มัน
แปลว่า อะไร แกบอกว่า ตนเป็นที่พึ่งของตน
อ๋อ พระพุทธเจ้าให้กูพึ่งตัวเอง นึกในใจ เออ เราก็มีแรงลุกขึ้นมา เสียบปลั๊ก ต้มน้ำ ลุกขึ้น
ล้างหน้าล้างตา พยายามเอาผ้ามาครอง จะไปบิณฑบาตร ยังเช้า ก็กะจะชงโอวันตินใช่ไม๊
น้ำมันยังไม่เดือด ก็เจาะนม คว่ำใส่แก้วไว้ กะว่า วันนี้ กูจะเล่นซะให้เต็มแก้วล่ะนะ นมซะ
ครึ่งกระป๋อง ล้างหน้าเสร็จ เข้าห้องน้ำเสร็จ กลับมา นมยังไม่หยดซักแปะเลย ผลปรากฏว่า
อย่าว่าแต่เจาะเลย ให้ผ่าฝาออกมา เทออกมานี่ ออกมาเป็นก้อนกระป๋อง นมเลย มันหมด
อายุ แกเก็บไว้จนหมดอายุ
เอ้า ไม่มีนม นมมันเป็นก้อน หันไปเปิดโอวันติน โอวันตินเปิดออกมา โอวันตินกระป๋อ
งเหลืองๆ น่ะ อ้ายกากะบาท กระป๋องเหลืองสมัยเก่าน่ะ สมัยนี้ไม่มีแล้ว มันสูญพันธุ์ไป
แล้วนะ งัดออกมานี่ เอาช้อนงัดจนช้อนงอเลยล่ะ หมดอายุอีกแล้ว รวมแล้ววันนั้น ไม่ได้กิน
โอวันติน นมหลวงตาแกหรอก ก็ออกไปบิณฑบาตร ได้ข้าว มาทัพพี ไข่เค็มครึ่งลูก กล้วย
หอมใบหนึ่ง อุ๊ย ดีใจมาก
กลับวัดเลย ฉัน ทีนี้ ก็ฝึก เริ่มฝึกกรรมฐาน ไม่มีใครสอนล่ะ อ่านหนังสือ สอบบ้างช่วย ฝึก
กรรมฐานด้วย ในชีวิต งั้น คำถามที่ถามว่า จำเป็นต้องมีครูไม๊
มันขึ้นอยู่กับตัวเอง ตัวของตัวเองว่า จะเป็นที่พึ่งของตัวเองได้แค่ไหน ถ้าตัวเองเป็นที่พึ่ง
ของตัวเองได้ ก็ไม่จำเป็น ขวนขวาย ความรู้เยอะแยะในตำหรับตำรา ในคัมภีร์ เดี๋ยวนี้ เค้า
ก็มีสื่อเยอะแยะ ศึกษาเอา แล้วก็ต้องหลายๆ ครูบาอาจารย์เพื่อประมวลภาพว่า อันไหนที่
เราชอบ ไม่ใช่ไปเชื่ออย่างใดอย่างหนึ่ง อย่าใช้สัญญาอย่างเดียว ต้องใช้ปัญญาวิเคราะห์
เอ้า ทีนี้ จบจริงๆ ล่ะจ้ะ
ปุจฉา การสวดมนต์กับการนั่งสมาธิ สิ่งไหนจะดีกว่ากัน หรือว่า จะต้องทำพร้อมกัน
ทำอย่างใดอย่างหนึ่ง ได้หรือไม่
วิสัชนา มันดีทั้งคู่ ถ้าจิตคุณอยู่กับมัน แต่มันจะไม่ดีซักอย่างหนึ่ง ถ้าจิตไม่ได้อยู่กับมัน
น่ะ คุณ จบ
ปุจฉา ระหว่างนั่งสมาธิ 10 นาที กับ สวดมนต์ ครึ่งชั่วโมง ถ้าต้องเลือกอย่างใดอย่าง
หนึ่ง ควรเลือกอย่างใด เพราะอะไร
วิสัชนา เลือกที่จิตมันอยู่กับงานที่ทำ ครึ่งชั่วโมงก็ได้, 10 นาทีก็ได้ ถ้าจิตมันอยู่กับ
งานที่ทำ ใช้ได้ทั้งนั้น จบ
ปุจฉา วัดที่อ้างศาสนา แล้วหลอกให้คนมาทำบุญมากๆ ทำไม คนถึงหลงเชื่อ คนที่หลง
เชื่อสิ่งนี้ เขาขาดสติในเรื่องอะไร
วิสัชนา โง่, โง่, โง่ไม่โง่ คุณคิดดูแล้วกัน ขนาดตกงาน มันยังมีใบฯ มาบอกว่า โยม
ยังไม่ได้ผ่อนเงินค่านี่เลยนะ ยังมาทวงเงินเลย, โง่ไม่โง่, แล้วก็ถามว่า มึงให้ไม๊, ให้
ผมก็ผ่อนให้เค้าอีก เออ ไปหาเงิน,ไปหาเงินยังไง, ไปกู้เค้ามา ไปยืมเค้ามาไปให้
เออ ดูมันโง่ไม่โง่ ก็ไม่รู้, ก็ไปโทษเค้าไม่ได้ เพราะว่า คนโง่มีมากกว่าคนฉลาด แล้วก็
พวกศรัทธาจริตนี่ พวกนี้ก็จะ หากินได้ง่าย คนที่สร้างศรัทธาให้คนโดยมีศรัทธาจริตเป็น
ตัวนำ แต่ไม่มีปัญญาเป็นตัวนำ ไม่สัมปยุตไปด้วยปัญญา
ศรัทธา แปลว่า ความเชื่อ
แต่ถ้าไม่มีปัญญา พระพุทธเจ้าก็ไม่ถือว่า นั่นเป็นศรัทธาของพุทธศาสนา ถ้าเชื่อโดยไม่มี
ปัญญา วิเคราะห์ไม่ได้ ใคร่ครวญไม่ได้ พิจารณาไม่ได้ อย่างนี้ไม่ถูก
ก็บางคน ก็ยอมเสียเงินเป็นแสนน่ะ พวกเศรษฐีมาเล่าให้ฟัง ถามว่า เสียอะไร, บอก
เดือนนี้ต้องไปถวายเงินเป็นแสน, ทำอะไร, ถวายข้าวพระพุทธเจ้า, ถวายข้าวพระ
พุทธเจ้า มึงต้องจ่ายเป็นแสนเลยเหรอ, ค่ะ ต้องจ่ายเป็นแสน, อ้าว แล้ววัดกู ถวายไม่
ได้เหรอ, ไม่ได้ ต้องมีองค์นี้องค์เดียว ที่ถวายได้, เค้าว่าอย่างนั้นนะ, อู้หู นี่มึงไม่ใช่
โง่อย่างเดียวเลยนะ มึงโคตรโง่เลยนะ, ตั้งแต่นั้น มันไม่มาอีกเลย
ชั้นเป็นคนอย่างนี้แหละ ชั้นพูดตรงๆ มียายคุณหญิงคนหนึ่ง มาที่วัด, โอ๊ย หลวงปู่เจ้าขา
ดิชั้นน่ะ นั่งสมาธิ ไปนิพพาน เฝ้าพุทธเจ้าทุกวันเลย, จริงเหรอ อีตอแหล, ฮ้า เป็นพระ
เป็นเจ้า มาว่า เค้า อีตอแหลอ้าว ก็ไหนมึงบอกว่า มึงไปนิพพานทุกวัน คำว่า อีตอแหล มึง
ยังไม่ดับเลย แล้วมึงจะไปนิพพานอะไรได้ เท่านั้นแหละ มันไม่มาอีกเลยแหละ
ชาวบ้านน่ะ เค้าว่า ชั้นปากเสีย, เอ้า ก็มันตอแหลจริงๆน่ะ, มันบอกว่าไปนิพพานทุกวัน
แล้วนิพพานมันแปลว่า อะไร, มันดับแล้วเย็น, แค่คำว่า อีตอแหล มันยังดับไม่ได้เลย
แล้วมันจะไปนิพพานไหนได้ ถูกเปล่า เอ๊อ ตอแหล จบ
ปุจฉา เมื่อร่างแตกดับไปแล้ว จิตอยู่ที่ไหน
วิสัชนา เอ้า ลองดูสิ, อยากรู้, ชั้นพูด เดี๋ยวจะหาว่า ชั้นตอแหล, อยากรู้ ก็ลองดู,
ไปตามกรรม, ว่ากันไปตามกรรม, กรรม กรรมที่กระทำน่ะ, กรรมที่ตัวเองกระทำ,
ไปตามนั้น นั่นแหละ จบ
ปุจฉา คำว่า กายในกาย หมายความว่า อย่างไร
วิสัชนา เอาง่ายๆ เลยนะ, เนี่ยๆ หนังใช่ไม๊, แล้วอ้ายข้างในหนังนี่ เป็นอะไร,
เนื้อ, ก่อนจะถึงเนื้อ ก็ต้องมี เส้นเลือด เส้นประสาท เส้นเอ็น พังผืด เนื้อ แล้วกระดูก
เหล่านี้น่ะ เค้าเรียกว่า กายในกาย
นี่ กายนอก, อ้ายเนื้อน่ะ กายใน ตัวอย่างนี่ ง่ายๆ
นอกจากเนื้อ กายในแล้ว ในเนื้อนั้น ประกอบไปด้วยอะไรอีก, เนื้อประกอบไปด้วยธาตุ
ดิน, นี่ ก็กายในอีก ดินก็เป็นกายในของเนื้อ, แล้วในธาตุดินมีอะไรอีก, มีองค์
ประกอบ ก็มีน้ำ
ในเนื้อ 1 ก้อน มีน้ำไม๊, มีไม๊ หรือเนื้อใครไม่มีน้ำเลย, ไม่มีล่ะนะ, เนื้อต้องมีน้ำ
นั่นก็เป็น กายในกายอย่างหนึ่ง, มันเป็นจนกระทั่ง ถึงขนาดสืบสานจนเป็นปรมาณู เป็น
นิวตรอน เป็นโปรตอน เป็นอะตอม นั่นแหละ เค้าเรียกว่า กายในกาย เป็นวิธีคิดของวิถี
พุทธล่ะ จบ
ปุจฉา การนั่งสมาธิ จะให้ได้สมาธิเร็ว จะต้องทำอย่างไร ขอคำแนะนำด้วย
วิสัชนา ไม้หน้าสาม ป๊อกเดียว ได้เลย, ไม่มีหร๊อก คุณ, อ้ายที่เร็วน่ะ ไม่มี, อ้าย
ที่ถามอย่างนี้ เลวทุกงาน,ไม่มีหร๊อก, เพราะว่า อะไร, มันไม่ใช่ว่า, คือ สมาธินี่ ไม่
ใช่อยู่ดีๆ มันจะได้นะ, แล้วก็บอกแล้วว่า ทุกอย่าง เรามีกัมมะทายาโท กัมมะโยนิ กัมมะ
ปฏิสรโณ กัมมะพันธุ เรามีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่มา ที่อยู่ ที่
อาศัย
งั้น คนที่อยู่ดีๆ แล้วจะได้สมาธิ แสดงว่า มันต้องมีการสั่งสมมาแต่อดีตส่วนหนึ่ง แล้ว
ปัจจุบันก็สร้างขึ้นมา งั้น จะบอกว่า อยู่ดีๆ จะให้ได้สมาธิเร็วปุ๊บปั๊บ สำเร็จปุ๊บปั๊บ บรรลุ
อรหันต์ปุ๊บ เดี๋ยวนี้เค้ามีอรหอยเยอะเลยนะ เกลื่อนเมืองเต็มไปหมดเลยนะ อรหอยนั่งมาย
บัค นั่งรถเบ็นซ์ นั่งอะไรต่ออะไร นี่เยอะเกลื่อนไปหมด มันแหกตา มันหลอกกันกินน่ะ
แล้วคนโง่ ก็เชื่อมันนะ
เพราะฉะนั้น การนั่งสมาธิที่แท้จริง มันจะไปเร่งเวลาไม่ได้หร๊อก มันขึ้นอยู่กับกรรมของ
คุณด้วย ทำมาแต่อดีตอย่างไร แล้วความชอบของคุณในปัจจุบัน แล้วใจในปัจจุบันนั้น คุณ
อยู่กับงานที่คุณทำ คือ กรรมฐานที่คุณทำอย่างจริงจังหรือไม่
มัน 3 การ รวมกัน อดีต ปัจจุบัน และ วิชาการ, อดีต ปัจจุบัน วิชาการ ต้องรวมยอดเป็น
1 คือ จริงใจ ตั้งใจ และเต็มใจ จบ
ปุจฉา วิธีที่ถูกต้องในการใส่บาตร อุทิศบุญกุศล ที่จะส่งไปถึงผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ทำอย่างไร
วิสัชนา สำคัญ คุณต้องมีบุญก่อนนะ ไม่ใช่ว่า ใส่โดยที่ บางทีคุณ, บางทีเราใส่บาตร
โดยที่เราไม่ค่อยมีบุญเท่าไหร่นะ เพราะอะไร , อื๊ม ใช่หรือเปล่า องค์นี้ เก๊หรือเปล่าว้า,
ทำไมออกมาตอน 10 โมงว้า อ้ายห่า ไม่แน่ใจโว้ย, เอ้อ ให้ๆ ไปเถอะ ไม่รู้จะได้บุญ
หรือไม่ได้ อะไรอย่างนี้, อ้ายอย่างนี้ ไม่ได้บุญหร๊อกนะ เค้าเรียกว่า มีความสงสัย
จำไว้ว่า จะทำบุญ แล้วเกิดบุญ, ก็ ก่อนทำ ตั้งใจ, ขณะที่ทำ เต็มใจ, ทำเสร็จแล้ว
สบายใจ เนี่ย ได้บุญ แล้วจำไว้อีกอย่างว่า พระสงฆ์ เป็นเนื้อนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่น
ยิ่งกว่า
มีคนชอบพูดกับชั้นว่า ไปไหนมา, ไป ทำบุญ, ทำที่ไหน, ทำบุญกับบ้านพักคนชรา
บ้านพักคนชรา เป็นบุญที่ไหน
ถามว่า เพราะ อะไร
ก็เพราะ ปุญญะเขตตัง โลกัสสาติ แปลเป็นความหมายว่า ผู้เป็นบุญเขตนั้น ต้องประกอบไป
ด้วย ศีล สมาธิ และปัญญา นั่นแหละ คือ ปุญญะเขตตัง โลกัสสาติ แล้ว บ้านพักคนชรา เอา
ล่ะ แกมีศีล ก็ไม่เป็นไร ก็ครบหรือเปล่า 5 ข้อ, 8 ข้อ ครบไม๊, 10 ข้อ ครบไม๊,
เอ้า มีสมาธิ มีปัญญาระดับไหน
เพราะฉะนั้น นั่นไม่ใช่เรื่องบุญ เป็นเรื่องทาน ทำทาน บริจาคทาน เสียสละแบ่งปันให้กันไป
งั้น จะทำเท่าไหร่ถึงจะได้บุญ, ทำเท่าไหร่นั้น ก็ต้องอยู่ที่ว่า ท่านจะมีศีลเท่าไหร่ล่ะ, ทั้ง
บ้านน่ะมีศีลเท่าไหร่ รวมกันแล้ว ได้เป็น ปุญญะเขตตัง โลกัสสาติไม๊ ก็คือ มีศีล สมาธิ
ปัญญา อันสมบูรณ์ไม๊ อย่างนั้น ก็ต้องทำเยอะมาก จึงจะได้คำว่า บุญ ซึ่งจะต่างจาก ทำบุญ
กับ ปุญญะเขตตัง โลกัสสาติ คือ พระ ผู้มีศีล สมาธิ ปัญญา อันสมบูรณ์, ทำครั้งเดียว เท่า
กับทำบ้านพักคนชรา ร้อยครั้ง พันครั้ง อย่างนี้เป็นต้น พูดอย่างนี้ เข้าใจไม๊
นี่ ไม่ใช่หลวงปู่สอนเอง ไม่ใช่อยากจะได้นะ แต่สอนตามวิถี วิธีที่เราท่องกันมา ใช่ไม๊ เรา
ท่องในเรื่อง อิติปิโสฯ พาหุงฯ น่ะ ท่องถึงบทคำว่า ปุญญะเขตตัง โลกัสสาติ ไม๊ เอ้อ อาหุ
เนยโย ทักขิเนยโย อัญชะลี กรณีโย อนุตตรัง ปุญญะเขตตัง โลกัสสาติ เห็นไม๊ พระสงฆ์เป็น
เนื้อนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ด้วย วงเล็บไว้ตรงนี้ด้วยนะไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า
เพราะงั้น อรหอย หรือ อรหันต์ ที่ประกาศตัว จึงขายดีไง คนเค้าเลยเชื่อว่า โอ๊ ทำบุญกับ
อรหันต์ ใครที่ประกาศตัวเองว่า เป็นอรหันต์ยิ่ง ปุญญะเขตตัง โลกัสสาติ จริงๆ แล้วมันไม่ใช่
อรหันต์เค้าไม่ประกาศตัว อ้ายที่ประกาศตัวน่ะ อรหอยทั้งนั้นล่ะ ไม่ใช่อรหันต์
แล้วใครจะมาหลอกลวง หลอกต้ม ให้ทำบุญเยอะๆ เพื่อให้ได้สวรรค์ ให้ได้นิพพาน นั่น ยิ่ง
ไม่ใช่
เพราะก่อนทำ ตั้งใจ, ขณะที่ทำ เต็มใจ, ทำเสร็จแล้ว สบายใจ เท่าไหร่ก็ได้บุญ ร้อย
หนึ่งก็ได้บุญ
ดีไม่ดี 10 บาท อาจจะได้บุญมากกว่าล้านด้วย เพราะเราเลือกเนื้อนาบุญของโลก ไม่มีนา
บุญอื่นยิ่งกว่าอย่างถูกต้อง ก่อนทำ ตั้งใจ, ทำ เต็มใจ, ทำเสร็จแล้ว สบายใจ จบ
ปุจฉาค่ะ
หลวงปู่ โอ๊ย นี่ถามไม่เลิกเลยเหรอนี่ ที เมื่อกี้ ขยั้นขะยอให้ถาม, เที่ยวนี้ ขยั้นขะยอให้
เลิกถามแล้วนะ จะเลิกกี่โมงเนี่ย อ้าว ป้าก็ไม่รู้ หมดหรือยัง เหลืออีกเยอะไม๊
พิธีกร เหลืออีก 2 คำถาม
หลวงปู่ เอ้าๆๆ เอาให้จบๆ
ปุจฉา การสวดมนต์ภาวนา จะต้องพูดให้ มีเสียง กับสวดมนต์ภาวนาในใจ อะไรดีกว่ากัน
วิสัชนา เสียงก็ได้ ในใจก็ดี สำคัญว่า มีใจหรือเปล่า สวดมนต์ออกเสียง แล้วมีใจไม๊ บาง
ครั้ง สวดมนต์ในใจ มันก็ผลุบๆ โผล่ๆ เหมือนกันนะ มันไม่ค่อยครบสมบูรณ์เหมือนกัน
งั้น สรุป ก็คือ ใจน่ะ สำคัญที่สุด ไม่ใช่สวดมนต์ในใจสำคัญที่สุดนะ มีใจที่จะสวดน่ะ สำคัญ
ที่สุด
ตั้งใจสวด มีใจที่จะสวด เต็มใจสวด ใจจดจ่อกับบทสวด นั่นแหละ สำคัญสุดล่ะ จบ
ปุจฉา การดูท้องพองยุบ, บางครั้งก็จับ พอง ยุบได้, บางครั้งก็จับ พอง ยุบ ไม่ได้,
จะต้องปฏิบัติอย่างไร
วิสัชนา มันยุบไม่ได้ ก็แขม่วให้มันยุบ เมื่อก่อนนี้ ชั้น สมัยรุ่นๆ เด็กๆ ชั้นเจอ เจ้าคุณ
โชดก, เจ้าคุณโชดก วัดมหาธาตุฯ เนี่ย ตอนนั้นท่านยังมีชีวิตอยู่ ต้นตำหรับ ยุบๆ พองๆ
อะไรที่คุณว่านี่แหละ ท่านสอนชั้นน่ะ เอ้า อ้ายหนู มึงยุบสิ, ยุบได้ไง มันเพิ่งกินข้าวอิ่ม,
เราก็เถียงล่ะนะ, เอ้า พอง ยุบ พอง ยุบ อะไรของแกเนี่ยนะ, อ้ายเราก็ดู ยุบหนอ พอง
หนอ, ยุบหนอ พองหนอ, ก่อนนี้ ชั้นจะมาสวดมนต์ในวัดพระแก้ว แล้วสวดจบ ก็จะไป
เจริญกรรมฐานวัดมหาธาตุ แล้วก็สุดท้าย ก็จะไปฟังธรรม วัดบวรฯเพราะสมัยนั้น สมเด็จ
พระสังฆราช ยังเป็น ที่ ศาสนโสภณ ยังเป็นเจ้าคุณหนุ่มๆ ชั้นแรกอยู่เลยล่ะ
ชั้นฟังไม่รู้เรื่องหรอก ฟังเจ้าคุณโชดกสอน ก็ไม่รู้เรื่อง เพราะเรารู้สึกว่า ไม่ถูกจริตเรา มัน
ไม่ได้เป็นธรรมชาติน่ะ มันต้องมาบังคับตัวเอง ให้พอง ให้ยุบ
แต่ถ้าดูโดยธรรมชาติ ให้เป็นธรรมชาติ เรียกว่า มีสติพิจารณาความเป็นไปในกาย อย่างนี้
ได้
แต่จะมานั่ง คอย ซ้าย ย่าง หน๊อ , ขวา ย่าง หน๊อ โอ๊ย อย่างกับนกกระยางหาเหยื่อ อย่างนี้
ชั้นไม่ถนัด แต่มันอาจจะดีสำหรับคนอื่น นี่ ไม่ได้ว่านะ แต่มันไม่ถูกจริตเรา เราไม่ได้ฝึก
มาแบบนี้
ชั้นชอบแบบอะไรที่มันง่ายๆ ธรรมชาติๆ ก็เลยไปฟังท่านเจ้าคุณพระศาสนโสภณ คือ องค์
พระสังฆราชปัจจุบันนี่แหละ ตอนนั้น ท่านเทศน์ เรื่องมหาสติปัฏฐาน 4 เรื่องอานาปาณ
สติกรรมฐาน ก็พิจารณา ตอนนั้นยังหนุ่มๆ ยังวัยรุ่นอายุ 13-14, หายใจเข้า ไม่ได้ให้
พุทโธ ด้วยนะ, หายใจเข้า รู้ว่า เข้า, หายใจออก รู้ว่า ออก, 4 โมง 5 โมง จะ 6
โมงแล้ว เค้าจะปิดโบสถ์กันล่ะ โบสถ์วัดบวรฯ จนกระทั่ง ท่านต้องมากระซิบ อ้ายหนู เค้า
จะปิดโบสถ์แล้ว ลูก, ลุกเฮอะ
ฟังเทศน์ท่าน จนกระทั่งเค้าเลิกไปหมดแล้ว เหลือชั้นนั่งคนเดียวในโบสถ์ มันสบาย มันเย็น
มันอยู่กับลมนั้น แต่ไม่ได้อยู่กับความสบาย แต่รู้สึกมันเพลิน มันเป็นสุข มันนั่งอยู่ 3
ชั่วโมง ร่วม 4 ชั่วโมง ไม่ขยับเขยื่อนไปไหน เรารู้สึกสบายใจ เป็นสุข
แต่ถ้าไป ยุบหนอ พองหนอ ซ้ายย่างหนอ ขวาย่างหนอ มันไม่ถูกกับจริตเรา แต่บางคนเค้า
ถูกนะ คนที่เค้าทำได้ มีผลก็มี
สมัยก่อนนี้ ชั้นไปธุดงค์ที่พม่า เจอท่าน อูบาขิ่น ต้นตำหรับ ซ้ายย่างหนอ ขวาย่างหนอ ยุบ
หนอ พองหนอ อาจารย์ใหญ่ของนี่เลยล่ะ ท่านเอาพระธาตุมาให้ดู เดี๋ยวนี้ ก็พระธาตุเกลื่อน
เมืองไปหมด นี่ นอกเรื่องไปหน่อยล่ะนะ ชั้นไปที่ไหนๆ ก็มีแต่พระธาตุ ท่านเอาพระธาตุ
พระอานนท์ที่ท่านนิพพานบนอากาศ แล้วท่านก็มีพระธาตุนี้ พม่าได้มา แล้วท่านก็เอามา
อวด
ท่านบอกว่า นี่คือ พระธาตุท่านมหาอานนท์
เราก็ จะรู้ได้ยังไงครับว่า นี่ เป็นพระธาตุพระมหาอานนท์
ท่านก็อธิษฐาน แล้วก็โยนไปในอากาศ ยังลอยอยู่บนอากาศ ไม่ตกถึงพื้น นั่นแหละคือ พระ
ธาตุ
แต่พระธาตุสมัยนี้ โยนแป๊ะๆ ไม่รู้พระธาตุอะไร อยู่วัดราชนัดดา เค้าตวงขายเป็นลิตรๆ
เกลื่อนไปหมด อันนี้ ก็เล่านอกเรื่องให้ฟังว่า มันเลอะเทอะ มันฟุ่มเฟือย มันเหลือเฟือ มัน
กลายเป็นผู้ไม่ใช้ปัญญาในการพิจารณา
พระธาตุแท้ๆ น่ะ ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ เป็นของศักดิ์สิทธิ์ เทวดาต้องรับ ท่านโยนลง
ไปในน้ำ นี่ไม่กระทบน้ำนะ ไม่กระทบน้ำ ลอยอยู่เหนือน้ำ โยนบนอากาศ ก็ลอยอยู่เหนือ
อากาศ อยู่ในอากาศ ไม่กระทบพื้นดิน เราก็มองไม่เห็นว่า ลอยได้ยังไง ท่านบอกว่า เทวดา
รับไว้ อย่างนี้เป็นต้น
นั่นคือ พระธาตุของแท้ ที่บ้าน มีพระธาตุไม๊ มีไม๊
บ้านใครมี ยกมือ
เอ้า กลับไป เย็นนี้ โยนเลย, ถ้ายังลอยอยู่ล่ะ ใช้ได้, แต่ถ้า แป๊ะ ไปเลย ที่ใครที่มัน
อะไรก็ว่าไป จบ
ปุจฉา การบวชพราหมณ์ ปิดวาจา ขึ้นกรรมฐาน ไม่ได้กินอะไรเลย 2 วัน
หลวงปู่ อืม
พิธีกร นอกจาก น้ำดื่มเท่านั้น เรียกว่า เป็นกรรมเก่า ใช่หรือไม่
วิสัชนา จะบวชทั้งที ยังคิดว่า เป็นกรรมอีก, กรรมเก่าอะไร กรรมใหม่ๆ สดๆ เล๊ย
คุณทำเอง เค้าบังคับคุณหรือเปล่าล่ะ, เราสมัครใจทำ
ที่จริงแล้ว มันเป็น อัตตกิลมถานุโยค หรือเปล่า แต่มองในมุมบวก ก็ถือว่า เป็นตบะ เป็นวิธี
การฝึกตัวเอง ทรมานตัวเอง, ขันติ คือ ความอดกลั้น เป็นธรรมเครื่องเผากิเลสอย่างยิ่ง
เราคิดว่าอย่างนั้น แต่ถ้าเรามองในวิถีแห่งมรรคาปฏิปทา มัชฌิมาปฏิปทาแล้ว ก็ถือว่าเป็น
อัตตกิลมถานุโยค ประกอบตนให้ลำบาก ประกอบความเพียรในวิถีที่ลำบาก
พระพุทธเจ้าทรงตำหนิวิธีนี้ว่า เป็นวิธีแห่งความเลว หรือ คับแคบ ไม่ถูกต้อง อดข้าว อดน้ำ
ไม่ใช่วิธีที่เจริญ พระพุทธเจ้าลองอดมาแล้วตั้ง 6 ปี ไม่ใช่อดแค่ 2 วัน หรือจะเอาซัก 6
ปี เออ แค่ 2 วัน ก็ถามแล้ว งั้น ก็ เอาที่มันเป็นกลางๆ ที่เราทำ แล้วไม่เบียดเบียนตน และ
ไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อนดีกว่า
ว่างๆ เนี่ย ชวนท่าน ผ.อ ไป ผ.อไม่ไป ก็ชวนกันไป ไปที่วัดน่ะ ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ อย่า
ไปคน 2 คนนะ แล้วเดี๋ยวหลวงปู่จะสอนกรรมฐานให้ก็ได้ จบ
จบแล้วใช่ไม๊ หมดแล้วใช่ไม๊
หมดล่ะ ชั้นทำให้คุณเครียดหรือเปล่า, มึนไม๊, มึนไม๊เนี่ย, แต่ชั้นน่ะ มึน
ก็ ขอบคุณมากที่อุตส่าห์ทนฟัง ก็หวังว่า พวกท่านคงจะมีปัญญารุ่งเรือง เจริญ ดุจพระ
อาทิตย์ยามเที่ยงวัน แล้วก็สุขภาพแข็งแรง คิดหวังสิ่งใด สมความปรารถนา เจริญธรรม (
สาธุ)
เอ้า มาง่าย จบง่าย ชั้นน่ะ
กรวดน้ำก่อนไม๊ กรวดน้ำหน่อย ดีไม๊ เอ้อ แบ่งบุญให้ชาวบ้านเค้าบ้าง
เอ้า ตั้งใจกรวดน้ำ วันนี้ได้ฟังธรรมล่ะ ถือว่า เป็นบุญอย่างหนึ่งล่ะ เป็นบุญที่ได้มายาก
ว่าตาม
อิทัง โน ยาตินัง โหนตุ
...............
ตั้งใจรับพร ลูก
..............
(สาธุ)
โชคดี ลูก ธรรมะรักษา
ลุกขึ้น กราบพระ ยืน
ไปมา ลาไหว้ ตามธรรมเนียม
พนมมือ ว่าตาม
พระพุทธเจ้า ทรงพระคุณอันประเสริฐ เป็นที่พึ่งอันเลิศของข้าพเจ้า กราบ 1 ครั้ง
พระธรรม ทรงพระคุณอันประเสริฐ เป็นที่พึ่งอันเลิศของข้าพเจ้า กราบ 1 ครั้ง ลูก
พระสงฆ์ ทรงพระคุณอันประเสริฐ เป็นที่พึ่งอันเลิศของข้าพเจ้า กราบ 1 ครั้ง
ที่พึ่งอื่นใดในโลกข้าพเจ้าไม่มี
ด้วยเดชแห่งพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ทั้งปวง
ข้าพเจ้าผูกความรักษา ขอความสวัสดีมีมงคล จงบังเกิดแก่ข้าพเจ้า กราบ 1 ครั้ง ลูก
สาธุ วันทา คุณบิดา มารดา กราบ 1 ครั้ง
สาธุ วันทา คุณครูบาอาจารย์ กราบ 1 ครั้ง
เอ้า เชิญนั่ง
มีเรื่องแจ้งให้ทราบ เชิญชวนประชาสัมพันธ์ วันเสาร์ที่จะถึงนี้ ลูก ตอนบ่ายโมงน่ะ หลวงปู่
กับมูลนิธิธรรมอิสระ จะมาเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระราชกุศลพระบาทสมเด็จพระเจ้า
อยู่หัวและสมเด็จพระราชินี ที่โรงพยาบาลศิริราช ใครว่างๆ เชิญชวน ใส่เสื้อสีชมพู ไปร่วม
กันเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระราชกุศล ให้กำลังใจกับล้นเกล้าทั้ง 2 พระองค์บ้าง หลวง
ปู่จะมาทุกเดือนในช่วงพรรษานี้ จะมาเจริญมนต์ทุกเดือนในสัปดาห์ที่ 3 คือ วันเสาร์
สัปดาห์ที่ 3 ของทุกเดือน ขออนุญาตสำนักพระราชวังเค้าไว้ เมื่อเดือนที่แล้ว ก็มาเจริญ
พระพุทธมนต์ พอดีฝนตก ก็เจริญกลางฝนนั่นแหละ ได้ปัจจัยมา ก็นำขึ้นทูลเกล้าฯ ในขณะ
ที่เจริญมนต์ ก็มีคนถวายปัจจัย หลวงปู่ก็เอานำถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
งั้น วันเสาร์นี้ ใครมีเวลาว่างๆ ไปแสดงความจงรักภักดี คือ ทุกคนน่ะ รักในหลวงหมดแหละ
เวลาในหลวงรักเราเนี่ย พระองค์ใช้ความรักที่มีต่อเรา ให้เป็นที่พึ่งของเราได้ตลอดระยะเวลา
60 กว่าปี แต่เรารักในหลวงแบบไหนก็ไม่รู้ รักลึกเหลือเกิน ไม่ค่อยให้พระองค์ได้พึ่งเลย
เพราะงั้น พยายามดึงเอาความรัก ออกมาตื้นๆ ให้พระองค์ได้พึ่งบ้าง มาแสดงพลัง ให้กำลัง
ใจ ให้น้ำใจ เพราะว่า ทั้ง 2 พระองค์ก็ พูดเป็นภาษาชาวบ้าน ก็คือ พ่อแม่เรา แก่มากแล้ว
ท่านทำงานให้กับเราแผ่นดินและประเทศชาติมาตั้ง 60 กว่าปีแล้ว ทั้งพ่อทั้งแม่เรา อายุก็
ปาเข้าไป 80 กว่าแล้ว เราในฐานะลูก เราควรจะต้องให้อะไรกับท่านบ้าง
กำลังใจนี่ เป็นเรื่องสำคัญมาก ชั้นสังเกตุเห็นโยมแม่ชั้นน่ะ ถ้าแกนั่งอยู่เฉยๆ โยมแม่อยู่ที่วัด
นั่งอยู่เฉยๆ แกจะหลง แต่ถ้ามีคนไปพูดไปคุย ไปให้กำลังใจ แกก็จะอยู่กับปัจจุบัน แต่ถ้า
ไม่งั้น แกก็จะอยู่กับอดีต อย่างเมื่อวานนี้ ก่อนจะไปสวดมนต์ ก็ไปหาแก แกก็ นั่งอยู่คน
เดียว ถามว่า กินข้าวหรือยังล่ะ, ยัง, วันนี้จะกินอะไรล่ะ, ก็เก็บผักบุ้งเอาไว้ ว่าจะ
แกงส้ม, อายุ 80 กว่าล่ะ เราก็เลย เอ้า งั้น เดี๋ยวจะแกงให้ ก็เข้าไปแกง เด็ดผักบุ้งให้แก
แล้วก็ไปเอาน้ำพริกในครัวใหญ่มาใส่ พอดีปลูกกระเจี๊ยบ ที่วัดชั้นมีสวนครัว ผักสวนครัว ก็
ไปเก็บกระเจี๊ยบ เก็บอะไรต่ออะไรมา แกกินข้าวได้ตั้งเยอะ เราก็มานั่งเฝ้าแก แต่ถ้าหากว่า
วันใดที่เราไม่ไป แกก็จะกินได้นิดเดียว
งั้น คนอายุมากเนี่ย เค้าต้องการกำลังใจ จำไว้อย่างว่า นิมิตตัง สาธุรูปานัง กตัญญู กตเวทิตา
แปลเป็นใจความว่า เครื่องหมายของคนดี ต้องกตัญญู รู้คุณ กตเวทิตา ตอบแทนคุณ เราได้
รับคุณ อุปการะคุณคุณูปการจากใครมา ก็ควรจะให้คุณท่าน แต่ไม่ใช่ให้กับนักการเมือง
เพราะนักการเมืองนี่ มันไม่ได้มีคุณอะไรกับเรา มันให้ตังค์เรา มันก็เอาคะแนนเรา นี่ มัน
คนละเรื่องกัน เค้าเรียก แลกได้แลกเสีย เรียกว่า ซื้อขาย
แต่พ่อแม่ ในหลวง พระเจ้าแผ่นดิน พระราชินี ท่านให้โดยไม่หวัง อย่างนี้ เค้าถือว่า เป็นผู้
มีคุณ ท่านให้โดยไม่ต้องการอะไรตอบแทน งั้น เมื่อเราเป็นผู้รับ ก็ควรจะตระหนักสำนึกถึง
คุณท่าน
เชิญชวนท่าน ผ.อ ฝากชวนด้วย บริษัทบริวาร วันเสาร์นี้เนี่ยนะ วันเสาร์ที่จะถึง เพราะ
หลวงปู่จะต้องไปลำพูน แล้วก็กลับมาจากแสดงธรรมวันศุกร์ ก็รุ่งขึ้นวันเสาร์ ก็ไปสวดมนต์
ที่โรงพยาบาลศิริราช วันอาทิตย์ ก็ไปแสดงธรรมที่ เออ โรงพยาบาลอะไรนะ, ทหารเรือ
ตอนบ่ายโมง เหมือนกัน
แต่อยากให้พวกเราไปแสดงพลัง น้ำใจ ในฐานะที่เป็นชนชั้นนำอยู่ในฝ่ายปกครอง ทำต้น
แบบให้เค้าดู เพราะว่า สื่อ พวกทีวี โทรทัศน์ เค้าจะไปถ่าย จะได้บอกว่า กรมการปกครอง นี่
อยู่กรมการปกครองหรือเปล่า เออ สำนักงานปลัดกระทรวงฯ และมูลนิธิฯ วัดอ้อน้อยได้มา
ร่วมเจริญพระพุทธมนต์ถวายพระราชกุศล อะไรก็ว่าไป
ไปแต่ตัว เอ๊ย อย่าแก้ผ้าไป เดี๋ยวบอก ไปแต่ตัว เดี๋ยว ปัญญาอ่อนอีก ใส่เสื้อสีชมพู นุ่งห่ม
เรียบร้อย แล้วก็เดี๋ยวไปเอา sheet สวดมนต์โน่นมี เพราะว่า การไฟฟ้าฝ่ายผลิต เค้า
ปวารนาเอาไว้ว่า จะพิมพ์แจก เราไป ก็ไปสวดมนต์ที่นั่น สวดมนต์แปล นะ
ไปไม๊เนี่ย, ชวนนี่ ไปไม๊เนี่ย หรือ กำลังภาวนาอยู่
เห็นนั่งนิ่งเงียบเลย
อยากให้ไปนะ อยากให้ไป ลูก อยากให้ไปกันเยอะๆ ตั้งแต่บ่ายโมง จนถึง 3-4 โมงเย็น
น่ะ ลูก สวดจบเท่าไหร่ก็เท่านั้นแหละ แล้วก็ไปถวายพระพร แล้วก็เดือนหน้า จนกว่าจะ
ออกพรรษา เพราะหลวงปู่ ขออนุญาตสำนักพระราชวังเค้าไว้ เดือนละครั้ง ไปสวด ก่อน
หน้านี้ก็มีไปตลอด แต่ในช่วงพรรษาก็จะไปสวดถวายพระพรเดือนละครั้ง ตามนี้แล้วกัน
ถือว่า ขอบิณฑบาตรแล้วกัน ใครมีเวลาว่าง วันเสาร์ ชวนลูกชวนหลาน แก่แล้วจริงๆ ไม่จำ
เป็นต้องไปก็ได้ ให้เด็กๆ เค้าไปก็ได้
เอ้า จริงๆ นะ ชั้นอยากให้คุณจูงลูกจูงหลานไป เพื่อจะสร้างริ้วรอยของดวงจิตที่มันงดงาม
ให้กับเค้า ให้เค้าได้สำนึกถึงบุญคุณแผ่นดิน บุญคุณของในหลวง บุญคุณของพระราชินี
และได้มีโอกาสได้แสดงด้วยตัวของเค้าเอง เค้าจะรู้สึกงดงามในจิตใจ ภาคภูมิใจ
ชั้นบวชถวายพระราชกุศลเณรภาคฤดูร้อน เวลา 300 รูป 200 รูป ทุกปี ก็จะนำมา
สวดมนต์ เค้ากลับไป ไปเขียนเรียงความให้พ่อแม่เค้าอ่าน ทุกคนปลาบปลื้มใจว่า ชีวิตหนึ่ง
ครั้งหนึ่ง ไม่เคยมีโอกาส คิดว่า จะได้มาสวดมนต์ถวายพระพร เค้าจดจำได้ เป็นวันงดงาม
แล้วก็ชวนกันไปแล้วกัน
เอาล่ะ ขอบคุณมาก
พิธีกร ในโอกาสนี้ สถาบันดำรงค์ราชานุภาพและผู้เข้าร่วมรับฟังการบรรยายทุกท่าน
ขอกราบนมัสการพระคุณเจ้า หลวงปู่พุทธะอิสระ เป็นอย่างสูง ที่ได้มาบรรยายธรรม แสดง
ธรรมให้พวกเราได้นำไปใช้ในการปฏิบัติงาน ในโอกาสนี้ ดิฉันขอเรียนเชิญ ท่านผู้อำนวย
การสถาบันดำรงค์ราชานุภาพ ท่านทัศนะ วิชัยธนพัฒน์ ได้มอบของที่ระลึก
หลวงปู่ เค้าไม่เรียกว่า มอบ เค้าเรียก ถวาย
พิธีกร ถวาย ของที่ระลึก ถวายเครื่องสังฆทาน ถวายปัจจัยผู้ที่ร่วมทำบุญน่ะค่ะ
ขอพวกเรา อนุโมทนาพร้อมกันนะครับ (สาธุ)
หลวงปู่ ปัจจัย เค้าถวายมา 3,445 บาท หลวงปู่รับแล้ว ยกให้เป็นสมบัติของวัด
และมูลนิธิฯ เพื่อใช้ในกิจกรรม จะไปช่วยน้ำท่วมที่สุโขทัย ขอท่านทั้งหลายอนุโมทนา
(สาธุ)