20 พ ค 2555 8.55 น. ธรรมะสัปดาห์ที่ 3 ณ. บจก. ดอก บัวคู่ โดยองค์หลวงปู่พุทธะอิสระ
เจริญธรรม เจริญสุข ท่านสาธุชนพุทธบริษัท ผู้รับชมรายการอาทิตย์สดใสที่รักทุกท่าน ญาติโยมชาวบ้านที่อยู่ ณ.สถานที่สมาคมแห่งนี้ ณ. บริษัทดอกบัวคู่ จำกัด โดยมีคุณสุ นันทา ลีเลิศพันธ์ เป็นประธานจัดกิจกรรมอันสำคัญในการฟังธรรม เป็นกิจกรรมของการ แสดงความเป็นมงคล กาเล ธัมมะ สากัจฉา กาเล ธัมม สวนัง การฟังธรรม เจรจาธรรม เอ ตัม มัง คะละมุตตะมัง ข้อนี้เป็นมงคลอันสูงสุด ท่านเจ้าของบ้านปรารถนา ปรารภให้เกิดเป็นมงคลกับชีวิต เป็นมงคลทางจิตวิญญาณ วันนี้ ก็ถือโอกาสคุณแทนคุณ มาทำหน้าที่เป็นผู้จัดรายการ อาทิตย์สดใส เชิญคุณแทนคุณทำ หน้าที่ คุณแทนคุณ กราบนมัสการพระเดชพระคุณหลวงปู่พุทธะอิสระ ที่ เคารพ........ก่อนอื่นผมอยากกราบเรียนถามเรื่องปีอันเป็นมงคล....พุทธ ชยันตี อยากกราบเรียนถามความหมายของพุทธชยันตี บางที่ก็เรียกสัมมพุทธชยันตี.. ผมอยากทราบว่า มีความแตกต่างกันหรือไม่ และที่ถูกต้องควรเรียกอย่างไร และท่าทีของ ชาวพุทธในการเฉลิมฉลอง ทางธรรม ผมเข้าใจว่าไม่เหมือนกับทางโลกที่จะต้องมีงาน สมโภช งานเลี้ยง....เราจะมีวิธีการเฉลิมฉลองอย่างไรจึงจะถูกต้องครับ หลวงปู่ ที่จริง ชั้นก็ไม่ค่อยได้ทราบรากศัพท์พุทธชยันตีหรือ สัมมพุทธชยันตีที่นัก วิชาการเค้าเรียกขานกันสักไหร่นะ แต่เท่าที่ทราบเบื้องต้น ก็คือ วันวิสาขบูชาปีนี้ จะตรงกับ วันที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสรู้ครบรอบ 2600 ปี มันก็มีแค่นี้ ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้ ก็คือ เป็นวันที่ถือว่า เป็นวันแห่งสติปัญญา เป็นวันแห่ง มีคำว่า สัมมพุทธชยันตี สัมมะ ก็น่าจะมาจากคำว่า สัมมา หรือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาทิฏฐิ คือ ความเห็นตรง ถูกต้อง ความเห็นชอบ เป็นวันแห่งมรรคาปฏิปทา คือ วันที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ตรัสรู้ชอบได้ ด้วยพระองค์เอง ทรงแสดงหลักธรรม หรือว่า ทรงประกาศสัจธรรม ทรงแสดงวิถีแห่งการ เดินทางที่ถูกต้องในเรื่อง มรรคาปฏิปทา เริ่มต้นจากการมีความเห็นตรงถูกต้อง ดำริชอบ คือ ดำริออกจากกาม มีวาจาชอบ มีเจรจาชอบ มีการงานชอบ มีเลี้ยงชีพชอบ มีสติชอบ มี สมาธิชอบ มีความเพียรชอบ ทั้งหลายทั้งปวงอาจจะรวมเรียกได้ว่า สัมมพุทธชยันตีก็ได้ แต่ที่แน่ๆ ก็คือ ความชอบทั้ง 8 ประการเนี่ย จะไม่เกิดขึ้นเลยถ้าเราไม่ตระหนัก ไม่ สำเหนียก ไม่ระลึกถีง ไม่คิดที่จะทำบริหารจัดการ สำหรับชั้นแล้ว ไม่ว่าพระพุทธเจ้าจะ ทรงมีพระชนมายุอยู่หรือไม่ก็ตามที หรือว่า จะมีการตรัสรู้ธรรม 2500 ปี 2600 ปี หรือว่า ซัก 3000 ปี 5000 ปี ก็แล้วแต่ สำคัญมันอยู่ที่ว่า เราสำเหนียกสำนึก แล้วก็ รับเอาพระธรรมเหล่านั้นเข้ามาใช้ มาใส่ในจิตวิญญาณเรามากน้อยแค่ไหน เรามีธรรมเป็น ที่พึ่งบ้างหรือไม่ เรามีธรรมเป็นเกราะ เรามีธรรมเป็นเครื่งอยู่ เรามีธรรมเป็นเครื่องอาศัย เรามีธรรมะ เป็นเครื่องนำพาชีวิตเราก้าวเดินไปหรือเปล่า มันสำคัญอยู่ตรงนั้น เราจะฉลอง กัน 500 ปี 600 ปี 2500 ปี หรือว่าซัก 5000 ปี มันจะไม่มีผลประโยชน์อะไร เลย ถ้าเอาแต่ฉลองกัน แล้วทุกคนไม่ประพฤติธรรม ไม่ระลึกถึงธรรม ไม่แจ่มแจ้งในธรรม ไม่เพียร ไม่พยายามเฝ้ารักษาพระธรรมที่ตัวเองมีนั้น ให้ดำรงคงอยู่ เพราะงั้น จะเป็น 2600 ปี หรือว่า 3000 ปี หรือ 5000 ปี มันก็จะมีแต่วาระ สำคัญๆ ประจำปีเฉยๆ ไม่ได้มีเรื่องราวอะไรที่จะเป็นความสำคัญ หรือปฏิสัมพันธ์งดงาม กับชีวิตเราได้เลย ทำไมเราไม่ทำให้พระธรรมคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า กลายเป็นสิ่งที่มีชีวิตที่อยู่กับ เราได้อย่างตราบนานเท่านาน จนกระทั่งชั่วอายุขัยของเรา แล้วก็ส่งมอบต่อไปยังอนุชนคน รุ่นหลังๆ และลูกหลานให้เรียนรู้ และศึกษาตามวิถีและวิธีแห่งพระพุทธะที่ท่านแสดงไว้ดี แล้ว แล้วก็เอาธรรมะมาเป็นมรดก ธรรมะมาเป็นเครื่องเดินทาง ธรรมะมาเป็นเกราะ ธรรมะเป็นเครื่องกำหนดความคิด ธรรมะมาเป็นเครื่องกำหนดวิถีชีวิต แล้วก็ธรรมะเป็น เครื่องตอบปัญหาของชีวิตได้ ถ้าอย่างนี้ มีพุทธชยันตีทุกวัน มีพุทธชยันตีทุกนาที แล้ววิธีเฉลิมฉลองที่ดีของวิถีพุทธ ก็ อย่างนี้ อย่างที่กล่าวมานี้ มันก็จะทำให้พุทธะเป็นผู้ตื่น ผู้รู้ ผู้เบิกบาน แล้วก็ผู้มีพระชนม์ ชีพอยู่กับเราตราบนานเท่านาน คุณแทนคุณ ครับ เหมือนที่กล่าว มีพุทธพจน์ว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต หลวงปู่ ก็นี่ ก็คือ คุณแทนคุณ ทุกวินาทีที่เรามีสติระลึกได้ หลวงปู่ ใช่ คุณแทนคุณ แล้วก็ปฏิบัติตาม ก็เท่ากับเราบูชาพระองค์ท่านอยู่ หลวงปู่ ก็ธรรมะเป็นอกาลิโก ไม่จำกัดกาล แล้วก็เป็นปัจจัตตัง รู้ได้เฉพาะตน เมื่อเป็น อกาลิโก ไม่จำกัดกาล ประโยชน์อะไรที่เราจะมากำหนดกาลให้เป็นสำคัญๆ นั่นเป็นเรื่อง วิถี โลกคิด วิถีธรรมอย่างเราๆ ท่านๆ ผู้เข้าถึงธรรมแล้ว เค้าไม่สนใจหรอกว่า จะพุทธชยันตีหรือไม่ พุทธชยันตี เพราะเค้าอยู่กับธรรม มีธรรมเป็นเกราะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นเครื่อง อาศัย มีธรรมเป็นนิมิตร คือ เครื่องหมาย แล้วชีวิตเค้าก็อิงอาศัยได้ด้วยพระธรรม แต่ผู้ที่ นานๆ จะเจอธรรมะซักที ก็สนใจหน่อย แล้วความสนใจอย่างนี้ ถามว่า ดีไม๊ ก็ดีกว่าไม่มี เลยแหละ อย่างน้อยก็เป็นริ้วรอยของความงดงามทางจิต ครั้งหนึ่งในชีวิตน่ะ เกิดมาได้ทัน พุทธชยันตี ก็ดีล่ะ ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย แต่ถามว่า จะดีถี่ๆ ดีแบบชนิดที่ไม่ต้องสนใจฤกษ์ ผานาที หรือ เวลาที่ดีๆ ได้ไม๊ เนี่ย ก็ได้ ทำหรือยัง ยัง ก็ลงมือทำดู แล้วจะดีอย่างยั่งยืน ดีถาวร ดีถี่ๆ ดีไม่ใช่นานๆ ทำที 2600 ปี จึงจะมา ฉลองกันซักปี สำหรับชั้นแล้ว ชั้นถือว่า คนมีธรรมะนี่ ชั้นคุยกับนักปฏิบัติธรรมที่เค้าอยู่กับ ธรรมจริงๆ เนี่ยนะ เค้าไม่สนใจหรอก เค้าไม่สนใจหรอกว่า จะ 2500 จะ 2600 3000 ปี 5000 ปี เค้าสมใจแต่ว่า เรามีธรรมเป็นเกราะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็น เครื่องอยู่อาศัย มีธรรมเป็นเครื่องนำพาชีวิตไป และดำรงยืนอยู่ได้ มีชีวิตอยู่ได้ก็เพราะ อาศัยพระธรรม เท่านี้ เค้าถือว่า ทำให้พระพุทธะเป็นที่พึ่งของตน ก็บอกแล้วไงว่า ธรรมะนี่เป็นปัจจัตตัง รู้ได้เฉพาะตน ผู้ใดถึงธรรม ผู้นั้นเห็นพระสุคตเจ้า มีประโยชน์อะไร เราจะฉลอง 2600 ปี แต่ไม่เห็นพระพุทธเจ้าเลย เห็นแต่งานฉลองน่ะ เราเจอแต่งานฉลอง ยิงพลุ อะไรต่ออะไร ก็สารพัดที่จะทำกัน แต่เราไม่เคยเจอพระพุทธเจ้า เลยในนิมิตร ในเครื่องหมาย ในชีวิต ในวิถีคิด ทำ พูดของเราเลย เรายังทำแบบชนิดที่ไม่ ละอายชั่ว ไม่เกรงกลัวผลของบาป ยังมองเห็นความผิดเป็นความถูก เห็นความถูกเป็นเรื่อง เล็กน้อย เห็นความผิดเป็นเรื่องที่ต้องสั่งสมอบรมไว้อยู่เนืองนิจ แล้วยังมองเห็นดำเป็นขาว ขาวเป็นดำอยู่ มันจะไม่มีประโยชน์เลย ถ้าเมื่อใดเรายังมีความเห็นของตนเป็นมิจฉาทิฏฐิ ไม่ใช่สัมมาทิฏฐิ ในหลักสัมมาทิฏฐิ คือ ความเห็นตรง ถูกต้องตามความเป็นจริง เห็นตรงถูกต้องอย่างไร ก็เห็นว่า สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้ดีชั่ว เลวหยาบ ผู้ใดทำกรรมอย่างไร ก็รับผลเช่นนั้น กรรมนี่ มันมี 3 อย่าง อดีตกรรม ปัจจุบันกรรม อนาคตกรรม อย่างนี้เป็นต้น อย่างนี้ เค้า เรียก เห็นตรงถูกต้องเบื้องต้นลำดับที่ 1 เรียกว่า ชั้นอนุบาลด้วยซ้ำไป เห็นตรงถูกต้องลำดับต่อมา เรียกว่า ลำดับที่ 2 คือ เห็นว่า สรรพสิ่งในโลก มันมีเกิดขึ้นใน เบื้องต้น มันตั้งอยู่ แปรปรวนในท่ามกลาง สุดท้าย มันก็แตกสลายในที่สุด มันไม่มีอะไรคง ทน คงที่ ถาวร ตลอดกาลตลอดสมัย สุดท้ายมันก็ต้องดับสลายหายไป ถ้าเห็นแล้วเข้าใจ อย่างนี้ เรียกว่า เห็นตรงถูกต้องในลำดับที่ 2 และลำดับสุดท้าย ก็คือ เห็นว่า ทุกข์มีอยู่จริง เหตุเกิดทุกข์นั้น เพราะว่าคนอื่นทำไม่ได้ เรา เป็นผู้ทำ คือ เห็นทุกข์ เห็นเหตุเกิดทุกข์ เห็นทางดับทุกข์ และเห็นข้อปฏิบัติให้ถึงทางดับทุกข์ อย่างนี้เป็นต้น เห็นตรงถูกต้องในลำดับนี้ ก็ถือว่า ขั้นมหาวิทยาลัยล่ะ จบปริญญาเอก แล้วเราเห็นอย่างนี้หรือเปล่า ถ้าไม่เห็นอย่างนี้ ให้ฉลองไปทุกวัน ให้ฉลองไปทั้งปี มันก็ไม่ ได้ดีอะไร อ้ายที่เค้าบอกมีสัมมพุทธชยันตีขึ้นมา ก็เพราะอยากให้เราสำนึก สำเหนียก ระลึกถึงคำว่า สัมมาปฏิบัติ ข้อต้นข้อแรก ก็พอล่ะ อย่าเพิ่งไปบอกว่า ดำริชอบ ดำริออกจาก กาม ดำริที่จะไม่ทำชั่ว ดำริที่จะทำดี ดำริที่จะพูดดี คิดดี ดำริในเรื่องดีๆ อะไรเป็นความอัปรีย์ ไม่ควรดำริ เอาข้อแรกก่อน ข้อแรกก็คือ ความเห็นของตนให้ตรง และถูกต้องให้ชัดเจนตามนี้ แล้ว ความดำริจะตามมาเอง แต่ถ้าข้อแรกยังเห็นไม่ได้แล้วพยายามดำริ กเหมือนพยายามให้ โจรบริจาคทานน่ะ เหมือนให้คนขี้เหนียวพยายามใส่บาตร เหมือนให้คนเกียจ คร้านพยายามกวาดถู มันก็ยากล่ะ มันลำบากมาก ก็เหมือนกับให้ควายฟังเพลง เดี๋ยวนี้ควาย เค้าฟังนะ ไม่ใช่ไม่ฟัง เหมือนบังคับให้คนนั่งกินเหล้าให้ฟังธรรม มันก็ยากล่ะ งั้น ลำดับต้น ก็คือ ต้องให้หยุดเหล้า เลิกเหล้า ละเหล้า แล้วก็ไม่ตกเป็นทาสของเหล้า จึงจะ มานั่ง เล่า นั่งคุยกันได้ในเรื่องต่างๆ แต่ถ้ายังไม่หยุด ไม่เลิก ไม่ละ มันก็เหมือนเอาธรรมะ ดองเหล้า ธรรมะดองเหล้า ก็คือ เมาไป คุยธรรมะไป เมาไป คุยธรรมะไป เดี๋ยวก็ธรรมะกูดีกว่ามึง ธรรมะมึงไม่ดีเท่ากู ก็เลยต้องฉะกัน ต้องทะเลาะกัน แล้วมันก็เลยกลายเป็นเรื่องเป็นราว ใหญ่โตมโหฬาร งั้น ก็เลยอยากบอกว่า เอาความเห็นก่อน คำว่า สัมมพุทธชยันตี นี่ มันน่าจะมาจากความ หมายนี้มากกว่า จบ คุณแทนคุณ นัยนี้ ผมคิดว่า มีความสำคัญมาก โดยเฉพาะเรื่องพิธีกรรม วิถีธรรม บางที มันไม่ได้ไปด้วยกัน หลวงปู่ ชั้นไม่กระตือรือร้นเลยนะ ชั้นเฉยๆ จะพุทธชยันตี หรือไม่พุทธชยันตี ที่วัดก็ ปฏิบัติธรรมอยู่เนืองนิจอยู่แล้ว จะพุทธชยันตี หรือไม่พุทธชยันตี เราก็มีธรรมเป็นเครื่อง ระลึก เป็นที่พึ่ง ที่ระลึก ที่นับถืออยู่แล้ว งั้น ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราตถาคต หรือ พระสุคตเจ้า ก็ไม่จำเป็นว่า จะต้องมาฉลองอะไร เพราะเรามีพระสุคตเจ้าอยู่ในใจ อยู่ในตัว อยู่ในหัว อยู่ในตา อยู่ในร่างกายเราเรียบร้อยล่ะ เป็นอย่างนี้ มันก็จะจบล่ะ อ้ายฉลองนี่ มันก็ไม่ใช่ไม่มีผลดีนะ มันเป็นการสร้างกระแส จุดกระแส ปลุกกระแส เร่งเร้า กระแส แล้วทำให้เกิดกระแส มันก็อย่างน้อย กระแสของวิถีโลกนี่ มันรุมเร้า ว้าวุ่น ครอบงำ เราอยู่มาก มันก็อาจจะสร้างกระแสวิถีแห่งพุทธ วิถีแห่งธรรม วิถีแห่งปัญญา วิถีแห่งสติ สมาธิ และศีลธรรม ขึ้นมาบ้าง มันก็ไม่ใช่เป็นเรื่องเลวร้าย แต่ถ้าหากว่า คนที่เค้าเข้าถึงธรรม เค้าก็จะมองว่า มันเป็นเพียงแค่เปลือก แค่กระพี้ ไม่ใช่แก่น เหมือนๆ กับที่เราบอกว่า เรา จะไหว้แม่เฉพาะวันแม่ แล้วอ้ายนอกนั้น ไม่มีแม่เลยเหรอ เราก็ไม่ต้องไหว้ อย่างนี้เป็นต้น อย่างนี้ ชั้นก็ไม่เคยเห็นด้วยเลย ถ้าเป็นวันแม่แล้วเราจะไหว้แม่ แล้ววันไม่มีแม่ล่ะ ไม่ใช่ วันแม่ ก็ไม่ต้องไหว้ อะไรอย่างนี้ ไม่ใช่ งั้น ก็อยากจะบอกว่า เลี้ยงแม่ ดูแลแม่ รักแม่ให้ได้ทุกวัน ทุกเวลา เหมือนที่แม่ดูแลและรัก เรา อย่างนี้แหละ เราเป็นผู้เข้าถึงวันแม่อย่างชัดเจน และเป็นผู้มีแม่อยู่ในหัวใจ แต่ถ้าเราจะ มาไหว้แม่เอาเฉพาะวันแม่ ให้ของขวัญแม่เฉพาะวันแม่ แล้วนอกนั้นก็ปล่อยให้แม่เหงา เฝ้าชะเง้อคอยาว ไม่ใส่ใจ ไม่สนใจ อย่างนี้ก็ไม่ดี ไม่ถูกต้อง เมื่อวาน ชั้นกลับมาจากเมืองกาญจน์ ไปปลูกต้นไม้ ปลูกป่า ปลูกมัน ไปซะสัปดาห์หนึ่ง กลับมา ยังมานั่งดูแกกินข้าว เอากับข้าวไปให้แกกิน นั่งดูแกกิน แกก็บอก เอ้า ท่าน มานั่งดู อะไรชั้นล่ะ อ้าว ก็เห็นแกกินข้าว แล้วเรารู้สึกสบายใจ อ้ายนู่นอร่อยไม๊ อ้ายนี่อร่อยไม๊ อะไรอย่างนี้ อ้ายนั่นไม่ถูกปาก อ้ายนี่ก็รสชาติไม่ดี อ้ายนู่นก็แย่ เราก็เลยบอก อย่างนั้น ก็ทำกินเองแล้ว กัน ก็คนเอาไปให้ เข้าใจว่า คนแก่คงจะต้องกินจืดๆ เข้าไว้ แต่ว่าคนแก่ก็กินข้าวไม่ลง ก็อยาก จะกินเปรี้ยว กินหวาน กินมัน กินเผ็ด บ้าง แต่ตามลำดับ ตามอายุขัย แล้วก็ เห็นแกคุย แก กินข้าว เราก็รู้สึกมีความปลาบปลื้ม ปิติสุขใจ อย่างนี้ ต้องมีวันแม่ไม๊ เคยบ้างไม๊ เคยหาข้าวให้แม่กิน มีบ้างไม๊ ที่นั่งอยู่นี่ เคยไม๊ (เคย) เออ หาให้ได้ทุกวัน หลวงปู่นี่ จะบอกให้ได้ทุกวัน ก็ถือว่า เป็นลูกอกตัญญูล่ะ ไม่ใช่ทุกเวลาด้วย ถ้าชาวบ้านให้มา ก็แบ่งส่วนที่เราได้มาไปให้แก แล้วก็เลี้ยงไม่ได้ทุกมื้อ มื้อเช้ากับมื้อเพล บางที อย่างเนี่ย มานี่ ไม่ได้เลี้ยงมื้อเช้า เพราะว่า เราเองก็ยังไม่ได้ฉันเช้า เพราะชาวบ้านเค้าก็ไม่ได้ให้ตอน มื้อเช้า เราก็ไม่ได้แบ่งในส่วนที่เราควรจะได้ เอาไปให้ งั้น พยายามให้ได้ทุกวัน เหมือนกันแหละ เราจะไหว้พุทธชยันตี ก็ไหว้โดยที่เราเคารพพระ ผู้มีพระภาคเจ้าด้วยจิตวิญญาณ ด้วยการทำประโยชน์สาธารณะให้มาก พระพุทธเจ้าทรง สอนอะไร ในวาระสุดท้ายของพระองค์ ภิกษุทั้งหลาย เธอจงยังประโยชน์ตน และประโยชน์ท่านให้ถึงพร้อม ด้วยความไม่ประมาท เถิด แล้วคำนี้ อยู่ในจิตวิญญาณ ในสันดาน ในหัวใจหลวงปู่ ชั่วชีวิต ลองไปสอบถามลูกหลาน ตั้งแต่อยู่ร่วมกันมา ตั้งกี่ 10 ปี ไม่เคยมีวันใด เวลาใดที่หลวงปู่ไม่ดำริถึงประโยชน์ตน และประโยชน์ท่านเลย ไม่มี มีทุกเวลาที่คิด ถ้าเห็นประโยชน์คนอื่นเป็นเรื่องใหญ่ ประโยชน์ตนต้องเป็นรอง เมื่อเดือนที่แล้วที่ผ่านมา นี่จะสิ้นเดือนอีกแล้ว ก็ยังตั้งร้านค้า “คิดไปเอง” ขายสินค้า ราคาครึ่งหนึ่ง ข้าวสารซิ้อข้างนอก 200 5 โล ก็ซื้อที่วัดได้ ร้อยนึง หมูซื้อข้างนอก 120-140 กซื้อในวัดได้ 70 กว่าบาท น้ำตาลซื้อข้างนอกถุงหนึ่ง 25-30 ก็ซื้อ ที่วัดโลหนึ่ง 15 บาท 12 บาท อย่างนี้เป็นต้น นี่ก็เรียกว่า คิดไปเอง คือ คนรวยคิดว่า คนจนซื้อของแพง แต่คนรวยก็คิดว่า มันไม่แพง แต่คนจนน่ะ มันแพงจริงๆ งั้น เราก็เลยหาวิธีปลดเปลื้องภาระกรรม แล้วช่วงนี้ เป็นช่วงเปิดเทอมของชาวบ้านด้วย ลูก หลานชาวบ้านกำลังเปิดเทอม ถึงขั้นขนาดจำนำครก จำนำสากเนี่ย มันก็ไม่ไหวแล้วน้า มันก็ ไม่ได้คิดไปเองแล้วล่ะ เพราะเครื่องมือหากินชิ้นสุดท้ายที่อยู่ในครัวยังเอาไปจำนำเนี่ยนะ มันก็ไม่รู้จะทำประสาอะไร ไม่รู้จะพูดภาษาอะไร แล้วชั้นก็เป็นคนนิ่งไม่ค่อยได้ ลงทุน 4 แสน ขายแล้วได้มา 2 แสน ที่เหลือเป็นกำไรบุญ เหมือนกับเมื่อครู่นี้ คุณปกรณ์กับคุณสุ นันทา เค้านั่งถกกัน เค้าบอกว่า อ้ายหอมจังของเรา เอ๊ นี่มันมาผิดที่หรือเปล่า จะมา ประกาศหอมจัง ไม่ว่ากันนะ มองหน้าเจ้าของดอกบัวคู่ บอกว่า ยาสีฟันเนี่ย เค้าส่งไปญี่ปุ่น แล้วคนญี่ปุ่นใช้ดีมาก แต่ว่าอ้ายหลอดนี่มันมีปัญหากับ อ้ายฝามีปัญหา เพราะหลอดกับฝานี่มันหนามาก แล้วเวลาใช้ มันบีบออกยาก เราก็เลย บอกว่า เวลามันขึ้นเครื่อง ถ้าหลอดบางๆ มันจะโดนความกดอากาศจนแตก จนระเบิด เพราะเคยเอาไปใช้แล้วมันเป็นอย่างนั้น เราก็เลยมาสับเปลี่ยน แล้วใช้ดีมาก เค้าก็เลยบอกว่า ต้องทำเยอะๆ บอกว่า ขายน้อยน่ะ ดีแล้ว จะได้ไม่เจ๊ง เพราะยาสีฟันดอกบัวคู่นี่ เค้าทำที 5 แสนหลอด ล้านหลอด เค้าก็ขายได้ อ้ายเรานี่ ทำครั้งหนึ่ง 5000 หลอด 5 พันหลอดเนี่ย ถามว่ามี ปัญหาไม๊ ก็กระบวนการมันทำยาก มันต้องเอาสมุนไพรมาหมัก หมักแล้วไปทำเป็นผง ทำ เป็นสเตดราย แล้วก็ส่งไปเมืองชลฯ ฉายแสง แล้วก็จึงเอามากวน ใช้เวลากวน 15 วันใน การที่กวนให้มันเป็นครีม แล้วจึงจะมาเป็นยาสีฟันใช้ ไม่ใช่ง่าย เพราะงั้น ขายหลอดละเท่าไหร่ 30 บาท 25 บาท แค่คิดก็เจ๊งแล้ว ขายน้อยน่ะ ดีแล้ว ถ้าขายมาก จะเจ๊งหนักกว่านี้ เออ ก็เลยบอกกับคุณสุนันทาว่า คุณสุนันทาน่ะ เค้าขายได้ ดอกบัวคู่เค้าก็ดี แต่หอมจังดีที่สุด คุณแทนคุณ หลวงปู่ตั้งชื่อ หอมจัง นี่เหมือนกับของญี่ปุ่นเลยนะครับ หลวงปู่ อ้าว ทำไม คุณแทนคุณ ก็เพราะคำว่า จัง หลวงปู่ อ๋อ นี่ชั้นจะตั้งร้านขายข้าวแกง อร่อยจัง อีก จานละ 10 บาท เดี๋ยว เดือนหน้า ต่อไป เราจะทำร้าน เพราะคนที่ไปซื้อข้าวซื้อข้าวสาร ซื้อผักซื้อหญ้า ผักนี่ ชั้นก็ไปสั่งที่เค้า คุณแทนคุณ ออแกนิค หลวงปู่ เออ ไม่มีสารพิษ แล้วก็ ซื้อมา 40 ขาย 20 คุณแทนคุณ เค้าเรียกว่า ขาดทุนคือ กำไร ในหลวงท่านสอนไว้ หลวงปู่ เออ ชั้นกำไรบุญ เพราะถือว่า เงินไม่ใช่ของเรา พ่อแม่เรา ตอนบวช เราไม่ได้พก เงินมา เพราะงั้น ทุกอย่างมันเป็นของชาวบ้าน เงินได้มาจากชาวบ้าน ก็ควรคืนให้ชาวบ้านที่ เค้าเดือดร้อน เค้าลำบาก เราไม่ควรเอาเงินชาวบ้านมาเสพสุข มาสังเวยกามกิเลสของตน โดยที่ไร้สาระ และเลอะเทอะ เปรอะเปื้อน ก็ควรจะให้คืนกับชาวบ้านที่เค้ากำลังตกทุกข์ได้ ยาก ก็เหมือนๆ กับตอนที่น้ำท่วมนั่นแหละ เอาอยู่ แล้วสุดท้าย เอาไม่อยู่ค่ะ ก็เมื่อวานนี้ ไปงานพระราชทานเพลิงศพ วัดราชอุดม เจ้าคุณ เจ้าอาวาสเค้า พอรู้ว่า หลวงปู่ พุทธะอิสระมา เค้าก้มาไหว้ บอก อุ๊ย ขอบคุณมาก อีตอนน้ำท่วม ถ้าไม่ได้บารมีท่าน วัดผม กับลูกน้องผมอดตาย ถาม ทำไม ก็บิณฑบาตรไม่ได้ น้ำแค่อก แล้วก็ไม่มีใครโผล่เข้ามาเลย แถวหนองแขม แล้วหลวงปู่ก็เลย ให้รถ 10 ล้อบรรทุกข้าวไปให้ทุกวันเลย เป็นเดือนน่ะ กว่าน้ำจะลด ไปแจกหัวตรอกท้าย ตรอก นักการเมืองเค้าก็ดีนะ พอเห็นรถเราไป มันกวักมือเรียกเลยล่ะ กวักมือเรียกแล้วทำไง รู้ไม๊ กระโดดขึ้นรถ คว้าโทรโข่ง พี่น้อง บัดนี้ เราเอาช้าวมาแจกให้ท่านแล้ว ดู๊ มันพูดไปได้ หน้าด้านๆ ของก็ของเรา แต่มันดันไปพูด บัดนี้ เราเอาของมาแจก อ้าว นี่ไม่ได้คุยนะ เออ มันก็ทำไปได้ แต่ไม่ต้องเอ่ยชื่อว่าพรรคไหนหรอกนะ ปล่อยไปเฮอะ พรรคที่เค้าเป็น อยู่ทุกวันนี้แหละ อะไรก็ไม่รู้ล่ะ ดูมันทำได้ ทำไปเฉยๆ อย่างนั้น ทั้งๆ ที่ในรถมันของเรา ทั้งนั้น มันยังหน้าด้าน พี่น้อง บัดนี้ เราได้เอาข้าวมาแจกพวกท่านแล้ว ใครต้องการ ขอให้ ออกมาหน้าบ้าน เอ๊ย ยืนโบก ลูกน้องเราก็เลยหันมามองหน้ากัน แล้วก็กระซิบ ทำไงครับ ช่างมัน มันเรื่องของมัน อ้ายพวกนี้ ตายไปวันหลัง มันไม่มีตีน ตีนกับมือไม่มี มันจะมีแต่ หน้า แล้วก็เอาหน้าไถพื้นไป เกิดเป็นหอยไง หอยทากไง หน้าใหญ่ไง หน้ามันจะใหญ่กว่าตัว แล้วเอาหน้าไถ ทำบุญอยากเอาหน้า มันต้องเป็นอย่างนี้ มีแต่หน้าไง เออ เอาหน้าไถไป ตามพื้น ตามโคลนตม งั้น ช่าง ใครอยากทำอะไร ทำ เราถือว่า เราทำแล้วสบายใจ อย่างนี้ เค้าเรียกว่า ปิดทองหลัง พระ ทำแล้วไม่ต้องการเสนอหน้า ทำแล้วไม่ต้องโชว์หน้า ทำแล้ว บุญนี่เวลาทำ ไม่ต้องเอาหน้า ได้บุญไม๊ (ได้) ต้องให้คนชม แล้วจึงจะได้บุญใช่ไม๊ ไม่มี ทำปุ๊บ ได้ปั๊บ เราทำ เราได้ ทำจากใจ มึงด่า กูก็ยิ่งได้ใหญ่ ถ้าเราทำบุญ แล้วโดนชาว บ้านด่า แล้วเรายังกล้าทำต่อ กลับบุญเพิ่มเป็น 10 เท่านะ เพราะใจเราไม่ตกไง จิตเราไม่ กังวล ไม่วิปลาส ไม่ทุรนทุรายกับคำด่า คำชม เยินยอ สรรเสริญ เพราะเรายังมั่นคงอยู่ใน กุศลและบุญของเราอย่างคงที่ คุณแทนคุณ แต่ต้องตั้งในสัมมาทิฏฐิ หลวงปู่ อ้าว ใช่ ง่ายๆ ต้องมองให้เห็นชัดๆ วิธีง่ายๆ ในการที่เชื่อกรรม เชื่อสัตว์โลกเป็น ไปตามกรรม กรรมย่อมจำแนกสัคว์ให้ดีชั่วเลวหยาบ พอเชื่ออย่างนี้ แล้วก็เชื่ออย่างสนิทใจ เชื่อแบบมอบกายถวายชีวิต ใครว่าไง ก็ช่าง หลวงปู่เนี่ย หอมจังหลวงปู่ผลิต เค้าบอกว่า คนที่เค้าคุมผลิต หลวงปู่ มันเจ๊งแล้วนะ มันเจ๊ง เออ ช่างมันเฮอะ ทำบุญ ใครใช้ของเรา ก็เดี๋ยวมันก็เกิดชาติหน้า มันก็เป็นขี้ข้าเรา วันหน้า เดี๋ยวมันต้องมาสีฟันให้เรา ใช้สบู่ เดี๋ยวเกิดชาติหน้าก็เป็น อ้าว ทำบุญ ทำไปเรื่อยๆ ทำจน ไม่มีจะทำ ทำมันไป นี่ก็ให้เค้าเตรียมทำกองผ้าป่า เดี๋ยวจะไปช่วยโรงเรียนน้ำท่วม ที่ผ่าน มาโรงเรียนเค้าได้เงินช่วยเหลือจากรัฐบาลมาแสนเดียว ห้องคอมพิวเตอร์เจ๊ง อาคารเรียนเจ๊ง สนามหญ้าเจ๊ง ส้วมเจ๊ง ทุกอย่างเจ๊ง ได้มาแสนนึง เค้าบอกว่า โรงเรียนจะเปิดเทอมห้อง เรียนยังหาไม่ได้ เพราะจะอาศัยชาวบ้านๆ ก็ยังเก็บเกี่ยวไม่ได้ เพราะน้ำลดไม่ได้นาน เค้า เขียนหนังสือมาขอ เดี๋ยวเสร็จจากงาน เสร็จเดือนนี้ ก็จะไปทอดผ้าป่าให้เค้า ก็รีบไปขุดมัน ปลูกมันไว้ มีที่ว่าง ก็ให้ทหารปลูกๆ แล้วก็ไปคุมเค้า ขุดมัน เอามันไปขาย แล้วเอาสตางค์ไปให้โรงเรียนเค้า แล้วนึกว่าจะได้มันราคาแพง รัฐบาลเค้าประกัน 2.80 คนเค้าเลยบอก ไปขายรัฐบาลเอง แล้วมึงซื้อเท่าไหร่ ซื้อ 1.80 มันลด ก็วันนี้เค้าบอก ฝนตก ลดเหลือ 1.50 เออ เมื่อเข้าโทรถาม บอกเหลือ 1.50 งั้น ก็ขาย เผื่อจะได้อีกสักแสน 2 แสน กะว่าจะเอาไปทำบุญ ไปช่วยเค้า คนเค้า กรรมการวัดเค้าบอกว่า ตาเราไม่ดี รีบไปทำตาก่อนเถอะ คุณสุนันทา เค้าโวย ท่าน เนี่ย ไม่รู้จักอะไรสำคัญแรก สำคัญรอง อ้ายเด็กที่มันอยู่ในโรงเรียนน่ะ กี่ร้อยชีวิต มันสำคัญว่าอ้ายลูกตา 2 ข้างเนี่ย เพราะถ้ามัน ไม่มีอาคารเรียน มันอยู่ไม่ได้ มันลำบาก มันอยู่ทุกข์ยาก คนอื่นต้องสำคัญกว่า งั้น ถ้ารู้จักคิดกันแบบนี้กันทุกคนเนี่ยนะ เป็นผู้มีธรรมเป็นที่พึ่ง มีธรรมเป็นเกราะ อยู่ได้ อาศัยอิงพระธรรม ไม่ต้องกลัว ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ อยู่ที่ไหน ใครจะด่า จะพ่น จะ ก่น จะเหยียบ จะย่ำ จะเผา จะทำลาย ยังไงมันก็เป็นทอง หลวงปู่เขียนบทโศลกเอาไว้ว่า เพชรแท้ ไม่กลัวการเจียรไน ทองแท้ ไม่กลัวการเผาไฟ เหล็กแท้ ไม่กลัวการทุบตื คนดีแท้ๆ ไม่กลัวการพิสูจน์ ทองน่ะ เผาให้มันละลายยังไง มันก็สีอะไร สีทอง เพชรเจียรไนจนเป็นฝุ่น เป็นผง เค้าก็เรียกว่า ผงเพชร กากเพชร ฝุ่นเพชร ละออเพชร มัน ไม่เป็นฝุ่นธุลีดินไปได้หรอก งั้น คนดี อยู่ยังไง ก็ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ แต่สำคัญ มันต้องดีจริงนะ อย่าดีนานๆ ที ต้องดีถี่ๆ ดีต่อเนื่อง ดีทุกนาที ดีตลอดเวลา อย่างนี้ เค้าเรียก คนดี ผู้ดี ทำดี พูดดี คิดดี แล้วต้องให้คนอื่นชมไม๊ ไม่ต้อง ให้คนมานิยมยกย่อง ก็ไม่ต้อง เหมือนกับที่อ้ายลูกศิษย์หลวงปู่ มันไปแจกข้าวทุกวันๆ เป็นเดือนๆ หลวงปู่ วัดอื่นเค้าแจกกัน แค่ข้าวสาร 300 ถุง มาม่า 500 ซอง เค้าลงหนังสือพิมพ์หน้า 1 แล้ว หลวงปู่นี่แจก มาเป็นเดือน 3 เดือนเนี่ย หมดเงืนไป 28 ล้าน ไม่เห็นลงหนังสือพิมพืหน้า 1 เค้าบ้าง เลย มึงอยากลงใช่ไม๊ อยาก มึงเดินไปตีหัวตำรวจซักที เดี๋ยวมึงก็ได้ลง หรือ ตีหัวชาวบ้านซักโป๊กนึง เดี๋ยวมึงก็ได้ลง หนังสือพิมพ์ เพราะหนังสือพิมพ์มันจะลงเฉพาะข่าวร้าย ข่าวร้ายหน้า 1 ข่าวดีหน้าสุดท้าย แล้วถ้าอยากได้ลงข่าวดีหน้า 1 ต้องจ่ายสตางค์ ก็แสดงว่า อ้ายพวกที่ได้ลง มันต้องเสีย สตางค์ มันถึงได้ลงหน้า 1 แล้วเราทำไมต้องเอาสตางค์ไปเสีย เอาหน้ามาทำอะไร เอาตังค์มา ยังได้เลี้ยงชาวบ้าน เอาหน้ามา มันใช้อะไรไม่ได้ มันไม่มีความจำเป็นต้องใช้ ก็เล่าให้ลูกหลานฟังว่า ทำดีไม่ต้องให้ใครเค้าชม ไม่ต้องให้ใครเค้านิยมยกย่อง เพราะดี เป็นของเรา เราดื่มน้ำ คลายกระหายฉันใด ความดีเมื่อเกิดขึ้นกับเรา เราได้พึ่งพาอาศัยได้ ฉันนั้น จบ ใครมันแกงมัสมั่นวะ ชักหิวแล้วสิ คุณแทนคุณ .....ทีนี้ กลับมาถามเรื่อง วิธีป้องกันให้ความเป็นรากเหง้าของพุทธะ ยังดำรงอยู่อย่างใกล้เคียงกับเดิม เช่นว่า สังคายนาใหม่ได้ไม๊ หรือออกกฏหมายมารองรับ จะช่วยค้ำประกันความมั่นคงของพุทธศาสนาได้ใครับ หลวงปู่ ก็ต้องทำความเข้าใจเบื้องต้นก่อนว่า ปัจเจกพุทธ ปัจเจกชน ปัจเจกบุคคล มันไม่มี ระบบ มันไม่มีระเบียบ ไม่มีกติกา เพราะเป็นคุณสมบัติของปัจเจกชน คือ ของบุคคล ไม่ เป็นสาธารณะ คนบางคน อย่างเช่น พระปัจเจกพุทธเจ้า เราก็คิดว่าเราปฏิบัติธรรมเฉพาะตน สมมุติว่า หลวงปู่ เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า หลวงปู่ก็จะไม่สนเรื่องอื่น จะไม่วุ่นวายกับสิ่งอื่น คือ พัฒนาตนให้พ้นจากทุกข์ ให้พ้นจากภัยแห่งวัฏฏะ พอ จบ นี่เค้าเรียก ปัจเจกชน ปัจเจก พุทธเจ้า หรือ ถ้าเป็น พระพุทธเจ้า ในชั้นปัจเจกพุทธเจ้า ก็สั่งสมอบรมบารมีที่จะเป็นพระปัจเจก พุทธเจ้า โดยไม่เป็นสาวกภูมิของใคร ไม่เป็นสาวกกับผู้ใด แต่เป็นผู้ตรัสรู้ชอบด้วยตัวเอง แล้วไม่สอนคนอื่น อย่างนี้ ก็ไม่จำเป็นมาเป็นอะไรเยอะแยะมากมาย เพียงแค่ว่า สั่งสม ปัญญาเยอะๆ ฝึกสติเยอะๆ สมาธิเยอะๆ ใครจะบ่น จะก่น จะด่า หรือจะเรียกร้องให้ช่วยหลือ พอกพูนบุญกุศล คุณงามความดี บารมีใดๆ ก็ช่าง ไม่สนใจ อย่างนี้ เค้าเรียก พวกปัจเจกชน แต่โพธิญาณ โพธิธรรม โพธิจิต และโพธิศรัทธา โพธิบารมี มันสั่งสมมาคนละเรื่อง มัน ต้องสั่งสม อบรมบริษัทบริวาร เพราะการที่จะมีคนมารับฟังคำสอนของตนเนี่ย ไม่ใช่แค่ เจอหน้าแล้วได้ฟัง แม้ตัวอย่างเช่น ครั้นที่พระผู้มีพระภาคเจ้าสมณะโคดมของเราองค์ ปัจจุบันเนี่ยนะ ตรัสรู้ใหม่ๆ เนี่ย อุปกาชีวกท่านเดินผ่านมา เจอพระผู้มีพระภาคเจ้า เห็น รัศมี สีพระกายผุดผ่อง ใบหน้าแจ่มใสดุจพระอาทิตย์ยามเที่ยงวัน ทั้งๆ ที่เวลาก็ล่วงเลยมา แล้วเนี่ย แล้วก็มีกลิ่นกาย มีพระรัศมีสดใสมากมาย ก็เลยถามว่า ท่านชอบธรรมของใคร ใครเป็นศาสดาของท่าน พระพุทธเจ้าบอกว่า ข้าพเจ้าชอบธรรมในตัวเรา ชอบธรรมที่เรา ตรัสรู้ได้ ไม่มีใครเป็นศาสดาของเรา ตัวเราเป็นผู้ตรัสรู้ชอบได้ด้วยตนเอง อุปกาชีวกเนี่ย แทนที่จะสนใจ สดับตรับฟัง ถามไถ่ปัญหาธรรม ไม่ เพราะอะไร อรรถคถาท่านอธิบายเอาไว้ว่า เพราะอดีตของอุปกาชีวกไม่เคยสั่งสมบารมีกับพระผู้มีพระ ภาคเจ้า คือ ไม่เคยฟัง ไม่เคยสั่งสนทนา ไม่เคยใยดี ไม่เคยดูดาย ไม่เคยใส่ใจ เพราะฉะนั้น เหมือนกับคนอื่น ไม่ได้เป็นญาติทางธรรม ไม่ได้เป็นสหธรรมิกกันมาแต่ อดีตชาติ พอมาปัจจุบัน แม้เจอพระพุทธเจ้า ก็ไม่สนใจ เหมือนกับสัญชัยปริพาชก ก็ไม่เคย ได้ฟังธรรมมาแต่อดีตชาติ คือ สมัยที่พระพุทธเจ้าเกิดเป็นพระเจ้า 500 ชาติ เป็นอะไรๆ ก็แล้วแต่ สัญชัยปริพาชกก็ไม่เคยเกิดร่วมชาติ หรือแม้เกิดร่วมชาติ ก็ไม่ศรัทธา ไม่เลื่อมใส ไม่สดับตรับฟัง ไม่ร่วมสั่งสนทนา แม้ที่สุด ก็ไม่ได้ร่วมบุญร่วมกุศลด้วย สุดท้ายพอมาเกิด ได้ทันพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าตรัสรู้ แสดงธรรม ลูกศิษย์บอกว่า อาจารย์ บัดนี้มีพระ อรหันต์สัมมาสัมพุทธะเกิดขึ้นแล้ว เราไปฟังธรรมเถอะ สัญชัยปริพาชกกลับบอกว่า พระสมณะโคดมสอนคนฉลาดหรือคนโง่ สอนคนฉลาด อย่าง นั้นคนโง่ในโลกมีมากกว่าหรือคนฉลาดมีมากกว่า คนโง่มากกว่าคนฉลาด อย่างนั้น สมณะ โคดมจงสอนแต่คนฉลาด ข้าจะสอนแต่คนโง่ นี่ ก็เป็นวิถี ถามว่า เพราะอะไร ก็ไม่ได้สั่งสมบารมีไง เพราะฉะนั้น บารมีนี่ มันเป็นเรื่องราวที่ใครก็ปฏิเสธไม่ได้ กว่าจะมา เป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นลูกกันนี่ ไม่ใช่อยู่ดีๆมาเป็นนะ กว่าจะมาเป็นผัว ไม่ใช่ปลากัด แล้วอยู่ กันคนละคอก แล้วมองแว๊บ ท้องเลยไม่ใช่นะ อยู่กันคนละขวด มาเทียบกันหน่อย ท้องแล้ว ไข่ออกแปร๊บแล้ว ไม่ใช่นะ มนุษย์นี่มันต้องสั่งสมมา ไม่ใช่เป็นแม่กันชาติเดียว ไม่ใช่เป็น พ่อกันชาติเดียว หรือว่าเจอแล้วเป็นพ่อเป็นแม่ ไม่ใช่ มาเจอแล้วเป็นผัวเป็นเมียก็ไม่ใช่ แต่ มันต้องสั่งสมมาเป็น อู้หู อสงไขย มหากัปล์ ไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ ไม่รู้ ใครจะเป็นเจ้ากรรม ใครจะเป็นนายเวร ใครจะเป็นลูกกรรม เป็นหนี้กรรมใคร ก็ไม่รู้ มันขึ้นอยู่กับปัจจุบันนี้ เด็กคนนี้ ลูกคนนี้ ผัวคนนี้ เมียคนนี้ มาทำประโยชน์ให้ไม๊ ถ้าไม่ทำ ประโยชน์ เอาแต่โทษ แสดงว่า อ้ายนี่ มันเจ้าหนี้เรา แสดงว่า เราเป็นหนี้มัน ต้องมาใช้หนี้ มันต่อ แต่ถ้ามันให้ประโยชน์เราเสมอกับโทษ อย่างนั้นมีง ก็ ห้าสิบ ห้าสิบ หนี้บ้าง ใช้หนี้บ้าง ปนเปกันไป แต่ถ้ามีแต่ประโยชน์ ไม่มีโทษเลย เค้าเรียกว่า อภิชาติบุตร บุตรผู้ใช้หนี้กรรมเก่าจนหมดสิ้น อย่างนี้เป็นต้น งั้น การสั่งสมบารมีธรรม พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ทำ แต่ทำเฉพาะตน แต่พระสัมมาสัมพุทธ เจ้าไม่ได้ทำเฉพาะตน ผู้ที่ปรารถนาเป็นพระศาสดา ปรารถนาจะสั่งสมอบรม สั่งสอนพุทธ สาวกในภายภาคหน้า ก็ต้องทำอย่างนี้ ทำยังไง ก็ทำอย่างที่หลวงปู่ทำ ใครเค้าลำบากตรงไหน กูไป ใครเค้าเดือดร้อน ทุรนทุรายตรงไหน กูไป ใครเค้าอดอยาก ลำบาก ปากแห้ง มีปัญหาไม่ว่าจะศาสนาใด สมัยก่อน สึนามิ หลวงปู่ไปอยู่ ในหมู่บ้านอิสลาม เอ้า คุณก็ไปกับชั้นนี่ คุณแทนคุณ ไปครับ ที่เกาะ หลวงปู่ เกาะลันตา เออ เกาะพระทอง เกาะลันตา ไปทางใต้ ผู้ว่าฯ เค้าห้ามไม่ให้อยู่ นาย อำเภอก็ห้ามไม่ให้อยู่ บอก เออ ชาติหน้า กูจะได้มีสาวกหลายๆ ศาสนา คุณแทนคุณ มีเกาะเป็นของตัวเองด้วย หลวงปู่ อ้าว จริงๆ ไปสร้าง ชั้นไปสร้างบ้าน สร้างศาลาประชาคม คุณแทนคุณ หลวงปู่เลื่อยไม้เองด้วย หลวงปู่ เออ เลื่อยไม้ ขุดหลุม คุณแทนคุณ ตอกตะปู หลวงปู่ ตอกตะปู ทำทุกอย่าง ถามว่า ศาสนาพุทธ ไม่ ศาสนาอื่น อิสลาม เราก็ไปอยู่เป็น เพื่อนฝูงกัน ไปคุยกัน ตกเย็นก็มารวมกลุ่มกัน ถามคุณอี้ คุณอี้เค้าก็ไปนอน ไปติดอยู่หลาย วันอยู่ล่ะไปอัดรายการแล้วถือโอกาส ไม่มีค่ารถกลับมั๊ง ก็เลยนอนอยู่หลายวัน ไปช่วยชั้นทำ ก็อยู่กันอย่างนั้นแหละ เพราะงั้น มันเป็นวิถี เป็นวิถีชีวิตในอุดมคติ และอุดมการณ์ที่เราวาง เพราะงั้น คำว่า หลักของสัมมาทิฏฐิ แต่ละคนมีสิทธิ์จะตั้งความคิดและอุดมคติของตนว่า เราจะเป็นอะไร เราจะเป็นผัว เราจะเป็นเมีย เราจะเป็นแม่ เราจะเป็นพ่อ เราจะเป็นครู เรา จะเป็นทหาร เราจะเป็นตำรวจ เราจะเป็นนักบวช เราจะเป็นสมณะ เราจะเป็นอลัชชี เราจะ เป็นอ้ายทุเรศ หรือจะเป็นคนดี หรือ จะเป็นคนวิเศษ เราก็ทำได้ แล้วอย่าตระบัดสัตย์ อย่า ทรยศ อย่ากบฏต่ออุดมคติ อุดมการณ์ของเรา คุณแทนคุณ เป็นอธิษฐานบารมีธรรม หลวงปู่ ใช่ จัดเป็น 1 ใน ทศบารมี อธิษฐานบารมี งั้น สัจจะ ความจริงใจเนี่ย ทำให้เกิดตบะ เกิดเดช เกิดศักดา เกิดอานุภาพ พูดแล้วทำให้ เทวดาครั่นคร้าม มนุษย์เกรงกลัว ผู้คน ญาติมิตรทั้งหลายก็เกรงใจ แต่ถ้าไม่มีสัจจะ พูดเหลอะแหละๆ กลิ้งไปเป็นเหมือนน้ำร่อนอยู่บนใบบัว อ้ายคนพวกนี้ เกิดกี่ภพกี่ชาติก็จะไม่ใครเชื่อถือ ไม่มีเครดิต ไม่มีใครนับถือ ไม่มีใครยอมรับ สุดท้ายแม้ พยายามทำดีอย่างไร ก็ไม่ได้ดีอย่างที่ได้ เพราะมันไม่มีสัจจะในตัวเอง ไม่มีใครยอมรับใน ความดีที่ตัวเองทำ งั้น ใครทำอย่างไร ได้อย่างนั้นจริงๆ เชื่ออย่างนี้เป็นสัมมาทิฏฐิ ที่จริง เมื่อกี้ คุณถามเรื่อง วินัย เรื่องสังคายนา มันจะสังคายนาได้ยังไง เพราะบุคคลที่จะทำหน้าที่สังคายนา ยังไม่รู้ว่า เป็นพระหรือเป็นนักบวชหรือไม่เลย ก็เมื่อ 2 วัน ชั้นจัดรายการโทรทัศน์ จริงๆ ไม่ได้เข้า มาจัด ก็ใช้โทรศัพท์ คุณแทนคุณ โฟนอิน หลวงปู่ เออ โฟนอินเข้ามา ไม่โฟนอิน ยืมโทรศัพท์อ้ายคนขับรถ ไม่ได้โฟนอิน โฟนอิน เค้าเมื่อวาน เราไม่โฟน ก็เค้าถามเรื่องปัญหาวัดๆ หนึ่งอยู่ใกล้ๆ วัดพระแก้ว รองสมภาร โดนปลดพักงาน 3 ปี โทษฐานว่า ข้อหา ชั้นก็ไม่รู้รายละเอียดนะ เห็นพิธีกรเค้าอ่านให้ฟัง ให้ชั้นวิสัชนา เค้าบอกว่า รองสมภาร จะยักยอกหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ที่รู้ๆ ก็คือ เงิน 50 ล้านหรือ 40 ล้าน ไปฝากธนาคาร นานเท่าไหร่ก็ไม่ได้แจ้ง แต่ว่า ดอกมันหาย ดอกเบี้ยมันหาย พอ ดอกเบี้ยมันหาย คณะสงฆ์ก็ติดตามทวงถาม ก็ไม่พยายามบอก จนสุดท้ายต้องสอบ ก็เลย เอามาคืน อย่างนี้ จะมีปัญหาไม๊ เราก็เลยถามว่า อ้าว แล้วคณะสงฆ์ที่นั่นตั้งวินัยธรขึ้นมาหรือเปล่า อันนี้มันตรงกับวินัย ใน 1 ของปาราชิก ข้อที่ 4 บอกว่า ภิกษุขโมยของเขา หรือว่าขโมยของที่ชาวบ้านเค้าไม่ให้ ตั้งแต่ราคา 5 มาสกขึ้นไป อย่างเช่น ยกพ้นพื้น เส้นผมรอดได้ ขาดความเป็นพระ เป็น ปาราชิก แล้วในกรณีดอกเบี้ยเงิน 40 ล้าน มันเดือนละเท่าไหร่ ปีละเท่าไหร่ แล้วฝากมา แล้วกี่ปี มันเกิน 5 มาสก 5 มาสกก็คือ ทองคำ 20 เมล็ดข้าวเปลือก เพราะงั้น เมื่อยก พ้นพื้น เส้นผมรอดได้ เป็นปาราชิก แต่เค้าไม่ตั้งวินัยธรกำกับ แต่ใช้หลักของการปกครอง ชาวบ้าน เอามาปกครองคณะสงฆ์ ก็คือ สอบทั้งคดีแพ่งว่า ให้คืนเงินเก่า ก็จบ แล้วพักงาน เหมือนกับข้าราชการ เราก็เลยบอกว่า แล้วคนพวกนี้จะมาทำสังคายนาอะไร คุณแทนคุณ อ้าว แล้วคดีอาญา ทางสงฆ์มีไม๊ครับ กรณีอย่างนี้ หลวงปู่ ไม่ต้องอาญา ลักษณะอย่างนี้ เค้าเรียกว่า ยักยอก คุณแทนคุณ ขาดจากความเป็นพระ หลวงปู่ เออ มันขาดด้วยความเจตนา คือ มันมีไขยจิตที่จะเอา ที่จริงแล้ว เค้ามีที่ไม่เป็น อาบัติ อย่างเช่น คุณกับชั้นรู้จักสนิทกันมาก แล้วคุณวางตังค์ไว้ แล้วเผอิญชั้นจำเป็นต้องใช้ ตังค์ ก็หยิบตังค์คุณไปใช้ อย่างนี้ไม่อาบัติ เพราะถือว่าเป็นดองกัน เป็นเพื่อนกัน เป็นคน สนิทสนมกัน เค้าเรียกว่า ถือวิสาสะ แล้วมีแล้ว เอามาคืน แต่คณะสงฆ์ นี่ไม่ได้ สมบัติเป็น กลางเนี่ย จะวิสาสะกับพระองค์ไหนน่ะในวัดล่ะ คุณแทนคุณ เดี๋ยวทุกคนก็อ้างหมด ถือวิสาสะบ้าง หลวงปู่ อ้า ถือวิสาสะ ไม่ได้ กฏหมายข้อนี้ ก็ไม่เห็นมีหนังสือพิมพ์ลงว่า เค้าได้ตรวจสอบ เป็นเรื่องของพระวินัยว่า พระองค์นี้ ยักยอก นี่เค้าเข้าข่ายยักยอกในปาราชิกนะ เข้าข่าย ยักยอกในทรัพย์ที่เกินกว่า 5 มาสก แล้วยักยอกไป ซึ่งจะอ้างว่า เอามาคืนแล้ว แม้เอามา คืนแล้ว เธอก็ขาดแล้วในขณะที่สมบัตินั้นเป็นของเธอ คุณแทนคุณ ความผิดเกิดขึ้นแล้ว หลวงปู่ เอ แต่ก็ไม่มีการเสวนากันไง ไม่มีการตรวจสอบ ไม่มีการตรวจทาน ไม่มีการ สอบ แล้วนั่นเค้าเป็นถึงเจ้าคุณนะ เป็นชั้นราช ชั้นอะไรต่ออะไรน่ะ แล้วอ้ายกระจอกๆ อย่างชั้น พระขี้ราดอย่างชั้น มันจะได้อะไรขึ้นมา จะไปเสวนา จะไปสืบทวน สอบทาน เงิน ชาวบ้านเค้าให้มาเพื่อคณะสงฆ์ แต่ไปเสพสุข สังเวยตัวเอง บำรุงกามกิเลสตัวเอง ที่จริงแล้ว มันปรับอาบัติตามราคาเงินนะ อาหารนี่ เค้ายังปรับทุกคำกลืนเลย แต่พวกนี้เค้า ศีลสแตนเลส มันไม่ขาดไง ศีลสแตนเลสนี่มันจะไม่ขาด อ้ายชั้นนี่ มันศีลด้าย เดี๋ยวขาดๆ เราต้องพยายามรักษา กลัวเดี๋ยวศีลมันจะขาด พวกเค้าศีลสแตนเลส ศีลเหล็ก ศีลไหล ขาด ไม่ได้ เออ เพราะเค้าคงทน ศีลเสริมใยเหล็ก ชั้นก็เลย ที่คุณถามว่า จะมีสังคายนาพระธรรมวินัย คุณแทนคุณ ชำระพระคัมภีร์ พระไตรปิฎก หลวงปู่ เอาใครมาสังคายนา ก็เหมือนกับคนเขียนรัฐธรรมนูญ คุณแทนคุณ หา ส.ส.ร หาอะไรต่างๆ หลวงปู่ เออ พระวินัยนี่ มันเป็นไปเพื่อความพ้นสภาพจากกาม ไม่ตกเป็นทาสของกาม ไม่อยู่ในอำนาจของกาม ไม่ดิ้นรนขวนขวายแสวงหากาม แล้วเอาคนมีกาม ตกเป็นทาส ของกาม มาสังคายนาพระธรรมวินัย แล้วมันจะเหลืออะไร คุณแทนคุณ เอาขี้เมามาออกกฏหมายห้ามดื่มเหล้า หลวงปู่ เออ เหมือนเอาคนชอบเล่นหวย มาเขียนกฏหมายเล่นหวยแหละ มันก็บอกให้ เล่นได้ 3 เวลา คุณแทนคุณ แต่พระไตรปิฎกก็ถือว่าเป็นหลักได้ไม๊ครับ ถ้าเราจะตาม หลวงปู่ พระไตรปิฎกเล่มไหน เล่มปฐมเริ่มต้นที่เค้าปฐมสังคายนา ทั้งหมดเป็นผู้พ้นแล้ว จากบ่วงแห่งกรรม คุณแทนคุณ เป็นพระอรหันต์ทั้งหมด หลวงปู่ เออ แต่ชั้นหลังๆ เนี่ย ก็บริโภคกามกันเป็นทอดๆ งั้นเราจะเชื่ออะไรตรงไหนได้ บ้าง ก็ต้องไปค้นเอาเล่มแรกๆ ต้นๆ ที่คนที่พ้นจากกามเขียน นั่นแหละมาเป็นบรรทัดฐาน แต่ชั้นหลังๆ นี่ พวกมีกามเขียนทั้งนั้น เหมือนกับกฏหมายบ้านเมืองเนี่ย เมากาม เขียนเล ยะล่ะ ไม่ใช่มีอย่างเดียว เมาเลยล่ะ เมาในสภาเขียนกันเลยล่ะ แล้วมันจะเอาที่ไหนมาบริสุทธิ์ เพราะงั้น มันก็อย่างที่คุณถามว่า อายุขัยของพระศาสนาก็จะเรียวลงแบบประมาณนี้ไง ก็ เอาคนมีกาม มาปกครอง เอาคนมักมากในกาม มาเป็นเจ้าคณะปกครอง เดี๋ยวนี้ ก็ไม่ต่าง อะไรกับ พูดตรงๆ นะ ห้ามตัด ไม่ต่างอะไรกับตำรวจ ทหาร คุณแทนคุณ เป็นระบบราชการ เป็นระบบของ หลวงปู่ ไม๊ ใครอยากเป็นอะไรล่ะ อยากเป็นเจ้าคุณ น่ะง่ายมาก เอาตังค์ไปใส่ซอง เดี๋ยวก็ ได้เจ้าคุณ ถอยรถซักคัน ตังค์ใส่ซอง หรือว่า ตั้งให้ท่านเลยเป็นเงินเดือน เดือนหนึ่ง 4ซ้า 5 แสน 5 หมื่นก็ว่าไป เดี๋ยวก็ได้เป็นเจ้าคุณ เป็นชั้นนู้น ชั้นนี้มา ไม่ยาก คุณแทนคุณ ครับ หลวงปู่ เคยเป็นเจ้าคณะปกครองอยู่ รู้ สมัยก่อนนี้ เคยเป็นเจ้าปกครอง นี่ มีใส่ซองมา ถาม มาทำไม ไปสอบอธิกร แล้วผลปรากฏว่า มันผิด รุ่งขึ้นมา มา เค้าเรียกอะไร คุณแทนคุณ ใต้โต๊ะฮะ หลวงปู่ ไม่ใช่ใต้โต๊ะล่ะ ข้างหน้าโต๊ะเลยล่ะ คุณแทนคุณ บนโต๊ะเลย หลวงปู่ ใส่ซองมา จีวรมา พวงมาลัยมา เอามาทำไม ผมมาถวายหลวงปู่ ถวายผมเนื่องในงานอะไร ก็อยากให้หลวงปู่ได้ช่วยผมหน่อย ช่วยท่านเรื่องอะไร ช่วยให้ผม คุณแทนคุณ พ้นมลทิน หลวงปู่ เออ พ้นจาการโดนสอบ ท่านผิดธรรม ผิดวินัยไม๊ ผิด ถ้าผิด ผมช่วยท่านไม่ได้ แต่ถ้าไม่ผิด ผมช่วยท่านได้ ไม่ต้องเอามาให้ผมก็ช่วย แต่ถ้าผิด ธรรมผิดวินัย ไปซื้อหวย ขายหมูวัด ตัดต้นไม้ขาย เป็นเจ้ามือหวยเถื่อน เล่นโต๊ะแชร์ เล่น บอลล์ แล้วจะมาบอกว่า ให้ผมช่วย เอาของท่านคืนไป ผมมีปัญญาหาได้มากกว่านี้ เออ บอกเอาไปเฮอะ มันน้อยไป บอก เอ๊าไป๊ กูไม่เอา เนี่ย ประมาณนี้แหละ โอ้โห ผ่านมาแล้ว เจอมาแล้ว งั้น ก็เลยอยากบอกว่า มันไม่ได้ต่าง อะไรกันหรอก ไม่ต่างอะไรกับ ตอนนี้ ก็ต้องอาศัยธรรมอย่างเดียว ตอนนี้ที่บริสุทธิ์ที่สุด ที่ ถูกที่สุดน่ะ คืออะไร พระธรรม พระธรรมที่เราพึ่งได้ พระสงฆ์บริสุทธิ์ไม๊ ก็ไม่แน่ใจ คุณแทนคุณ แล้วแต่ ปัจเจกบุคคล หลวงปู่ เอาไม่แน่ใจไว้ก่อนดีกว่า คือตั้งข้อสงสัยเอาไว้ก่อนน่ะดี มันจะได้พิสูจน์ แต่ถ้า ไม่สงสัย ไม่พิสูจน์ แล้วโง่ งม แล้วโดนครอบ โดนหลอก กว่าจะรู้ ก็หมดเสียแล้ว คุณแทนคุณ งั้น ผมขอกราบเรียนถามหลวงปู่ สมมุติเราเลือกพระที่เราเชื่อที่ว่าบริสุทธิ์ กับ ทำสังฆทาน คือไม่เจาะจง เป็นหมู่ใหญ่ แต่อาจไม่บริสุทธิ์ อะไรจะได้บุญมากกว่ากัน อย่าง วัดนี้บริสุทธิ์ เราทำบุญกับวัดนี้เยอะหน่อย หลวงปู่ นี่ท่านให้เทียบอย่างนี้ คุณ เค้าบอกว่า ช้างนี่ มันบริสุทธิ์มากว่าสุนัข สุนัข บริสุทธิ์มากกว่ากระต่าย กระต่าย บริสุทธิ์มากกว่างู งู บริสุทธิ์มากกว่าจิ้งจกตุ๊กแก จิ้งจกตุ๊กแก บริสุทธิ์มากกว่ามด ปลวก เพราะฉะนั้น เค้าเทียบลำดับของอัตภาพแห่งชีวิตในความบริสุทธิ์ ถามว่า เพราะอะไร ทำไมช้างจึงบริสุทธิ์มากกว่าสุนัข ก็เพราะว่า ช้างนี่ อย่างน้อยมันก็มีสัจจะ มีสถานภาพที่ รู้สึกสำเหนียก รับฟังคำสอน คำสั่ง และกตัญญู แล้วเป็นผู้ที่สามารถจะบรรลุธรรมได้ มีแรง มีพลัง มีอะไรที่เหนือกว่า สุนัข แล้วถามว่า สุนัขกตัญญูไม๊ ก็กตัญญู แต่ว่าเทียบขั้นกันแล้ว ก็ยังถือว่ามากกว่ากระต่าย แล้วก็กระต่าย มันก็มากกว่า หนู มากกว่ามด ปลวก ทีนั้ มาเทียบขั้น ระหว่างโจรกับคนธรรมดา อ้ายโจรมันก็ยังดีกว่าช้าง คุณแทนคุณ เพราะเป็นคนใช่ไม๊ฮะ หลวงปู่ เพราะเป็นคน อัตภาพที่ได้มา มันประเสริฐกว่า แล้วอ้ายคนธรรมดา แน่นอน ย่อมดีกว่าโจร แล้วอ้ายคนธรรมดาที่ไม่ธรรมดา คือมีศีล เอ้า มีศีลข้อเดียว ก็ยังดีกว่าที่ไม่ เหลือเลยซักข้อ แล้วอ้ายนักบวชที่เข้ามาบวช มันชั่วๆ ดีๆ อย่างน้อยมันก็ดีกว่าโจร เค้าเชื่อ กันอย่างนี้ไง งั้น สรุป ทำบุญเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ถามว่า ได้มาก ได้น้อย ก็ทำร้อย อาจจะเหลือบาท ก็มันไม่ครบไง ถ้ามันครบ ก็ทำร้อย ได้ล้าน อย่างนี้ คุณแทนคุณ อย่างนี้แสดงว่า เราต้องเลือก หลวงปู่ อ้าว ก็ต้องเลือก เค้าถึงได้บอกว่า แต่คนเดี๋ยวนี้ ก็เข้าใจผิด ไปไหน ไปทำบุญ ไปทำที่ไหน บ้านพักคนชรา คุณแทนคุณ ก็ได้เหมือนกันนะครับ หลวงปู่ หลวงปู่ อ้ายนั่น มันทำทาน คุณแทนคุณ ทำบุญก็คือ ทำกับเนื่อนาบุญ ก็คือ พระสงฆ์ หลวงปู่ ใช่ มันมีอยู่เนื้อเดียว ที่เดียว บุคคลเดียว คือ เนื้อนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่น ยิ่งกว่า คุณแทนคุณ อ๋อ นี่คือ บทสวดมนต์ที่เราสวดๆ กันอยู่ใช่ไม๊ฮะ หลวงปู่ เราไปเข้าใจว่า เออ วันนี้ได้ทำบุญ ไปทำที่ไหน ให้ขอทาน อย่างนี้มันไม่ได้ทำบุญ มันเป็นการให้ทาน บริจาคทาน คุณแทนคุณ อ๋อ ทำทาน หลวงปู่ มันเป็นการทำทาน แล้วผลของทาน พอสั่งสมไปเรื่อยๆ จนกระทั่งพอกพูนเทียบ กับเนื้อนาบุญ ก็ต้องให้ทานกี่คนล่ะ กับการทำบุญกับเนื้อนาบุญครั้งเดียวเนี่ย เหมือนกับเรา หว่านกล้าไปในดินอุดม นาดี น้ำชุ่มตลอด หว่านครั้งเดียวก็ได้เกี่ยวเป็นร้อยกระสอบ แต่ถ้าหว่านกล้าไปในท้องถนน มันกระเด็นไปข้างๆ ที่มีดิน มันก็งอก ไม่รู้มันจะออกรวง หรือเปล่าด้วยซ้ำ คุณแทนคุณ แต่อย่างนี้ มันไม่กระจุกเฉพาะ....ที่พระพุทธเจ้าสอนปัจฉิมโอวาท เพื่อประโยชน์ตนและของผู้อื่นด้วย หลวงปู่ คุณไม่ต้องกลัวหรอกว่า ทานของชาวบ้านที่ให้กับเนื้อนาบุญนั้นมันจะกระจุก ตรง กันข้าม กลับจะทำหน้าที่กระจาย คนที่เค้าเป็นเนื้อนาบุญ เค้าจะกระจายทานของชาวบ้าน แต่อ้ายคนที่เป็นเนื้อนาบาป มันจะรวม มันจะทำให้กระจุก แล้วเพื่อจะมาเสพ ให้ตัวเอง เป็นสุขและหมู่ญาติของตน อ้ายนี่มันเนื้อนาบาป ไม่ใช่เนื้อนาบุญ ถ้าเนื้อนาบุญแท้ๆ มันจะต้องกระจายให้ชาวบ้านเค้าได้ประโยชน์จากทานนั้นสำเร็จ ประโยชน์ คุณแทนคุณ เพราะงั้น ดูว่าพระที่เราทำ ท่านทำประโยชน์ต่อผู้อื่นมากน้อยแค่ไหน ถือว่า เป็นตัวชี้วัด หลวงปู่ อ้าว คำสอนสุดท้ายของพระพุทธเจ้าไง ภิกษุทั้งหลาย สังขารทั้งหลายมีความเสื่อม ไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงยังประโยชน์ตนและประโยชน์ท่านให้ถึงพร้อมด้วยความ ไม่ประมาทเถิด นี่คือ คำสอนสุดท้ายของพระผู้มีพระภาคเจ้า ชั่วชีวิต ชั้นไม่เคย ละเลยสิ่งนี้เลย คุณแทนคุณ นี่คือคำสนอเดียวกับที่ให้พระสงฆ์กระจายออกไปด้วยใช่ไม๊ฮะ หลวงปู่ ก็ทำประโยชน์ตนไง เมื่อทำประโยชน์ตนแล้ว ก็จะไปสู่คามนิคมชนบท ตามหัว เมือง ตามหัวไร่ปลายนา จงแสดงธรรม พรหมจรรย์อันบริสุทธิ์ บริบูรณ์ ไพเราะในเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด เพื่อประโยชน์แก่สรรพสัตว์ คุณแทนคุณ ผมสงสัย ประโยชน์ตน และประโยชน์ท่าน บางคนบอกว่า ต้องดูแลตนเอง คือ ปฏิบัติธรรมให้พ้นทุกข์ในระดับหนึ่งก่อนที่จะไปเผยแผ่ธรรม ต้องหาความรู้ ต้องมี แก่นธรรม ผมกำลังงงว่า อย่างพระอรหันต์ หลวงปู่ สมมุติว่า คุณกำลังรักษาศีล รักษาศีลบริสุทธิ์ ไม่อยากให้ศีลขาด เดินผ่านผู้หญิง กำลังจมน้ำตาย คุณจะทำอะไร คุณแทนคุณ ก็ต้องช่วยฮะ หลวงปู่ อ้าว รักษาศีล คุณแทนคุณ ผมไม่ได้เป็นอะไรกับเค้า หลวงปู่ อ้าว ภิกษุพึง คุณแทนคุณ อ๋อ ภิกษุ หลวงปู่ ภิกษุพึงทำการศึกษาว่า จับต้องกายหญิงเป็นอาบัติปาจิตตีย์ มีขัยจิต เป็น สังฆาทิเสส มีเจตนาไปร่วม คุณแทนคุณ อ๋อ เป็นพระ หลวงปู่ รักษาศีลไง กำลังพูดเรื่องรักษาศีล คุณแทนคุณ ผมนึกว่า ผมเป็นฆราวาส หลวงปู่ อ้าว หราวาส ศีล 5 เค้ากำลังทำ Seafood คุณแทนคุณ ฆ่าปลา ฆ่าหมู ฆ่าเป็ด ฆ่าไก่ อะไรอย่างนี้เหรอครับ หลวงปู่ อ้าว แล้วทำไง แหมวันนี้ อยากกินปลาเผา เอ้ย กุ้งเผาซักตัว ก็น่าจะดี อย่างนี้จะ เอาอะไร เอาอาหารหรือเอาศีล เพราะฉะนั้น ถ้ารักษาศีล มันต้องเป็นพันธุ์นี้เลยล่ะ มันต้อง มองให้ชัดว่า เราจะรักษาศีลพร้อมๆ กับรักษาธรรมด้วยไม๊ เพราะเราบอกว่า เอาแต่ศีลอย่าง เดียวแล้วธรรมไม่ได้ ก็เหมือนกับพระเดินผ่าน แล้วผู้หญิงตกน้ำใกล้ตาย แล้วก็บอกว่า ชั้น ช่วยไม่ได้นะโยม อาตมาเดี๋ยวศีลขาด แตะผู้หญิงไม่ได้ ท่านว่าไว้ในพระวินัยปิฎกว่า ผู้นั้น คือ ชั่ว เพราะแล้งน้ำใจ ชาดคุณธรรม ไร้เมตตาธรรม เพราะฉะนั้น ศีลกับธรรมจึงต้องเป็นของที่คู่กัน เลือกทำอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ แต่มันอยู่ ที่ดุลย์พินิจ วิจารณญาณว่า วันนี้ เราจะเลือก ช่วงนี้ จังหวะนี้ เวลานี้ เราจะเลือกทำศีล หรือ เลือกปฏิบัติธรรม ไม่ใช่บอกว่า เออ ชั้นรักษาศีล ชั้นแตะแกไม่ได้ แกจงลอยไปตามน้ำ เถอะนะ โยม อย่างนี้ ก็แสดงว่า ไม่มีธรรม ไม่มีเมตตา ไม่ได้ คุณ ศีลและธรรมมันต้อง เป็นของคู่กัน และใช้วิจารณญาณในการวิเคราะห์ว่า เวลาเราควรมีศีล หรือเวลานี้ ควรมี ธรรม ในบางกรณี ตัวอย่างเช่น เอาชั้นเลย สมัยก่อน ชั้นไปธุดงค์ อยู่ทางทุ่งคำซะอี ไปทางอีสาน รู้สึกจะไป ตอนนั้น อำเภอเลิงนกทา เดี๋ยวนี้ เค้าเป็นจังหวัดอำนาจเจริญ สมัยก่อนนี้ มันยัง เป็นกิ่งอำเภออยู่ ไม่ได้เป็นจังหวัด ชั้นไปเดินธุดงค์แล้วก็ไปบิณฑบาตรในตลาด มันมีอ้าย เด็กผู้ชายกระชากสร้อย แล้วก็วิ่งผ่านหน้าเราไป แล้วมันก็ไปซุกอยู่ใต้เข่งขยะ เราก็มองเห็น แล้วก็เสียงคนเค้าวิ่งมา เราก็หันหลังไปดู คนเค้าวิ่งไล่ ตำรวจวิ่งมา ถามว่า ท่าน ท่านเห็นคน กระชากสร้อย วิ่งมาทางนี้ไม๊ เอ้า คุณว่า ชั้นจะทำยังไง คุณแทนคุณ ก็เหมือนในนิทานว่า ก็จะออกมาก้าวหนึ่ง หลวงปู่ ไม่ก้าว คุณแทนคุณ ผมนึกว่าเหมือน หลวงปู่ ไม่ก้าว ชั้นล่ะ หันมา แล้วก็บอกว่า ชั้นหันมาทางนี้ ก็เห็นแต่คุณวิ่งมานี่แหละ คุณแทนคุณ อ๋อ หลวงปู่ อ้าว ไม่ได้โกหก ไม่ได้ตอแหล คุณแทนคุณ ใช่ ถ้าหันไปทางนู้น ก็เห็นเด็ก หลวงปู่ ใช่ ก็หันมาทางนี้ ก็เห็นแต่คุณวิ่งมานี่แหละ แล้วสุดท้าย พอเค้าไป ก็ไปเอาเท้าเตะ เอ้ย ออกมาได้แล้ว มึงไปเอาสร้อยเค้ามาทำไม มันก็เล่าให้ฟังว่า แม่ป่วยอยู่โรงพยาบาล หมอเรียกสตางค์ จะเอาแม่ออกก็ไม่มีตังค์ แล้วตัว เองก็พ่อไม่มีแต่เล็ก ก็อยู่กัน 3-4 พี่น้อง ตัวเองเป็นพี่คนโต ก็ไม่มีปัญญาจะหาตังค์ รักษาแม่ ก็เลยใช้วิธี ก็เลยบอก มึงเอาสร้อยไปคืนเค้า แล้วเราก็เดินบอกแม่ค้าในตลาด เค้าก็รวบรวมเงิน เอาไป ช่วย ถ้าวันนั้น ชั้นรักษาศีล นี่ไง มันอยู่นี่ อะไรเกิดขึ้น คุณแทนคุณ แต่มันก็ หลวงปู่ ทำไม ก็ต้องใช้ดุลยพินิจไง ใช้วิจารณญาณ ใช้ปัญญา ใช้สติ สมาธิ คุณแทนคุณ แล้วหลวงปู่ไม่กลัวว่า เค้าจะทำซ้ำ แล้วก็จะเจอพระอย่างหลวงปู่อีกหรือ เปล่าว่า เออ เดี๋ยวเจอหลวงปู่อีก เอาอีกทีนะ หลวงปู่ คิดมากเหลือเกิน อะไรมันจะคิดมากขนาดนี้ คุณแทนคุณ คือ ผมกำลังมองว่า ไม่รักษาระบบหรือเปล่า อย่างเช่น จราจรจะเห็นชัด ตำรวจปล่อยไป แล้ววันหนึ่งเกิด หลวงปู่ นี่ เป็นนักการเมืองน่ะ เค้ามีนิติรัฐ นิติธรรม นี่ ต้องมาคุยเรื่องหลักนิติรัฐ นิติธร รมด้วยไม๊เนี่ย เออ เมื่อมันมีนิติรัฐ ก็ต้องมีนิติธรรมประกอบ แม้กระทั่งผู้พิพากษาเวลาจะ ตัดสินอรรถคดี ก็ต้องมีคำว่า นิติธรรมใส่เข้าไป ใช้นิติรัฐอย่างเดียว บางทีบางครั้ง เหมือน อย่างที่เมื่อ 2 วัน รู้สึกรายนี้เค้าจะชอบมากเลย ออกหนังสือพิมพ์ เออ ขายซีดีเถื่อน สุด ท้าย ก็นสยตำรวจใหญ่ก็ไปประกัน มองในรักษานิติรัฐ ก็ต้องบอกว่า เอ นี่แสดงว่า ตำรวจ สนับสนุนขายของ ของอะไร ละเมิดลิขสิทธิ์ มองในมุมนิติธรรม ก็บอกว่า เค้าอดอยากลำบาก เค้าถึงทำ ไม่มีอาชีพไหนที่เค้าทำแล้วมัน ผิดแล้ว เค้ารู้สึกสำเหนียกสำนึกได้ว่า เออ สบายๆ กูทำได้ไม่กลัว ถ้าอย่างนี้มันควรจะต้อง ใช้นิติรัฐ แต่อ้ายนี่ ทำเพราะมันไม่มี มันถึงต้องทำ งั้น ต้องคิดให้ได้ เพราะมีสมอง 2 ข้าง คุณแทนคุณ ซ้ายขวา หลวงปู่ เออ ซ้ายขวา ก็ใช้ให้มันทั้ง 2 ข้าง อย่าใช้ข้างใดข้างหนึ่ง จบ แล้วคุณมายุ่ง อะไรกับชั้น คุณแทนคุณ ผมกำลังสงสัยว่า ระบบที่มันต้องดำเนินการถูกต้อง บางครั้งในใจมีเมตตาสูง แต่ไม่ค่อยมีวินัย หลวงปู่ หลวงปู่ ไม่ใช่ ชั้นนี่เป็นคนมีเมตตาไม๊ เอ้าๆ มีไม๊ (มี) แล้วมีวินัยไม๊ (มี) อู้หู บรมเลยล่ะ โคตรเลยล่ะ คุณแทนคุณ แต่สังคมส่วนใหญ่ สงสารมันดีฮะ แต่ถ้าช่วยมากๆ มันเคยตัวหรือเปล่าครับ หลวงปู่ อ้าว เมตตาพอประมาณ แล้วอันธพาลจะไม่เต็มเมือง ถ้าเมตตาไม่มีประมาณ เดี๋ยวอันธพาลจะครองเมือง ก็เหมือนกับที่รัฐบาลกำลังเมตตาพี่น้องคนละ 7 ล้านๆ นั่นน่ะ เออ นั่นแหละ เค้าเรียก เมตตามีประมาณ คุณแทนคุณ เค้าประมาณแล้วเหรอฮะ หลวงปู่ ประมาณแล้ว โอ้โห ประมาณการ คิดตัวเลขว่า 7 ล้าน เอาไป อีกหน่อยก็จะมี คนรับจ้าง นี่เค้าเตรียมไว้แล้ว เมื่อไหร่จะมีชุมนุมอีก ถามว่าทำไม มัน มันถูก สับปะรดก็ถูก เดี๋ยวกูจะไปรับจ้าง คุณแทนคุณ มิน่า เยอะเลย หลวงปู่ เอ้า พอๆๆๆๆ จบ กลับเข้าที่ๆ คุณแทนคุณ ท่านพุทธทาสเคยวิเคราะห์ว่า ความหมายของวันวิสาขบูชาของพระพุทธเจ้า ที่ว่า ตรงกัน จริงๆ แล้วคือ วันที่ตรัสรู้ ก็ถือว่า เป็นการประสูติด้วย เพราะก่อนหน้านั้น เป็น วันประสูติของพระโพธิสัตว์ และในนาทีที่ตรัสรู้ ก็เป็นวินาทีแห่งปรินิพพานด้วย หลวงปู่ ตรงกันในความหมายนี้ ก็คือ ตรงกันทั้งรูปธรรมและนามธรรม ตรงกันในรูปธรรม คือ ตรงกันวันและเวลาที่พระองค์ทรงประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ตรงกันโดยนามธรรม ก็คือ สภาวะพุทธ ก็เกิดขึ้นในเวลานี้ วันนี้ เดี๋ยวนี้ อย่างนี้ เช่นเดียวกัน งั้น สภาวะพุทธ นี่ คือ มหาบุรุษท่านจะมีอะไรที่พิเศษกว่ามนุษย์ธรรมดาๆ วันที่ท่านเกิด ก็ เป็นวันที่ท่านตรัสรู้ ก็เวลาเดียวกัน งั้น เค้าก็เลยเรียกว่า เป็นวันมหัศจรรย์ของโลก คิดอะไร มากขนาดนี้ ชั้นก็เกิดไม่ทัน แต่ที่แน่ๆ เค้าก็เชื่อกันว่า มันตรงกันอย่างนี้ ตรงกันทั้งวันและ เวลารวมทั้งนาทีด้วยนะ ถ้าสมัยก่อน มีการจับนาที คุณแทนคุณ พอดีมีคำถาม ลืมไป ถามมาเยอะเลย หลวงปู่ หลวงปู่ นี่ยังไม่ได้ถามเหรอ คุณแทนคุณ ยังไม่ได้ถามเลยครับ เอาใหม่ๆ ครับ หลวงปู่ หิวแล้วนะ ปุจฉา เทวดามีลมหายใจหรือเปล่า แล้วเวลาเจอกัน นี่คิดมากกว่าผมอีกครับ วิสัชนา เทวดามีลมหายใจไม๊ เทวดามีอาณาปานสติหรือไม่ เทวดามีลมหายใจนะ เพราะ อะไร ก็เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอนเรื่องอาณาปานสติ พระองค์ทรงบอกว่า นี่เป็น วิหารธรรมของเหล่าเทพ และเทวดา คุณแทนคุณ พรหมด้วย หลวงปู่ เออ พรหมที่เป็นอรูปพรหม ก็ไม่มี เพราะฉะนั้น เป็นวิหารธรรมของเทวดาด้วย อาณาปานสติ ก็แสดงให้เห็นว่า เทวดาต้องมีลมหายใจ ทำไมเหรอ อยากจะเป็น กลัวไม่ได้ หายใจเหรอ จบ คุณแทนคุณ ไปฝึกกรรมฐานกับสายโกอินก้า ให้รู้ลมเข้าออกที่ปลายจมูก ปิดวาจา กิน ข้าวหันหน้าเข้าหากำแพง งดโทรศัพท์ ทำให้เครียด สมองตื้อ มึนงง อึดอัด แล้วร้องไห้ เหมือนจะบ้า 1. หลวงปู่ว่า อาการที่เกิดขึ้น เป็นมายาจิต หรือลูกปฏิบัติผิด 2. หลวงปู่ช่วยกรุณาอธิบาย ความแตกต่างการฝึกรู้โดยไม่มีคำภาวนากับ เพราะไม่ต้องการสมาธิกับการภาวนา เช่นพุธโธ เพื่อให้เกิดสมาธิ 3. แล้วข้อ3 หลวงปู่ เอาทีละข้อ คุณแทนคุณ ครับ หลวงปู่ สมควรบ้า สมควรบ้า เพราะมนุษย์นี่สั่งสม ราคะ โทสะ โมหะ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ชาติ ภพ เนี่ย ไม่ใช่แค่เมื่อวาน ไม่ใช่แค่เดือนที่แล้ว หรือปีที่แล้ว อยู่ดีๆ คุณจะมา ขัดให้มันหมด ไม่ใช่แค่มนุษย์ เอาแค่เหล็กลูกกรงบ้านคุณ ถ้ามันเป็นสนิม แล้วขัดทีเดียว มันหมดได้ ก็ถือว่า วิเศษ เพราะงั้น อ้ายกามกิเลส อุปกิเลส อ้ายอาสวกิเลสทั้งปวงที่เราใช้เวลาสั่งสมเนี่ย คุณมั่นใจ หรือว่า หันหน้าชนกำแพง 7 วันแล้วบรรลุเลย ขัดหมดเลย นี่เค้าเรียก คนโง่ไง อย่างนี้ เค้าเรียกว่า ปฏิบัติในวิถีแห่งอะไร พระพุทธเจ้าทรงห้ามไว้ 2 อย่าง อัตตกิลมถานุ โยค คือ การบังคับตนให้ลำบาก เพราะไม่รู้จักวิถีแห่งชีวิตตน เพราะวิถีชีวิตตนเนี่ย คุณเกิด เป็นมนุษย์ชาติเดียวเหรอ แล้วอีตอนที่ไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์ คุณเป็นอะไร แล้วอีตอนเป็น อะไร คุณไม่ได้สั่งสมอุปกิเลสเหรอ ไม่มีราคะ ไม่มีโทสะ ไม่มีโมหะ ไม่มีอวิชชา ไม่มี ตัณหา ไม่มีอุปาทาน ไม่มีแล้วเกิดได้ยังไง คุณไม่เคยเป็นสัตว์เดรัจฉาน เป็นเปรต เป็น อสุรกายเหรอ แล้วอยู่ดีๆ ใช้เวลา 7 วัน มาล้างมันหมดเลยเหรอ ตลก นั่นมัน คนโง่สอนคนโง่ สมควรบ้า บ้าไปเล๊ย จบ คุณแทนคุณ หักดิบไม่ได้เหรอฮะ หลวงปู่ ไม่มีหักดิบ คนหักบุหรี่ยังเจ๊งเลย เออ มีที่ไหน กิเลสหักดิบ ไม่มีหรอก คุณแทนคุณ ที่หลวงปู่เคยสอน เรื่องการใช้ หลวงปู่ เว้นเสียแต่ว่า คุณได้สั่งสมอบรมปัญญา สติ สมาธิ บารมี จนแก่กล้า อย่างนั้นน่ะ ไม่ต้องมานั่งชนกำแพง เห็นพยับแดด ก็บรรลุธรรมแล้ว รู้ว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง ว่า ธรรมใดเกิดแต่เหตุ พระองค์ทรงแสดงเหตุ และความดับเหตุแห่งธรรมนั้น ก็บรรลุ ธรรมแล้ว ยังไม่เห็นพระพุทธเจ้าด้วยซ้ำ อย่างนี้ แสดงว่า บารมีแก่กล้า อ้ายนี่ นั่ง 7 วัน ทนอยู่อย่างนั้น จะโทรศัพท์ก็ไม่ได้ พูดก็ไม่ได้ ลำบากเหลือเกิน ร้องไห้ โวยวาย ตีโพยตี พาย สมควรบ้า มันมีคนแบบนี้มาหาชั้นเยอะมาก ตอนไปน่ะ เป็นครูมาจากประจวบ ไปน่ะ ใส่ผ้า ขากลับมา แก้ผ้า เอ้า จริงๆ มันเดินแก้ผ้ารอบบ้าน ผัวต้องพามา คุณแทนคุณ เครียดมากหรือไงฮะ หลวงปู่ ก็มันไม่ไหวไง สติมันแตกไง มันโดนบังคับ 10 วัน 10 คืน ก็เพราะไม่รู้ไง ไม่รู้ตัวเอง ไม่มีสติสัมโพชฌงค์ ไม่มีธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ คือ ไม่วิจัย วิจารณ์ธรรมให้ เหมาะสมกับอุปกิเลสของตนๆ เนี่ย เค้าเรียกว่า บ้า คือ บ้าทั้งคนสอนและคนเรียน สมควรว่า เพราะงั้น ชั้นนี่ สบายมาก ไปเรื่อยๆ ไปเรื่อยๆ ขัดไปเรื่อยๆ สีมันไปเรื่อยๆ สอนมันไป เรื่อยๆ เดี๋ยวมันบางเอง เราก็ไม่ได้หวังว่า มันจะบรรลุต่อหน้าเราหรอก แต่อย่าให้มันทะลุ ต่อหน้าเรา ก็ใช้ได้แล้ว คุณแทนคุณ ซึ่งผมนึกถึงพระอานนท์ ก่อนสังคายนา ท่านก็เครียดมาก พยายามจะปรับ เคร่งเครียด แต่ก็ไม่บรรลุเสียที หลวงปู่ ก็พระพุทธเจ้านิพพานแล้ว ยังไม่บรรลุเลย จนสุดท้ายปฐมสังคายนา ก็เพราะ กิเลสท่านสะสมมาไง อ้ายอุปกิเลสต่างๆ ที่ยังมี ยังพอกพูน มันใช้เวลาในการขัด เหมือนกับ สนิมขุมที่กัดกินเหล็ก ถ้าคุณไม่ขัดจนกระทั่งมันละอียด แล้วคุณจะเห็นเนื้อเหล็กจริงๆได้ไม๊ งั้น การสั่งสมธรรมะ การเรียนรู้ศึกษาธรรมะ มันต้องใช้เวลาในการสั่งสมอบรมปัญญาบารมี สมาธิบารมี สติบารมี คุณแทนคุณ วิริยบารมี หลวงปู่ เออ มันต้องใช้บารมีธรรมเยอะแยะ ไม่ใช่อยู่ดีๆ ไปหาอาจารย์คนนี้ดีกว่า เค้า บรรลุแล้ว เอ๊ย ทะลุ ขี้คุย อรหันต์พระพุทธเจ้าเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสาวกองค์หนึ่ง พระอัครสาวก คือ พระสารีบุตร ท่านเป็นพระอัครสาวกเบื้องขวา เป็นผู้เลิศทางปัญญา รับ ลูกศิษย์คนหนึ่งเป็นนายช่างทอง บวชมา 3 ปี ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย ให้กรรมฐาน ก็งง เรียนรู้อะไรก็ไม่ได้ สุดท้าย พระสารีบุตรบอก สงสัยไม่ใช่วิถีของเรา คือ เราคงไม่สามารถ เป็นอาจารย์เค้าได้ ต้องมีพระผู้มีพระภาคเจ้า เลยไปฝากพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงใช้ อตีตังสญาณ มองย้อนอดีต อ๋อ บุรุษผู้นี้เป็นลูกชายนายช่างทองมาตั้ง 500 ชาติ ปฏิบัติ กรรมฐานข้อไหน ก็ไม่สำเร็จประโยชน์ ต้องดูของสวยงามเท่านั้น จึงจะสำเร็จ แล้วดูหรือยังว่า เป็นลูกสาว ลูกชายช่างกำแพงมา 500 ชาติ หันหน้าชนกำแพงตะพืด หรือเป็นลูกคนใบ้มา 500 ชาติ ไม่พูดตะพิด เบ๊ๆๆ อยู่ตลอด มันดูหรือยัง มีอตีตังสญาณ หรือยัง ถ้ายัง บ้า จนสุดท้าย พระพุทธเจ้าต้องเนรมิตรดอกบัวทองคำให้ไปพิจารณา แล้วก็ปล่อยให้ดอกบัว ร่วงโรย ทรงเสกให้ดอกบัวร่วงโรย จนกระทั่งเหลือแต่เถ้าธุลี เออ ลูกชายนายช่างทองก็เลย มีจิตเห็นว่า โอ้หนอ ความงดงามทั้งหลาย มีอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาเป็นที่จบ ก็บรรลุธรรมได้ เพราะงั้น อย่าไปเชื่อใครเขาโฆษณา แหกตา หลอกลวง แล้วก็หลงเชื่อ แล้วก็มา บ้า อาตมา ล่ะเบื่อรักษา จริงๆ ทุกวันนี้ ก็มีมาให้รักษา แก้อารมณ์ให้หน่อย เป็นอะไร บ้า ปฏิบัติกรรมฐาน กรรมฐานน่ะ ไม่บ้า แต่อ้ายคนบ้าสอนคนโง่ มันเลยบ้า ถ้าคนดีสอนคนโง่ มันก็จะฉลาดขึ้น เพราะฉะนั้น คนบ้าสอนคนโง่ อ้ายที่เค้าบ้ามาแล้ว ก็สอน คือ คนแต่ละคนเป็นปัจเจกชน ท่านโกอินก้า ไม่ได้ว่าท่านบ้า หรอก แต่ท่านอาจจะบรรลุธรรมหรือรู้ธรรม เห็นธรรมเพราะวิธีของท่าน แต่คนทั้งบ้านน่ะ ลูกคุณ ผัวคุณ เมียคุณ ญาติตุณ คนในครอบครัวคุณ กินจืดหมดเหรอ มันก็อ้ายคนโตกิน เผ็ด อ้ายคนเล็กกินหวาน อ้ายคนรองกินเปรี้ยว เวลาทำกับข้าว ยังมีหลากหลายรสเพื่อให้ สำเร็จประโยชน์กับคนกิน แล้วปฏิบัติธรรม มันจะอย่างเดียว แล้วทุกคนต้องมารู้ตามหมด เหรอ ยุบหนอ ก็ต้องหนอกันหมดทั้งบ้านทั้งเมืองเหรอ งั้น พระพุทธเจ้าจะทรงแสดงธรรมะตั้ง 84,000 ข้อทำไม ก็แสดงข้อเดียวก็จบแล้วนี่ แล้วก็ไปปฏิบัติ หรือไม่ก็ กรรมฐานก็ 40 อย่าง ก็ทำไมต้องแสดงถึง 40 อย่าง ก็แสดงอย่างเดียวก็จบแล้วนี่ ก็ทำได้หมดทั้ง ชาติ ตลอดทั้งทุกเพศ ทุกวัย ทุกผู้ ทุกนาม ทุกกามกิเลส คนแต่ละคน มันมีกิเลสประจำตนต่างกัน คุณแทนคุณ เป็นอนุสัยฮะ หลวงปู่ เออ เค้าเรียกว่า อนุสัยกิเลสต่างกัน ที่พระพุทธเจ้าหรือนักกรรมฐานเค้าเรียกว่า จริต 6 ราคะจริตนำ โทสะจริต โมหะจริต ศรัทธาจริต พุทธิจริต วิตกจริต แต่ละคน มันมี จริต หรือโรคประจำตัวไม่ตรงกัน ไม่ใช่ยาแดงทาหัว ยาแดงกิน ยาแดงแก้ปวดท้อง ยา แดงแก้แผล ยาแดงแก้ผัวทิ้ง ยาแดงแก้เมียบ่น อะไรก็ยาแดงหมด อ่าย โง่ สมควร คุณแทนคุณ แล้วเรื่องจะมีคำภาวนา หลวงปู่ ยังไม่จบ ไม่ มันอึดอัดมานานไง เดี๋ยวนี้คณะสงฆ์ถึงกับมีกติกา มีระเบียบสั่ง ให้พระสงฆ์ทั้งสังคมณฑลปฏิบัติแต่ยุบหนอ พองหนอ บังคับกันเลยล่ะ เออ มันเป็นเรื่อง เป็นราวเลยล่ะ เหมือนกับคณะสงฆ์มองไม่เห็นวิถีแห่งธรรมอื่นเลย มองไม่รู้เลยว่า ทำ กรรมฐานของพระผู้มีพระภาคเจ้า มีอยู่ 40 อย่าง และอะไรล่ะ 40 อย่างมีอะไรบ้าง อ้าว คนมีจริตอะไร ก็ทำกรรมฐานอะไร คนเป็นโรคอะไร ก็ทำกรรมฐานอะไร เพื่อแก้โรค ของตน อ้าว ราคะจริต ก็ต้องไปเจริญอสุภะกรรมฐาน ไม่ใช่มา หนอ หนอ ยุบหนอ ยุบหนอ มัน ไม่ยุบครับมันมีแต่เด็งเอาๆ เด็งหนอ เด็งหนอล่ะครับ มันไม่ยุบเลย อ้ายโทสะจริต ยุบหนอ ไม่โกรธหนอ ไม่โกรธหนอ ฮึม อย่าเข้าใกล้กูนะ ไม่โกรธหนอ ฮึม..นี่ไง มันจะหายไม๊ เพราะฉะนั้น ขอร้องเถอะ อย่าควบเอากรรมฐานของพระพุทธเจ้ามาให้เป็นกรรมฐานของ อาจารย์ท่านและสำนักท่าน แล้วมายัดใส่หัวประชาชนและชาวบ้านให้เชื่อตามท่าน เพราะ ยารักษาโรค มันต้องเป็นไปตามอาการของโรค ไม่ใช่บังคับให้กิน เป็นสารพัดโรคก็ยาแดง ตะพืด เอ๊ย ชั้นน่ะ สู้มาตลอด คุณแทนคุณ ก็แล้วแต่ใครไปเรียนรู้ แล้วพบว่า จริตเราตรงกับอะไร หลวงปู่ ใช่ คุณแทนคุณ ถ้าไม่ใช่ ก็ต้องถอนออกมา หลวงปู่ แต่เวลานี้ มันไม่ใช่ไง คณะสงฆ์ออกกฏบังคับเลยไง คุณแทนคุณ เป็นบล๊อกเดียวกันหมดเลย หลวงปู่ เออ ออกมาพันธุ์เดียวกันเลย เอ๊ย หมาครอกเดียวกัน มันยังหน้าไม่เหมือนกันเลย สาอะไรกับกรรมฐานที่คนจะปฏิบัติ ยั๊ง ยังไม่จบ อย่าเพิ่งถาม ไหนๆ พูดแล้ว ก็ให้มันจบๆ ไปเลย ให้มันเลิกๆ ไปเลย รายการนี้ จะได้โดนยุบ คุณแทนคุณ คำบริกรรม กับไม่บริกรรม สำคัญอย่างไร หลวงปู่ บริกรรม กับไม่บริกรรม มันเป็นเรื่องของจิตทำงาน งานแห่งจิต ทำให้จิตมีงานทำ แล้วเป็นงานเดียว งานหนึ่ง งานเอก งานชนิดเดียว ที่ไม่มีงานอื่นมาปนเกี่ยว ยุ่งเกี่ยวเลย งั้น จะบริกรรมก็ได้ ไม่บริกรรมก็ได้ ขอเพียงว่า ใจคุณผูกกับมัน กับกรรมฐาน กรรม คือ การกระทำ ฐาน คือ ที่ตั้งของจิต และการงานแห่งจิต เท่านี้มันไม่ได้สำคัญสำหรับอะไร ที่ สำคัญคือ คุณเข้าถึงกรรม หรือการกระทำนั้นๆ อย่างมั่นคง ยั่งยืน ถาวรหรือไม่ ไม่ใช่ เข้าแว๊บ แล้วก็โผล่ เข้าแว๊บ แล้วก็ผลุบ อย่างนี้น่ะ ไม่ได้ อย่างนั้น แสดงว่า ให้ภาวนาอะไร จะพุทโธ ก็เดี๋ยวก็พุทโธ่เอ๊ย กูมานั่ง เมื่อยทำไม อะไรอย่างนี้ จบ ปุจฉา ตอนนี้ อายุ 25 ต้องการฝึกกรรมฐาน จะเริ้มต้นอย่างไร วิสัชนา คุณต้องดูว่า คุณชอบอะไร ชอบราคะ ชอบสวยงามไม๊ ถ้าชอบสวยงาม ก็เป็นพวก ราคะจริต ถ้าชอบ วันทั้งวัน เอาแต่คิดคำนวณ ใคร่ครวญ พินิจพิจารณา วิตกกังวล แสดงว่า เป็นผู้มีวิตกจริต ราคะจริต ถ้าใช้กรรมฐานที่มันตรงกับราคะ ก็คือ อสุภะกรรมฐาน วิตกจริต ก็ใช้อนุสติ 10 อย่างเช่น พุทธานุสติ ธรรมานุสติ สังฆานุสติ สีลานุสติ จาคนุสติ อะไรอย่างนี้เป็นต้น ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ศีล สมาธิ ปัญญา แล้วก็การ บริจาคทาน เป็นอารมณ์ ส่วนศรัทธาจริต ต้องนึกถึงสิ่งที่ประเทืองปัญญา เรียกว่า อุปมานุสติกรรมฐาน คือ นึกถึง ความว่าง หรือนิพพานเป็นอารมณ์ อย่าไปนึกถึง พุทธะ ธรรมะ สังฆะ นะ เพราะว่า จะทำ ให้เราหลงและเชื่อเข้าไปใหญ่ ต้องนึกถึง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นึกถึงความว่าง ความไม่มี ตัวตน เรียกว่า สุญญตสมาธิก็ได้ แล้วโรคที่หายากที่สุด แล้วไม่ค่อยมีใครเป็น แล้วก็เป็นแล้วจะวิเศษสุด คือ พุทธิจริต พวกนี้ จะมีปัญญามาก พระพุทธเจ้าสอนพระสารีบุตร ท่านเป็นพุทธิจริต สอนจบ ภิกษุทั้งหลาย เธอฟังเราตถาคตสอนแล้ว เธอเชื่ออย่างที่เราสอนไม๊ ภิกษุทั้ง 500 เปล่ง สาธุ เชื่อพระ เจ้าค่ะ พระสารีบุตรนั่งนิ่ง ท่านก็เลยหันมาถาม สารีบุตร ทำไมเธอนั่งนิ่ง หม่อมฉันเพิ่งจะฟังจากพระองค์มาเมื่อครู่นี้ ยังได้ลงมือทำ จะเชื่อได้อย่างไร ต้องทำก่อน ได้ผลแล้วจึงจะมาบอกว่า เชื่อหรือไม่เชื่อ พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญจริตนี้ว่า เป็นผู้รุ่งเรืองด้วยปัญญา แต่พวกนี้ หาได้ไม๊ ไม่มี๊ โดยเฉพาะเมืองไทย ฟังอะไร ก็เชื่อไปหมด คุณแทนคุณ ไม่ค่อยชอบอ่านข้อมูล หลวงปู่ ไม่ เชื่อแบบชนิดที่เราเชื่อแล้วเวลาคนมาพูดแย้ง ก็จะด่าเค้าเลย ไม่ กูเชื่อของกู อย่างนี้ กูใช่ของกูอย่างนี้ กูถูกของกูอย่างนี้ กูดีของกูอย่างนี้ อ้ายอย่างนี้ เค้าเรียกว่า โง่ คุณแทนคุณ มันจะมีคำว่า ไม่เชื่อ อย่าลบหลู่ คือ ไม่ให้โต้ถียง ไม่ให้คิดค้าน หลวงปู่ อ้ายนั่น พวกปัญญาอ่อน ชั้นปัญญาแข็ง ไม่พูดหรอก คุณแทนคุณ กราบเรียนถามหลวงปู่ว่า คนที่เกิดมาเป็นคนโสด ไม่เคยมีครอบครัวเลย คนพวกนี้ เกิดมามีบุญหรือมีบาป เข้าทางหลวงปู่นะฮะ หลวงปู่ อ๋อ คงเป็นอย่างนี้ละมั๊ง เค้าเลยพยายามหานะ เออ ถ้ามันจะเป็นบาป ก็ช่างมันเฮ อะ อาตมายอมเป็นคนบาป เค้าบอกว่า คนที่เกิดมา แล้วไม่มีคู่ครองเนี่ย อย่ามองว่าเป็นคน บาป เพราะท่านเป็นผู้มาจากพรหม คุณแทนคุณ พรหมจรรย์ หลวงปู่ พรมไทปิงมั๊ง เออ มาจากพรหม พระพรหมนี่เค้าไม่มีคู่นะ เทวดา 6 ชั้นฟ้า นี่มี คู่หมด แต่พระพรหมนี่ ไม่มีคู่ เพราะงั้น แสดงว่า ท่านเป็นผู้มาจากพรหม แล้วพวกที่มาจากพรหม ต้องสั่งสมอะไร สั่งสมพรหมจรรย์ สั่งสมความเป็นผู้นักบวช ผู้ถือ บวช เช่น พวก ถึงวันพระก็ไปถือศีลอุโบสถ อย่างนี้ สั่งสมไปเรื่อยๆ ศีลอุโบสถ มันศีล 8 ถูกไม๊ ก็ไม่เสพกาม อยู่ใน 1 ใน 8 อย่าง อย่างนี้เป็นต้น ก็สั่งสมไปเรื่อยๆ พวกนี้ตายไป ก็จะเกิดเป็นพรหม ไม่ใช่พรมเช็ดเท้า พรหมมีอรูปพรหม รูปพรหม อะไรอย่างนี้ แต่เดี๋ยวนี้ เค้าก็ไม่ค่อยชอบนะ เค้าบอก เป็นพรหมแล้วมันเหงาไง เค้าก็เลยมาขวนขวาย หาชี หาอะไรเรื่อยเปื่อย เค้าทำไปได้ เออ จบ คุณแทนคุณ อยากกราบเรียนถามเรื่องปราณ เวลาอากาศร้อน ร่างกายอุณหภูมิสูงขึ้น อยากทราบวิธีเดินปราณให้เย็นเพื่อคลายร้อน หลวงปู่ ทำได้ ถ้าเรา คือ จิตที่มันรวมเป็นหนึ่ง มันสามารถคุมธาตุทั้ง 4 ในกายและ นอกกายได้ ถ้าฝึกจนคล่องและเชี่ยวชาญ ชำนาญ เหมือนๆ กับสมัยก่อนที่หลวงปู่ไปธุดงค์ แล้วก็ไปเจองูมันกัด ปกติ งูกะปะกัดเนี่ยนะ มันจะต้องเน่าเป็นข้อ เน่าแล้วหลุดเป็นข้อ เชื้อ มันจะไปกัดเซลล์เนื้อ เซลล์ผิวหนัง เซลล์กระดูก แล้วก็เน่าดำไปเรื่อย ถ้ามีจิตรวมเป็นหนึ่ง ก็สามรถไปคุมธาตุภายในกาย มันก็สามารถขับพิษออกมาได้ ทำได้ สมัยก่อนไปอยู่หลี่ผี น้ำตกที่ลาว ก็โดนงูจงอางกัด หลวงปู่กับงูนี่มันชอบ ชอบกันจริง ไม่รู้เป็นอะไร ถ้ารู้จักพยายามฝึกบ่อยๆ ก็ทำได้ จบ คุณแทนคุณ คุณแม่ป่วยเป็นมะเร็งขั้นที่ 2 ผ่าตัดแล้ว ให้เคมีครบแล้ว กำลังรอฉาย แสงอีก 50 วัน จะกินยามะเร็งของหลวงปู่ได้เลยหรือเปล่า และต้องกินนานเท่าไร หลวงปู่ กินยาบำรุงเลือดก่อน ให้เลือดมันแข็งแรงด้วยตัวมันเอง และโรคมะเร็ง สำคัญที่ สุด คือ อย่าทำให้กังวล อย่ากังวล อย่าทุรนทุราย อย่าว้าวุ่น อย่าร้อนรุ่ม นั่นคือ อาหารของ มะเร็ง งั้น เราต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน ไม่เป็นก็ตาย คิดให้ได้อย่างนี้ เอาเสื้อไปใส่สิ ถ้าใส่แล้วยังไม่รู้สึกอะไร ก็ซัก แล้วก็น้ำดื่ม ไม่มีอะไร ไม่ได้อะไร ไม่เหลืออะไร กูตายแน่น่ะ เออ เอาไปใส่ ใส่แล้ว ก็ท่องไว้ในใจ คน ใกล้ตาย คนเป็นมะเร็งน่ะ ท่อง ไม่มีอะไร ไม่ได้อะไร ไม่เหลืออะไร กูตายแน่ ถ้าใส่แล้ว ยังไม่รู้สึกอะไร ก็ซัก แล้วต้มน้ำดื่ม เพราะมันทำให้จิตเราระงับสงบได้ ลอง ไม่เชื่อลองทำดูสิ ทำให้จิตสงบระงับได้ในระดับหนึ่ง เมื่อเช้า หลวงปู่นั่งรถมา แล้วลม มันตีขึ้น แล้วอ้ายคนขับรถ มันก็โอ้โห มันเหยียบแบบสะพานมันก็ไม่เบรค ประมาณนี้น่ะ เหินๆ ฟ้า เราก็ เฮ้ย เบาๆ หน่อย กูรู้สึกเวียนหัว จะอ๊วก เออ ก็เลยลงไปนอน ลงไปนอน ก็ นึกถีงความว่างเป็นอารมณ์ พอนึกถึงความว่างเป็นอารมณ์ เออ ลมมันเกิดได้ไง เพราะกูไม่มี แล้วมันก็ว่าง แล้วมันก็ซ่า แล้วมันก็หาย แล้วมันก็ไม่เวียนหัว งั้น ก็ลองทำดู ฝึกบ่อยๆ ฝึกสุญญตสมาธิ ความว่าง วันวิสาขฯ นี่ เค้าจะมีการบวชเนกขัมปฏิบัติ เริ่มตั้งแต่วันที่เท่าไหร่ ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ จันทร์ ใครมีเวลาว่าง ก็ไปบวชแล้วก็ไปฝึก ฝึกปราณโอสถ ฝึกสุญญตสมาธิ หลวงปู่จะสอน เพื่อ เอามาใช้กับ บางทีบางครั้ง อ้ายคิดไปเอง มันจะได้ไม่คิดไปเอง แล้วก็ไม่คิดอะไรเลย เพราะถ้าคิดไปเอง แล้วมันไม่เป็นจริงอย่างที่คิดไปเอง มันก็จะทุกข์ มันจะทุรนทุราย แล้ว ไปโทษนั่นโทษนี่ บางทีถ้าเราอยู่กับความว่าง เราไม่อยากด่าใครนะ ไม่อยากตำหนิใคร ไม่ อยากบ่นใคร ไม่อยากทะเลาะกับใคร ไม่อยากไปตี ต่อล้อต่อเถียงกับใคร เพราะถือว่า ทุกอย่างมันว่างไปหมด วิถีแห่งพุทธะนี่ ท่านจะสอนไว้อย่างหนึ่งเป็นปรัชญา เค้าสอนเฉพาะตัวต่อตัว แต่มาเล่าให้ ฟังก็ได้ ท่านจะสอนว่า พุทธะภาวะ มีแม้สัตว์เดรัจฉาน งั้น เราไม่ควรเหยียดหยามหรือไม่ควร เหยียบย่ำ ดูถูก หรือดูแคลน หรือทำลาย พุทธะภาวะแม้ในสัตว์เดรัจฉาน งั้น พวกที่ ปรารถนาโพธิธรรม โพธิญาณ ไม่เมตตาก็ต้องเมตตา เพราะเมื่อเข้าใจพุทธะภาวะ มัน เหมือนกับจะแสดงเมตตาที่ชาวบ้านเค้าเรียก เมตตา แต่เมตตาในโพธิญาณ เค้าไม่มี คุณแทนคุณ มิน่า ถึงเรียก โพธิปักษ์ คือ ครอบคลุมถึงสัตว์ทุกชนิด หลวงปู่ เออ สัตว์ทุกชนิด แม้ว่ามีตัวไม่มีตัวก็ตามที เค้าถือว่า มีพุทธะภาวะ งั้น เมื่อเข้าใจ พุทธะภาวะอย่างนี้แล้ว ไม่เมตตาก็กลายเป็นเมตตา เออ มีตัวมีตน ก็ไม่มีตัวไม่มีตน แล้วเค้าจะเข้าใจว่า สัตว์เดรัจฉานที่เราดูถูกเหยียดหยาม วันหนึ่งข้างหน้า เค้าอาจจะกลาย เป็นพระพุทธเจ้าก็ได้ แล้วตัวอย่างในเมืองไทย มีให้เราได้เห็น แม้ท่านจะสิ้นไปแล้วก็ตามที ตัวอย่างเช่น สมเด็จพุทธาจารย์โต ท่านเป็นผู้ปรารถนาพุทธะภาวะและเข้าถึงพุทธะภาวะ วันหนึ่งในหลวงรัชกาลที่ 4 พระราชทานผ้าไตร เห็นขรัวโตใส่จีวรเก่าๆ ท่านได้ผ้าไตรมา ก็ไปวาง เออ สมัยก่อนเค้าไม่มีถุงใส่ วางแล้ววันดีคืนดี ก็ลูกหมามันดันขึ้นไปนอนบนผ้าไตร พอถึงวันนั้น ในหลวงอยากจะนิมนต์สมเด็จโต ไปพระราชทานฉัน เอ งานพิธีเค้าก็จะเริ่ม แล้ว สมเด็จโต หัวหน้าคณะยังไม่มา ก็ให้มหาดเล็กไปตาม มหาดเล็กไปตาม ก็เห็นขรัวโต นั่งเฝ้าอยู่หน้ากุฏิ ก็ถามว่า พระเดชพระคุณครับ ได้เวลางานแล้ว ในหลวงพระราชทานฉัน จุ๊ๆ อย่าเสียงดัง เดี๋ยวพระพุทธะจะตื่น หมานอนอยู่ เออ จนสุดท้าย รอหมาตื่น จึงจะไปเอา จีวรที่หมานอนทับมานุ่งห่ม เนี่ย ถามว่า ท่านมีเมตตาไม๊ ไม่ใช่ ท่านเข้าถึงพุทธะภาวะของ สัตว์ ผู้ที่เข้าถึงพุทธะภาวะ ไม่จำเป็นต้องใช้คำว่า เมตตา แต่สำหรับปุถุชนคนทั่วๆ ไป ก็ ต้องบอกว่า ให้มีเมตตา แต่จริงๆแล้ว มันเป็นพุทธะภาวะ เรื่องนี้ เค้าจะสอนกันตัวต่อตัว จบ คุณแทนคุณ คำถามนี้ ผมคิดสอดคล้องกับคำถามเมื่อกี้ นี่ผมพยายามประหยัดแรงหลวงปู่ หลวงปู่ นี่ประหยัดแล้วเหรอ คุณแทนคุณ ประหยัดแล้วครับ ก็เลยพยายาม ทำไมถึงชอบดูถูกดูแคลนคนรวยน้อยกว่า ความรู้น้อยกว่า เพราะเราดีกว่าหรือเปล่า หาเลี้ยงตัวเอง ครอบครัวด้วยสุจริต แต่จน อยาก ให้ตัวเองยิ่งใหญ่กว่าใครๆ คิดได้ทำอย่างไร หลวงปู่ เนี่ย ผู้ไม่รู้จักพุทธะภาวะ ไม่เข้าถึงพุทธะภาวะ ก็ให้มีเมตตา แล้วมีเมตตา มัน จะทำให้เราอยู่ร่วมกับสรรพสัตว์ได้อย่างชนิดที่ไม่ต้องเป็นศัตรูกัน แต่เมื่อมีเมตตา มันต้อง ระวัง แต่เข้าถึงพุทธะภาวะแล้ว ไม่ต้องระวัง เพราะมองสัตว์เป็นพุทธะหมด ก็ไม่ต้องระมัด ระวัง เราก็เคารพสัตว์ ให้ประโยชน์ต่อสัตว์ เหมือนกับตอนหลวงปู่เอาน่องไก่ให้หมากิน อู้หู คนยังกินไม่ได้ขนาดนี้เลย อิจฉาหมาเว้ย ประมาณนั้นน่ะ เอ้ย เราก็นึกในใจ อืม นี่มันแม้กระทั่งหมามันยังอิจฉาเลย แล้ววันหน้ามันต้องเป็นหมาแน่ๆ เลย หมามันก็มีพุทธะภาวะ ถามว่า เพราะอะไร ก็พี่มันตาย มันก็ทุกเย็น มันก็จะไปนอน เฝ้าอยู่หน้าโรงเจ รอพี่มัน ทุกวันนี้ มันก็ยังไปนอนเฝ้า คุณแทนคุณ พี่หมา หลวงปู่ เออ พี่หมา พี่มันตาย ก็มันมี 2 ตัว มันเล่นกันมา มันก็จะไปนอนเฝ้า แล้วหมา จิ้งจอกนี่มันไม่เห่า มันไม่หอน มันไม่เหมือนหมาอื่น ใช่ไม๊ มันก็นอน ทำตาละห้อย พอถึง เวลากิน มันก็จะมาเอาขาหน้าเกาๆ อยู่ข้างฝา เราเห็นเข้า ก็ต้องออกไป เอ้อ เค้าเรียกแล้ว หิวล่ะสิ เอ้า ก็ไปเอาอาหารมาให้ ก็แอบเก็บ นอกจากเลี้ยงแม่ แล้วก็เลี้ยงหมาด้วย ก็แอบ เก็บเอาน่องไก่บ้าง กระดูกไก่บ้าง วันไหน เค้ามีหมู มีอะไร เพราะมันกินข้าวไม่ได้ คนมัน มาเห็น อู้หู กินดีกว่ากูนะ มึงน่ะ อิจฉาหมา งั้น เข้าถึงพุทธะภาวะ ไม่ต้องมีเมตตา ลูก มันจะเป็นพุทธะไปหมดทุกคน จบ ปุจฉา ใบกระบอเพ็ด หากเอามาทานเป็นยาอายุวัฒนะ หรือ ยาบำรุงผิวพรรณ ควรเก็บ ใบที่เท่าไหร่จากยอด แล้วควรเก็บเวลาใด ควรทานเวลาใด ก่อนหรือหลังอาหาร และต้อง ต้มทำให้สุกก่อนหรือไม่ วิสัชนา บอระเพ็ดนี่มันเป็นยาเย็น กินก็ได้ ทาก็ได้ บอระเพ็ดนี่ เอามาพอกกันฝีก็ได้ เอา มาพอกกันแผลอักเสบก็ได้ สดๆ ล้างให้สะอาด ไม่ต้องเลือกใบ เพราะถ้าขืนเลือกใบ ต้องไต่ ไปยอดไม้ เพราะบอระเพ็ดมันเลื้อยเป็นตำลึง เอ้า เราบอกเก็บใบที่ 1 อู้หู ใบที่ 1 มัน ยอดตาลนะ เออ นั่นแหละ มึงตายก่อนที่จะได้รักษา งั้น ก็ไม่ต้อง ใบไหนก็ได้ที่อยู่ใกล้ๆ มือ เก็บได้ทั้งนั้นแหละ มันขึ้นอยู่กับว่า เราจะไปรักษาโรคอะไรด้วย แต่ถ้าโรคที่มันรุนแรง เรา ก็ใช้ใบแก่ๆ ถ้าโรคที่มันอ่อนๆ ก็ใช้ใบอ่อนๆ แล้วมันเป็นประโยชน์รักษาโรคอะไรได้บ้าง ก็มันเป็นยาเย็นไง กินแก้ร้อนในกระหายน้ำก็ได้ แต่คนสมัยนี้ กล้ากินเหรอ บอระเพ็ด ไม่ กล้าหรอก ขนาดมันเอาบอระเพ็ดไปเชื่อมเลย เออ แล้วไปเชื่อมทำไม เพราะความขมของยา มันโดนความร้อนทำลายไปแล้ว โดนน้ำตาลซึ่งมันเป็นกรดมันกัด จนหายไปหมดแล้ว ก็ เชื่อมรากไม้เฉยๆ ให้มันดูดี ดูโก้ ดูหรู เท่านั้นแหละ คนอยากเห็นอะไรแปลกๆน่ะ กิน บอระเพ็ดเชื่อมอย่างนี้ ไม่ต้องเชื่อม แต่อ้ายบอระเพ็ดมาแช่อิ่ม แช่น้ำผึ้ง อย่างนี้ มันเป็น ยาทั้งคู่ น้ำผึ้งมันมีฤทธิ์แอนตี้บอดี้ แล้วมันก็เป็นยาบำรุง แล้วก็ส่วนหนึ่งมันก็สามารถทำให้ กระเพาะลำไส้เราทำงานได้ปกติ ดูดซึมอาหารได้เร็ว งั้น อย่างนี้ก็ไม่เสียหาย แต่ใบ บอระเพ็ด เค้าไม่ค่อยนิยมใช้ เพราะฤทธิ์มันจะน้อยกว่าเถา เค้าก็จะใช้เถาส่วนใหญ่ จบ ปุจฉา ป่วยเป็นโรคไตฝ่อ ไตเสื่อม มีวิธีดูแลอย่างไร วิสัชนา กินน้ำยาปรับธาตุ เมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว นายหลวงแม่เค้าให้พรกัน มีคนท้องคน หนึ่ง ท้องแก่ ท้องโย้มาหาหลวงปู่ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ไปตรวจ หมอบอก เบาหวาน 300 แล้วเค้าจะเอาลูกออก เพราะถ้าไม่เอาลูก ลูกมันจะตาบอด หรือไม่ก็สมองเสื่อม สมองเสีย เค้าก็ปรึกษาเพื่อน เพื่อนมันก็เผอิญเป็นลูกค้า ไม่ใช่หรอก มันก็อยู่ที่วัด เอาน้ำยาปรับธาตุ ไปให้กิน เช้าขวด เย็นขวด เดือนหนึ่งต่อมา ไปหาหมอ หมอตรวจเลือด เบาหวาน 300 ลดลงเป็นปกติ แล้วก็ ไม่เป็นอันตรายต่อเด็กในท้อง กินได้ น้ำยาปรับธาตุ ทีนี้ คนไม่ค่อยอยากกิน เพราะมันไม่เหมือนกับเครื่องดื่ม เหมือนยาบำรุงอะไรทั้งหลาย นี่ มันเป็นน้ำยาปรับให้ธาตุสมดุล ยิ่งอากาศร้อนๆ เนี่ย กินแล้วมันจะทำให้รู้สึกผ่อนคลาย ไม่ เป็นโรคร้อนใน ไม่เป็นไข้เรื้อรัง กินได้ ท้องแก่นี่ ส่วนใหญ่จะวางยายากนะ เพราะว่า เค้า กลัวกระเทือนท้อง แล้วจะทำให้เด็กแท้ง แต่ยาที่หลวงปู่ทำนี่ กินได้ ใช้ได้ จบ คุณแทนคุณ อีกไม่กี่ข้อนะครับ หลวงปู่ คุณแม่อายุ 82 ปี จะมีเสมหะขาวๆ อยู่บ่อยๆ ไม่ทราบว่า จะทานยาอะไรให้เสมหะหมด ไป ปกติให้ทานยาบำรุงหัวใจและยาฮอร์โมน เช้าเย็น หลวงปู่ ที่จริงแล้ว อาการโรคมันเป็นไปตามวัย วัยนี้เป็นวัยที่ต้องมีโรคลม ลมกำเริบ หลวงปู่ก็เป็น เมื่อเช้าก็เป็น งั้น เรารู้ก็ต้องหาน้ำขิงร้อนๆ ไม่ต้องยา น้ำขิงร้อนๆ ทีนี้ น้ำขิง มันก็จะระคายเคืองต่อกระเพาะ เพราะว่า คนอายุมากๆ เข้าเนี่ย เยื่อบุลำไส้และกระเพาะ มันจะบาง ถ้ากินขิงทุกๆ วัน มันก็จะทำให้แสบและเกิดแผล ก็ใช้วิธีกินยาขับลมและยา เคลือบกระเพาะ ยาเคลือบกระเพาะก็ดี มันจะช่วยทำให้กระเพาะลำไส้ไม่อักเสบ แล้วก็ช่วย ขับลมได้ในระดับหนึ่ง ก็ลองกินดู แต่ถ้าไม่แก่มากเกินไป แล้วลมตี ลมขึ้นเบื้องบนนี่ อย่างนี้ เค้าเรียกลักษณะลมขึ้นเบื้องบน ก็ดื่มน้ำขิงหรือน้ำอุ่นๆ ก็ช่วยได้ จบ เออ หิวไม๊ อาตมาหิวนะ คุณแทนคุณ เอาข้อสุดท้ายครับ หลวงปู่ ลมกำลังมาแล้วนะ คุณแทนคุณ มีปัญหาพังผืดที่มือซ้าย จะแก้อย่างไร หลวงปู่ พังผืดยึดข้อนี่ ที่จริงแล้ว เค้าให้พยายามออกกำลังกายนะ ดีที่สุด ก็คือไปแช่น้ำอุ่น เดี๋ยวนี้เค้ามีวิธี หลวงปู่อยู่ว่างๆ ก็ใช้อย่างนี้ กำ หรือไม่เค้ามีลูกกลิ้ง หรือ ยางที่บีบ มันก็จะ ช่วย คือ คนเรานี่อายุมากๆ นี่ ทุกอย่างมันจะหย่อน คุณแทนคุณ ยกเว้นหู หลวงปู่ หูกับเอ็นที่มันจะตึง มันยึด จริ๊ง หู เอ็น พังผืดนี่มันจะยึด แล้วมันจะทำให้ข้อติด ข้อยึด งั้น วิธีก็คือ ค้องบริหาร แล้วก็แช่น้ำอุ่น น้ำอุ่นนี่จะช่วยได้ดีมาก แต่ในมุมกลับกันกับ คนผิวบาง แช่น้ำอุ่นไม่ดีนะ มันจะทำให้เส้นเลือดฝอยที่อยู่ใต้ผิวหนังแตกปริได้ง่าย แล้วก็ จะเกิดเป็นจ้ำๆ ดำๆ ก็ต้องใช้ปัญญา เหมือน มีสติในกาย กายนี้ไม่ลำบาก มีสติในวาจา วาจาไม่ลำบาก มีสติในใจ ใจก็ไม่ลำบาก สำคัญต้องมีสติ มีสติแล้วเราจะรู้ว่า เออ สถานการณ์อย่างนี้ อาการอย่างนี้ ฤดูอย่างนี้ อากาศอย่างนี้ อาหารแบบไหน จึงจะเหมาะสม ทำตัวอย่างไร จบ คุณแทนคุณ ผมจะข้ออนุญาตอ่านคำถาม... หลวงปู่ ก็เดี๋ยวตอนบ่าย เค้าจะไปที่โรงพยาบาลทหารเรือ ก็ค่อยเอาไปถามก็ได้ คุณแทนคุณ ครับ หลวงปู่ แล้วก็ช่วยประชาสัมพันธ์ว่า อาทิตย์ที่ 1 ของเดือน เป็นวันเสาร์เนี่ย ตอนนั้น ประกาศว่าทุกวันที่ 5 ของเดือน จะเปิดร้านคิดไปเอง ก็จะเปลี่ยนมาเป็นวันเสาร์แรกของ เดือน แล้วเดือนต่อไป ก็เป็นอาทิตย์แรกของเดือน เพราะคนที่ไปวัดฟังธรรม คุณแทนคุณ อ๋อ วันอาทิตย์เยอะกว่า หลวงปู่ ไม่ใช่ คือ หลวงปู่อยากให้คนที่มาซื้อข้าวราคาถูกได้ฟังธรรมด้วยไง หาโอกาส คือ หาวิธีว่า กระสุนนัดเดียว ได้นก 30 กรง คุณแทนคุณ ร้านคิดได้เอง จะได้ หลวงปู่ คิดเอาเอง คุณแทนคุณ หลวงปู่ก็ทันสมัยตลอด อ่านคำถาม.......... หลวงปู่ อย่าคิดมากเลย คุณ เดี๋ยวก็เช้าแล้ว นี่มันเช้าแล้วนี่ เดี๋ยวมันก็สายแล้ว เดี๋ยวก็เย็น แล้ว คิดอะไรมาก ใครแกล้งใคร ใครทะเลาะใคร ใครวิวาทใคร ส่วนพระโพธิสัตว์ท่านจะ โกรธฉุนเฉียว ก็เป็นเรื่องของท่าน ตัวท่านเอง มีไฟเผาท่าน ก็ลนท่านเอง อย่าไปยุ่งกับท่าน เรื่องของเราคือ เราเป็นดีหรือยัง เท่านั้นแหละ ชอบไปดูคนอื่น แล้วก็ดีตัวเองไม่ดูบ้าง ไม่มี ดีให้เค้าดู มันก็กลายเป็นคนอัปรีย์ไปได้เหมือนกันนะจ๊ะ จบ คุณแทนคุณ สรุป คือว่า ดูตัวเอง พิจารณาตัวเอง หลวงปู่ ใช่ คุณแทนคุณ ช่วยตัวเองแล้ว ก็ช่วยคนอื่น แต่อย่าไปยุ่งเรื่องคนอื่นมากเกินไป หลวงปู่ เออ ถ้ายุ่งเรื่องคนอื่นเยอะๆ เกินไปแล้ว ก็กลายเป็นว่า เราจะเป็นคนที่แบกโลก ก็บอกแล้วว่า พุทธิภาวะ มันอยู่กับคนทุกคนแหละ ทีนี้ มันขึ้นกับว่า มันอยู่ลึกหรืออยู่ตื้น อ้ายคนที่อยู่ตื้น มันก็เห็นได้ชัด อ้ายคนที่อยู่ลึก ก็ 3 ชาติ 9 ชาติ 100 ชาติ หมื่นชาติ แสนชาติ บางทีภูเขายุบไปแล้ว เท่าแผ่นดิน ก็ยังไม่เจอพุทธิภาวะ คือ ลึกมากไง แต่อย่างน้อย ทุกคนก็มี ถ้าเข้าใจความหมายนี้ ก็ เออ จบ ไม่ต้องอะไรมากมาย คนเรามันไม่ใช่ดีทั้งหมด แล้วก็ไม่ ใช่ชั่วทั้งหมด มันก็ต้องมีบ้างแหละ แต่ถ้าถามว่า ดีแล้วยอมรับ ชั่วแล้วก็ยอมรับ ก็ถือว่า มันพัฒนาได้ แต่ถ้าดียอมรับ แล้วชั่วไม่ยอมรับ อ้ายนี่ มันจะลึกใหญ่ พุทธิภาวะ มันจะล้วงไม่ถึง มันจะกลายเป็นก้นบึ้งของจิตวิญญาณแหละไม่ใช่ก้นบี้งของทะเล อ้ายก้นบึ้งของจิตวิญญาณ นี่มันลึกกว่าก้นบึ้งของทะเลอีกนะ เพราะทะเลนี่มันยังยั่งได้ แต่ จิตวิญญาณนี่ มันยั่งได้ที่ไหน เกิดมากี่ภพ กี่ร้อย กี่พัน กี่แสนชาติ แล้วก้นบึ้งของมันอยู่ ตรงไหน งั้น พวกนี้ก็จะน่าสงสารมาก น่าสมเพช เพราะมีคนพูด คนเตือน คนบอก ก็แสดงว่า เค้า เมตตา คือเค้าอยากชี้ให้เห็น หน้าที่ของพระเนี่ย พระพุทธเจ้า คำว่า ภิกษุแปลโดยคุณศัพท์ นอกจากผู้ขอแล้ว พระองค์ ทรงสอนต่อไปอีกว่า ผู้ชี้โทษ ผู้เพ่งโทษ พระที่ดี ต้องมีหน้าที่ชี้ถูกให้เห็น ชี้ผิดให้เห็น ถ้า ดี ดี นั่นอัปรีย์ ไม่ใช่พระดี เพราะพระดี ต้องชี้ให้เห็นว่า ทำอย่างไรเป็นโทษ แล้วอ้ายที่เป็นโทษ ต้องแก้ไขไม๊ ทำอย่างไรจึงจะดี แล้วดีต้องทำต่อไปอย่างไร ไม่ใช่บอกว่า ไปยุ่งกับเค้า ไม่ไปยุ่ง ไปแซะ ไปแทง ไปทิ่ม ถ้าไม่ทิ่ม ไม่แทง มันต้องถามว่า แล้วอยู่ด้วยอคติหรือเปล่า ถ้ามีใจอกุศล เป็นอคติน่ะ เค้า เรียกว่า ทิ่มแทง แต่หวังดีต่อพระศาสนา หวังดีต่อผู้คนฟัง หวังดีต่อโดยองค์รวม ต่อสังคม อย่างนี้ เค้าไม่ เรียกว่า ไปแซะ ไปทิ่ม ไปแทงนะจ๊ะ เค้าเรียกว่า ผู้เพ่งโทษ ผู้ชี้โทษจ้ะ อย่างนั้น ปริพาชก คนที่สมัยพระพุทธเจ้าทรงปรินิพพาน พระทั้งหลายร้องไห้ ผู้ที่ไม่ได้เป็นอรหันต์ก็ร้องไห้ โอ้ย อย่าไปร้องไห้ทำไม สมณะโคดม อยู่ไปก็บ่นว่า เอาแต่จู้จี้ ขี้บ่น บอกนู่นผิด บอกนี่ถูก เพราะฉะนั้น เรื่องนี้ไม่ใช่มีเฉพาะสมัยนี้ 2000 กว่าปี พระพุทธเจ้ายังโดนเลย เออ ชี้ ถูกชี้ผิด พระพุทธเจ้าก็ทำหน้าที่ ถึงขนาดว่า ปริพาชกที่มาบวช ต้องบ่นออกมาให้คณะสงฆ์ จนมากลายเป็นปฐมสังคายนา พระมหากัสปะ พอฟังเข้า บอกนี่ขนาดพระพุทธเจ้าเพิ่งจะ นิพพานใหม๋ๆ ยังอย่างนี้เลย ถ้านิพพานไปแล้วอีก 500 ชาติ 500 ปี 5 ปี ไม่ เห็นพระพุทธเจ้าแล้ว งั้น พระพุทธะมีหน้าที่ผู้ชี้โทษ อย่าไปเข้าใจว่า ที่ชี้เพราะว่า อะไรล่ะ อิจฉา อกุศล มักมาก อยากได้ เอ่ย กระดูดคนละเบอร์ อ้าว จริงๆ กระดูกคนละเบอร์ สาวกภูมิ ก็คือ ขี้ข้า พุทธะ ก็คือ เจ้า มันคนละรุ่น กระดูกคนละเบอร์ ปัญญาสติ ความรู้ก็คนละเรื่อง คนละระดับ อย่ามาเทียบ เออ ไพร่ อย่ามาเทียบกับอำมาตย์ เอ้า ไหนๆ เค้าว่าเราเป็นอำมาตย์แล้วก็ เออ เอาให้จบไป จบจ้ะ หิวข้าว เอ้า ทุกท่านที่รับชมรายการอาทิตย์สดใส ให้รุ่งเรือง เจริญ ด้วยสติ ปัญญาของพระพุทธะ คิดและหวังสิ่งใด จงสมความปรารถนา เจริญธรรม (สาธุ) กราบขอบพระคุณหลวงปู่ครับ
ห้องสมุดธรรมอิสระ
แสดงธรรมอาทิตย์ที่ ๓ ณ บจ.ดอกบัวคู่ วันที่ ๒๐ พ.ค.๕๕
- Details
- Written by พระธนุส กิตฺติญาโณ (พระจูเนียร์)
- Hits: 3295