18 พ ย 2555 13.10 น.  ณ. โรงพยาบาลทหารเรือ แสดงธรรมโดยองค์หลวงปู่พุทธะอิสระ

เจริญธรรม เจริญสุข ท่านสาธุชนคนดีที่รักทุกท่าน ผู้รับชมรายการ ปุจฉา วิสัชนา ญาติ

โยมพุทธบริษัท ผู้ประชุมกัน ณ. สถานที่หอประชุมโรงพยาบาลแพทย์ทหารเรือ คุณสืบ

สกุล พันธ์ดี ผู้ดำเนินรายการ ปุจฉา วิสัชนา

วันนี้ เค้าไปรับโอบามา กันเหรอ ทำไมมันโหรงเหรงๆ อย่างนี้ หา ไปรับโอบามา เหรอ

หรือไปลานพระรูปฯ อ๊อ ลานพระรูปฯ เค้าไปกันเมื่อไหร่ล่ะ (เสาร์หน้า วันที่ 24)
อ้อ อาทิตย์หน้า เป็นอาทิตย์ที่จะต้องแสดงธรรม อาทิตย์สุดท้ายของเดือน ใช่ไม๊
เออ ก็ขอพักแล้วกัน อาทิตย์หน้าแสดงธรรมที่วัด เป็นอาทิตย์สุดท้าย
คือ อาทิตย์สุดท้ายของเดือนทุกเดือน จะต้องมีแสดงธรรม ปฏิบัติธรรม งั้น อาทิตย์ที่ 25

นี่ก็ ขอพัก เออ ของดซักวันหนึ่ง งดซักอาทิตย์หนึ่ง จะไปพักผ่อนที่ลานพระรูป

ไม่ใช่ เผอิญ เค้ามี พระเค้ามานิมนต์ จะไป งานแสดงธรรมที่หนองคาย วันนั้น สัปดาห์ที่แล้ว

สมภารกับสมเด็จพระสังฆราช ประเทศภูฐานเค้ามา มาหาที่วัด ก็เผอิญหลวงปู่เข้าห้องแล้ว

เพราะว่า พอเลิกจากแสดงธรรมอาทิตย์ประจำเดือน ก็ทำกับข้าวให้ย่าเสร็จ ก็เปลี้ย ก็เข้าห้อง

พอดีพระสังฆราชกับสมภารวัดที่หนองคาย เป็นวัดป่า ท่านมากราบ ก็ไม่เจอ ไม่เจอเค้าก็

ฝากยาอายุวัฒนะกับพระ เอาไว้ให้ ทีนี้ เค้าก็อยากมานิมนต์ให้ไปแสดงธรรม ที่วัดก็จะมี

กฐินพระราชทาน ก็จะไปใช้หนี้เค้า ไปสงเคราะห์เค้า ก็จะไปตั้งแต่วันศุกร์ ไปวันศุกร์ที่ 23

ทีนี้จะกลับก็ เกรงว่าเดี๋ยว ทางงานเค้าจะเลิก ใช้เวลา 2 วัน กลับมา เกรงว่า จะเหนื่อยมาก

ไป ก็เลยขออนุญาตพัก พักซักอาทิตย์หนึ่ง

เปิดโอกาสให้พวกคุณผู้ฟังธรรม ไปพักผ่อนที่ลานพระรูป อันนี้ ไม่ได้สนับสนุน แต่เห็นด้วย

เห็นด้วยที่ได้ไปแสดงตัวตน ให้เค้าได้เห็นว่า เรายังมีชีวิตอยู่ เรายังมีที่ยืนในแผ่นดินนี้เท่าๆ

กับเค้ายืน งั้นก็ ไม่ต้องไปทำอะไร แค่ไปแสดงให้เค้ารู้ว่า เรายังมีชีวิตอยู่นะ กูไม่ได้ล้ม

หายตายจากไปนะ บ้านนี้ประเทศนี้ เมืองนี้ ไม่ใช่ของมึงพวกเดียวนะ อย่างน้อยกูก็ยังมี

ส่วนในการที่จะอยู่ในบ้านในเมืองนี้เหมือนกัน จะทำอะไรก็ให้เกรงใจกันหน่อย อะไร

ประมาณนี้ แต่ก็ไม่ถึงขั้นจะไปแช่แข็งประเทศ อันนั่น มันเวอร์ไป มากเกินไป เพราะว่า

ประเทศชาติก็กำลังเป็นที่ยอมรับของต่างชาติ นานาชาติ ก็อย่าทำร้ายประเทศ
เอาประโยชน์ประเทศ ประโยชน์ประชาชนเป็นหลัก อย่าเอาประโยชน์ใจตัวเองเป็นหลัก

อย่าเอาอารมณ์ใจตัวเอง ก็อย่างที่ประธานาธิบดีของจีน ท่านพูดเอาไว้ว่า แมว ถ้ามันจับหนู

ได้ ไม่จำเป็นว่า ต้องสีอะไร
 งั้น ถ้ารัฐบาลไหน ถ้ามันทำให้บ้านเมืองนี้ เป็นที่ยอมรับของนานาอริยประเทศได้ และทำ

ประโยชน์ตนน้อย ประโยชน์ท่านเป็นใหญ่ หรือว่า ไม่มีประโยชน์ตนเลย มีแต่ประโยชน์

ท่าน ก็ใช้ได้ทั้งนั้น  แต่สำคัญว่า อย่าเอาแต่ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่านไม่ได้
อ้ายประมาณว่า งบประมาณ 70 ล้านตามจังหวัดลงไปซื้อท๊อปเลท แทปเลต อะไร หรือ

คอมพิวเตอร์ อ้ายคนเอางบประมาณไปกินซะ 40 เหลืออีกเท่าไหร่สำหรับที่จะไปซื้อ

อ้ายนี่น่ารังเกียจมาก มันก็มีโดยทั่วๆ ไปล่ะ มีโดยทั่วๆ ไป
งั้น ก็อยากบอกว่า ก็ไปแสดงตัวตนให้เค้าเห็นว่า เรายังมีตัวมีตนอยู่นะ กูไม่ใช่อากาศธาตุ

เออ ไปบอกให้เค้ารู้ว่า กูไม่ใช่อากาศธาตุ งั้น จะทำอะไรต่อบ้าน ต่อเมือง ต่อสถาบัน ก็ให้

เกรงใจกันบ้าง อย่าเอาแต่ประโยชน์ตนเป็นใหญ่ ไม่ใส่ใจประโยชน์ส่วนรวม เท่านั้นแหละ

ไปให้เค้าเห็น เค้ารู้จักหน้าตา

แต่อาตมาคงไม่ต้องไปหร๊อก เค้ารู้จักกันทั่วทั้งแผ่นดินล่ะ ขนาดไม่ต้องไป ตำรวจยังมาเฝ้า

เลย
เมื่อครั้งที่แล้ว เค้าเดินกันน่ะ อ้ายตำรวจมาถามแต่เช้าเลย มีใครไปบ้างเนี่ย ใครจะไปบ้าง

ไปไม๊ ชุมนุมกันที่ไหน อะไรอย่างนี้ มันมาถามเลยล่ะ แต่เช้าเลย

ถ้างั้น เห็นหน้าอาตมาล่ะก็ ใช้ได้ล่ะ ก็ดีเหมือนกันนะ มันก็มองในมุมบวก ก็ถือว่า เออ ดี

อย่างน้อยกูก็ยังมีพวกวะ ดีกว่าอยู่หัวเดียวกระเทียมลีบ อะไรประมาณนี้ แต่ต้องเป็นพวกดี

ต้องเป็นพวกดี ไม่ใช่พวกมากลากไป แล้วไปทำอัปรีย์ ต้องเป็นพวกที่ดี ไม่ทำร้ายบ้าน

ทำลายเมือง ไม่ทำลายประโยชน์ประชาชน ไม่ทำลายสถาบัน ไม่ทำลายความเป็นชาติ

ศาสนา พระมหากษัตริย์ ยังดำรงคงมั่นอยู่ได้ ก็ใช้ได้ทั้งนั้นแหละ
พวกไหนหลวงปู่ก็อยู่ได้ ถ้าพวกเหล่านั้น ไม่ทำร้ายบ้านเมือง ไม่ทำลายสถาบัน อยู่ได้ทั้งนั้น
อีกเรื่องหนึ่ง เมื่อวานไปเจริญพระพุทธมนต์ คนอาจจะน้อยไปหน่อย เพราะตื่นเต้นจะรับ

โอบามาหรือไง ไม่แน่ใจ แต่ก็ยังได้ปัจจัยมาแสนกว่าบาท แสนกว่าบา ก็นำขึ้นทูลเกล้าฯ

ถวายเพื่อสมทบทุนกองทุนสำหรับรักษาผู้ป่วยอนาถา ในโรงพยาบาลศิริราชทั้งหมด
ก็แบ่งบุญให้พวกคุณด้วยแล้วกัน ตังค์พวกคุณทั้งนั้นแหละ ไม่ใช่ตังค์ชั้น เค้าเอาชั้นเป็น

ตะพานบุญ ก็ทำหน้าที่เป็นตะพาน แต่แหม เมื่อวาน จะขึ้นตะพานไม่ไหว อีตอนขึ้นกะได

สมองมันไม่สั่ง ขาไม่ขึ้นน่ะ ใจน่ะมันจะขึ้น แต่ขามันไม่ยอมขึ้น มันจะล้ม มันจะก้าว อี

ตอนลงก็เหมือนกัน
แต่ก็ยัง สู้ๆ ค่ะ ไม่เป็นไร ยังทำงานได้
เอ้า คุณสืบสกุลมา เดี๋ยวให้เค้าทำมาหากิน แบ่งๆ กันทำมั่ง เชิญ ตามอัตภาพ ตามอัธยาศัย
คุณสืบสกุล     กราบองค์หลวงปู่พุทธะอิสระ นะครับ แล้วก็สวัสดี ผู้มีจิตศรัทธาทุกท่าน

และสวัสดีคุณผู้ชมผ่านเดลินิวส์ทีวี กับ รายการปุจฉา วิสัชนา ผม สืบสกุล พันธ์ดี ขอ

อนุญาตรับหน้าที่ในช่วงของปุจฉา วิสัชนา กับองค์หลวงปู่ นะครับ .....
เริ่มต้น เมื่อกี้สักครู่ องค์หลวงปู่ พูดถึง
หลวงปู่       คุณได้น้ำหรือยัง
คุณสืบสกุล      ได้แล้วครับผม
หลวงปู่        น้ำยาปรับธาตุ
คุณสืบสกุล      ครับ
หลวงปู่     เออ ช่วยกันขายหน่อยสิ เอ้า จริงๆ มีคนอายุ 60 เมียเค้าอายุ 43 กินน้ำยา

ปรับธาตุ ร่วมปี เมียท้อง
คุณสืบสกุล      อายุเท่าไหร่นะครับ
หลวงปู่      ผัวอายุ 60 เมียอายุ 43, ปกติ 40 นี่มันก็ประจำเดือนหมดแล้ว ใช่ไม๊,

เออ เมียท้อง กินน้ำยาปรับธาตุเนี่ย เค้าก็ไม่ได้บอกว่า ไปทำใครท้องนะ แต่เล่าให้ฟังว่า

เค้ามาพูดให้ฟัง เค้ามาจากภูเก็ต เอารถมาบรรทุกขนไป เค้าบอก เมียท้อง, แล้วไปเช็ค ไป

x-ray ดูหรือยังว่า ลูกพิการ เค้าบอก ครบสมบูรณ์ ไม่มีอะไรเสียหาย เอ้า ขายล่ะ จบ
คุณสืบสกุล     ครับ เราเริ่มต้นกันเรื่องของสุขภาพเลยนะครับ
หลวงปู่        ว่า
คุณสืบสกุล       ทานยาต่อมลูกหมาก บำรุงไต ขับปัสสาวะ 3 อย่างมา 10 เดือนแล้ว

แต่ว่ามีปัญหาเรื่องกลิ่นตัว ควรจะหยุดทานยาก่อน หรือว่า ทานต่อไป
หลวงปู่        เดี๋ยวเที่ยวหน้า จะใส่น้ำหอมลงไป กินยาเพื่อรักษาอะไร รักษาโรคใช่ไม๊ แล้ว

โรคมันดีขึ้นไม๊ โรคมันหายไม๊ นั่นคือ โจทย์ ถ้าโรคมันดี โรคมันหาย ก็กินไปเฮอะ แต่ถ้า

โรคมันไม่ดีขึ้น มันไม่หาย กินเข้าไปแล้ว มันไม่มีอะไรดีขึ้น อย่างนี้ก็อย่าไปกินมัน
ส่วนกลิ่นตัวน่ะ เป็นธรรมชาติ แต่อยากบอกว่า 10 เดือน ก็กินเยอะไปนะ เพราะปกติ

เราควรจะต้องเว้นมันเสียบ้าง สมมุติ เรากินเดือนหนึ่ง ก็เว้นซักอาทิตย์หนึ่ง
หลวงปู่ฉันน้ำยาปรับธาตุนี่ บางทีเพลียๆ เด็กเค้าก็เอามาถวาย แต่บางวันเค้ามาถวาย เราก็

จะหยุดฉัน เราก็จะไม่ฉัน เพราะอะไร เพราะต้องการให้ร่างกายมันปรับสมดุลย์ไง บางที

เราป่วย เราไม่สบาย เป็นไข้ เรากินยามาตลอด 2 อาทิตย์ หรือว่า กินยามาตลอดต่อเนื่อง

ยานู้นบ้าง ยานี้บ้าง เพราะมันต้องทำยา แล้วมันต้องลองยา
เพราะฉะนั้น เราก็จะหยุด ไม่กิน ไม่ฉันยาแก้ไข้ ใช้วิธี เช้าๆ ไปเดินตากแดด ออกกำลัง

กายให้เหงื่อซึม ดื่มน้ำเยอะๆ หาส้มมาฉัน อะไรอย่างนี้ เพื่อให้ร่างกายมันได้ว่างบ้าง บางวัน

ถ้าท้องมันอืดๆ ลำไส้มันรู้สึกตื้อๆ ตันๆ ก็หยุดฉันข้าว หยุดฉันเนื้อสัตว์ ก็ฉันแต่พวกสลัด

พวกผัก อะไรอย่างนี้เป็นต้น

คือ ร่างกายเรานี่ มันต้องมีสติ ต้องมีสติรู้ว่า แค่ไหนพอ ไม่พอ ไม่ใช่ตะบี้ตะบัน ขยันกิน

เข้าไป จนลืมไปว่า เราไม่ได้อยู่เพื่อกิน เรากินเพื่ออยู่ ถ้าเข้าใจความหมายนี้ เรากินเพื่ออยู่

ว่า กินเพื่อให้มันอยู่ กินยาเพื่อรักษาโรค ถ้าโรคมันดีขึ้นแล้ว ก็เว้นๆ บ้าง, เบาๆ บ้าง,

ว่างๆ บ้าง, เว้น เดือนหนึ่ง สักอาทิตย์หนึ่ง ทุกเรื่องน่ะ มันไม่ดีทั้งนั้น ถ้ากินต่อเนื่องไป

หมด แม้กระทั่ง น้ำปลา น้ำตาล ลองไปกินน้ำตาลซัก 10 เดือน ดูซิ อะไรมันจะเกิดขึ้น

มันไม่ดีทั้งนั้นแหละ

ยาก็เหมือนกัน แม้จะบอกว่า เป็นสมุนไพร มันไม่มีปฏิกิริยามากอะไรต่อไตและตับก็ตามที

แต่ถ้ามันมากไปๆ มันก็สะสมได้เหมือนกัน งั้น ก็ปล่อยให้ร่างกายมันได้ขับถ่ายออกเสียให้

หมดบ้าง จบ

คุณสืบพันธ์      ต่อเนื่องจากปุจฉาท่านเดิม ตอนนี้ทานยาข้อกระดูกเสื่อม 5 เม็ด เช้าเย็น

ยาบำรุงเลือด 3 เม็ด เช้าเย็น และยาแก้โรคกระดูกพรุนทานมาแล้ว 3 เดือน
หลวงปู่     ยาบำรุงเลือดนี่ เค้ากินครั้งละ 5 เม็ดนะ
คุณสืบพันธ์     3 เม็ด ครับ
หลวงปู่       เออ 3 เม็ด นี่ไม่ถูก, ต้องกินครั้งละ 5 เม็ด กินไป3 เดือน แล้วก็หยุดไป

2 อาทิตย์ แล้วก็กินใหม่ได้ กระดูกเสื่อมกับยาบำรุงเลือด ต้องกินคู่กัน เพราะว่ายาบำรุง

เลือด มันทำให้กระดูกดีขึ้น มันจะทำให้เซลล์กระดูก เม็ดเลือด และไขกระดูก ไปช่วยสร้าง

เซลล์กระดูกอ่อนได้ดี ก็ทำให้เลือดแข็งแรง เลือดมันสะอาด เลือดมันมีภูมิคุ้มกันให้เหมาะสม
คนกินยาบำรุงเลือด ก็จะทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวล เป็นสาว 2,000 ปี แบบ

ชนิดที่นั่งรถ ไม่กระพือน่ะ หนังนะ หนังหน้ามันไม่กระพือพรึ่บพรั่บ ลองกินดูบ้างก็ได้ แต่

อย่ากินต่อเนื่องยาวนานนัก จบ

ปุจฉา     เมื่อต้องทำงานกับคนที่ไม่มีเมตตา ไม่มีจริยธรรม ควรทำอย่างไรดี
วิสัชนา     ไม่มีเมตตา ไม่มีจริยธรรมเนี่ย อ้ายไม่มีเมตตายังพอทำเนา พอเข้าใจ เพราะคน

ทุกคน มันไม่ได้เจริญเมตตาตลอดเวลา บางครั้งมันก็อาจจะโวยวาย ตีโพยตีพายบ้าง แต่

อ้ายไม่มีจริยธรรม นี่หมายถึง ไม่สำนึกละอายชั่ว พวกไม่สำนึกกลัวบาป ไม่รู้สึกมีความ

ละอายในใจ ความหมายของคำว่า ไม่มีจริยธรรม ไม่ละอายในใจ ไม่สำนึกบุญคุณคน มัน

รวมความหมายอยู่ในคำว่า ไม่มีจริยธรรม รวมทั้งไม่มีขันติ ความอดทน อดกลั้น  ไม่มี

โสรัจจะ ความเสงี่ยม แม้ที่สุด ไม่มีระเบียบ ไม่มีวินัย
คนไม่มีจริยธรรม คือ มันจะไม่มีสิ่งเหล่านี้ที่กล่าวมา ในเมื่อมันไม่มีสิ่งเหล่านี้ มันก็ไม่ควร

จะต้องไปคบหาสมาคม เพราะว่า มันคนไม่ใช่คนล่ะ มันใช้ไม่ได้

แต่คำว่า ไม่มีเมตตา คนทุกคนมันก็ไม่ใช่ว่า ไม่มีหมด, มันมีบ้างเป็นบางเวลา สังเกตุ

บางทีบางครั้ง หมามา เราเมตตา แต่ถ้าแมวมา กูไม่ชอบ อะไรอย่างนี้ มีไม๊ เออ ยายคน

นั้นมา ดูหน้ามันบูดเบี้ยว เออ อีตาคนนี้มา เออ เข้าท่า เข้าลูกตาเรา
เพราะฉะนั้น จะบอกว่า เมตตา บางทีบางครั้ง มันก็ขาดๆ เกินๆ จะเอาเป็นบรรทัดฐานไม่ได้

ยกเว้นเสียแต่ว่า เราเป็นผู้เจริญเมตตาอยู่เนืองนิจ ทำให้เมตตาเกิดขึ้นโดยไม่เลือกที่รักมักที่

ชัง ไม่เลือกว่า หมา แมว กา ไก่ วัว ควาย คน โจร ไพร เราไม่เลือกอย่างนี้ เราถือว่า เรา

เป็นผู้เจริญเมตตา จบ

คุณสืบสกุล    ต่อเนื่องจากท่านเดิมนะครับ ถามว่า เมื่อพบคนที่ไม่มีความละอายชั่ว

พูดกลับไปกลับมา เมื่อต้องคุยด้วย ทำงานด้วย ต้องทำอย่างไร (ถามแทนคุณสมจิตต์ ช่อง

7)
หลวงปู่       ไม่เข้าใจ
คุณสืบสกุล     ถ้าได้ติดตามข่าว คุณสมจิตต์ฯ ผู้สื่อข่าวช่อง 7 ถามนักการเมือง ฉ. ฉิ่ง

ว่า ท่านเป็นรองนายกฯ ที่ดูแลด้านความมั่นคง นักการเมืองฉ.ฉิ่ง บอกกลับว่า ผมไม่ได้

ดูแลด้านความมั่นคง ผมแค่เป็นรองนายกฯ คุณนี่ฝักใฝ่พรรค ปชป. เยอะไปหรือเปล่า

คุณสมจิตต์ถามกลับว่า คุณหมิ่นประมาทดิฉันหรือเปล่า เพราะดิชั้นไม่ได้ฝักใฝ่พรรคนั้น

แล้วหลังจากนั้น คุณสมจิตต์ก็ไปถามนักการเมืองนั้นอีก ก็เลยบอกว่า ถ้าคิดว่า ผมหมิ่น

ประมาท ก็ไปฟ้อง สน. ..อยู่ใกล้แค่นี้ นักข่าวก็ถามย้อนกลับว่า ถ้าหนูว่า คุณเป็นสุนัข

รับใช้...ท่านจะว่ายังไง ..นั่นน่ะ คุณหมิ่นประมาทผม นักข่าวก็ย้อนกลับว่า งั้น ก็เชิญ

ไปฟ้อง ก็เลยกลายเป็นเรื่องเป็นราวช่วงนี้ ก็เลยถามมาว่า เมื่อพบคนไม่มีความละอาย

พูดกลับไปกลับมา ต้องทำอย่างไร

หลวงปู่        ก็ทำความรู้สึก เหมือนกับเยี่ยวรดหัวตอ จบ งง งงล่ะสิ เยี่ยวรดหัวตอ มันจะ

เป็นยังไงวะ อ้าว ก็ลองไปเยี่ยวรดดูสิ ใครไม่เคย ก็ลองไปเยี่ยวรดดู เออ จบ

ปุจฉา     ถ้าเครียด สมองจะสั่นสะเทือนไม๊ครับ
วิสัชนา      มันกระทบไปทุกเรื่องแม้กระทั่งการขับถ่าย การกิน การนอน ความเครียดนี่

มันทำให้เกิดโรคสารพัดอย่าง มันกระทบไปได้ทุกเรื่อง งั้น ก็ต้องมีวิธีที่จะผ่อนคลาย จบ

ปุจฉา    ในข่าวคราว ตอนนี้เราได้เห็นกันเยอะ เรื่องของการฆ่ากันง่าย ไม่ว่าจะเป็นคู่รักนัก

ศึกษา ยิงเพื่อนชายสนิทในมหาวิทยาลัย แฟนเก่าสาวโรงงานถูกบอกเลิก ก็จุดไฟเผาทั้งเป็น

เรื่องของความใจร้อนของคนในสังคม ต้องแก้ไขกันอย่างไร
วิสัชนา      โรคในวิถีของความเสพนิยม ทุนนิยม เสพนิยม วัตถุนิยม มันก็ต้องยืนอยู่บน

พื้นฐานของการที่ต่างคนต่างได้ ต่างคนต่างแข่ง ต่างคนต่างต้องเอา เพราะงั้น อ้ายวิธีการ

ดำเนินวิถีชีวิตแบบนี้ มันเป็นวิถีชีวิตที่มันด่วน มันเร็ว แล้วสุดท้าย มันก็เลว อย่างที่เห็นล่ะ

ถ้าตราบใดที่เรายังไม่รู้จักช้าลงเสียบ้าง ไม่รู้จักวิเคราะห์บ้าง ไม่รู้จักใคร่ครวญบ้าง
คำว่า เศษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มันช่วยปัญหาของสังคมที่กำลัง

ถามนี่ได้อย่างดี เพราะว่า เราไม่ต้องแข่งกับใคร เราพอมี พอเพียง พอเหมาะ พอสม พอดี

สำหรับตน นี่มันไม่ต้องแข่งกับใคร แต่ทุกวันนี้เราไม่พอดี พอมี พอเพียง ไม่พอเหมาะ

ไม่พอสม สำหรับตนไง มีเท่านี้ก็จะเอาเท่านั้น, มีเท่านั้น ก็จะเอาเท่านู้น, แล้วคนข้าง

นู้น เค้าเอามากกว่านั้น เราก็ต้องแข่งกับมันให้ได้เท่าๆ กัน อะไรประมาณนี้

มันก็เลยทำให้เราไม่มีคำว่า สติยับยั้งชั่งใจ ไม่มีสติสำหรับที่จะไตร่ตรอง ไม่มีสติที่จะใคร่

ครวญ ไม่มีสติที่จะพิจารณา ไม่มีสติที่จะยึดเหนี่ยวในการที่จะคัดเอาส่วนดีไว้ ส่วนไม่ดีเอา

ทิ้งไป เราไม่มี เพราะเมื่อใดที่คนมีสติ แสดงว่า คนๆ นั้นจะมีกุศล ก็คือ มีปัญญา, กุศล

แปลว่า ความชาญฉลาด เรามีปัญญา มีความชาญฉลาด ก็จะรู้จักบริหารจัดการวิถีทำ วิถีพูด

วิถีคิด วิถีชีวิตตน ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
พระพุทธเจ้าจึงบอกว่า ผู้มีสติ ทำ พูด คิด ไม่ผิดพลาด
งั้น รวมๆ ก็คือว่า ถ้าเมื่อใดที่เรายังอยู่ในวิถีของโลก แล้วยังปล่อยชีวิตของตนให้โดนวิถีโลก

ครอบงำอยู่เนี่ย มันไม่มีสิทธิ์ ยกเว้นว่า เราต้องแยกตัวเองมาจากวิถีโลก
มันต้องคิดกันคนละมุมเลยล่ะ เค้ามุมขวนขวาย เราก็มุมพอเพียง
แล้วคุณทำได้ไม๊ล่ะ อยู่ในมุมพอเพียง
ถ้ามาอยู่ในมุมพอเพียงได้ คุณก็จะหาวิธีที่จะดำเนินชีวิตทั้งปัจจุบัน อนาคต แล้วก็โอกาส

ต่อๆ ไปได้  แต่ถ้าหากว่า คุณมีวิธีคิด และวิถีชีวิตที่อยู่ในมุมของการขวนขวาย เรียกว่า

เสพนิยม ต้องการวัตถุนิยม แล้วก็แก่งแย่งชิงดีกันไม่หยุดหย่อน คุณไม่มีเวลาเหลือพอที่จะ

มานั่งวิเคราะห์ เพราะทุกอย่างมันรวดเร็วจนกระทั่ง พริบตา ก็อ้าว นี่ ผิดแล้วเหรอ, อ้าว

นี่ติดคุกแล้วเหรอ, อ้าว นี่เสียแล้วเหรอ อย่างนี้เป็นต้น

ทั้งหมดนี่มันมาจาก ไม่มีวิถีชีวิตที่อยู่บนจุดยืนที่เหมาะสมสำหรับฐานุรูปของตนๆ ด้วย

เหตุผลว่า
สังคมมันหล่อหลอมและชักจูงเราไป เลยทำให้เราคลาดเคลื่อนจากตัวตนแท้จริง แล้วก็เสีย

หายจากการมีกุศลและมีสติในจิต จบ

ปุจฉา    การขอพรในการสักการะพระพุทธเจ้าว่า หรือ ขอพรจากพระพุทธรูป ควรจะขอ

อะไร ถึงได้ผล
หลวงปู่      ขอให้ฉลาด ถ้าจะขออะไร ก็ขอให้ตัวเอง ฉลาด, ขอได้ตังค์มา แล้วโง่ เดี๋ยวก็

ไม่รู้เรื่องอีก กูจะเอาตังค์มาทำอะไรหว้า, เออ ขอได้เลขมา อืม เลขไหนดี ถึงจะถูก ซื้อ

เท่าไหร่ จึงจะหมด โง่, เอาเป็นว่า ขอให้ตัวเองฉลาด กูจะขอพรกับใคร เทวดาองค์ใด

ศักดิ์สิทธิ์ เทพเจ้าองค์ไหนดลบันดาลได้ดั่งใจปรารถนา ก็ขอให้ฉลาด ขอให้มีปัญญา
เพราะผู้มีปัญญา มีความชาญฉลาด ไม่มีเงิน มันก็หาเงินได้  มีเงินน้อย ก็ทำให้เงินเป็นมาก

แล้วเรื่องทุกข์ยาก ก็ทำให้ผ่อนคลายสบาย ปัญหาชีวิต มันสามารถแก้ได้ เพราะคนมีปัญญา
งั้น คนที่ไม่มีปัญญา มีตังค์ มีสมบัติ เดี๋ยวก็ตายเพราะตังค์กับสมบัติ เพราะไม่มีสติปัญญา

จะบริหารจัดการมัน คนไม่มีสติปัญญา แม้มีบริวาร มีทรัพย์ มีคนรอบข้างเอยะแยะ เดี๋ยวก็

โดนคนรอบข้าง บริวาร และทรัพย์นั้น ทำลายตัวเอง
งั้น ทรัพย์อะไรๆ มันก็โดนแย่งได้ แต่ทรัพย์ที่เกิดจากปัญญา เค้าเรียก มีปัญญาเป็น

อริยทรัพย์ โจรปล้นก็ไม่ได้ น้ำท่วมก็ไม่หาย ไฟไหม้ก็ไม่หมด แล้วมันจะช่วยเรา อยู่กับเรา

แล้วอนุเคราะห์เรา ส่งเสริมสนับสนุนเราข้ามภพข้ามชาติได้
งั้น จะขออะไรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก็จงขอ ปัญญา เถอะ จบ

คุณสืบสกุล     ต่อเนื่องครับ แล้วควรให้สิ่งตอบแทนหรือไม่ เมื่อได้รับสิ่งที่ต้องการแล้ว

ควรทำอย่างไร
หลวงปู่         อืม ถ้าได้ปัญญาแล้ว ไม่ต้องให้อะไรตอบแทนหรอก เรื่องปัญญา คนอื่นเค้า

ให้กันไม่ได้ด้วยซ้ำ แม้เทวดาโง่ ก็ยังมีเลย สำคัญว่า เราขอถูกต้องหรือเปล่าเท่านั้น จบ

ปุจฉา      กราบเรียนถามว่า ต้องอาราธนาศีล 5 ทุกวันหรือไม่ บางวันไม่ได้อาราธนา

แต่ปฏิบัติครบ 5 ข้อ ถือว่า ถูกต้องหรือไม่
วิสัชนา      อ้ายศีลอาราธนา เค้าเรียกว่า ศีลพฤติกรรม นะ ศีลกิจกรรม
แต่ศีลที่ต้องทำนั้น ไม่ต้องประกอบกิจกรรม ไม่ต้องมีคำอาราธนา
งั้น คนที่ชอบอาราธนา แต่ทำไม่ครบสักข้อ มันก็ไม่มีประโยชน์อะไร มัวแต่ทำศีลกิจกรรม

อยู่นั่นแหละ แต่ว่าไม่ได้ลงมือทำเสียที มันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร งั้น ไม่จำเป็น จบ
ปุจฉา      มีญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่งเสียชีวิต พอทำบุญครบ 49 วัน ลูกชายคนเล็กก็มาเสีย

ชีวิตไปเฉยๆ แบบนอนหลับ แล้วตายไปเลย สงสัยว่า เพราะอะไร
วิสัชนา     ไปถามคนตายสิ มาถามพระ กูจะไปรู้ได้ยังไงว่าเป็นอะไร เพราะอะไร เอ๊อ กูไม่

ใช่ยมบาลนี่ จบ

ปุจฉา      เพิ่งซื้อบ้านต่อจากคนรู้จัก แต่เจ้าของเดิมเป็นคนจีน ซึ่งเค้าก็มีเจ้าที่ เป็นเจ้าจีนอยู่

ในบ้าน ควรจะมีวิธีบูชาเจ้าที่เหล่านั้นหรือไม่ อย่างไร
วิสัชนา       อืม แหม มันน่าจะให้ไปถามเจ้านะ มาถามพระ จะตอบยังไงวะ เดี๋ยว ถ้าบอกว่า

ไม่บูชา เดี๋ยวเจ้าก็มาด่ากูอีก จะบูชา เดี๋ยวก็อ้ายคนบูชาก็อาจจะว่า แหม วุ่นวาย ยุ่งยาก เอา

เป็นว่า เราสมัครใจที่จะบูชาหรือเปล่าล่ะ มันอยู่ที่ความสมัครใจ ความพึงใจ ความพอใจ

ความสุขใจของคนกระทำ จบ

ปุจฉา       บุญจากการบวช กับ บุญจากการทอดกฐิน ได้อะไรบ้าง
วิสัชนา     มันคนละอย่างกันนะ คุณ บุญจากบวช มันเป็นเนกขัมมปฏิบัติ บุญจากกฐินทาน

มันเป็นทานบารมีธรรม มันเป็นทาน มันเป็นการให้
อ้ายเนกขัมมะ นี่มันยังให้เกิดศีล เกิดสมาธิ และเกิดปัญญา
งั้น จะถามว่า บุญที่เกิดจากการบวช น้อยกว่า บุญที่เกิดจากกฐิน หรือ มากกว่า ก็ต้องบอกว่า

มากกว่า
แต่บุญที่เกิดจากกฐิน มันทำได้ปีละครั้ง แต่บุญที่เกิดจากการบวช ชีวิตหนึ่งอาจจะได้หนึ่ง

ครั้งก็ได้ แต่บุญกฐินมันอาจจะทำได้ทุกปีก็ได้
ในมุมกลับกัน หลายคนอาจจะบวชได้ทุกปีก็ได้ บวชเช้า บวชเย็น บวชกลางวัน บวชกลางคืน

อะไรก็แล้วแต่ แต่สำคัญว่า อานิสงส์ของการบวช มันทำให้เรามีศีล มีสมาธิ  มีปัญญา
อ้ายศีล สมาธิ ปัญญา มันเป็นวิถีแห่งมรรค มรรคาปฏิปทา ก็คือ หนทางแห่งการพ้นทุกข์

อานิสงส์มันย่อมมหาศาลมากกว่า
ส่วนบุญกฐินได้ เค้าเรียกว่า เป็นทาน เป็นทานมัย เป็นทานกรรม เป็นเรื่องราวที่เราจะ

สั่งสมอบรมทำให้เกิดอริยทรัพย์ เค้าว่ากันไว้ว่า ผู้ทอดกฐิน จะทำให้ผิวพรรณผุดผ่อง

วรรณะแจ่มใส เป็นที่รักของมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย เกิดไปภพชาติใดๆ ก็จะเป็นผู้รูปงาม

เพราะฉะนั้น ใครที่หูหนวก ตาบอด ปากเบี้ยวทอดกฐินเข้าเยอะๆ เข้าไว้ อธิษฐานว่า ชาติ

หน้ากูจะได้เป็นอย่างนี้งดงาม ให้เป็นที่ต้องตาต้องใจของผู้คนทั้งหลาย ยกเว้นโจร
อ้าว ต้องมียกเว้นไว้บ้าง, อ้าว ถูกหรือเปล่า, เออ ต้องตาต้องใจของผู้คนทั้งหลายแล้ว

มันไม่ยกเว้น เดี๋ยวโจร ก็เดินตามมันต้อยๆๆ ถามว่า มึงมาทำไม อ้าว ก็มึงอธิษฐานว่าไง กู

ก็มางั้นแหละ
คุณสืบสกุล      ต้องตาต้องใจ
หลวงปู่     เออ กูต้องตาต้องใจมึง งั้น ต้องวงเล็บไว้หน่อย เวลาอธิษฐาน ว่า ยกเว้น โจร เอ่อ

เข้าใจไม๊ เดี๋ยว อาทิตย์หน้าไปทอดกฐิน เจ้าประคู๊ณ ขอให้ดิชั้นเป็นที่รักของมนุษย์และ

เทวดา ยกเว้น โจร และนักการเมือง ฉ. จบ

ปุจฉา    บางคนมีความตั้งใจที่จะทำดี แต่ไม่มีโอกาสได้บวช จะผิดหรือไม่ผิดอย่างไร
วิสัชนา     การบวชนี่ มันเป็นการทำให้ชีวิตตัวเองเป็นผู้ที่ เค้าเรียกว่า บัณฑิต
บัณฑิต แปลว่า ผู้รู้  ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน คนที่บวชแล้วสึกออกมาแล้ว เค้าถึงเรียกว่า ทิด หรือ

บัณฑิต แปลว่า รู้ ตื่น เบิกบาน
อ้ายคนที่ยังไม่บวช ถามว่า จะเป็นบัณฑิตได้ไม๊ มันเป็นได้แต่สัญญา คือ ความทรงจำ แต่

จิตวิญญาณ และปัญญา มันยังไม่ได้ก่อกำเนิด
งั้น การบวช มันสั่งสมอบรม ทำให้เราเกิดจิตวิญญาณของผู้รู้ อย่างน้อยๆ ก็รู้จักตัวเอง รู้ว่า

ตัวเองมีความต้องการอะไร มีรูปร่างหน้าตาอย่างไร จะดำรงค์ชีวิตอยู่ไม่เดือดร้อน ไม่เบียด

เบียนตนและทำให้คนอื่นเสียหายแบบไหน อย่างนี้เป็นต้น
ซึ่ง คนไม่บวชอาจจะไม่รู้ว่า ตัวเองอยากได้อะไร ก็ได้ ก็เอาสิที่ตัวเองที่อยาก, หิวอะไร

ก็กินตามเหตุตามปัจจัย คือ อยู่ด้วยตามอารมณ์ และเป็นไปตามใจปาก
แต่คนบวชแล้ว มันทำอย่างนั้นไม่ได้ มันต้องวิรัช มันต้องหวงห้าม ต้องมีกติกา ต้องมี

ระเบียบแบบแผน แล้วมันก็จะต้องมีขันติ มีความอดทน โสรัจจะ ความเสงี่ยม มันจะมี

เครื่องไม้เครื่องมือในการประกอบจิต เครื่องไม้เครื่องมือนั้น เรียกว่า ธรรม ที่เป็นกุศล
อ้ายคนไม่บวช อยู่ทั้งต่อหน้าและลับหลัง มันไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือในการประกอบจิต ก็คือ

ไม่มีธรรมที่เป็นกุศล เพราะว่า อยู่ลับหลังก็ตาม ต่อหน้าก็ตาม เอ๊อ ไม่เห็นเป็นไรเลย เราไม่

ได้เป็นผู้บวชนี่ เล่นเหล้าเสียหน่อยวะ ผ่านบาร์ผ่านคลับ เออ แวะเสียหน่อยวะ อะไรอย่างนี้

มันไม่มีเครื่องมือไง เพราะเราไม่ได้บวช
งั้น จะอ้างว่า ทำดีให้ตายยังไง เดี๋ยวมันก็แว๊บไปจนได้ล่ะ เพราะอย่างที่เมื่อวานเล่าให้ฟัง

ตอนก่อนสวดมนต์ว่า ที่เรามา แล้วก็มาเผชิญต่อสถานการณ์ เหตุการณ์ฝนตก ฟ้าร้อง

อากาศร้อน อุปสรรคเยอะแยะ แต่เรายังฝืน ขืน แล้วก็ตั้งใจอดทนทำดีได้ ก็แสดงว่า เราเอา

ชนะความไม่ดีตั้งแต่หัวจรดปลายตีนเราได้
เพราะอะไร
มนุษย์เกิดมา ตั้วแต่หัวจรดปลายตีน มันไม่มีอะไรดีหรอก เพราะถ้ามันดี มันต้องติดตัวเรา

ไปได้ข้ามภพข้ามชาติ นี่มันติดไปไม่ได้ ก็แสดงว่า มันไม่ดี แล้วอ้ายที่มันไม่ดี
อ้ายที่มันติดไปได้มีอะไรบ้าง
ก็มี ดีกับชั่ว แล้วอ้ายเรื่องชั่วๆ อยู่ในกายเรา ในตัวเรา ในชีวิตจิตวิญญาณเราเนี่ย วันทั้งวัน

เราเกิดได้ตลอดเวลา บางทีหลายนาที เออ 1 ชั่วโมง ก็เกิดทั้งชั่วโมงก็มี มีสักกี่นาทีที่เรา

นึกแต่ความดี นึกถึงกุศล นึกถึงบุญ แต่ว่าอ้ายเรื่องอัปรีย์ เรื่องไม่ดี เรานึกอยู่ได้ตลอดเวลา

ก็แสดงว่า ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า เรามีแต่เรื่องไม่ดีตลอดเวลา

งั้น ถ้าเราจะพาเอาตัว อ้ายใจ อ้ายหัว อ้ายตีน ไปทำดีเนี่ย มันต้องฝ่าฝืน ต้องฝ่าฟัน ต้องอด

ทน อดกลั้น ต้องพยายามอย่างยิ่ง แล้วสุดท้ายเราทำได้ ก็แสดงว่า นั่นยอดดี นั่นดีประเสริฐ

ดียิ่ง ดีสมบูรณ์แบบ แล้วถ้าทำบ่อยๆ ทำถี่ๆ ดีนั้น มันก็จะเป็นสมบัติติดตัวเราไป

อ้ายร่างกายเราทุกวันนี้ มันไม่ได้เป็นของเราแท้จริงหรอก มันเพียงแค่มาอาศัยเค้าอยู่ แล้ว

ถึงคราวที่มันจะล่มสลาย แตกสลาย เสื่อมสลาย หรือว่า แก่หง่อมชรา คร่ำคร่า แล้วเสื่อม

ทรามลง เราก็ซ่อมมันไม่ได้อยู่ดีแหละ หยูกยาอาหาร ข้าวปลา บำรุงโด๊บเข้าไปเท่าไหร่ สุด

ท้ายก็ไม่รอดทุกที มีใครบ้างที่มันโด๊บจนไม่ตาย ไม่มีหร๊อก เค้าโด๊บกันมาตั้งกี่พันปี ก็ยัง

เห็นไม่รอดซักที

งั้น ที่อยู่ได้ทุกวันนี้ก็ เพราะเราอยากทำดี เราต้องการทำดี เอาความไม่ดีไปแลกกับความดี

กลับมา
ทำให้ความดีมันกลายเป็นนาย เป็นเจ้า เป็นหัวใจ เป็นผู้ยิ่งใหญ่ในสันดาน ในวิญญาณเรา
ทีนี้ เราก็จะเป็นผู้รู้ล่ะว่า อ้ายที่เราบอกว่า เราอยู่เฉยๆ โดยไม่บวช แล้วมาทำดี มันทำได้

น้อยนะ
แต่บวชแล้ว เรามีโอกาส เพราะเรามีเครื่องมือเยอะแยะในการที่จะทำดี เครื่องมือนั้น เรียก

ว่า กุศล หรือ คุณธรรมที่ประจำอยู่ในใจ อยู่ในสังคม อยู่ในสิ่งแวดล้อม อยู่ในสันดานและ

อยู่ในการวิรัช การห้ามปรามของตนเอง

งั้น การบวช จึงถือว่า เป็นดีสุดยอด จบ

คุณสืบสกุล     ขออนุญาตแบ่งปันประสบการณ์ คือ ผมมีพี่ซึ่งบวชที่วัดแห่งหนึ่งใน

กรุงเทพฯ ทีนี้ ผมไม่มีโอกาศได้บวชในช่วงนั้น ผมก็เลยขอเป็นลูกศิษย์วัด ก็มาอยู่วัด รับ

ใช้พระ เดินถือของทุกเช้า ก่อนจะไปทำงานอ่านข่าวช่อง 5 แต่ว่า ผมมีข้อติดใจสงสัย คือ

ว่า หลวงลุงทีบวชให้ ซึ่งเป็นพระผู้ใหญ่ จะชอบให้เราไปนวดและชอบมากอดเรา คือ ผม

ไม่ทราบเจตนา
หลวงปู่      เค้าอาจจะเมตตาก็ได้นะ
คุณสืบสกุล     ครับ สมมุติตอนเช้า ผมทำวัตร ทำอะไรเรียบร้อยล่ะ เอ้า กอดหน่อย

พอกลับมา ผมก็หลังจากทำงานเสร็จ ก็กอดหน่อย ผมก็เลย
หลวงปู่    เค้าอาจจะมองเราว่า เป็นลูกเป็นหลานก็ได้
คุณสืบสกุล      ครับ
หลวงปู่    ไปคิดอะไรมาก
คุณสืบสกุล     มัน นิดหน่อยฮะ
หลวงปู่     อะไรล่ะ
คุณสืบสกุล    มันรู้สึกว่า มันติดใจมาจนถึงทุกวันนี้
หลวงปู่     แล้วสุดท้าย ได้บวชไม๊ล่ะ
คุณสืบสกุล     คือ ผมไม่ได้บวชอยู่แล้วในช่วงนั้นฮะ
หลวงปู่       อ้าวเหรอ เอ้า บวชไม่ได้ วันที่ 5 เค้ารับสมัครบวช
คุณสืบสกุล    ถ้ามีโอกาสครับ
หลวงปู่    รับรอง ชั้นไม่เรียกคุณกอดหรอก
คุณสืบสกุล    ก็เลยอยากจะถามว่า อย่างพระกับฆราวาสนี่ ถ้าเป็นแบบนี้ หรือว่า แล้วแต่

เจตนาครับ
หลวงปู่      อ้าว เราไม่รู้เค้า เจตนาของผู้ทำ เค้าคิดอะไร บางที คนแก่คนเฒ่า เห็นลูกหลาน

หน้าตาแจ่มใสก็ ชั้นว่า คุณน่าจะภูมิใจมากกว่านะ ดีกว่าบอก เฮ้ย มึงไปไกลๆ ไปไกลหู

ไกลตากูไป๊ รำคาญ เห็นหน้ามึงแล้ว กินข้าวไม่ลง อ้ายการที่เค้าเรียกมากอดนี่ ก็อาจจะ เออ

เค้าเมตตา เค้ารักใคร่ ทำไมเหรอ ไม่พอใจ หรือ เค้าไม่มีติ๊บ จบ

ปุจฉา     ต่อนะครับ ในเรื่องของธรรมะ ที่พระพุทธองค์กล่าวว่า ทรงย่อโลกให้มาอยู่ในตัว

เรา หมายความว่า อย่างไร
วิสัชนา      พระองค์มีคำกล่าวอย่างนี้ ในวันที่พระองค์ทรงตรัสรู้ ใหม่ๆ แล้วพระองค์ก็ทรง

บันลือสีหนาท วิถี คือ ถ้อยคำ หรือ พุทธภาษิตที่พระองค์บันลือสีหนาท มีอยู่วลีหนึ่งว่า  เรา

คือโลก โลกคือเรา โลกคือธรรม ธรรมคือโลก และโลกอยู่ในตัวเรา ก็สรุปแล้ว ก็คือ ธรรมะ

ทั้งปวง ทั้งมวลในโลกใบนี้ มันรวมสรุปอยู่ในตัวของเรา แล้วเราก็ต้องมาวิเคราะห์ว่า วันที่

หลวงปู่สอนกรรมฐาน หัวใจสำคัญของกรรมฐาน ที่ขึ้นครูกรรมฐาน สอนว่า อะไร
เรียนรู้ชีวิต ศึกษาวิชา ลุถึงปัญญา นำพาชีวิต
ทั้งหมดนี่ มันอยู่ นอกตัว หรือ ในตัว
เออ ในตัวเรา
นั่นแหละ คือ ธรรมะของพระพุทธเจ้า

ปุจฉา     ที่กล่าวว่า ไม่ให้ยึดติดทั้ง ดีและเลว  นั้น หมายถึงอย่างไร
วิสัชนา      มันเป็นมรรคาปฏิปทา วิถีแห่งมรรคา คือ ทางสายกลาง ไม่อยู่ในส่วนข้างใด

ข้างหนึ่ง ดีก็อาจจะอยู่ข้างขวา เลวก็อาจจะอยู่ข้างซ้าย แต่ไปกลางๆ ไปสายกลาง ไม่ใช่ดีบ้าง

เลวบ้างนะ ไม่ใช่ แต่ไม่ใส่ใจทั้ง 2 ฝ่าย เพราะผู้ที่จะละแล้วซึ่งอุปกิเลส แล้วก็เครื่องร้อยรัด

เข้าถึงวิโมกขศักดิ์ คือ ความหลุดพ้นจากวัฏฏะ จะต้องเดินสายนี้
ถ้าไปยึดดี ก็เดี๋ยวกลายเป็นเทวดา เป็นพรหม ไป เรียกว่า ผู้เสพความดีเป็นอาหาร
ถ้าไปยึดอัปรีย์ ก็เดี๋ยวกลายเป็นสัตว์เดรัจฉาน อสุรกาย
งั้น ผู้ที่ไม่เสพอะไร จึงจะต้องเดินกลางๆ เรียกว่า วิโมกข์ คือ ความหลุดพ้น

ปุจฉา      แม่อายุ 84 ปี ขณะนี้นอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลจุฬา หมอบอกว่า สมองบวม

แต่ตอนไป คุณแม่อาการแค่เหนื่อย แล้วหายใจไม่ออก ยังเดินไปไหนมาไหนได้ แค่ไม่กี่

ชั่วโมง มีอาการพูดไม่ชัด ขณะนี้พูดไม่ได้ ขยับตัวไม่ได้ แต่กระพริบตาได้ ใส่หูฟังพระ

เทศน์ ถูกหรือไม่ จะมีทางช่วยเหลือแม่อย่างไร
วิสัชนา     วิเคราะห์ เค้าน่าจะ มีช่วงขาดอากาศหายใจหรือเปล่า ทำให้สมองบวม หรือไม่ ก็

อายุมากๆ แล้ว เป็นไปได้ว่า ถ้าเราไม่เคลื่อนไหว แล้วนอนอยู่เฉยๆ ความดันในสมอง มัน

อาจจะมากเกินไป หรือไม่ก็อาจจะน้อยไป แล้วทำให้น้ำที่อยู่ในสมองมันเยอะไป ถ้าหมอ

จะรู้และเข้าใจ ก็หาวิธีเจาะเอาน้ำออก ลดอาการบวม ให้ยาแก้บวม ทีนี้ อายุมาก การฟื้นฟู

มันต้องใช้เวลา

งั้นก็ โรคคนแก่ เป็นธรรมชาติ ก็ได้แต่ให้กำลังใจแม่ แล้วก็บอกให้แม่รู้จัก เข้าใจสภาพตาม

เป็นจริงว่า แม่เป็นโรคอย่างนี้ๆ นะ ต้องเตรียมรับสภาพความจริง แล้วต้องเข้าใจว่า เราจะ

ต้องไม่อยู่ในโลกแห่งความทุกข์ระทมแบบนี้ต่อไป และโลกใหม่ที่แม่จะไป ต้องเป็นโลกที่

สดใส และสวยงามมากกว่านี้ ต้องพูดความจริง อย่าไปกลัวว่า เออ แม่รู้แล้วจะตกใจ เสียใจ

ไม่ใช่

เวลาชั้นไปเยี่ยม เค้านิมนต์ให้ไปเยี่ยมคนไข้ อาการสุดท้ายล่ะ ส่วนใหญ่ตายทุกราย อ้าว

ชั้นไปบอกเลย  เตรียมตัวได้ล่ะ, ตาย, เตรียมใจหรือยัง, เออ เราจะต้องตาย,

แล้วต้องตาย แล้วไปที่ดี, ไม่ใช่ตายแล้ว ไปไม่ดี เพราะไม่รู้ว่า เราจะตาย
งั้น ต้องรู้ตัวว่า ต้องตาย เตรียมตัวเอาไว้ มึงจะตายแล้ว ก็ต้องบอกอย่างนี้ เอ้า รุ่งขึ้น ตาย
เอ้า แต่คนตายยิ้ม ตายแล้วยิ้ม ดีกว่า ทุรนทุรายตาย จบ

คุณสืบสกุล     อย่างเราๆ ท่านๆ ฟังธรรมะ อาจจะมีสติในการดำเนินชีวิต เกิด แก่ เจ็บตาย

นะครับ แต่ถ้าบางคนยังคงยึดติดชีวิตกับชาตินี้อยู่ จิตใจอาจจะไม่สงบก่อนตาย
หลวงปู่     อ้าว อย่างนั้น เค้าเรียกว่า มีอุปาทานในขันธ์ทั้ง 5 ถ้าอย่างนี้ ก็ไปไม่ดี อุปาทาน

คือ ความยึดถือ ยึดถือในรูปขันธ์ ในเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ อย่างนี้ แสดงว่า

ไม่ดีล่ะ เรามีความยึดถืออย่างนี้ ก็ ชาติ ภพ ชรา มรณะ พยาธิ ก็จะหลั่งไหลพรั่งพรูออกมา

ทีนี้ ชาติ ภพ ชรา มรณะ และพยาธิ มันจะเป็นฝ่ายไหนล่ะ เป็นฝ่ายกุศล หรือ เป็นฝ่ายอกุศล

ก็ขึ้นอยู่กับกฏของกรรมล่ะทีนี้ อำนาจของกรรมจะเข้ามาแทรกแทนที่ล่ะ จะมาเลือกจัดสรร

ว่า มึงเป็นหมา มึงเป็นไก่ มึงเป็นวัว มึงเป็นควาย มึงเป็นคน มึงเป็นเทวดา มึงเป็นพรหม

มึงเป็นเศรษฐี มึงเป็นคหบดี

แต่ถ้าเราไม่มีอุปาทานในขันธ์ทั้ง 5 ชาติ ภพ ชรา มรณะ พยาธิ แม้นมันมี ก็ไม่ใช่ด้วย

อำนาจกรรม แต่ด้วยจิตสุดท้ายที่เราดับขันธ์ มันจะนำพาเอาไปเกิดตามที่เราเลือกสรรตาม

ความเป็นจริง เพราะเราดับอุปาทานในขันธ์ทั้ง 5 เสีย
ฟังอย่างนี้ เข้าใจไม๊
แต่ถ้าดับอุปาทานไม่ได้ มันจะเกิดชาติ เกิดภพ เกิดชรา เกิดมรณะ เกิดพยาธิ และการเกิด

ชาติ เกิดภพ ชรา มรณะ และพยาธิ ก็เป็นไปตามอำนาจของกรรมที่มีกำลังแทรกเข้ามาใน

อุปาทาน
แต่ถ้าเราไม่อุปาทาน กรรมมันจะแทรกเข้ามาไม่ได้ มันจะอยู่ที่อำนาจจิตสุดท้ายเราจะ

กำหนดชาติภพ เค้าจึงให้ฝึกจิตไง ฝึกจิตให้มีสติ มีสัมปชัญญะอย่างแกร่งกล้า
ถึงเวลา เรากำหนดชาติภพของเราได้ ไม่ปล่อยให้กรรมมันแทรกเข้ามาในอุปาทาน
ฟัง เข้าใจไม๊
กูดูหน้าพวกมึง เหมือนเข้าใจนะเนี่ย
ดูมันสิ มันจ้องเรา ขมึงทึง มันเหมือนจะเข้าใจนะนั่น ทำไมมันจ้องกูขนาดนั้น จบ
ปุจฉา     อีกหนึ่งโรคที่ผู้สูงอายุเป็นคือ โรคเบาหวาน แต่ปัจจุบัน 15-16 ก็เป็นเบา

หวานได้แล้วนะครับ
หลวงปู่      15-16 อะไร คุณ เด็กออกใหม่ก็เป็นแล้ว เด็กออกใหม่ เดี๋ยวนี้ เป็นแล้ว

บางคนออกมาพิการเลย ตาบอด เพราะอะไร เออ ติดมาจากแม่ จากพ่อ เค้าเรียกว่า พันธุ

กรรม
งั้น พวกกินตามใจปาก ลำบากคนอื่นน่ะ เป็นอย่างนี้
แต่อ้ายเด็กที่เกิดมาอย่างนั้น ก็แสดงว่า มีกรรมเหมือนกัน คือ ชอบหวานๆ เหมือนกัน มัน

ถึงได้มาเข้าท้องหวานไง อ้าว จริ๊ง จริง ถ้ามันไม่ชอบหวาน มันก็ไม่มาเข้าท้องหวานหร๊อก

มันต้องไปเข้าท้องเค็มบ้างล่ะ แสดงว่า มันต้องชอบกัน ก็คือ ลางเนื้อชอบลางยาง มันจะมา

หากัน

งั้น ก็อย่าไปคิดว่า เราจะต้องอายุมาก จึงจะเป็นโรคเบาหวาน แม้อายุเกิดมาใหม่ๆ วันแรกก็

เป็นได้ เพราะเราไม่ระมัดระวังตัว อ้ายเรื่องของโรคเบาหวานนี่ เป็นเรื่องของโรคคนรวยนะ

คนจนไม่มีสิทธิ์เป็นนะ คนจนไม่มีสิทธิ์เป็นหร๊อก ส่วนใหญ่คนตะกละ คนปากอยู่ไม่สุข หา

กินไปเรื่อยเปื่อย แล้วก็กินอืดๆ เค้าเรียกว่า เจี้ย อุ๊ก, เจี้ย อุ๊ก น่ะ เออ ไม่ทำห่าอะไร กิน

นอน, กิน นอน อย่างนี้ พลังงานมันไม่โดนเผาผลาญไง มันใช้ไม่หมด สะสมไปเรื่อยๆๆ

แล้วกินแต่ของดีๆ เนี่ย ไม่รวยแล้วจะเรียกว่า จนได้ไง ฮึ คนรวยเค้า ส่วนใหญ่เค้าเป็นโรค

คนรวย อย่าไปยุ่งเค้าเลย เค้ามีปัญญาลงทุน จบ

ปุจฉา     รู้สึกว่า จิตมันทำงานดิ้นรนตลอดเวลา บางครั้งฟุ้งซ่านมากจนกลัวว่า จะควบคุม

ไม่ได้ แล้วก็ขาดสติ จะมีวิธีการอย่างไร ที่จะดำรงค์สติให้ตั้งมั่นอย่างมั่นคงได้นาน
วิสัชนา       เออ พูดถึงดิ้นรนนี่ เมื่อวานซืน อ่านจดหมายฉบับ เค้าเขียนฝากคนมา ผมมา

ร่วมงานกฐิน อยากจะมาถามปัญหาท่าน พอเห็นคนมาเยอะ เลยอาย ไม่กล้าถาม ทุกวันนี้

ผมทุกข์เหลือเกิน อยากฆ่าตัวตาย แต่เห็นข่าวเค้าฆ่าตัวตายแล้ว ก็ไม่กล้า กลัว
เออ สาเหตุที่อยากฆ่าตัวตาย เพราะว่า ผมรักเพื่อนผม แล้วก็มารู้ตัวว่า เพื่อนผมมันจะแต่ง

งาน ผมมีความรู้สึกว่า ผมสูญเสียอะไรไปในชีวิต มันหมดเรี่ยวแรง มันเปลี้ย มันละเหี่ย

มันทุรนทุราย จิตใจมันว้าวุ่น สับสน มองโลกไม่แจ่มใส
คือ เค้าบรรยาย กูอ่าน 2 หน้า โอ๊ มึงสมควรตาย นึกในใจล่ะนะ ยังไม่ได้ตอบมัน เค้า

เขียนเบอร์โทรศัพท์ ก็เลยโทรฯ ไป บอกว่า มึงอยากหายทุกข์ไม๊, อยาก, อยากหาย

ทุกข์, อ้าว เพื่อนมึงแต่งงานไปแล้ว ถามจริงๆ มึงออกจากท้องแม่ มึงเอาเพื่อนมาด้วย

ไม๊, ไม่ได้เอามา, แล้วมึงมากับใคร, มาคนเดียว, มึงมาคนเดียว แล้วทำไมมึงอยู่

คนเดียวไม่ได้ มันเป็นอะไรนักหนา, อีตอนมึงอยู่ในท้องแม่ มึงมีใครอยู่เป็นเพื่อน แล้ว

มึงออกมาแล้ว ใครเลี้ยงมึง, คนที่มึงเลี้ยงและเค้าเลี้ยงมึงน่ะ มึงเคยได้รักเค้าเหมือนที่มึง

คิดจะรักเพื่อนมึงบ้างไม๊ เคยไม๊ เคยได้เสียสละ เคยได้คิดจะตายเพื่อเค้าบ้างไม๊ อ้ายคนที่

อุ้มท้องมึงมา มึงเคยคิดไม๊ มึงถ้าเป็นลูกกูน่ะ กูกระทืบมึงตายตั้งแต่ครั้งแรกแล้ว
แล้วมันว่าไง รู้ไม๊
มันบอก โอ้โห ท่านนี่ ปลอบหนักจัง
เอ้า จริง จริ๊ง  ชั้นอย่างนี้แหละ โอ้โห ปลอบไป ซะโทรศัพท์แฉะเลยล่ะ
ปลอบอย่างเดียว นั่นแหละ
สุดท้าย เลยบอกว่า มึงอยากพ้นทุกข์ไม๊, อยาก, ทำจิตให้สงบ มีสติอยู่ในกาย
เอ้า มึงลองทำซิ ตอนนี้มึงทำอะไรอยู่
ก็นั่งฟังท่านปลอบอยู่เนี่ย
เออ กูรู้แล้ว มึงนั่ง หรือ มึงนอน, นั่ง,
เอ้า มึงลองนั่ง แล้วมึงลองส่งความรู้สึกไปในกายซิ
ดู ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าว่า หัวมึง ยังตั้งอยู่บนบ่า อยู่ไม๊
ท่านก็ว่าไป
หัว ยังตั้งอยู่บนบ่า เอ้า ดูซิว่า แขน ขา อยู่ครบไม๊
ตัว ตา ตีน ตูด คงที่ไม๊
คงที่
เอ้า แล้วตอนนี้ ใจมึง ยังมีเพื่อนอยู่ไม๊
เอ่อ ไม่มีแล้วครับ
เพื่อน ไม่มีในจิตแล้ว
เออ มึงทำอย่างนี้ ทุกวันๆๆๆ เดี๋ยวเพื่อนมึง ก็ไม่มากวนมึง เพื่อนก็ไม่มารังควานมึง
เพราะฉะนั้น มีสติในกาย กายนี้ไม่ลำบาก
มีสติอยู่ในวาจา วาจาไม่ลำบาก
มีสติอยู่ในใจ ใจนี้ก็ไม่ลำบาก
อ้ายที่เราลำบากทุกวันนี้ ก็เพราะ เราไม่มีสติ เราปล่อยให้อะไรๆ มานั่งอยู่ในจิตเรา ใจเรา

จนเราทุกข์ไปตามมัน เพราะเราต้องไปแบก ไปบรรทุกมัน งั้น คนที่มึงน่าบรรทุกมากๆ ก็คือ

คนที่อุ้มท้องมึงมา เออน่ะ
ขอบคุณครับ แหม ไม่งั้น ผมจะฆ่าตัวตายแล้วเนี่ย
เออ ดี กูก็ได้ทำบุญ มึงช่วยจ่ายค่าโทรศัพท์กูด้วยนะ หมดไปชั่วโมงกว่า จบ

คุณสืบสกุล      โชคดีสำหรับชายคนนั้นนะฮะ เค้าไม่ต้องฆ่าตัวตาย แล้วก็ไม่ต้องโดนบาทา

ของหลวงปู่ด้วย
หลวงปู่    ไม่ มันไม่ใช่รักธรรมดาสามัญด้วยนะ มันรักษาแบบพิสดารด้วยล่ะ เพื่อนมัน

เป็นผู้ชาย เออ นั่นแหละ ประมาณนั้นแหละ แล้วมันจะฆ่าตัวตาย เออ สมเพชมัน เค้ามา

วันกฐินไง แล้วเค้าไม่มีโอกาสได้ถาม เค้าเห็นคนเยอะๆ เค้าเลยเขียนจดหมาย บอกช่วย

ตอบด่วน ผมจะตายแล้ว เออ เราก็เลย เอาซะเลย อัดศะ
คุณสืบสกุล     ตกลงหลวงปู่จะให้เค้าจ่ายโทรศัพท์เองไม๊ครับ
หลวงปู่       ไม่รู้ ใครจ่าย ไม่รู้ โทรศัพท์ก็ไม่ใช่ของชั้น ชั้นยืมเค้า ยืมเค้าใช้ จบ

ปุจฉา      ถ้าคนเราไม่ได้รักษาศีล แต่ทำความดี แบบนี้จะถือว่า เป็นคนดีหรือไม่
วิสัชนา         มันดีแบบไหน, ดีอะไร, ดีศีล เค้าก็เรียกว่า ดีแบบมีศีล, ดีสัตย์ เค้าก็

เรียกว่า ดีแบบมีสัจจะ, ดีแบบมีธรรมะ ก็เรียกว่า ดีแบบมีธรรมอยู่ในใจ,
งั้น ดีแต่ละอย่าง มันไม่เหมือนกัน เออ มันมีหลายชนิด หลายดี
อ้ายคนมีศีล อาจจะเป็นคนไม่มีสัตย์ก็ได้ คือ ไม่มีธรรมอยู่ในใจก็ได้ กูรักษาศีลกูอย่างเดียว

กูไม่มีเมตตากับใคร กูจะทำเรื่อง ใครจะว่าอะไร กูชั่ง อะไรอย่างนี้
พระพุทธเจ้าจึงสอนไว้ในเรื่องของสังโยชน์ 3 อย่าง ก่อนที่จะเป็นพระอริยบุคคลเบื้องต้น

ว่า สีลัพพตปรามาส ไม่ถือศีลพรตตัวเอง ว่า ดีกว่าคนอื่น พวกมีศีล ส่วนใหญ่จะถือศีลพรต

เลยกลายเป็นโดนเรียกขานว่า มือถือสาก ปากถือศีล อย่างนี้เป็นต้น
งั้น ดีแต่ละอย่าง นี่มันไม่เหมือนกัน แต่มันต้องเอื้ออำนวยกัน
ศีลนี่ มันเป็นเครื่องรักษากาย วาจา ให้เรียบร้อย แต่ใจเรา เราจะทำยังไง
เราไม่มีดีในใจ จะอยู่ได้หรือ เพราะใจเป็นนาย ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นหัวหน้า ทุกอย่างสำเร็จ

ได้ด้วยใจ มันแค่กายกับวาจาเรียบร้อยเฉยๆ แต่ใจมันทุรนทุราย มันขุ่นหมอง มันอิจฉา

ริษยา มันอาฆาต พยาบาท มันจองล้าง จองผลาญ มันจองเวร มันเห็นแก่ตัว มันตระหนี่

มันมักมาก มักง่าย มันอยากได้ มันโลภ แล้วจะทำยังไง
อย่างนี้ จะเรียกว่า ดีเหรอ
งั้น มันต้องสำรอก ดีกาย ดีใจ อย่างนี้เค้าเรียกว่า คนดี
ศีล มันแค่ กาย วาจา
แต่ใจล่ะ จะทำยังไง เมื่อใจชั่วๆ
ใจชั่ว อยู่ในคนมีศีลได้ไม๊
มี๊ มีไง, ไม่มีได้ไง เมื่อ 2 วัน มันยังแทงกันตาย ในวัดอะไรนั่นน่ะ พระต่อพระ แทง

กันตาย ไม่ได้อ่านหนังสือพิมพ์เหรอ คุณอ่านข่าว ไม่เจอเหร๊อ ในวัดอะไรแถวๆ นี้ แถวๆ

กรุงเทพฯนี่แหละ แทงกันตายคาที่เลยล่ะ อย่างนี้ มีศีลไม๊ล่ะ แต่ใจมันไม่มี ใจไม่มีสัตย์ ไม่

มีธรรมะอยู่ในใจ
งั้น ศีลกับธรรม มันต้องอยู่คู่กับกายและใจ จึงจะเรียกว่า เป็นคนดี สุดดี ยอดดี จบ

ปุจฉา     การทอดผ้าป่าการศึกษาให้โรงเรียน ต่างจากการทอดผ้าป่าในวัด ได้บุญเหมือน

กันหรือไม่
วิสัชนา      เออ พูดถึงการทอดผ้าป่าการศึกษาในโรงเรียน ขอประชาสัมพันธ์ วันเด็กปีนี้

หลวงปู่ขอบิณฑบาตรของขวัญ ของเล่นเด็กๆ น่ะ ลูก สัก10,000 ชิ้น ที่วัดเค้ามีจัดแจก

เด็กๆ แล้วก็เดี๋ยวจะไปทางเหนืออีก 2,000 ชิ้น เค้าขอมา ใครมีโอกาสสงเคราะห์

อนุเคราะห์เด็กอนาถา ยากจน ลำบากลำบน อยู่ชายเขา ชายนา ก็ช่วยกันหาเสื้อ หาผ้า หา

เครื่องกันหนาว หาอะไรไว้ก็แล้วกัน เดี๋ยวใกล้ๆ วันเด็ก จะเอาไปแจก แล้ววันเด็กจะได้

กลับมาทำงานวันเด็กดอกไม้บานที่หน้าวัด ทุกปีก็จะมี แต่ปีที่แล้วไม่ต่ำกว่หมื่นคนที่มาร่วม

กิจกรรม

ส่วนคำถามที่ว่าจัดผ้าป่า ผ้าป่านี่มันไม่ได้จำกัดว่า จะต้องเป็นของสงฆ์ สมัยก่อนเค้ามีใช้

เฉพาะเรื่องกิจกรรมคณะสงฆ์ แต่เดี๋ยวนี้ มีผ้าป่าการศึกษา ผ้าป่าซื้อเตียงพยาบาล ผ้าป่าทำ

อะไรล่ะ กองทุนหมู่บ้าน เดี่ยวนี้เยอะแยะมากมายก็มีสารพัด โดยเอาผ้าป่าเป็นตัวตั้ง พระ

ก็มีหน้าที่ไปชัก แล้วชาวบ้านก็นับตังค์เข้าเป๋า ก็ มันก็เป็นพันธุ์นี้ ผ้าป่าแบบนี้ก็มีอยู่เยอะ

แยะ แต่ถามว่า มันเสียหายไม๊

ผ้าป่าอย่างนี้ มันไม่ต่างอะไรกับการให้ทาน ให้ทานคนขอทาน อานิสงส์ไม่ได้ต่างกัน
ถามว่า เพราะอะไร
ก็เพราะว่า คนที่รับ มีศีลเท่าไหร่
ทีนี้ เค้าก็กันว่า เอาล่ะ เพื่อให้แน่ว่า คนรับนี้ จะต้องมีศีลมากกว่าคนธรรมดา ก็เลยเอาพระ

มาเป็นไม้กันหมาไว้ซะหน่อยหนึ่ง ก็เอาพระมาดึง แต่เงินนั้น ทรัพย์อันนั้น มันสำเร็จ

ประโยชน์กับใคร
บุญมันไม่สำเร็จประโยชน์กับผู้รับอย่างเดียว มันสำเร็จประโยชน์กับผู้ใช้ด้วย
ถ้าบุญนั้นมันสำเร็จกับผู้รับและผู้ใช้ และผู้รับผู้ใช้มีศีลอันสมบูรณ์เหมาะสม ก็ถือว่าสำเร็จ

ประโยชน์
แต่ถ้าผู้รับมีศีล ผู้ใช้ไม่มีศีล ก็ได้บุญเฉพาะผู้รับ แล้วผู้ใช้ก็ได้น้อยกว่า
งั้น ปัญหาก็คือว่า เราทำแล้วมันเสียหายไม๊ ไม่ได้เสียหาย
เมื่อไม่ได้เสียหาย ก็ถือว่า สงเคราะห์ญาติ สงเคราะห์โลก สงเคราะห์สังคม
งั้น จะสังเกตุ เวลาหลวงปู่แจกทาน คนมารับทาน สิ่งที่จำเป็นต้องทำก่อนเบื้องต้น คือไหว้

พระ รับศีลก่อน สังเกตุไม๊ เวลาหลวงปู่แจกทานแต่ละครั้ง ไม่ได้ซี้ซั้ว ส่งเดชแจกทาน มึง

รับศีลก่อน
อย่างวันกินเจ ต้องมาสวดมนต์ก่อน สวดมนต์แล้วจึงจะรับทาน เพราะอย่างน้อยๆ ก็มีธรรม

อยู่ในใจ บุญจะได้มีโอกาสได้ตอบสนองกับท่านผู้ให้ทาน ทานนั้นก็เป็นประโยชน์ต่อผู้รับ

และผู้ให้อย่างสมบูรณ์ อย่างนี้เป็นต้น จบ

ปุจฉา     ลูกออกมาแล้วพิการ เป็นเวรกรรมอะไรของเรา หรือของลูก อย่างตอนนี้มีกรณีที่

เด็กคลอดออกมาแล้ว สมองออกมาอยู่นอกกระโหลก
วิสัชนา     มันทำให้เห็นภาพ  ชั้นไม่รู้ว่า คนจะคิดไม๊ว่า นั่นคือ เวรกรรมชนิดหนึ่งที่มนุษย์

เป็นไปตามกรรม สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้ดีชั่วเลวหยาบ ทุกคน

มีกรรมเป็นของตน เรามีกรรมเป็นแดนเกิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย

เรามาและไป อยู่ได้ด้วยกรรม แล้วกรรมอันนั้น ใครเป็นคนกระทำ ก็คือ ตัวเค้ากระทำ
ไม่มีใครรู้หรอกว่า เค้าทำกรรมอะไร เค้าถึงได้กลายเป็นสมองออกมานอกกระโหลก
แต่ก็นั่งนึกคำนึงถึงสัตว์นรกชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ไม่มีกระดูก มีแต่หนังแล้วหุ้มเนื้อ แล้วกลิ้ง

ไป แขนขาไม่มี สัตว์นรกชนิดนี้ ทำกรรมอะไร
ก็ทำกรรมกับพ่อกับแม่ ตัวไม่มีแขนไม่มีขา เค้าเรียกว่า เป็นเปรตก้อนเนื้อ กลิ้งไปตามพื้น

แล้วก็ทำเกิด เค้าเรียกว่า เวลามีหนามทิ่ม หนามตำ ก็จะเจ็บ แล้วเจ็บปวดจนตาย ทำให้นึก

ถึงสัตว์นรกประเภทนี้ แม้แต่เค้าจะบอกว่า ยังมีแขนมีขา แต่อ้ายสมองมันเป็นส่วนที่ควร

จะอยู่ในกระโหลกก็ออกมาอยู่นอกกระโหลก
ทำให้ยืนยันได้ว่า สัตว์นรกชนิดนี้ มันมีอยู่จริงนะ มันทำให้เห็นภาพได้ว่า สัตว์นรกชนิดนี้

มีอยู่จริง
เพราะฉะนั้น ใครที่ไปทำกรรมต่อพ่อต่อแม่ไว้เนี่ย พวกนี้ จะไม่มีโครงสร้างป้องกันภัย จะ

ไม่มีกระดูก จะไม่มีเครื่องเกราะ ป้องกันอวัยวะภายใน ก็มีแต่หนังกับอวัยวะ แล้วหุ้ม แล้ว

ก็กลิ้งเป็นลูกบอลล์ไปตามพื้นถนนที่มีกรวด มีหนาม มีไฟกรด เผารน แล้วก็ตาย  มีลมชีวะ

มาพัดให้ฟื้น แล้วมากลิ้งใหม่ ตั้งแต่บนเขาลงมาข้างล่าง แล้วก็ตาย แล้วก็มี ลมมาพัดให้เกิด

ขึ้นใหม่ แล้วก็กลิ้งขึ้นไปใหม่ กลิ้งขึ้นกลิ้งลงอยู่อย่างนั้น
งั้น คนทำกรรมกับพ่อกับแม่นี่ สำคัญมาก ระวังให้ดี อย่าไปทำ

เวลาหลวงปู่ บางทีทำกับข้าว ทำกับข้าวให้ย่า หลวงปู่จะต้องคอยถาม กินได้ไม๊ เผ็ดไม๊

เปรี้ยวไม๊หวานไม๊ เพราะกลัวเผ็ดไป เดี๋ยวเราก็ทุรนทุราย หวานไป เปรี้ยวไป ให้มัน

เหมาะสมสำหรับแก
แล้วก็เวลาแกพูดแกบ่นอะไร เราจะฟังเฉยๆ แม้แต่บางคำ เรารู้สึกได้ว่า มันเสียดแทงหัวใจ

มันแสลงหู เราก็ต้องนิ่งๆ เฉยๆ ซะ เพราะต้องเข้าใจว่า นั่น สภาพของคนแก่ สภาพของคน

ที่อายุมากแล้ว มีสติปัญญาอันไม่แข็งแรงแล้ว เราก็ควรจะให้โอกาส ให้อภัย
แต่คนบางคน มันไม่ใช่ โวยวาย ตีโพยตีพาย พ่อแม่บ่น, กินก็กิน ไม่กินก็อย่ากิน อะไร

อย่างนี้
ระวังให้ดีเถอะ พวกนี้ เวรกรรมมันจะตามทัน

ทำกับพ่อกับแม่ ต้องถนอมเหมือนกับที่พ่อแม่ถนอมเรา อย่าไปทำร้ายท่านด้วยกาย หรือ

วาจา หรือจิตใจ แม้แต่เพียงจะคิด ก็อย่าไปทำ เมื่อ 2 วัน หลวงปู่ไปทำงานที่เชียงใหม่

เห็นแกบ่นว่า อยากจะไปไหว้พระธาตุฯ ก็เลยให้คนเค้าพาแกไป แกก็ไปเที่ยวของแก

หลวงปู่ก็ไปทำงาน กลับมาเย็น เจอกันก็ อ้าว ท่านไม่ไปเที่ยว, เอ้า ก็มาทำงาน ไม่ได้มา

เที่ยว, เอ้า ก็ทำงาน แกก็ไปเที่ยว ไปไหว้พระไหว้เจ้า เห็นแกมีความสุข กลับมา ถาม

ไปไหน, ไปไหน ก็อยู่บ้าน, ลืม คือ คนแก่ พอหิวแล้วจะลืม อย่าให้หิว ต้องให้กินอยู่

บ่อยๆ

แล้วขอร้องเถอะ มีพ่อมีแม่ อ้ายนั่นก็กินไม่ได้ อ้ายนี่ก็กินไม่ได้ ให้แกกินไปเถอะ อายุแก

ปูนนี้ล่ะ แกอยากกินอะไร กินไปเถอะ ดีกว่าปล่อยให้แกเป็นผีอดอยาก
อ้าว จริง แกกินให้ตายดีกว่า เป็นผีอิ่มดีกว่าผีอดน่ะ
อ้าว ถูกหรือเปล่า กินให้แกกิน แกจะกินได้ซักเท่าไหร่ เอ๊ย แกจะกินเท่าไหร่ อายุปาเข้าไป

จะ 85 ล่ะ อยู่ได้ก็ไม่เกินร้อยปี
งั้น แกอยากกินอะไร กินเข้าไป ให้กินเข้าไป แกมีความสุข กินเข้าไป
หน้าที่ของเรา ก็เพียงแค่ทำให้แกมีความสุข ให้พึงพอใจ
อ้ายลูกบางคน อ้ายนู่นก็กินไม่ได้ อ้ายนี่ก็กินไม่ได้ เลยผอมหัวโต เดินง๊องแง๊งๆ เป็นเปรตผี

อดอยาก ถามว่า ทำไมไม่ให้กิน ก็เดี๋ยวป่วย กูว่า ไม่ได้ตายเพราะป่วย ตายเพราะอดนี่แหละ

ตายเพราะว่า อยาก นี่แหละ ไม่ได้ตายเพราะป่วยหรอก ให้แกกินไปเฮอะ แกอยากกินอะไร

กิน
หลวงปู่ไม่ห้าม ไม่หวงอะไร แกอยากกินอะไร, ทำ, ทำได้ทำ นี่ เดี๋ยวต้องรีบเลิกแล้วนะ

เดี๋ยวต้องรีบไปทำกับข้าวให้ ทุกเย็นต้องไปทำกับข้าวให้แกทุกเย็น เอ้า ไป จบ

ปุจฉา      ไปเข้ากรรมฐาน 7 วัน มีสภาพนิ่ง พอเริ่มวันที่ 6 หัวใจหยุดเหมือนดับไฟ

เบาสบาย เห็นแขนโปร่งใส เห็นเส้นเลือด น้ำเหลือง และเห็นว่า ผิวหนังหายใจได้  ออกจาก

สมาธิ คล่องแคล่วมากยิ่งขึ้น จากธรรมดาที่เคยปวดเข่า กินข้าวได้ปกติ กลับไปนั่งใหม่

ชีพจรยังปกติ อาการนี้เป็นอยู่ 5 ชั่วโมง หัวใจจึงเริ่มเต้น รู้สึกเจ็บเล็กน้อย พอกลางคืน นั่ง

ใหม่ ครึ่งชั่วโมง บริเวณศีรษะเปิดกว้างเหมือนดอกบัวบาน สว่างมาก สักพักข้างหน้า มีรูป

สามเหลี่ยมเป็นสีทอง หมุนลงข้างล่าง สงสัยว่า เป็นการใช้ธรรมะในการรักษาหรือเปล่า

เพราะเดิมเป็นความดันด้วย
วิสัชนา     ลักษณะที่พูดนี่ เค้าเรียกว่า ปิติ, ปิติจากองค์คุณแห่งสมาธิ, ไม่ดี
ถ้าคนทั่วไป เค้าอาจจะบอกว่า ดี แต่สำหรับหลวงปู่แล้ว บอกว่า ไม่ดี
ที่มันไม่ดี ก็เพราะว่า ในขณะที่เราเห็น แล้วเกิดอาการ กรรมฐานที่เจริญมันหายไป องค์

ภาวนา ก็คือ ตัวงานการของจิตจริงๆ มันต้องอยู่กับกรรมฐาน คือ ที่ตั้งของงานการ หรือ สิ่ง

ที่ต้องทำจริงๆ
แต่นั่นมันเหมือนกับเรานั่งบนรถ นั่งอยู่บนรถ แต่รถมันขับผ่านไป เราก็เห็นอ้ายนั่น เห็น

อ้ายนี่ จนกระทั่งเราลืมไปว่า เราอยู่บนรถ อ้ายนั่น มันถูกที่ไหน มันไม่ถูก
ต้องสำคัญว่า เรายังนั่งอยู่บนรถ ต้องอยู่ในรถ แล้วนั่นมันเพียงแค่ภาพที่ผ่านเฉยๆ ไม่ใช่

ของจริง อย่างนั้นน่ะ จึงจะดี จึงจะพัฒนา จึงจะก้าวหน้า
แต่ถ้าไปสนใจเรื่องแสง เรื่องอะไรต่ออะไรเยอะแยะ แล้วกรรมฐาน อยู่ตรงไหนล่ะ
หลวงปู่ จึงเขียนบทโศลกสอนลูกหลานเอาไว้ว่า ลูกรัก ถ้าเจ้าต้องการสมาธิ ตราบใดที่เจ้า

ต้องการสมาธิ เห็นพระพุทธเจ้า ต้องฆ่าทิ้ง, เห็นพระสงฆ์ ต้องหนีให้ไกล, เห็นพระ

ธรรม ต้องเผาทิ้งทันที เพราะ นั่น ไม่ใช่สมาธิล่ะ มันจะกลายเป็นอะไรอื่นไปล่ะ
แล้วพอไปยุ่งกับมัน ยุ่งกับแสง ยุ่งกับปิติ ยุ่งกับภาพที่เห็น แล้วตัวกรรมฐานมันอยู่ไหน

มันหลุดไปล่ะ มันหายไปล่ะ กลับมาเริ่มต้นใหม่ ก็อ้ายเท่าเก่าล่ะ อันนั้นมันจึงกลายเป็น

เครื่องเร้าเครื่องล่อ สิ่งหลอกลวงที่ทำให้เรา เค้าเรียกว่า มายาขจิต มายาขจิตชนิดหนึ่ง แต่

คนที่เล่นสมาบัติ เล่นฌาน เค้าถือว่า นี่เป็นกระบวนการที่จะก้าวผ่านให้ได้ ก้าวผ่านมันให้ได้

ถ้าก้าวผ่านไม่ได้ ก็ไม่พัฒนา มันคงที่
แต่คนที่เจริญวิปัสสนาแล้ว ก็มองว่า นี่เป็นมารยาการ เป็นสิ่งที่ทำให้เราเชื่องช้า ทำให้เรา

สับสน ทำให้เรามีพันธนาการทางชาติ ชรา มรณะ พยาธิ ทำให้เกิดอุปาทานในขันธ์ทั้ง 5
แต่คนที่เจริญสมถะ ต้องการสมาธิและต้องการองค์ฌาน ไม่ใช่วิปัสสนา แต่เป็นฌาน คือ มี

ฤทธิ์ มีเดช มีอำนาจ ก็ถือว่า นี่เป็นวิธีพัฒนา
วิธีพัฒนาจะทำอย่างไร ก็ทิ้งกรรมฐานเดิม แล้วมาจับภาพนิมิตที่เห็น แล้วพัฒนาจากนิมิต

นั้น บังคับนิมิตนั้น จนกระทั่งนิมิต มันเป็นไปดั่งใจ อย่างนี้จะเรียกว่า พัฒนาฌานให้สูงขึ้น

เหมือนกับเราลงรถ ก็ถึงที่ ลง แล้วก็ไปต่อเรือ อะไรอย่างนี้ อย่างนี้ได้ เรียกว่า เล่นฌาน
แต่เล่นปัญญา หรือว่า เจริญวิปัสสนา เพื่อให้ลุถึงความวิโมกข์ หรือ วิมุตติ ความหลุดพ้น

ทำอย่างนี้ไม่ได้ คุณมาจากรถ ก็ต้องไปสุดท้าย จบลงที่รถ อย่าไปลงรถ ต่อเรือ ขึ้น

คอปเตอร์อะไร ทำไม่ได้ เค้าถือว่า ปัญญาคุณไม่แข็งแรงพอ ทำไม่ได้ งั้น อย่าให้เคลื่อน

จากกรรมฐาน

ปุจฉา     ชวนแฟนมาทำบุญทุกชนิด ไม่ยอมมาด้วย อยู่บ้านดูทีวีอย่างเดียวเลย ควรจะชวน

เค้าต่อหรือไม่
วิสัชนา      ก็ ไม่มาก็ไม่เป็นไร ก็ใช้วิธีแบบสมัยก่อน ตา เวลายายแกไปทำบุญ ตาแกไม่

ชอบไปวัดนะ แกบอก เบื่อพระโกหก พระชอบโกหก พูดไปพูดมาหลอกเอาตังค์เสียอีกล่ะ

อะไรประมาณนี้ แกจะว่าอย่างนี้ล่ะนะ ขึ้นมาเทศน์มหาชาติ เทศน์ไปเทศน์มาโยมเอ๋ย จะ

ไปท่ารถยังไง จะไปท่าเรือยังไง อย่างนี้น่ะนะ แกไม่ชอบ แกก็ไม่ค่อยไปวัด แต่แกก็ชอบที่

จะหาอาหารใส่บาตร คือ ให้ยายใส่บาตร ยายแกก็จะใช้วิธี เอ้า พ่อมึง อนุโมทนา, เอ้อ

สาธุ อะไรอย่างนี้
ก็ใช้วิธีนี้ก็ได้ ชวนๆ แกด้วยวิธีการให้แกอนุโมทนา สาธุ ดีกว่าเราไม่หือ ไม่อือ ปล่อยให้

แกนั่งเฝ้าแต่หน้าจอ จะไปทำบุญใส่บาตร ก็ไม่บอกกล่าว กลับมาแล้ว ก็ไม่ให้อนุโมทนา

อ้ายอย่างนี้ เค้าเรียกว่า ไม่มีเมตตา ไม่สงเคราะห์ อนุเคราะห์ บางทีตังค์นั้น ก็ไม่ใช่ของเรา

ด้วย ของแกด้วย  เออ อย่างนี้ ก็ควรจะสงเคราะห์เค้าบ้าง แหม ตังค์ก็ไม่ใช่ของมึง ของผัว

แต่ไม่ยอมเลยให้ผัวรู้ แอบเม็มผัวไปทำบุญอีกต่างหากอย่างนี้ อ้ายอย่างนี้ ไม่ถูกต้อง จบ

คุณสืบสกุล    หมดคำถามแล้วครับ
หลวงปู่     พอแล้ว โอ๊ย เหนื่อยแล้ว ก็ให้ทุกท่านที่รับชมรายการ ปุจฉา วิสัชนา แล้วก็ คุณ

สืบสกุล พันธ์ดี จงคิดดี ทำดี พูดดี แล้วก็ทำแต่สิ่งดีๆ ให้เป็นประโยชน์ต่อชาติ ประเทศ

แผ่นดิน สังคม สิ่งแวดล้อม สถาบัน ครอบครัวและตัวเอง ความดีอันใดที่ทำแล้ว เป็นที่พึ่ง

ทั้งตนและคนรอบข้างได้ นั่นถือว่า สุดดี ยอดดี และเจริญในดี แต่ถ้าความดีอันใดที่เราหรือ

ใครเค้ามาบอกว่า ทำดีแล้วมันไม่สามารถจะพึ่งได้ คนอื่นๆ ก็พึ่งไม่ได้ แม้ที่สุด เราทำร้าย

คนอื่นด้วย ทำลายตัวเองด้วย
นั่น อัปรีย์ ไม่ดีแท้
ขอให้ทุกท่าน รุ่งเรือง เจริญ ร่ำรวย สุขภาพแข็งแรง อายุยืนยาว คิดหวังสิ่งใด สมความ

ปรารถนา เจริญธรรม (สาธุ)
คุณสืบสกุล    และท้ายสุดนะครับ อย่าลืมดื่มน้ำปรับธาตุนะครับ เพื่อปรับสมดุลย์ของร่าง

กาย เพื่อสุขภาพ ด้วยความเป็นห่วงจากองค์หลวงปู่พุทธะอิสระ ช่วยแล้วนะครับ ช่วยทำ

มาหากินแล้วครับ
หลวงปู่     เออ ประชาสัมพันธ์ รับสมัครบวชพระถวายพระราชกุศลในหลวงและพระราชินี

เดี๋ยวต่ออีกหน่อย เดี๋ยว คุณไปปิดช่วงท้ายแล้วกัน
คุณสืบสกุล    ได้ครับ
หลวงปู่       ช่วยประชาสัมพันธ์ เชิญชวน รับสมัครบวชพระบวชเณร ถวายพระราชกุศล

เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาฯ จนถึงวันที่ 2 มกราฯ
คุณสืบสกุล    ครับ วันนี้ กราบขอบพระคุณ องค์หลวงปู่พุทธะอิสระนะครับ แล้วก็กราบ

ขอบพระคุณสำหรับผู้มีศรัทธาทุกท่านที่มาณ.ที่นี้ แล้วก็ขอบพระคุณผู้ชมที่ติดตามรายการ

ด้วยนะครับ....ขอบคุณครับ

หลวงปู่     อย่าลืมว่า เมื่อใดที่เรามีอุปาทานในขันธ์ทั้ง 5 เมื่อนั้น แสดงว่า เรายอม

ศิโรราบต่อต่ออำนาจของกรรมที่จะบีบคั้น ครอบงำ และทำร้ายทำลายเรา
งั้น เมื่อใดที่เราไม่มีอุปาทานในขันธ์ทั้ง 5 เมื่อนั้น เราจะเป็นผู้มีอำนาจเหนือกรรม กรรม

ไม่มีอำนาจเหนือเรา เจริญธรรม (สาธุ)
พอ เหนื่อยล่ะ
(กราบ)
หลวงปู่    เอ้าคุณสืบสกุลฯ ไปสมัครบวช รับรอง ชั้นไม่กอดคุณหร๊อก
...................
สังฆทานและสิ่งของทั้งหลายที่พวกคุณถวาย หลวงปู่รับแล้ว ยกให้เป็นสมบัติของวัดและ

มูลนิธิฯ เพื่อใช้ในกิจกรรมสาธารณะสงเคราะห์ สาธารณะประยชน์ ขอท่านทั้งหลาย

อนุโมทนา (สาธุ)
ปัจจัยลาภ และกองผ้าป่า ส่วนหนึ่งเค้าจะจัดไปสำหรับทอดกฐินที่วัดเขาน้ำตก อำเภอบันนัง

สตาร์ อาทิตย์ที่จะถึงนี้ สมภารกับพระเค้าจะไป หลวงปู่ให้เค้าไปซื้อที่ถวายวัดเอาไว้ ด้าน

หน้าวัด เพราะว่า มัสยิด เค้าจะมารุกที่หน้าวัด แล้วก็จะกลายเป็นเรื่องเป็นราว ก็ซื้อกันเอาไว้

หลายปีที่ผ่านมา ก็สร้างโบสถ์ให้เค้าหลังหนึ่ง ก็เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เหลือแต่ ปีนี้ก็ซื้อที่ถวาย

ก็ได้เงินประมาณซัก 1 ล้านเศษๆ ขอท่านทั้งหลายอนุโมทนา (สาธุ)
ตั้งใจกรวดน้ำ ว่าตาม แล้วรับพร ลูก
...............
ตั้งใจรับพร ลูก
.................
(สาธุ)
ขอประชาสัมพันธ์ เดือนหน้า วันที่ 15 ลูก เวลาประมาณบ่ายโมง พร้อมกัน เพื่อแสดง

ความจงรักภักดีถวายพระพรชัยมงคลองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ลานศาลาศิริราช

100 ปี เพื่อเจริญพระพุทธมนต์ แล้วก็ร้องเพลงสดุดีมหาราชา ถวายพระราชกุศลต่อ

องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วันที่ 15 เวลา บ่าย 1 โมง บทสวดมนต์ เดี๋ยวการ

ไฟฟ้าฝ่ายผลิต เค้าจัดไปให้

แล้วใครที่จะไปบวชเนกขัมมะ ปฏิบัติธรรม เดี๋ยวกิจกรรมให้มูลนิธิฯเค้าประชาสัมพันธ์ 

ไปบวชก็เตรียมเครื่องกันหนาวไปด้วย เพราะว่า จะไปอยู่ที่ทองผาภูมิ แม่น้ำแควน้อย แล้ว

ก็เอาเต๊นท์ เอาที่นอนส่วนตัวไปด้วย ไปปักกลด กางเต๊นท์ อะไรก็ว่าไป ซัก 3 วัน 4 วัน

จำนวนระยะเวลาโครงการฯเดี๋ยวให้เค้าประชาสัมพันธ์ให้ทราบ เอาตามนี้แล้วกัน

ให้ทุกท่านเดินทางโดยปลอดภัย โชคดีมีชัย คิดหวังสิ่งใด สมความปรารถนา เจริญธรรม (

สาธุ)
กราบลาพระ ลูก
อะระหัง สัมมา
..................
ธรรมะรักษา ลูก
(กราบ)