4 มิ ย 2555    9.20 น. ถอดซีดี ธรรมะวันวิสาขบูชา โดยองค์หลวงปู่พุทธะอิสระ

• คนทุกคน สัตว์ทุกประเภท มีพุทธิภาวะเท่ากัน ลูก
• หลวงปู่ไม่ได้หวังได้บุญ ได้ทานอะไร กูหวังว่า นี่คือการสั่งสมอบรมบารมี

ในการสงเคราะห์ อนุเคราะห์ตามเหตุตามปัจจัย ถ้าขืนเก็บไว้มาก เดี๋ยวมันไม่เป็นแผ่นดิน

ไม่เป็นภูผา ไม่เป็นภูเขา จำเอาไว้
เจริญธรรม เจริญสุข ท่านสาธุชนพุทธบริษัท ผู้ใคร่ในบุญที่รักทุกท่าน
วันนี้ พวกเรามากระทำ กิจกรรม สั่งสมบารมีธรรม บุญ คุณงามความดีตามวิถีแห่งศรัทธา

ที่ตนมีต่อพระพุทธศาสนา ตามวิถีแห่งศรัทธาที่ตนมี ครูบาอาจารย์ก็มีหลากหลาย วัดก็มี

มากมาย หลายคนก็ไปในที่ๆ ตัวเองศรัทธา ทุกคนก็จะเรียกว่า บำเพ็ญบุญตามวิถีแห่ง

ศรัทธา วิถีแห่งศรัทธาที่ผู้คนชื่นชมยินดี
ทำไมต้องปฏิบัติ ทำไมต้องศึกษา ทำไมต้องสั่งสม ทำไมต้องอบรม ทำไมต้องเรียนรู้
มันเป็นความเชื่อที่เราเชื่อกัน แล้วเราก็โดนสอนกันมา การทำคุณงามความดีเป็นเหมือน

อริยทรัพย์ ทรัพย์ที่เราหาได้ เช่น แก้วแหวนเงินทอง เพชรนิลจินดา เวลาเราตายแล้วมัน

ตามไปไม่ได้ แต่มีอยู่ 2 สิ่ง ก็คือ ดีกับชั่ว ที่เราจะตามตัวไปได้
เมื่อเราเชื่อกันอย่างนี้ เราก็เชื่อว่า คนไม่มีความชั่วมากๆ มาเกิดในภพภูมิต่อๆ ไป ชั่วในที่นี้

ก็คือ กายชั่ว  วาจาชั่ว จิตใจชั่ว ที่พระพุทธเจ้าเรียกว่า ทุจริต กายทุจริต วาจาทุจริต มโน

ทุจริต
ทุจริต ก็คือ ความไม่ซื่อตรง
กายทุจริต มีอะไรบ้าง ก็มีฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม
วจีทุจริต ก็คือ พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ พูดคำหยาบ
มโนทุจริต ก็คือ โลภอยากได้ของเขา พยาบาทปองร้ายเขา
และข้อสำคัญที่สุด ก็คือ เห็นผิดจากทำนองคลองธรรม เรียกว่า ไม่เห็นสภาพธรรมตาม

ความเป็นจริงที่ปรากฏ อย่างนี้ เค้าเรียกว่า มโนทุจริต
คนมีความทุจริตแบบนี้เนี่ย เกิดที่ไหน ภพภูมิใด ก็จะมีแต่อดอยาก ลำบาก อนาถา
จน นี่มันมีหลายอย่าง จนญาติ จนบริวาร จนข้าทาสหญิงชาย จนทรัพย์ จนแก้วแหวน เงิน

ทอง จนเพชรนิลจินดา จนมิตร จนคนอันเป็นที่รัก  แม้ที่สุด ก็จนปัญญา
จนญาติ จนบริวาร จนทรัพย์ จนข้าทาสบริวารหญิงชาย ทรัพย์สินสฤงคาร รวมทั้ง แก้ว

แหวนเงินทอง เพชรนิลจินดา จนยศถาบรรดาศักดิ์ จนเกียรติยศ ชื่อเสียงเนี่ย พระพุทธเจ้า

ไม่เรียกว่า จน แต่ถ้าจนปัญญา จนใจนี่ มันสุดจะจน จ๊น จน มันจนมากๆ จนเอามากๆ
เพราะคนจนปัญญา มีทรัพย์ก็เหมือนกับไม่มีทรัพย์ มีทรัพย์มากก็กลายเป็นเหลือทรัพย์น้อย

เหลือน้อยก็กลายเป็นไม่มีซักทรัพย์ คือ หมดทุกทรัพย์ อย่างนี้เป็นต้น
อ้ายคนมีปัญญา เกิดมาไม่มีทรัพย์ ก็สามารถสั่งสมอบรมทำให้เจริญในทรัพย์นั้นได้ แล้ว

มันจะกลายเป็นอริยทรัพย์ คือ พัฒนาทรัพย์ที่สั่งสมอบรมกลายเป็นอริยทรัพย์ที่สามารถจะ

ติดตามตัวไปได้ข้ามภพข้ามชาติ
อ้ายคนมีโมหะ มีความโง่ มีความหลง มีโลภะ ความโลภ มันก็จะกลายเป็นคนที่เห็นทรัพย์

แก้วแหวนเงินทอง เพชรนิลจินดา ข้าทาสบริวารหญิงชาย กลายเป็นสำคัญ บางคนเอาชีวิต

เข้าแลกเพื่อให้ได้มันมา ยอมตายเพื่อมัน ฆ่าฟันคนอื่นเพื่อมัน คดโกงแผ่นดินเพื่อมัน ทำ

ร้ายทำลายชาวบ้านเพื่อมัน แล้วสุดท้าย ตายไปก็ไม่ได้มันไป ได้แต่ตัวมึงไปล่ะ มึงมีอะไร

มึงก็มีเลวกับดี ไม่ได้มากไปกว่านี้ เงินยัดใส่ปาก สัปเหร่อก็งัดเอาไปกิน ของที่ใส่ไปในโลง

เค้าก็เผาทิ้ง หรือฝังเสีย เราก็ไม่ได้เอาไป
งั้น เห็นถูกตามทำนองคลองธรรมอย่างนี้ เค้าเรียกว่า มีสัมมาทิฏฐิ มีสุจริตมโน เค้าเรียกว่า

มโนสุจริต แล้วด้วยความเชื่ออย่างนี้ เราจึงเชื่อกันต่อมาว่า มีชีวิตอยู่ ก็รู้จักที่จะต่อทรัพย์ให้

เป็นอริยทรัพย์ เรียกว่า มีแก้วแหวนเงินทอง เพชรนิลจินดา ข้าทาสบริวารหญิงชาย ก็เอา

มาทำประโยชน์ต่อสิ่งแวดล้อม สังคม สาธารณะ มีจิตสาธารณะ คิดเพื่อประโยชน์สาธารณะ

ให้คุณต่อสาธารณะ ทำเพื่อสาธารณะ เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ
สาธารณะก็มีหลากหลาย มีสาธารณะตั้งแต่สาธารณะลำดับเริ่ม มีศีล กำลังรักษาศีล และ

เป็นผู้ทรงศีล และเจริญในศีล คนมีปัญญา เค้าก็จะเลือก ว่าเราจะทำ  สละ ทำการสละทรัพย์

สินสฤงคาร แก้วแหวนเงินทอง เพชรนิลจินดา ข้าทาสบริวาร ให้กับคนกลุ่มใด จำพวกใด

สาธารณะประเภทใด
แล้วเค้าก็เชื่อกันว่า ผู้ที่ทำทาน บริจาคให้กับผู้มีศีลมาก มีศีลสมบูรณ์ มีศีลบริสุทธิ์ ก็ประดุจ

ดั่งทำบุญทำทาน บริจาคให้กับพระศาสดา พระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยมีคำสอนในสามัญ

ญผลสูตรที่พระศาสดาทรงแสดงเอาไว้ เรื่อง การถวายทาน เรียกว่า สังฆทาน คือ ถวายแก่

พระสงฆ์หมู่ หรือ พระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เป็นพระสุปฏิปันโน เป็นพระผู้ไม่ประกาศ

โฆษณาตัวเอง แต่เป็นพระผู้ปฏิบัติแล้วซึ่งมีจิตอันเสมอด้วยแผ่นดิน เป็นผู้ปราศจากเครื่อง

ปรุงทางตาเห็น หูฟัง จมูกได้ ลิ้น กายสัมผัส ใจรู้อารมณ์ ก็สักแต่ว่าเห็น สักแต่ว่าฟัง สักแต่

ว่าดู สักแต่ว่าดม สักแต่ว่าสัมผัส ไม่คิดเยินยอนิยมต่อสิ่งเหล่านั้น
พระอย่างนี้ ปฏิบัติอย่างนี้ ก็ถือว่า เป็นพระประดุจดั่งพระพุทธเจ้า หรือ ประดุจดั่งพระสงฆ์

หมู่ใหญ่ แม้มีองค์เดียวทำบุญ ก็ได้บุญมโหฬาร มหาศาล พระที่มีจิตดั่งแผ่นดิน ไม่สะทก

สะท้านต่อสิ่งเร้าเครื่องล่อ ไม่สะทกสะท้านต่อสิ่งชักชวน ชักจูง ไม่สะทกสะท้านต่อลาภยศ

สรรเสริญ สุข ทุกข์ นินทา ยืนหยัดมั่นคงดั่งขุนเขาและหินผา พระอย่างนี้ ทำบุญ นักบุญ

อย่างนี้ทำบุญ คนอย่างนี้ กลุ่มชนเช่นนี้ ทำบุญแล้วได้บุญมหาศาล
เมื่อเราเชื่อกันอย่างนี้ เราก็เลยพากันมาตามวัดที่ตัวเองศรัทธา เราศรัทธาวัดไหน เราก็เชื่อ

กันว่า สิ่งที่ศรัทธานั้นเป็นผู้ที่มีชีวิต หรือมีฐานะภาพดั่งแผ่นดิน ดังขุนเขา ดั่งหินผา เราจะ

ศรัทธาแบบฉลาด หรือศรัทธาแบบโง่ก็ว่ากันไปตามเหตุตามปัจจัย ขึ้นอยู่กับคนศรัทธามี

ปัญญามากน้อยแค่ไหน แล้วเราก็ไปทำบุญ ไปบริจาคทาน เพื่อหวังว่า จะให้ได้อริยทรัพย์

เรียกว่า เอาทรัพย์วัตถุไปต่อให้เกิดเป็นนามทรัพย์ จากรูปทรัพย์ก็กลายเป็นนามทรัพย์

แล้วก็พัฒนาเป็นอริยทรัพย์ เป็นทรัพย์ที่สามารถติดตามตัวเราไปได้
เป็นความเชื่อแบบนี้ เราก็เลยพากันมาทำบุญในที่ต่างๆ แต่ก็อยากจะฝากบอกท่านที่รักทั้ง

หลายว่า  บุญเนี่ย พระพุทธเจ้าทรงแสดงเอาไว้ในบุญกิริยาวัตถุ 10 อย่าง การบริจาคนี่

มันเรื่องรอง เรื่องเล็กมาก พระองค์ทรงจัดคำว่า บริจาคเอาไว้ในข้อแรก ข้อที่ 1 จริงแหละ

แต่มันไม่ใช่สำคัญมาก
สิ่งที่สำคัญมาก คือการเสียสละ การแบ่งปันและการให้ด้วยหัวใจที่ต้องการทำลายความคับ

แคบ ความตระหนี่ ความเห็นแก่ตัว ความละโมภ มนุษย์ไม่ได้อยู่ แล้วมีมาก ได้มาก กอบ

โกยมาก ขวนขวายมาก สุดท้ายมันก็เป็นของกูมากๆ พอเป็นของกูมากๆเข้า มันก็จะเข้าตำรา

อย่างที่สอนไว้เมื่อวานนี้
พอมีอวิชชา มันก็ทำให้เกิดสังขารการปรุงแต่ง สังขารการปรุงแต่ง ก็ทำให้เกิดวิญญาณการ

รับรู้ ซึ่งก็รับรู้แบบบิดๆ เบี้ยวๆ เพราะอวิชชามันทำให้การรับรู้ผิดๆ เบี้ยวๆ
พอรู้แบบบิดๆ เบี้ยวๆ มันก็จะเกิดรูปนาม รูปก็คือ ร่างกาย นามก็คือ จิตใจที่บิดๆ เบี้ยวๆ

ผิดๆ พลาดๆ
พอมีร่างกายจิตใจที่บิดเบี้ยว ผิดพลาดแล้ว มันก็จะเลว ต่ำลง ไม่ใช่พัฒนา พัฒนาจะใช้กับ

คำว่า เจริญมันจะเลวลง ต่ำลงไปในหนทางแห่งความมีผัสสะ
มีสฬายตนะ มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจที่ปรารถนาแต่สิ่งบิดสิ่งเบี้ยว สิ่งผิด สิ่งอัปมงคล เวลา

คนเค้าเทศน์ พระเค้าสอน ปราชญ์เค้าตักเตือน ก็ทำหูทวนลม แต่เวลาชาวบ้านเค้านินทากัน

เรานินทาชาวบ้าน ทำหูผึ่ง เวลาดูของอัปรีย์ กาลี ลืมตาสว่าง เวลาดูเค้าปฏิบัติธรรมล่ะ ทำ

ง่วงนอน ซกอยู่ตามกกเสา อะไรอย่างนี้ ก็เพราะมันเกิดจากอวิชชาพาให้บิดๆ เบี้ยวๆ ตาก็

เบี้ยว หูก็เบี้ยว กายก็เบี้ยว สุดท้าย ใจเบี้ยว ใจมันบิดๆ เบี้ยวๆ
พวกนี้ ก็เป็นพวกมีอวิชชา ไม่มีวิถีแห่งสุจริตทางใจ เรียกว่า ใจไม่สุจริต มีแต่ทุจริตทางใจ
ทุจริต ไม่ได้หมายถึงทุจริตต่อคนอื่น แต่ทุจริตต่อตัวเอง เพราะโกงตัวเอง ทำร้ายทำลายตัว

เอง
ให้รู้ไว้ด้วยว่า เวลาเราฟังปราชญ์ ฟังครู ฟังพ่อแม่ ฟังอาจารย์ ฟังผู้รู้ ฟังบัณฑิต ฟังนักบวช

ฟังพระ ฟังพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ฟังพระอรหันต์ ฟังผู้ทรงศีล ฟังผู้ทรงธรรม ฟังผู้ทรงวินัย

ฟังผู้มีปัญญา  แล้วเรารู้สึกง่วงหงาวหาวนอน เปลี้ย เพลีย ละเหี่ยใจ อึดอัด ขัดเคือง ฟุ้งซ่าน

หงุดหงิด รำคาญ แสดงว่า สันดานบิดเบี้ยว
พวกนี้ มาจากอะไร
ก็มาจากอเวจีบ้าง มาจากโลหะกันตะนรกบ้าง มาจากนรกขุมล่างๆสุดบ้าง
คนทุกคน สัตว์ทุกประเภท มีพุทธิภาวะเท่ากัน ลูก คือ ทุกคนต้องมีพุทธิภาวะในการตรัสรู้

เหมือนกัน แต่อาจจะไม่เท่ากันตรงที่บางคนอยู่ตื้น บางคนอยู่ลึก
อ้ายพวกที่ฟังพระ ฟังนักบวช ฟังผู้ทรงศีล ฟังผู้มีปัญญาแล้ว ง่วงหงาวหาวนอน ปวดหัวจี๊ด

จ๊าด ไม่รู้เรื่องอะไร แต่ฟังเรื่องอัปรีย์ กาลีจัญไร ล่ะมันในอารมณ์เนี่ย อ้ายพวกนี้แสดงว่า

มีพุทธิภาวะที่อยู่ลึกมาก มันลึกใต้ฝ่าเท้าลงไปถึงอเวจี แล้วมีสิทธิ์จะตรัสรู้บรรลุธรรมไม๊
มี มีโอกาส แต่อีกนานน่ะ มันนานขนาดไหน ก็ประมาณปู๊นนั่น มันนานประมาณปู๊นเลยล่ะ

ไม่ใช่ใกล้ๆ
อ้ายใครคนใดที่มีพุทธิภาวะที่อยู่ตื้นๆ พอเห็นครูอาจารย์ ปราชญ์บัณฑิต ผู้มีศีล มีสมาธิ มี

ปัญญาอบรมสั่งสอนเนี่ย มันจะเหมือนกับแมลงวัน แมลงวันที่ได้กลิ่นอาหาร ก็จะบินเข้า

ไปหา
ในมุมกลับกัน อ้ายคนที่มีจิตอันเป็นทุจริต ไม่มีสุจริต มันก็เหมือนกับแมลงวันอีกเหมือนกัน

พอได้กลิ่นขี้ ก็บินเข้าไปหา แมลงวันนี่ไม่ตอมดอกไม้ฉันใด พอเห็นดอกไม้มันก็ไม่ค่อย

อยากตอม มันก็อยากจะตอมขี้ พอเจอดอกไม้ก็เบื่อ ไม่มีประโยชน์อะไร
เพราะงั้น อยากจะบอกว่า อ้ายสุจริตแห่งจิตวิญญาณเนี่ย มันจะสุจริตที่ต้องมีกับตัวเองก่อน

เป็นเบื้องต้น แล้วจึงจะเกิดกับคนอื่น ทุจริตก็เหมือนกัน เมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว มันต้องเกิด

ทุจริตกับตัวเองก่อน แล้วจึงจะไปทุจริตกับคนอื่น เรียกว่า ทำร้ายตัวเองเสียก่อน แล้วจึงจะ

ไปทำร้ายคนอื่น
ไม่มีใครหรอกที่ไม่ทำร้ายตัวเองแล้วจึงจะไปทำร้ายคนอื่น แล้วอ้ายการคิดทำร้ายคนอื่น

พูดทำร้ายคนอื่น ทำทำร้ายคนอื่นเนี่ย มันจะแตกต่างจาก คิด พูด ทำ ทำร้ายตัวเอง เพราะ

เวลา คิด พูด ทำ ทำร้ายคนอื่น มันง่ายมาก มันมีความรู้สึกเป็นธรรมชาติมาก เป็นเรื่องเป็น

ราว
แต่ถ้าเมื่อใดที่ คิด พูด ทำ ทำร้ายตัวเอง เราก็จะคิดตามไปด้วย เข้าใจตามไปด้วยว่า เราก็

ต้องเป็นอะไรที่เหมือนกัน จริงๆ แล้ว มันไม่เป็น ด้วยเหตุปัจจัยว่า ถ้าคนมีปัญญา ก็จะรู้ว่า

นี่เราเจ็บนะ นี่เราทุรนทุรายนะ นี่เราเศร้าหมองนะ นี่เราขุ่นเคืองนะ เช่น โลภอยากได้ของ

เขาเนี่ย วันทั้งวันนอนดิ้นหนังกลับ นอนไม่หลับ อยากนู่น อยากนี่ อยากนั่น คนมีตัณหานี่

มันเหมือนหมาเดือน 12 เอ้า สังเกตุดูสิ มันทุรนทุราย มันกระสับกระส่าย มันอะไรๆต่อ

อะไร ก็ไม่รู้ล่ะ มันเยอะแยะมากมาย นอนก็ไม่หลับ ตื่นก็ไม่เป็นสุข ยืน เดิน นั่ง นอน ก็

ถวิลหา อยากจะแสวงหา ต้องการไปหา คว้ามา หรือไม่ก็ หาวิธีที่จะไปหาให้ได้ แล้วถามว่า

รู้ไม๊ว่า เป็นทุกข์
ไม่รู้ ก็เพราะมีอวิชชา
อวิชชา มันพาให้สังขารปรุงแต่งบิดๆ เบี้ยวๆ มันก็รวมไปถึงกระบวนการ มี ตา หู เบี้ยวๆ

พอมีตาหูเบี้ยวๆ มันก็มีผัสสะเบี้ยวๆ ผัสสะเบี้ยวๆ มันก็เกิดเวทนาแบบเบี้ยวๆ เวทนาที่

บอกว่า สุข  จริงๆ แล้ว มันเป็นทุกข์ เพราะมันทำร้ายตัวเอง แล้วมีเวทนา มันก็เกิดตัณหา

แบบเบี้ยวๆ อยากแบบผิดๆ
มีแต่คนเค้าคิดอยากจะทำดี
หลวงปู่เขียนบทโศลกสอนเอาไว้ว่า
ลูกรัก คนฉลาดใช้กิเลส คนโง่โดนกิเลสใช้
ถ้าคนมีปัญญา ก็จะใช้กิเลสให้เป็นประโยชน์ อ้ายคนโง่เขลาเบาปัญญา ก็ตกเป็นทาสของ

กิเลสอยู่ร่ำไป ไม่เคยที่จะปลดเปลื้องตัวเองออกจากกิเลส ไม่งั้น อ้ายความที่มีตัณหามากๆ

เข้า มันก็เกิดอุปาทาน ความยึดถือ ชาติ ภพ ก็จะตามมาล่ะ ชรา มรณะ พยาธิก็เกิดขึ้น
งั้น จึงอยากจะบอกว่า คนที่ทุจริต ผิดในหัวใจตัวเองเนี่ย มันไม่ใช่หมายถึงว่า ต้องไปทุจริต

กับคนอื่น แต่มันทุจริตกับตัวเองเนี่ย เลวที่สุด
อ้ายทุจริตกับคนอื่น นี่ยังไม่เท่าไหร่ เพราะว่า มันนานๆ ที แต่ทุจริตกับตัวเองเนี่ย มันทำ

ทุกนาที พระเตือน ครูสอน อาจารย์บอก ผู้มีศีลสั่ง อะไรก็ไม่รู้ ปฏิเสธไปหมดทุกเรื่อง

อย่างนี้เป็นต้น
งั้น จึงอยากจะบอกกับท่านที่รักทั้งหลายว่า ทั้งหมดทั้งมวลเนี่ย เราอยากจะปลดเปลื้องตัว

เองจากพันธนาการแห่งวัฏฏะ แล้วก็ภัยจากวัฏฏะสงสาร เราอยากจะปลดเปลื้องตัวเองจาก

ทุกข์ ซึ่งวันนี้เมื่อ 2000 กว่าปีก่อน 2600 ปี พระศาสดาทรงตรัสรู้ และเอาชนะ

พญามารได้ สิ่งที่พระองค์ทรงตรัสรู้ ก็คือ อริยสัจ 4  ที่เราเชื่อกันว่าอย่างนั้น รู้กันว่า

อย่างนั้น
จริงๆ แล้วพระองค์ทรงรู้มากกว่าอริยสัจ 4  แต่เพราะอริยสัจ 4 เป็นธรรมอันสำคัญยิ่ง

เป็นธรรมอันเอกอุ เป็นธรรมอันประเสริฐ เป็นสัจธรรมอันดีเลิศ และเป็นธรรมที่นำพา

สรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ภัยได้อย่างสิ้นเชิง เป็นธรรรมที่ถือว่า เป็นธรรมอันรวบรัด เป็นธรรม

อันซื่อตรง เป็นธรรมอันเป็นหนทางเอกของบุคคลผู้เดียวเดินไปได้ เป็นหนทางอันประเสริฐ

ยิ่ง
ในหลักอริยสัจ 4 ก็แบ่งออกเป็น 2 ประเภท
อริยสัจ 4 ประเภทแรก ก็คือ  อริยสัจ 4 ที่เริ่มต้นจากทุกข์ เหตุเกิดทุกข์ ทางดับทุกข์

ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ อันนี้เป็นปริญญา เป็นปริญญาก็คือ เป็นหลักการว่า
ทุกข์นี่มาจากเหตุ มันมีเหตุ
ถ้าหากว่า จะดับทุกข์ ก็ต้องดับที่เหตุ
ทางดับทุกข์ มันมีอยู่ อย่ามัวงมงาย
วิธีดับทุกข์นั้น ควรทำให้เข้าถึงให้ได้ อย่างนี้เป็นต้น
อย่างนี้ เค้าเรียกว่า ประเภทแรก
ประเภทที่ 2 ก็คือ โดย กิจอริยสัจ 4 โดยกิจ ก็คือ
ทุกข์ ต้องรู้
เหตุเกิดทุกข์ ต้องละ
ทางดับทุกข์ ต้องทำให้แจ้ง
วิถีแห่งการดับทุกข์ ต้องทำให้เจริญ ทำให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นไป
อย่างนี้เค้าเรียกว่า อริยสัจ 4 ประเภทที่ 2 โดยกิจ
พระองค์ไม่ได้สอนเพียงแค่อริยสัจ 4 ในหลักอริยสัจ 4 ก็มีทางดับทุกข์ และวิธีให้ทุกข์

นั้นดับได้ ก็กลายเป็นมรรคมีองค์ 8 ประการ
ในวันนี้ เราเชื่อกันอย่างนั้นว่า พระศาสดาทรงตรัสรู้เรื่องพวกนี้ ที่จริงแล้วพระองค์ทรงรู้

มากกว่านี่ แม้ที่สุด ก็ทรงรู้ว่า สรรพสิ่งในโลก ธรรมใดเกิดแต่เหตุ พระศาสดาทรงแสดง

เหตุและความดับเหตุแห่งธรรมนั้น
และสรรพสิ่งในโลก มีเกิดขึ้นในเบื้องต้น ตั้งอยู่ แปรปรวนในท่ามกลาง สุดท้าย แตกสลาย

ในที่สุด
ทั้งหมดทั้งมวลนี่เป็นเพียงแค่ปริญญา หรือทฤษฎี มันจะไม่มีประโยชน์อะไรกับเราเลย ถ้า

เราไม่ทำชีวิตให้เข้าถึงพระธรรมคำสั่งสอนเหล่านี้
งั้น การทำชีวิตของตนให้เข้าถึงพระธรรมคำสั่งสอนนั้น มีหลากหลายวิธีการมาก ก็เริ่มต้น

จากสันดานมนุษย์มีหรือยัง คุณธรรมของมนุษย์สมบูรณ์แล้วหรือยัง แล้วพัฒนาจาก

สันดานมนุษย์ คุณธรรมมนุษย์
และอะไรเป็นสันดานมนุษย์ คือ รับผิดชอบ สัตว์เดรัจฉานมันรับผิดชอบไม่ได้ มนุษย์ต้อง

รับผิดชอบ ถ้าเป็นมนุษย์แล้วต้องรับผิดชอบ สัตว์เดรัจฉานไม่มีหน้าที่รับผิดชอบอะไร นี่

เค้าเรียกว่า สันดานมนุษย์
รวมความแล้ว จะเป็นมนุษย์ มีสันดานดี  ไม่ใช่สันดานดิบ ก็ต้องเป็นมนุษย์ที่มีหน้าที่ รับ

ผิดชอบในหน้าที่ เรียกว่า สันดานมนุษย์
คุณธรรมมนุษย์ มีอะไรบ้าง เริ่มต้นจาก นิมิตตัง สาธุรูปานัง กตัญญู กดเวทิตา แปลเป็นใจ

ความว่า เครื่องหมายของคนดี คือ กตัญญู รู้คุณ กตเวทิตา ตอบแทนคุณ
แล้วพัฒนาคุณธรรมจากมนุษย์กลายเป็นคุณธรรมของเทวดา คือ หิริ ความละอายชั่ว โอ

ตัปปะ ความเกรงกลัวบาป
พัฒนาจากคุณธรรมเทวดากลายเป็นคุณธรรมของนักบวช คือ ขันติ ความอดกลั้น เป็น

ธรรมเครื่องเผากิเลสอย่างยิ่ง ขันตินี่เป็นธรรมของนักบวช ผู้พ้นแล้ว หรือ ผู้ปรารถนาจะ

พ้นแล้วซึ่งมลทิน
พัฒนาจากขันติ ต่อมาก็แสวงหาซึ่งความปราศจาก ปราศจากอะไร ปราศจากเครื่องร้อยรัด

และพันธนาการในความผิดพลาดทั้งปวง เรียกว่า มีอินทรีย์สังวร สำรวมสังวรณ์ระวัง ตา

เห็นรูปสวย หูฟังเสียงเพราะ จมูกได้กลิ่นหอม ลิ้นรับรสอร่อย กายถูกต้องสัมผัส และใจรับ

รู้อารมณ์ เรียกว่า เห็นก็สักตาว่าเห็น พระอริยเจ้าทั้งหลายจะมีปกติอย่างนี้
เดี๋ยวนี้ เป็นเจ้าๆ พระเป็นเจ้าๆ ก็จะมีปกติไม่เป็นอย่างนี้ ถ้าเป็นพระอริยเจ้าจริงๆ แล้วจะ

ปกติที่ เห็นก็สักแต่ว่าเห็น ดูก็สักแต่ว่าดู ดมก็สักแต่ว่าดม ไม่ต้องเยินยอนิยม ไม่ต้องติชม

ใดๆ เหมือนกับบทโศลกเมื่อ 30 กว่าปีก่อน หลวงปู่เขียนไว้
ลูกรัก คนจริง ไม่ไหวติงต่อคำชม ไม่เยินยอนิยมต่อคำนินทา นั่น คนดีจริงๆ
อ้ายคนอัปรีย์จริงๆ ก็จะเป็นไปตามเหตุปัจจัย แล้วก็จะมาอวดอ้างตัวเองว่า ดี ถ้ายังมีเหตุ

ปัจจัยชักจูงได้ ก็แสดงว่า ยังไม่ดี เพราะดีจริงๆ แล้วต้องไม่มีเหตุปัจจัยชักจูงได้
ดีจริงๆ แล้วไม่ต้องอาศัยหลุยส์วิทตอง ดีจริงๆ แล้วไม่ต้องหน้าไมค์บัก(?)  ดีจริงๆ

แล้วไม่ต้องจัดสรร รังสรรค์หาความอยากใส่ตัว ดีจริงๆ แล้วก็ไม่ต้องฟาดงวง ฟาดหัว ฟาด

หาง
เหมือนดั่งแผ่นดินน่ะ ดีจริงๆ น่ะ เยี่ยวรด ขี้รด ถ่มน้ำลายรด เหยียบรด เอาไม้ตี เอา

ตีนกระทืบ ก็ยังไม่ครั่นคร้าม ไม่หวั่นหวาด ไม่สะดุ้งผวา ไม่หวั่นไหว ไม่ทุรนทุราย อย่างนี้

เค้าเรียกว่า ดีจริงๆ
ถ้าดีแบบจับฉ่าย ดีแบบสมัครใจ หรือ ดีแบบเพิ่งเริ่มสมัครดี ดีแบบอยากดี ถ้าหมดอยาก

ก็หมดดี อ้ายอย่างนี้มันก็จะสารพัดอยาก มันก็ต้องการนู่น ต้องการนี่ ต้องการนั่น เห็นไม่

สักแต่ว่าเห็น ดูไม่สักแต่ว่าดู ดมไม่สักแต่ว่าดม ต้องคอยชมคอยปฏิเสธอยู่เนืองๆ อย่างนี้

เป็นต้น
อ้ายอย่างนี้ เค้าเรียกว่า ดีไม่จริง
งั้น ดีจริงสูงสุดของพระพุทธศาสนาเนี่ย ท่านว่าเอาไว้ว่า เหมือนดั่งหิน มีชีวิตเหมือนดั่งหิน

ดั่งภูเขา ลมพัดก็ไม่โยก ไฟไหม้ก็ไม่สะเทือน ฟ้าผ่าก็ไม่สะดุ้ง ฝนตกกระหน่ำ น้ำท่วม พายุ

ร้ายซัด ก็ไม่หวั่นไหว ไม่หวาดผวา อย่างนี้แหละ หลวงปู่จึงเขียนบทโศลกสอนเอาไว้อีกว่า
ลูกรัก เพชรแท้ ไม่กลัวการเจียรไน
เหล็กแท้ ไม่กลัวการทุบตี
ทองแท้ ไม่กลัวการเผาไฟ
คนดีแท้ๆ ไม่กลัวการพิสูจน์
ไม่ว่ากี่ภพ กี่ชาติ กี่ครั้ง กี่ที กี่ปี กี่เดือน กี่วัน กี่นาที พิสูจน์ได้ทุกที่ทุกถิ่น ทุกโอกาส ทุกเวลา

ว่า ท่านผู้นี้เป็นผู้ดี คนนี้เป็นคนดี
ทั้งหมดทั้งปวงนี่แหละ คือคุณสมบัติของนักบวช
นักบวชซึ่งเริ่มต้นจากขันติ ความอดทน ขันติ คือ ธรรมเครื่องเผากิเลสอย่างยิ่ง แล้วก็พัฒนา

เข้าไปสู่ความหมายของคำว่า ศีล ถ้าจะพัฒนาให้สูงต่อไป ก็เริ่มต้นจากศีล
ในขณะที่เราเป็นมนุษย์ เป็นเทวดา เป็นนักบวช ยังต้องมีทานไม๊
พระพุทธเจ้าสอนว่า จำเป็นต้องมี เพราะเหตุว่า เราจะต้องอยู่กับชาวบ้าน ชาวบ้านจะสุขจะ

ทุกข์ เราจะสุขจะทุกข์ ถ้าเราเป็นคนเห็นแก่ตัว เอาเปรียบ เราน่ะจะเป็นทุกข์แล้วชาวบ้านทำ

ให้เกิดทุกข์ แล้วตัวเราก็ทำให้ชาวบ้านเป็นทุกข์ ถ้าชาวบ้านทั้งหมดทั้งมวลมีแต่คนเห็นแก่ตัว

เอาเปรียบ สังคมก็จะเป็นทุกข์
งั้น พระพุทธเจ้าจึงสอนในหลักการทำบุญกิริยาวัตถุ 10 อย่าง ยกทานเป็นข้อแรก เพื่อ

ทำลายความคับแคบ ความตระหนี่ เพื่อต้องการให้มนุษย์อยู่ร่วมกันอย่างสันติสุขนั่นเอง

แหละ พระองค์ทรงแสดงธรรมในข้อนี้ โดยฐานะที่อยากจะอนุโลมในโลกียวิสัย เพื่อให้คดี

โลกรุ่งเรืองอยู่ได้อย่างผ่อนคลายและปลอดภัย ไม่ทุรนทุรายมากเกินไปนัก ก็สอนให้ให้

สอนให้บริจาค
อ้ายที่ให้ ที่บริจาค ไม่ใช่เพราะว่า พระองค์อยากได้ หรือว่าพระสงฆ์อยากมี อยากดี อยาก

เด่น อยากเป็น อยากไป อยากได้ อยากดัง ไม่ใช่ แต่ให้เพราะอยากให้ประชาชนคนและ

มนุษย์ สัตว์ทั้งหลาย พรหมมารทั้งปวง ได้อิงอาศัยใบบุญพระสงฆ์ เพราะพระสงฆ์เป็นนา

บุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า เดี๋ยวนี้เวลาคน ถามว่า ไปไหน
ไปทำบุญ
ทำที่ไหน
บ้านเด็กกำพร้า
มันมีบุญอะไรให้มึงน่ะ บ้านเด็กกำพร้า
บ้านเด็กกำพร้านี่ ไม่มีบุญนะ
เอ้า ก็พระพุทธเจ้าทรงยืนยันชัดเจนว่า เออ พระสงฆ์เป็นนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่ง

กว่า
อ้ายนั่น ไปทำทาน ไม่ใช่ทำบุญ
มันไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่าพระสงฆ์ ผู้มากไปด้วยศีล
ไปไหน
ไปทำบุญ
ทำอะไร
สร้างสะพาน เออ สร้างสะพาน ให้ขอทาน บริจาคให้กับคนยากคนจน
อย่างนี้ ไม่ใช่เรียก ทำบุญนะ ลูก ทำทาน
ทำบุญ มีอยู่บุคคลผู้เดียว พวกเดียวเท่านั้นที่ทำแล้วจะเป็นบุญ และได้บุญ
อ้าว ถามว่า แล้วที่ทำกับพวกขอทาน พวกเด็กกำพร้า คนแก่ คนพิการ คนอนาถา มันเป็น

ทาน แต่ต้องทานหลายๆ ที ต้องทานถี่ๆ จึงจะเป็นบุญ
แต่ทำบุญกับพระผู้มีศีลอันบริสุทธิ์สมบูรณ์
คำว่า มีศีลอันบริสุทธิ์สมบูรณ์ มีศีลอย่างไร
มีศีลดั่งแผ่นดินน่ะ เอาเป็นว่า มีใจดั่งแผ่นดินน่ะ เรียกว่า ไม่เยินยอนิยมต่อคำนินทา ไม่ทำ

ตนให้สะดุ้ง สะเทือนต่อเครื่องเร้าและสิ่งล่อทั้งหลาย เรียกว่า เป็นผู้ปราศจากแล้วซึ่ง

โลกธรรมทั้งปวง สุข ทุกข์ นินทา สรรเสริญ ลาภ ยศ เสื่อมลาภ เสื่อมยศ เสื่อมสุข เสื่อมทุกข์
ไม่สนใจไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น มีชีวิตดั่งแผ่นดิน ดั่งภูเขา และดั่งหินผา
ท่านผู้นี้แหละ เป็นผู้ที่เป็นเนื้อนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า
เพราะเราเชื่อกันอย่างนี้ ด้วยความศรัทธาแบบนี้ เราก็ไปแสวงหาตามวัดวาอาราม ในที่ๆ

เราเชื่อกันว่า เป็นที่อยู่ของท่านมีบุญ เราก็มาทำบุญตามเหตุตามปัจจัย ในบุญกิริยาวัตถุ

บอกแล้วว่า พระองค์ไม่ได้สอนเพียงแค่ทาน พระองค์ทรงสอนมากกว่านี้อีก
สอนเรื่องศีล รักษาศีล ก็เป็นบุญ
สอนเรื่องภาวนา การภาวนายังไง หรือ บริกรรมกรรมฐาน ก็เป็นบุญ
สอนเรื่องการทำหน้าที่ สำนึกรับผิดชอบในหน้าที่  มีหน้าที่อะไร  เป็นลูกก็ต้องมีกตัญญู

กตเวทิตา เป็นผัวก็ต้องรับผิดชอบต่อครอบครัว ดูแลภรรยาและบุตรให้ดี เป็นเมียก็ต้องมี

หน้าที่เป็นศรีภรรยา ดูแลลูกและผัวให้ซื่อตรง อย่างนี้เป็นต้น
ถ้างั้น ความหมายของคำว่าบุญ ไม่ใช่แค่มีตังค์แล้วจึงจะได้บุญ มีปัญญาด้วย
บุญเหล่านี้ ต้องใช้ปัญญาด้วยในการที่จะสั่งสมอบรม เราบอกว่า เราทำบุญกับขอทานไม่ได้

ทำบุญกับคนแก่ เด็กกำพร้าคนอนาถาไม่ได้ แต่พระพุทธเจ้าบอกว่า อย่างนั้นก็ทำบุญกับตัว

เอง
แล้ววิธีทำบุญกับตัวเอง มีอะไรบ้าง
รักษาศีล ทำบุญกับตัวเองไม๊
เจริญภาวนา ทำบุญกับตัวเองไม๊
มีสัมมาทิฏฐิ ทำบุญกับตัวเองไม๊
มีสัมมาสติ ทำบุญกับตัวเองไม๊
ทำไมไม่ทำ
ทำยาก ขี้เกียจทำ เลยไปอาศัยขอทาน คนแก่ คนเฒ่า ว่ามันเรื่อยเปื่อยไป
ขอทาน คนแก่ คนเฒ่า ก็อาศัยมึงเหมือนกัน
มันก็เลยกลายเป็นเหมือนกับ อะไรล่ะ ตาบอดคลำช้างน่ะ ลูก เตี้ยอุ้มค่อม มันไม่ได้อะไร
ให้ตังค์ขอทานเท่าไหร่จึงจะได้บุญ ก็ต้องถามว่า ขอทานมีศีลอะไร เพราะเนื้อนาบุญของโลก

ต้องมีใจดั่งแผ่นดิน ทำครั้งหนึ่งก็ได้บุญครั้งหนึ่ง งั้น ขอทานมีศีลเท่าไหร่ แล้วเรามองต่อไป

ว่า ขอทานมีใจเป็นอย่างไร
โยนไปให้บาทหนึ่ง
คุณ เดี๋ยวนี้เค้าไม่ใช้กันแล้วเหรียญบาท
อ้ายอย่างนี้ ใจเหมือนแผ่นดินไม๊
ไม่เหมือน เออ มันมีความโลภ
โยนไปให้ 10
แหม พกหนักกระเป๋า เออ สู้เด็กคนนั้นไม่ได้ มันให้แบ๊งค์ 20 
เราก็ม้วนอายไปเลย ก็มีแค่นี้ ทำไงได้
เพราะฉะนั้น ทำเท่าไหร่กับขอทาน จึงจะได้คำว่า บุญ
นานมากนะ ลูก มันนานแสนนานมาก กว่าขอทานมันจะสั่งสมบุญทานจากขอทานไป

เรื่อยๆๆๆ แสนคน หมื่นคน ล้านคน ร้อยคน ไม่รู้ว่าจะมีบุญหรือเปล่า แต่เนื้อนาบุญของโลก

ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า นี่ หลวงปู่ไม่ได้ประกาศเอง ลูก
พระพุทธเจ้าเป็นคนประกาศ งั้น เลิกทำความเข้าใจผิดๆ เสียทีว่า ไปทำบุญกับขอทาน ไป

ทำบุญกับเด็กกำพร้า ไปทำบุญกับคนอนาถา คนพิการ นั่นคือ ทำทาน แล้วเราทำทานนี่

ต้องทำเท่าไหร่จึงจะได้บุญ ก็ทำไปเรื่อยๆ แหละ ทำไปจนกว่า มันจะเบื่อหรือมันก็จะตาย

หนีมึง หรือ มึงจะตายหนีมัน แล้วจะได้บุญหรือไม่ ก็ยังไม่รู้ ไม่แน่ใจ
เพราะอย่างนี้แหละ คนโบราณเค้าจึงได้ชอบไง วัดต่างๆ มันจึงเกิดเป็นดอกเห็ด ผุดกันเป็น

ดอกเห็ด ปัญหามันก็ตามมาอีกว่า อ้ายตัวเนื้อนาบุญ มันกลายเป็นนาดอน นาไม่อุดมแน่ะสิ

นาจมน้ำอย่างนี้ มันหว่านเท่าไหร่ก็เน่าหมดอย่างนี้ กลายเป็นนาแห้งแล้ง ไม่ใช่นาดี มันนา

ผีๆ นาหลอกเค้ากิน นาแหกตา นาหลอกลวง อะไรก็แล้วแต่เถอะ คือว่า นาไม่ดีล่ะ พูดง่ายๆ

สรุป มันมีข้าวดีด ข้าวเด้ง มีทั้งหญ้า มีทั้งวัชพืช มีทั้งเพลี้ยกระโดดอะไร  เดี๋ยวนี้ เค้ามียันต์

กันเพลี้ยกระโดดนะ
กูล่ะขำ วันนั้นไปที่ไหนวะ วัดบางเลน พระบางเลนเค้าเล่าให้ฟัง อย่าไปเชื่อ หลวงปู่ ข้างวัด

มัน เพลี้ยยังลงเต็มไปหมดเลย เค้าอยู่ใกล้ๆ กัน ข้างวัดมัน เพลี้ยยังลงเต็มเลย จะไปกันได้ไง
เออ มันก็มียันต์กันเพลี้ยได้เหมือนกันนะ สงสัยกูต้องทำบ้างล่ะ ยันต์กันเพลีย เพลียเหลือเกิน
เพราะฉะนั้น จึงอยากบอกลูกหลาท่านที่รักทั้งหลายว่า เมื่อเราเชื่ออย่างนี้แล้ว เราก็เลยมา

แสวงหา ทีนี้ การแสวงหา มันก็ต้องมีปัญญาด้วย ใช้ปัญญาด้วย หลวงปู่จึงอยากจะบอกว่า

เทปที่สอนเมื่อวานนี้ กับสอนสัปดาห์ที่แล้วเนี่ย ใครช่วยไปถอด แล้วก็ปะติดปะต่อให้กลาย

เป็นเรื่องเดียวกัน เดี๋ยวเอามาแจกวันงานแม่ทีเถอะ
เอาไม๊
ของฟรี มึงเอาทั้งนั้นแหละ เออ ลงทุนเสียบ้างสิ หาวิธี เออ แจก เดี๋ยวจะมาแจกวันแม่

เดี๋ยวข้าวสารอาหารแห้งที่ใส่บาตรวันนี้ ก็จะเอาแจก ใส่ถุงแจกวันแม่ด้วย ไม่รู้ล่ะ จะได้เท่า

ไหร่ เดี๋ยวไปดูก่อน มีก็แจกไปตามเหตุตามปัจจัย
ถามว่า ก็ ทำ ทำการสงเคราะห์ อนุเคราะห์
หลวงปู่ไม่ได้หวังว่าจะได้บุญ ได้ทานอะไร กูหวังว่า นี่คือ การสั่งสมอบรมบารมี เป็นการ

สงเคราะห์ อนุเคราะห์ตามเหตุตามปัจจัย เพราะขืนเก็บไว้มาก เดี๋ยวมันไม่เป็นแผ่นดิน ไม่

เป็นภูผา ไม่เป็นภูเขา จำเอาไว้
พอเก็บเอามากๆ แล้วมันจะเอียงไง มันจะหนักไปข้างหนึ่งไง มันก็ อ้ายนั่นก็ของกู อ้ายนี่ก็

ของกู
เพราะฉะนั้น คนปรารถนาจะพ้นทุกข์ อย่ารวย
คนรวยนี่ ไม่มีสิทธิ์จะพ้นทุกข์
ถ้ารวยแบบอนาถบิณฑกะเศรษฐี รวยแบบจิตตะคหบดีน่ะ พ้นทุกข์ แต่ถ้ารวยแบบใครบาง

คนที่หน้าเหลี่ยมๆ นี่ ไม่มีสิทธิ์พ้นทุกข์ อ้ายนี่ ไม่พ้นทุกข์ มีแต่ทุกข์ตลอดทั้งชาติ เพราะ

รวยไม่ให้ใครไง รวยเอาอย่างเดียว รวยไม่เสียสละ รวยไม่แบ่งปัน
ถ้ารวยแบบอนาถะ เค้าให้ แม้อีแปะสุดท้าย จนเทวดาต้องมาบอกว่า อย่าให้อีกเลย ถ้าให้

อีกน่ะ ไม่มีงานจะทำแล้วเพราะเทวดามีหน้าที่เฝ้าคลัง เทวดามาห้าม อนาถะยังขับไล่ ไปซะ

ให้พ้น นี่มันเป็นอริยทรัพย์ของข้า ข้าให้ ข้าก็ได้ทรัพย์ ทิ้งเอาไว้ ก็กลายเป็นของคนอื่น ถ้า

ข้าให้ มันก็กลายเป็นของข้า ข้าจะได้ไปใช้ชาติต่อๆ ไป เทวดาถึงได้มีสัมมาทิฏฐิเกิด เลยไป

หาเอาทรัพย์ที่ชาวบ้านเค้ายืมไป ดอกบัวคู่ลองบ้างก็ได้ ลองสละให้หมดดู เผื่อหนี้เก่าๆ จะ

ได้คืนมาบ้าง เทวดาจะได้ไปตามให้ ไม่รู้มาหรือเปล่า เออ ลองสละให้หมด แล้วดูเดี๋ยวเผื่อ

เทวดาจะไปตามหนี้เก่าคืนมา ไม่ใช่ดึงหนับๆ แล้วแถมมีกาวติดมือกลับอีก
งั้น พวกเศรษฐีทั้งหลาย จะพ้นทุกข์ได้ ต้องรู้จัก คือ ต้องสละ มันเริ่มต้นจากสละ สละความ

เห็นแก่ตัวออกไป ความคับแคบ ความตระหนี่ ความเอาเปรียบ ความอิจฉา ริษยา ความ

โลภโมโทสัน คืออย่าทำให้ตัวเอียง อย่าทำให้ตัวเองเบี้ยว ลมพัด ฟ้าผ่า ฝนตก ไฟไหม้ น้ำ

ท่วม ไม่โยกโคลน ไม่สั่นคลอน ไม่สะดุ้งผวา 
เราเป็นเอกเทศ เป็นหนึ่งเดียว แต่มีจิตดั่งแผ่นดิน เห็นก็สักแต่ว่าเห็น ดมก็สักแต่ว่าดม ดูก็

สักแต่ว่าดู สัมผัสก็สักแต่ว่าสัมผัส ฝึกจิตอย่างนี้บ่อยๆ เรื่อยๆๆ เข้า มันก็จะไปตัดวัฏฏะ

บ่วงแห่งความทุกข์ทั้งปวง ก็บอกแล้วว่า อวิชชา ตัณหา และอุปาทานทำให้เกิดอะไร เกิดชาติ

เกิดภพ เกิดสุข เกิดทุกข์ เกิดนินทา เกิดสรรเสริญ ถ้าเราไม่อยากเจอมัน เราก็อย่ามีอวิชชา

ก็คือ ต้องมีวิชชา อย่ามีตัณหา คือความอยาก
ทุกคนน่ะ มันมีหมด ลูก แต่ต้องฉลาดที่จะมี
ถามหลวงปู่มีตัณหาไม๊
ไม่มี วันนี้กูจะยอมเดินแบบชนิดไม่อยากเดินน่ะ จริง วันนี้ เดินแล้วมันจะหัวทิ่ม หัวมันจะ

วูบๆ กูก็ต้องพยายามแอ่นตัวไว้ เออ อันนี้ก็เป็นตัณหาอย่างหนึ่ง ตัณหาอยากที่จะบำเพ็ญ

บารมี อยากที่จะทำคุณงามความดีของตัวเอง เค้าเรียกให้นั่ง จริงๆ ก็อยากจะนั่ง พอเดินไป

ซักใกล้ๆ ที่จะนั่ง ทั้งร้อน ทั้งกลิ่นส้วม กลิ่นขี้อยู่ตรงนั้นเสร็จ กูก็เลยนึก เอ๊ย มันเรียกกูนั่ง

ดมขี้ หรือว่ากูคงใกล้จะเป็นลมล่ะมั๊ง ให้ดมกลิ่นขี้ จะได้หายเป็นลม
ที่จริงก็ตั้งใจ อธิษฐานไว้แล้วว่า จะเดินให้ตลอดสายโดยไม่พัก บอกป่วยๆ ก็จะเดิน ทำพลี

ยกรรมสร้างอุปปะบารมี ก็ทำอย่างนี้เป็นตัณหาไม๊ เป็นตัณหาไม๊ ลูก
เป็น แต่ต้องฉลาดที่จะมีตัณหา ฉลาดที่จะมีความอยาก
มาวัดนี่ เป็นตัณหาไม๊
เป็น
ดูหนัง เป็นตัณหาไม๊
(เป็น)
เล่นบอลล์ เป็นตัณหาไม๊
(เป็น)
ฟังเพลง เป็นตัณหาไม๊
(เป็น)
เดินจงกรม เป็นตัณหาไม๊
(เป็น)
แล้วอ้ายดูหนังกับมาวัดเนี่ย ตัณหาอันไหนมันดีกว่า
(มาวัดครับ)
จริงอ่ะ
(จริง)
เดี๋ยวคืนนี้กูจะดู มึงกลับบ้านแล้ว มึงจะไปนั่งหน้าจอไม๊
ตัณหา ตันแล้วค่ะ มันก็กลับไปเหมือนเดิม แต่ก็ให้มีสักครั้งหนึ่งในชีวิตที่สร้างริ้วรอยไว้ใน

จิตวิญญาณ ไหนๆ เราจะมีตัณหาแล้วก็ ฉลาดมี อย่าโง่ที่จะมี
หลวงปู่จึงเขียนบทโศลกสอนลูกหลานไว้ไงว่า
ลูกรัก คนฉลาดใช้กิเลส คนโง่โดนกิเลสใช้
งั้น เราต้องฉลาดที่จะเป็นเจ้าของกิเลส ควบคุมกิเลส ดูแลศึกษาครอบงำกิเลส
เงินก็เป็นกิเลสอย่างหนึ่ง ทรัพย์สินสฤงคาร ข้าทาสบริวารเป็นกิเลสอย่างหนึ่ง แต่เราต้อง

ฉลาดที่จะใช้มัน ลูก คนเค้าชอบว่า เวลากูไปบริจาคทาน ไปให้นู่น ให้นี่ เค้าจะว่า ไปให้

ทำไม ตัวเองก็ยังหาไม่เลิก ยังแสวงหา ยังลำบากอยู่
เราก็นึกในใจ เออ กรรมใครกรรมมันเว้ย
เอ้า เราหาของเรา เราก็ใช้ของเราไปตามเหตุตามปัจจัย มันไม่ใช่ของๆเรานี่ มันของชาวบ้าน

เขา เราทำ ชาวบ้านก็ได้เพิ่มขึ้น เค้ามาให้เรา เราก็ไปทำเพิ่มให้เค้า เค้าก็ได้ประโยชน์มาก

ขึ้นเป็น 2 เท่า 2 ต่อ เพราะเงินเค้า เราไม่ได้ไปซื้อไมค์บั๊ก ไม่ได้ไปซื้อลีมูซีน ไม่ได้ไป

ซื้อหลุยส์ใส่ แต่ไปใช้ประโยชน์ให้แก่สังคม แผ่นดิน ประเทศ ผู้คนชนทั้งปวง มันกลับจะ

รุ่งเรืองเจริญในเงินของเค้า ทรัพย์สินสฤงคารก็จะพอกพูนยินดี
อีกทั้งตัวผู้ให้เอง ก็จะมีจิตใจที่ผ่อนคลายจากการตกเป็นทาสของความคับแคบ ความตระหนี่

ความเห็นแก่ตัว ความละโมภโลภมาก
ลองดูสิ ลอง เค้าถึงบอกว่า พระสมถะขี้งก วิปัสสนาขี้โกรธ พวกเจริญสมถะไปดูในกุฏิสิ โอ้

โห เหลือมีที่นอนอยู่นิดเดียว เก็บ อู้หู เยอะมาก อ้าว ไม่รู้จักให้ไง แต่กูไม่มี กูมีกูให้ ของกู

กูไม่มี  ของคนอื่นเค้า เพราะกูกลัว จะเป็นขี้งก
แต่ขี้โกรธ กูมีไม๊
(มี)
เออ กูมี๊ อ้าว กูโกรธถูกวิธี กูรู้จักวิธีที่จะโกรธ เพราะถ้ากูไม่โกรธ ขนาดโกรธๆ อย่างนี้ ไป

ลำอีซู กูยังต้องไปตากแดดหัวแดงๆ กลับมาพวกเผาหญ้า เผาอ้อย เผามะม่วง หมดไปเป็น

15 ไร่ นี่ ขนาดโกรธๆ นะ นี่ถ้าไม่โกรธ มันคงหมดทั้งบางแหละ ต้องไปตามใช้เงินเค้า

ไม่รู้เท่าไหร่ เนี่ย ขนาด โกรธๆ ส่วนตัว อย่างนี้ยังมีปัญหาแก้ไปทุกหย่อมหญ้า ก้าวไปที่

ไหน ก็มีแต่ปัญหาไปหมด
ถ้าไม่โกรธขึ้นมา ล่ะมึงเอ๊ย มี่มึงนั่งอยู่นี่ มีแต่ขี้หมา เอ้า จริ๊ง จริง
เออ ไม่เข็น ไม่ไป
ไม่ด่า ไม่ได้
ไม่ดุ ไม่เดิน เข้าสูตรเลย
ไม่เข็น ไม่ไป  ไม่ด่า ไม่ได้  ไม่ดุ ไม่เดิน
เพราะพุทธวิถีมันอยู่ลึกมากไง เออ สภาวะพุทธมันอยู่ลึกมาก แต่ละคนที่มาเนี่ย ลึกทั้งนั้น

ไม่มีตื้นหรอก ตื้นมันไม่มาที่นี่ ส่วนใหญ่ตื้นไปที่อื่น อ้ายที่มาที่นี่ ลึกทั้งนั้น
ถามว่า ลึกแค่ไหน
มันก็ลึก ล้วงไม่ถึงแหละ โดยเฉพาะผู้มาบวชๆ ที่นี่ ส่วนใหญ่อยู่นู่น ปู๊นนู่น ลงไปอยู่ลึก

พุทธะภาวะ พุทธิภาวะ มันหายากมาก ถ้ามีพุทธิภาวะมากเนี่ย คนเค้าจะมีพุทธิจริต
พุทธิจริตมีมาก มันทำให้เกิดอะไร
มีปัญญา
มีปัญญาวิเคราะห์ สิ่งที่ควรทำ ไม่ควรทำ มีโยนิโสมนสิการ ในการวิจารณ์ พินิจพิจารณา

อะไรควรทำก่อน อะไรควรทำหลัง ทำแล้วได้ผลเสียอย่างไร คิดวิเคราะห์ ตรึก แล้วก็ลง

มือทำอย่างไม่ผิดพลาดเสียหาย แต่ทั้งหมดทั้งมวลเนี่ย ทำที่ไหน มีปัญหาที่นั่น
เดี๋ยวนี้ กูทำเองทุกเรื่อง เพราะถ้าขืนปล่อยให้ทำ มีปัญหาทุกเรื่อง อ้ายแก้นี่มันหนักกว่า

อ้ายที่ทำใหม่อีก เข้าไปแก้หนักยิ่งกว่า เค้าปลูกมะม่วงเอาไว้แม่ยายอ้าย ดร. ธีรภัทร

เค้าถวายที่ 15 ไร่ มีมะม่วงต้นใหญ่ออกลูกทุกปี  พวกเผาเกลี้ยง ต๊าย ตายไม่ตายไม่รู้ แต่

ใบมันตก ยางมันไหลเยิ้มเต็มไปหมด อ้ายเราก็ เออ มึงเผาอะไร เผาหญ้า เผาหญ้ามันเลย

ลามไปต้นไม้ คนไม่มีปัญญา อยู่นี่ ห้ามเผาหญ้า เพราะหญ้ามันเป็นปุ๋ยได้
ก็นี่ไง ทั้งดุ ทั้งดัน ทั้งด่า ยังได้ขนาดนี้เลย ไม่อยากพูด พูดไปแล้ว มันอึดอัดขัดหัวใจ
เฮอ นี่ กูเทศน์เรื่องอะไรหว่า เรื่องวิสาขปุณมี ว่าด้วยเรื่องอริยสัจ 4 เรื่องสัมมาทิฏฐิ ความ

เห็นตรงถูกต้อง ทำชีวิตให้ถูกทำนองคลองธรรม
คนมีทำนองคลองธรรม เค้าจะเห็นสรรพสิ่งในโลก เกิดขึ้นในเบื้องต้น ตั้งอยู่ แปรปรวนใน

ท่ามกลาง สุดท้ายแตกสลายในที่สุด
คนมีชีวิตอยู่ในทำนองคลองธรรม เค้าจะเห็นว่า สัตว์โลกเป็นไปตามกรรม กรรมย่อม

จำแนกสัตว์ให้ดีชั่วเลวหยาบ
ทุกอย่างเป็นไปด้วยอำนาจของกรรม เรามีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรม

เป็นเครื่องอาศัย ชีวิตเหล่านี้ เป็นชีวิตที่ถูกทำนองคลองธรรม
ชีวิตที่ถูกทำนองคลองธรรม คือ มีหิริ ความละอายชั่ว มีโอตัปปะ ความเกรงกลัวบาป
ชีวิตที่ถูกทำนองคลองธรรม คือ มีกตัญญู รู้คุณ กตเวทิตา ตอบแทนคุณ
ชีวิตที่ถูกทำนองคลองธรรม คือ มีขันติ คือความอดกลั้น  เป็นธรรมเครื่องเผากิเลสอย่างยิ่ง

โสรัจจะ คือ ความสงบเสงี่ยม
เหมือนกับเมื่อคืนนี้ เมื่อคืนกูนอนฟัง ขึ้นมาเมาส์ อู้หู น้ำลายแตกฟอง บรรลุกันคนละทะลุ

สองทะลุ  บางคนก็อยากตาย อยากอะไรไป ฟังแล้วก็ปวดเยี่ยว ลุกขึ้นไปเยี่ยวต่อแล้วมา

นอนฟังใหม่ ทุเร๊ศ ไม่ได้ผิดอะไรหรอก อยากจะอวด ไม่ได้ผิด อยากคุย ก็ไม่ได้ผิด
แต่ให้จำไว้ว่า ถ้าเราปรารถนาจะพ้นทุกข์น่ะ ลูก ถ้าปรารถนาจะพ้นทุกข์ มันมีอยู่ในหลัก

พระโสดาปฏิผล ทำสังโยชน์ 3 อย่าง ของคุณธรรมของโสดาบัน คืออริยบุคคลเบื้องต้น มี

อะไรบ้าง
สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส
สักกายทิฏฐิ คือ ความถือตัว ถือตน ถือว่าตนดีกว่าเค้า ตนด้อยกว่าเค้า ตเด่นกว่าเค้า ตน

วิเศษกว่าเค้า เหล่านี้มีอยู่ในสักกายทิฏฐิ
วิจิกิจฉา คือระแวงสงสัยในพระธรรมคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า
แล้วสีลัพพตปรามาส คือ ยกตนข่มคนอื่น เห็นว่า ศีลพรตตัวเอง คุณธรรมตัวเองสูงกว่าคน

อื่น
เมื่อคืนเนี่ย เต็มไปหมดเลย โอ้โห ฟุ้ง เกิด มมังการ อหังการ
สมัยก่อน หลวงปู่ก็เคย บวชพรรษาแรกๆ ทำกสินไฟ ทำให้ไฟลุกบนฝ่ามือได้ ไฟลุกใน

บาตร ไฟลุกในน้ำ ไฟลุกบนนิ้ว ไฟลุกบนศีรษะ มองคนทั้งวัดรวมทั้งสมภาร เจ้าอาวาส เป็น

เหมือนขี้ไก่ เพราะกูใหญ่กว่าเค้า มันเป็นอย่างนั้น ไม่มีใครทำได้อย่างกู กูดีกว่าคนทั้งหมด

กูดีกว่าครูบาอาจารย์ทั้งปวง ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ทำอย่างกูไม่ได้ สุดท้ายมันทำอะไรให้เกิด

ขึ้น มันทำให้ตัวเองไปไหนไม่ได้ มันจมปลักและติดอยู่ตรงนั้น
งั้น มันก็เลย หลวงปู่ต้องมาเขียนบทโศลกไว้ว่า
ลูกรัก หัวใจสำคัญของคุณธรรม สัจธรรม ศีลธรรม และพระบริสุทธิธรรม คือ ความอ่อน

น้อมถ่อมตน
เมื่อคืนนี้ ไม่มีใครอ่อนน้อมถ่อมตน มีแต่โอ้โห โฆษณากันฟุ้งไปหมดเลย
แล้วไปเอามาจากไหนวะ พระพุทธรูปบนกระหม่อม กูไม่ได้ให้เห็นพระพุทธรูปบน

กระหม่อม
กูให้เห็นพุทธิภาวะ
เออ มาเป็นเศียร มาเป็นหัวเลย บางคนหัวไม่มา มาแต่ตัว อะไรอย่างนี้ มาจากไหน
เออ ก็ว่ากันไป มันลึกต่างกัน ตื้นต่างกัน
เออ อ้ายคนไหนที่มาทั้งองค์ ก็แสดงว่า มันลึกกว่าเก่า ลึกหนักกว่า
อ้ายที่ไหนที่มาครึ่งองค์ แสดงว่า อ้ายนี่ ตื้นขึ้นมาหน่อย เออ ไม่ใช่เห็นทั้งองค์ แล้วดีนะ
เพราะให้เจออะไร
ให้เจอสติ
ให้เพ่งอะไร
ให้เพ่งตัวรู้ ให้เพ่งตัวรู้ ไม่ได้ให้เพ่งพระพุทธรูป ใช่หรือเปล่า
(ใช่)
เออ ถ้างั้น อ้ายใครที่เห็นทั้งองค์ แสดงว่า มึงลึกมากเลยนะ ยังหน้าด้านมาโชว์มือให้เค้าอีก

ยกมือหน่อยครับๆ ขอดูหน่อย เท่าไหร่นะ 16 หรือ 26 อะไรก็ไม่รู้
16 หลุม 16 ตัว
ทุเรศ
มึงว่า มึงอะไร ดีแล้วเหรอ มาโชว์ความหน้าด้าน..
เพราะหลวงปู่ให้กรรมฐาน ให้เพ่งอะไร
เพ่งตัวรู้ ให้เข้าถึงพุทธิภาวะของตน
พุทธิภาวะ คือ พระพุทธะที่มีอยู่ในตน ไม่ใช่พระพุทธรูป
เมื่อใดที่มีตัวรู้เกิดขึ้น นั่นแหละ คือพุทธิภาวะ นั่นคือ องค์พระพุทธะ ทุกคนมีองค์พระ

พุทธะอยู่ มีพุทธิภาวะอยู่ ส่วนจะอยู่ลึกอยู่ตื้น ก็สุดแท้แต่เวรทำกรรมแต่งไว้
แหม ดันไปเห็นพระพุทธรูป แล้วยังมีมาบอกว่า เห็นแค่ครึ่งองค์เองค่ะ เห็นแต่เศียรมาไวๆ

ไรๆ
อหังการ มมังการ ไง แล้วก็ชื่นชมในสิ่งที่ตัวเองมีแล้วไม่พัฒนา พวกนี้จะไม่พัฒนา มันจะดี

อยู่ตรงนั้นแล้วไม่ไปไหน โอ่ กูได้เจอพระพุทธรูปแล้ว ก็ภูมิใจมาก พองมาก ลำพองมาก

อ้ายบางคนก็บอกนิ่งจนกระทั่งอยากตาย เพราะถ้าขืนไม่ตาย ก็จะไม่นิ่งอีก ก็ให้แม่มันตาย

ไปเลย อยู่ก็รกโลก ก็ไม่รู้เอาไว้ทำไม เพราะจริงๆ แล้ว แค่นั้นมันอยู่ที่ไหน นั่นมันเป็น

สมมุติบัญญัติ
ขนาดหลวงปู่บอก ตอนอยู่ถ้ำรังเสือ วันหนึ่งเขียนบทโศลกได้เป็นร้อยๆ บท ยังเป็นแค่

สมมุติสงฆ์เลย วันหนึ่งปิ๊งได้เป็นร้อยๆ ครั้ง เขียนบทโศลกแต่ละบท
ไม่ทำอารมณ์ให้เป็นอะไร จะได้ไม่มีอะไรในอารมณ์นั้น
ใช้สมมุติ ให้เกียรติ์สมมุติ ยอมรับสมมุติ รู้จักสมมุติ ท้ายที่สุด อย่ายึดติดในสิ่งที่เป็นสมมุติ
คนจริงไม่ไหวติต่อคำชม ไม่เยินยอนิยมต่อคำนินทา
สรรพสิ่งเริ่มประปราย ดารารายเปลี่ยนวิถี ทะเลลึกเนิ่นนานปี มาวันนี้กลายเป็นสูง
มึงคิดว่า ต้องใช้สภาวะจิต สภาวะธรรม อย่างไร จึงจะรู้สิ่งเหล่านี้
เฮอะ  อย่างนั้นกูไม่ฟู ใหญ่ ไม่เดินคอระหง
เออ นั่นยังแค่เพียงสมมุติเลย สมมุติสงฆ์อยู่เลย ยังไม่เป็นอริยสงฆ์
นี่มึงได้อะไรมาเนี่ย
ได้พระพุทธรูปมาครึ่งองค์ มึงก็ฟูกันหมดล่ะ
ได้ว่างเข้าไปหน่อยเดียว ว่างน่ะไม่ยากหรอก ป๊อกเดียวก็ว่างแล้ว เออ โดนไม้หน้าสามเข้า

ไป ก็ว่าง
อย่าเพิ่งลำพอง ลูก
ดี แค่นี้ ยังไม่พอ ดี 
ยังไม่ถีอว่า ดี  เพราะว่ายังไม่ได้ ดี
ถ้าได้ดีแล้ว มันต้องพึ่งดี แล้วพึ่งดีได้ แล้วจึงจะเป็นคนดี
อ้ายดีแบบนี้ เค้าเรียก ดีฉาบฉวย ดีจับต้อง ดีลูบคลำ ดีดมๆ ดีแค่มาชมแล้วคุยกันเฉยๆ
ยังไม่ได้ ถ้าเมื่อไหร่ที่ทุกขณะจิต มันว่างหมดทุกขณะจิต ไม่ปรุงแต่ง ขนาดว่างๆ ยังเห็น

โน่น เห็นนี่ ยังทำอาชีพนั้น อาชีพนี้ เห็นสภาพธรรมแบบนั้นแบบนี้ ยังอยากนู่น อยากนี่

ต้องการสิ่งนั้น สิ่งนี้
ถามสิ พวกว่างๆ น่ะ มีอวโลฯ กี่องค์ มีเบญจไม๊ ว่างๆ ขอพระที่ห้อยคอหน่อยสิ เออ มัน

แขวนอยู่น่ะ ขอได้ไม๊
เอ๊ย ไม่ได้ นี่ของครูบาอาจารย์
เออ มันว่าง จริงไม๊เนี่ย
อย่างนี้ เค้าเรียกว่าง จริงไม๊
เอ๊อ ว่างจริง ต้องเดินแก้ผ้าเลยสิวะ
อ้ายนั่น บ้าแล้ว ลูก
งั้น ยังไม่ได้เรื่องหรอก ยังใช้ไม่ได้
ที่เล่า พูดให้ฟังเนี่ย ไม่ใช่เพราะไม่อยากเห็นลูกหลานดี
แต่รู้ว่า กำลัง เมาดี นั่น มันไม่ใช่คนดี
พูดได้ ให้มันมาเล่าถึงประสบการณ์ตรงที่ตัวเองได้ แต่ไม่ใช่มาอวดดี
เมื่อคืนนอนฟังอยู่ ส่วนใหญ่ อวดดีทั้งนั้น ไม่มีประสบการณ์ตรง มีน้อยมาก กูไม่ได้มาอยู่

ตรงนี้ หูกูก็ไม่บอด กูนอนอยู่ กูก็ฟังได้
งั้น อยากจะบอกลูกหลานว่า ถ้าคิดอยากจะเป็นผู้พ้นทุกข์จริงๆ เดินตามมรรควิถีให้ชัดเจน
แล้วมรรควิถีมีอะไรบ้าง
เริ่มต้นจากวันนี้เมื่อ 200 กว่าปีก่อน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสรู้ในมรรคาปฏิปทา ใน

อริยสัจ 4 ก็บอกไปแล้ว อริยสัจ 4 มีอยู่ 2 ประเภท
ประเภทแรกก็เริ่มต้นจาก กระบวนการ รู้ทุกข์ รู้เหตุเกิดทุกข์ รู้ทางดับทุกข์ รู้ข้อปฏิบัติให้

ถึงความดับทุกข์ อันนี้ เป็นปริญญา  คือเป็นหลักการ เค้าเรียกว่า ปริญญา หรือหลักการ

หรือเป็นทฤษฎี
ประเภทที่ 2 เค้าเรียกว่า โดยกิจ โดยกิจ มีอะไรบ้าง
ทุกข์ ต้องรู้
เหตุเกิดทุกข์ ต้องละ
ทางดับทุกข์ ต้องทำให้แจ้ง
แล้วก็วิธีดับทุกข์ ต้องทำให้เจริญ อย่างนี้เป็นต้น
อย่างนี้ เค้าเรียกว่า รู้โดยกิจ ต้องทำให้ได้อย่างนี้
ทีนี้มาในหลัก มรรคมีองค์ 8 ประการ ในมรรคมีองค์ 8 ก็อยู่ในอริยสัจ 4
อริยสัจ 4 ก็อยู่ในมรรคมีองค์ 8  แล้วมรรคมีองค์ 8 เริ่มต้นจากอะไรบ้าง
สัมมาทิฏฐิ ความเห็นตรงถูกต้องตามสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง ต้องอย่างนี้เลย

ไม่มีอย่างอื่น เห็นตรงถูกต้องตามสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง จึงจะเรียกว่า เป็น

ผู้มีสัมมาทิฏฐิ
พอเห็นตรงอย่างนี้แล้ว มันจะทำให้เกิดมรรควิถีข้อที่ 2
ดำริที่จะออกจากทุกข์ ดำริที่จะออกจากความผิดพลาด ดำริที่จะออกจากกาม ดำริที่จะออก

จากอกุศล ดำริที่จะออกจากกรรม ดำริที่จะออกจากวัฏฏะ ดำริที่จะออกจากภัยแห่งกิเลส

กามทั้งปวง ที่ร้อยรัดพันธนาการต่อสรรพสัตว์
ดำริที่จะพ้น เรียกว่า วิโมกศักดิ์ คือ ความหลุดพ้น
2 อย่างนี่ เป็นปัญญา ลูก จัดอยู่ในสิกขา 3  ก็อยู่ในขั้นปัญญาสิกขา
เห็นชอบ ดำริชอบ เป็นปัญญาสิกขา
ต่อมา เจรจาชอบ เลี้ยงชีพชอบ การงานชอบ เป็นอะไร เป็นศีลสิกขา จัดอยู่ในประเภทศีล
เพียรชอบ ระลึกชอบ สติชอบ เป็นอะไร เป็นสมาธิสิกขา
ทั้งหมดเนี่ย เป็นมรรคาปฏิปทา
ย่อจาก 8 เหลือ 3 ก็คือ ศีล สมาธิ และก็ปัญญา
ธรรมทั้งหมดเนี่ย วันนี้ เมื่อ 2000 กว่าปีก่อน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสรู้ แล้วถามว่า

เราจะรู้ตามพระองค์ได้ไม๊ ถ้ารู้ตามพระองค์ได้ เราจึงควรที่จะเฉลิมฉลอง ฉลองความ

สำเร็จและชัยชนะของตนที่มีต่อพระธรรมของพระผู้มีพระภาค แต่ถ้ารู้ตามไม่ได้ ฟังไม่เข้า

ใจ ปฏิบัติไม่ถึง เราเอาอะไรมาฉลอง ก็ได้แต่ฉลองความสำเร็จของพระพุทธเจ้า พระ

พุทธเจ้าท่านไม่ได้อยากให้ฉลอง ถ้าพระองค์ยังอยู่ ท่านก็บอกว่า ฉลองทำไม ที่ควรฉลอง

คือ ความสำเร็จของมึง ที่ควรจะฉลองคือ ความอิสระ ความปลอดภัย ความผ่อนคลาย

ความร่มเย็น ความพ้นทุกข์ของบุคคลคนนั้น จึงจะมาฉลอง แล้วคนที่เค้าถึงที่นี่ เค้าก็ไม่คิด

ที่จะฉลอง เพราะผู้ถึงที่นี่ มีจิตดั่งแผ่นดิน
งั้น พระอริยเจ้าทั้งหลาย ถ้ามีจิตคิดจะฉลองอะไร ก็แสดงว่า เป็นพระอริยเจ้าไม๊
ไม่เป็น เพราะไม่มีจิตดั่งแผ่นดิน ยังเยินยอนิยมต่อคำนินทาหรือสรรเสริญ สุข ทุกข์ ยัง

แสวงหาโลกธรรมอยู่ไม่จบสิ้น ฉลองอะไรไม่ได้ มันไม่มีความดีอะไรที่ต้องไปฉลอง
ถ้าคิดจะฉลอง มันต้องดี
ที่จริง คนที่ควรจะฉลองมากๆ ในสถานที่แห่งนี้ คือ ใคร
กูนี่ไง
กูนี่ควรจะฉลอง เพราะสิ่งที่กูรู้ กูเอาตัวรอด
กูรอดได้ไม๊
กูรอดได้ กูเอาตัวรอดได้สบาย กูรู้ทุกเรื่อง ไม่มีเรื่องอะไรที่กูไม่รู้
เดี๋ยวนี้ เค้าจึงบอกว่า อะไรนะ  Perfect Man
นี่ ไม่ได้คุย ไม่ได้อวด เรื่องจริง ลงน้ำ กูก็ว่ายน้ำได้ บนอากาศกูก็บินได้  ไปเป็นเป็ดเลย
อย่าเอาเยี่ยงอย่าง ลูก เพราะมันทำกันไม่ทุกคน มันต้องสั่งสมอบรมมามากพอสมควร ใน

การที่จะเรียนรู้ศึกษา ต้องมีปฏิภาณไหวพริบ มีสติปัญญา ต้องเรียนรู้ ต้องศึกษา ต้องมี

โยนิโสมนสิการ ต้องสำรวจตรวจทาน
สำคัญที่สุด ต้องเริ่มต้นมาจากภายในก่อน
เรียนรู้ชีวิต ศึกษาวิชชา ลุถึงปัญญา นำพาชีวิต
ถ้าทำได้ตามนี้ เราจึงจะเป็นผู้ควรต่อการเฉลิมฉลอง แต่เอาล่ะ วันนี้ เราไม่เรียกว่า วันฉลอง

แต่เป็นวันบูชา ถ้าอย่างนี้ เรียกไม่ผิด เรียกถูก เป็นวันแห่งการสมควรบูชา บูชาท่านผู้มีอิส

ระสมบุรณ์แบบ มีชัยชนะอันเยี่ยมยอด เป็นผู้ปราศจากแล้วซึ่งเครื่องร้อยรัดทั้งปวงนั้น

ท่านผู้นั้นเป็นพระสัมมาสัมพุทธะผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ทรงปัญญาอันประเสริฐ ทรงพระคุณอันเลิศ

ทรงความบริสุทธิ์บริบูรณ์ หาที่สุดประมาณมิได้
ท่านผู้นี้ควรต่อการบูชา ไม่ใช่ฉลอง ลูก ถ้าพระพุทธเจ้ามีชีวิตอยู่ ทรงพระชนม์ชีพอยู่

พระองค์ก็ต้องถามว่า  มึงฉลองอะไรกัน มึงฉลองให้ใคร มึงฉลองทำไม
แล้วฉลองนี่มันเป็นอะไรในโลกธรรม 8 ประการ เอ้า ลองไล่ซิ มีสุข มีทุกข์ มีนินทา มี

สรรเสริญ มีลาภ เสื่อมลาภ มียศ เสื่อมยศ
แล้วมันเสื่อมไม๊ล่ะ
(เสื่อม)
เสื่อมแล้วมึงฉลองอะไร มีอะไรต้องฉลอง
มีสุข เสื่อมสุข มีทุกข์ก็เสื่อมทุกข์ แล้วมานั่งฉลองอะไร
แล้วเค้าฉลองกันทั่วโลกนะ คนที่ประกาศตัวเองว่า จะฉลองๆ นี่ระดับเยเกจิทั้งนั้น แล้วมัน

เลยทำให้เกิดคล้ายๆ กับเห็นผิดปกติเป็นเรื่องปกติ  ใช้วลีที่ผิดปกติ แล้วทำให้คนเข้าใจจาก

ผิดปกติเป็นปกติ เหมือนอย่างที่กล่าวว่า
ไปไหนมา
ไปทำบุญ
ไปทำที่ไหน
ขอทาน
ถูกไม๊
ไม่ถู๊ก
ทำบุญกับขอทาน อ้าวงั้น พระก็ไม่ต้องทำ อ้าว กูก็อด เว้นไว้เสียบ้าง บุญมีอยู่บุคคลคนเดียว

ไม่ได้หวงบุญนะ พูดอย่างนี้ อาม่าหัวเราะพุงกางเลย เว้นไว้เสียบ้าง บุญมีบุคคลผู้เดียวเท่า

นั้น
อ้างเลย ทักขิเณยโย อัญชลีกะระนีโย อนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ พระสงฆ์เป็นเนื้อ

นาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า แสดงว่า ไม่มีนาบุญอื่น

แล้วนอกจากพระสงฆ์
และพระสงฆ์มีคุณอะไร
ก็อย่างที่บอกแหละ มีองค์คุณดั่งแผ่นดิน ดั่งหินผาและดั่งภูเขา ไม่สะทกสะท้าน ไม่สะดุ้งผวา

ไม่หวาดหวั่น พรั่นพรึง  ไม่หวั่นไหว ต่อสิ่งเร้าและเครื่องล่อทั้งหลาย
ก็ขอให้ทุกท่านที่มาร่วมกันทำการบูชาในวันแห่งบุคคลที่ควรบูชาอันยิ่ง มีคุณอันประเสริฐยิ่ง

มีความบริสุทธิ์อันเยี่ยมยอด มีปัญญาอันสูงสุดและยิ่งใหญ่ การบูชากับบุคคลที่ควรบูชา

อย่างยิ่งนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสรรเสริญว่า เอตัมมัง คะละมุตตะมัง ข้อนี้เป็นมงคลอัน

สูงสุด
(สาธุ)
(กราบ)
นี่ กูรู้ล่ะ เวลามึงเห็นกูจะตายๆ วิธีแก้ มึงเอาไมค์จ่อปากกู กูจะฟื้นขึ้นมาทันที ..เวลากูจะ

ตายๆ มึงจำไว้นะ มึงเอาไมค์จ่อปาก มึงสังเกตไม๊ เวลากูหมดแรง พอกูแสดงธรรม มีแรงไม๊

เออ ไม่รู้มันมาจากไหน เออ แสดงว่า กูเป็นคนบ้าไมค์ อาม่าหัวเราะอยู่นั่นแหละ อาม่าจะ

ตายๆ เอาแป๊ปซี่จ่อปาก ฮึ ขึ้นมาดื่มเลย กินไปเฮอะอายุปูนนี้แล้ว อยากกินอะไรก็กิน
นะโม 3 จบ
พี่เชาวลิตนำกล่าว บทสรรเสริญคุณครูอาจารย์
..............
ถวายพานพุ่มดอกไม้องค์หลวงปู่
หลวงปู่ให้พร
...
จำเริญธรรมลูก ให้มีปัญญาดั่งพระอาทิตย์เที่ยงวันทุกคนเทอญ
(สาธุ)
กราบลาพระ อะระหัง สัมมา
เดี๋ยวเปิดเทปวิถีจิตในวันที่แสดงธรรมเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว (27 พ ค 55) ให้ฟัง
แล้วก็แยกย้ายกันไปทานอาหาร
ได้ยินว่า ยังทำตัวเป็นผู้แสวงหาภพชาติเกิดในการแย่งอาหารกัน เป็นสัมภเวสี มาบวชแล้ว

ปฏิบัติธรรมแล้ว อย่าให้เสียที ให้ได้ดีกลับไปบ้าง แบ่งปันกันตามเหตุตามปัจจัย ไปทานข้าว

เดี๋ยวบ่าย 2 โมงมาพบกัน ระหว่างนั้นก็ฟังเทป
4 มิ ย 2555    14.00 น. ถอดซีดี ธรรมะวันวิสาขบูชา โดยองค์หลวงปู่

พุทธะอิสระ
เอาหนังสือมาแจก ไปช่วยกันเอาหนังสือธรรมะไปแจก มีใครยังไม่ได้
...........
เดี๋ยวพวกเราถวายทานก่อน เค้าจะได้เก็บไป จะได้ใช้พื้นที่ทำเรื่องอย่างอื่น ว่า นะโม 3 จบ
..............
ตั้งใจกรวดน้ำ และว่าตาม
................
หลวงปู่ให้พร
..............
เก็บออกไป เคลียร์พื้นที่ เจ้าหน้าที่ใครเอารถมารับไปเข้าคลังเลยก็ได้ เออ มันจะได้มีพื้นที่

กว้างๆ ทำภาระกรรม กิจกรรม ลมมันจะได้พัดผ่าน เดี๋ยวจะเปิดโอกาสให้ถามปัญหาซัก 10

ข้อ แล้วก็จะเริ่มปฏิบัติธรรม แต่ต้องเป็นปัญหาของการปฏิบัติธรรม ไม่ถามซี้ซั้วส่งเดช

เป็นปัญหาที่เกี่ยวกับการปฏิบัติธรรม เป็นปัญหาที่มันเกี่ยวกับความไม่ต้องสร้างภพสร้าง

ชาติ
หนังสือที่เค้าแจกเมื่อครู่นี้ เป็นหนังสือที่เค้ารวบรวมคำสอน หรือว่าคัดเอามาบางบทบาง

ตอนที่หลวงปู่สอนๆ ไป เค้าเห็นว่ามีประโยชน์ เค้าก็เลยมาเอาพิมพ์แจกกัน ส่วนที่เหลือก็

เอาไว้แจกวันสวดพระปริตร วันแม่ วันแม่ปีนี้แปดสองหน ก็จะช้าหน่อย ก็อยู่ในช่วงกลางๆ

ใกล้กลางพรรษา ใช่ไม๊  เข้าพรรษาแล้ว
ใครที่มีแม่ แม่ยังอยู่ พาแม่มาฟังเจริญมนต์พระปริตร ร่วมพิธีเจริญมนต์พระปริตร ต้อง

แจ้งเค้า ไปลงชื่อ เดี๋ยวไม่มีที่นั่ง ลงชื่อ จดหมายเลข
ปีนี้ ทำไมมีคนถวายจีวรเยอะจัง ไปแจกๆวัดอื่นๆ เค้าบ้างก็ดี มันเยอะเกิน ไปหาวัดจนๆ

แจกไปบ้าง
ปีก่อนๆนู้น วัดที่ติดชายแดน เขตชายแดนพม่า มอญ กะเหรี่ยง มาขอไปหลายวัดแล้ว ส่งไป

เพราะทางโน้นจะหาผ้ายาก ตั้งแต่หลวงพ่ออุตตมะท่านสิ้นไปแล้ว ก็เลยไม่ค่อย เรียกว่าไม่

ค่อยมีใครที่จะไป ใช้คำว่า ไม่มีตัวดูดเข้าไป ดูดศรัทธา เรียกศรัทธา ไม่มีใครเข้าไป วัดบาง

วัดนี่ เราก็ต้องยอมรับว่า ยากจน ไม่มีแม้กระทั่งค่าไฟฟ้า บางวัดก็ร่ำรวยเหลือเฟือฟุ่มเฟือย

ใช้กันเป็นเศรษฐี บางวัดก็อดอยากลำบาก
ทั้งหมดนี่ มันก็มาจากกรรมเหมือนกันนะ ก็นึกทบทวนเรื่องในอดีต สมัยครั้งพุทธกาล พระ

ผู้มีพระภาคเจ้าทรงยกพระให้เป็นเอตทัคคะ เราจะเห็นว่า พระบางรูปนี่บิณฑบาตรไม่ได้ข้าว

ทั้งที่เป็นพระอรหันต์แล้ว อย่านึกว่าพระอรหันต์นี่จะต้องมีลาภสักการะเยอะไปหมดทุกองค์

ไม่ใช่
งั้น พระพุทธเจ้าจึงจะยกพระบางรูป คือ พระอรหันต์บางรูปเป็นเอตทัคคะ คือเป็นผู้เลิศทาง

ลาภสักการะ เช่น พระสีวลีเถระ อย่างนี้เป็นต้น หรือพระมหากัจจายนะ เป็นผู้เลิศทาง

เกียรติยศ ชื่อเสียง เลิศทางการบรรยายธรรม กระจายธรรม ย่นย่อธรรม แสดงธรรมให้

พิเศษพิสดารลึกซึ้ง เทียมเท่าพระผู้มีพระภาคเจ้า ทั้งคำสอนบทเรียน ผู้เลิศในลาภ เรานี่

เป็นพระอริยเจ้า เป็นพระอรหันต์ บิณฑบาตรไม่ได้ข้าว รู้สึกจะมีองค์ บิณฑบาตรไม่ได้ข้าว

พระศาสดาทรงถาม ก็เลยบอกว่า ท่านจงไปตรอกนี้สิ
ถามว่า เพราะอะไร
เพราะตรอกนี้ ในอดีตสมัยก่อนนี้ ครั้นพระพุทธเจ้ามีนามว่า พระมหากัสสป พระองค์นี้เคย

เกิดเป็นสามเณร แล้วก็มีข้าว ทำหน้าที่ล้างบาตรพระบรมศาสดา เห็นฝูงมดง่ามมาเดิน

ยั้วเยี้ยๆ ไม่มีอาหารกิน เผอิญมีเม็ดข้าวติดอยู่ที่ก้นบาตรพระบรมศาสดา เณรองค์นี้ก็เอา

เม็ดข้าว ก้อนข้าวไปเลี้ยงฝูงมดง่าม แล้วบัดนี้ อ้ายฝูงมดง่ามน่ะ เวลาล่วงเลยผ่านไป มดง่าม

เหล่านั้น พระพุทธเจ้าสิ้นไปแล้วนิพพานไปแล้ว มาถึงพระพุทธเจ้าอันมีนามว่า พระสม

ณโคดม มดง่ามฝูงนั้นมาเกิดเป็นคน แล้วเป็นคนที่อยู่ในตรอกนี้ มาอาศัยเป็นฝูงอยู่ใน

ตรอกนี้
ท่านเป็นผู้มีอุปถัมภ์ต่อมดง่ามฝูงนี้ ต้องเดินเข้าไปในตรอกนี้ ซึ่งตรอกนี้เป็นที่ร่ำลือกันว่า

พระองค์ไหนไปก็จะอด ไม่มีใครใส่บาตร แต่มีอยู่องค์นี้องค์เดียว ที่เดินเข้าไปแล้ว ชาว

บ้านใส่บาตรให้ เพราะอดีตชาติ ชาวบ้านพวกนี้เป็นมดง่าม ได้รับอุปถัมภ์จากเม็ดข้าวของ

สามเณรซึ่งบัดนี้เป็นพระรูปนี้ มันก็เป็นเวรเป็นกรรมเหมือนกันนะ แค่เศษอาหารเลี้ยงมด

ง่ามเนี่ย
กูยังนึกว่า กูทำเวรทำกรรมอะไรกับพวกมึงนักหนา มึงเลี้ยงเศษอะไรกูวะ เศษเนื้อข้างเขียง

หรือเศษกระดูกข้างหม้ออะไร กูยังนึกว่า จองเวรจองกรรมอะไรกัน ต้องมานั่งพร่ำสอน จ้ำจี้

จ้ำไช ยัน ดัน ดุน ถีบ อะไรอยู่อย่างนี้ เอ๊ย ไม่รู้อ้ายพวกนี้มันเป็น เออ เราก็ไม่ใช่อรหันต์

จะใช้อตีตังสญาณ หรือ นิวาสานุสสติญาณ เออ มีแต่หย่อนยานน่ะพอได้ เออ อ้ายเรื่อง

บุพกรรมบุญทำกรรมแต่งเนี่ย ใครก็หนีไปไม่พ้น ปฏิเสธไม่ได้ เราจะเห็นเป็นเรื่องเล็ก

เรื่องน้อย เข้าห้องน้ำ เห็นแมลงตกอยู่ในส้วมนี่ เห็นปุ๊บ กดชักโครกปั๊บเนี่ย มึงจำไว้เลย

เชียวล่ะ วันข้างหน้ามึงจะโดนกด มึงจะโดนกดทิ้ง
เอ้า เรื่องจริง กูเข้าห้องน้ำเนี่ยไม่ว่าจะห้องกด ห้องไม่กด กูเนี่ยเห็นแมลงตก กูต้องเอานิ้ว

เขี่ยขึ้นมา เอามือจับขึ้นล่ะ
กูกลัวโดนกดทิ้งไง
เพราะฉะนั้น กรรมนิดกรรมหน่อย มันเป็นกรรมนะ ลูก เรื่องนิดเรื่องหน่อย อย่านึกว่าเล็ก

น้อย เป็นชาติเป็นภพเชียวแหละ เค้าตามใช้กันเป็นเรื่องเป็นราวเชียวแหละ อย่าเห็นเป็น

เรื่องเลอะเทอะ ไร้สาระ ก็สัตว์โลกเป็นไปตามกรรมนี่ กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้ดีชั่วเลว

หยาบ
ชีวิตทุกชนิดของสรรพสัตว์ มีสิทธิ์ที่จะอยู่บนโลกใบนี้เทียมเท่ามนุษย์ มนุษย์นี่มาทีหลัง

สัตว์นะ สัตว์นี่มาก่อนมนุษย์ ถ้าว่ากันจริงๆ แล้ว สัตว์นี่มันเป็นเจ้าของโลก ไม่ใช่มนุษย์เป็น

เจ้าของโลก มนุษย์มันมาที่หลัง เพราะว่า มนุษย์มันมาจากพัฒนาแห่งสัตว์ คือ สัตว์ที่

พัฒนาแล้ว จึงมาเกิดเป็นมนุษย์ ไม่ใช่อยู่ดีๆ แล้วมนุษย์มาเกิดก่อนสัตว์ ไม่ใช่  สัตว์มาเกิด

ก่อนมนุษย์
เค้าว่ากันว่า สัตว์นี่เป็นเครื่องเล่นของพระเจ้า พระเจ้าองค์ไหนก็ไม่รู้ล่ะ แต่มาเกิดก่อนก็

แล้วกันล่ะ
ก่อนนี้ ยังไม่มีพระผู้มีพระภาคเจ้าองค์ใดอุบัติเลยในจักรวาลนี้ ก็เป็นที่อยู่ของสัตว์ผู้ตกทุกข์

ได้ยาก เรียกว่า เดรัจฉานบ้าง ทุกขคติภพบ้าง พอพวกนี้อยู่ก่อตัวกันโตขึ้นเยอะๆ แล้วก็มี

สัตว์บางตัวที่มีพัฒนาการทางจิตวิญญาณ เรียกว่า เป็นมหาสัตว์ เป็นมหาสัตว์ที่เห็นเพื่อน

สัตว์ตกทุกข์ได้ยาก ตัวเองมีสติปัญญามากกว่า ก็ตั้งตัวเป็นจ่าฝูง นำพาเอาสรรพสัตว์ผู้ตก

ทุกข์ได้ยาก สอนแนะนำวิธีการทำยังไงจะให้พ้นทุกข์ แนะนำว่า จะอยู่ร่วมกันยังไงไม่ต้อง

กัดกัน ไม่ต้องแย่งอาหารกัน ไม่ต้องแย่งน้ำกัน ไม่ต้องแย่งที่อยู่อาศัยกัน ไม่ต้องผิดลูกผิด

ผัวผิดเมียกัน
มหาสัตว์เหล่านี้ก็จะทำหน้าที่ มันจะเป็นสัตว์ชนิดใดก็ไม่รู้ล่ะ แต่นี่คือการก่อกำเนิดของ

มนุษย์ แล้วเมื่อมหาสัตว์เหล่านี้ได้ทำหน้าที่ สัตว์เหล่านั้นเชื่อฟังมหาสัตว์ ก็จะพัฒนาตัวเอง

ส่วนมหาสัตว์ก็พัฒนาไปเรื่อยๆ จนกระทั่งได้กลายเป็นพระผู้มีพระภาคเจ้า สัตว์เหล่านั้นก็

พัฒนาตัวเองจนกระทั่งได้มาเกิดเป็นมนุษย์ เป็นพระสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า
งั้น สัตว์ทุกตัวทุกหมู่ทุกสังคมเนี่ย มันจะมีอะไร เค้าเรียกว่า มีอะไร มีหัวหน้า มีจ่าฝูง อ้าย

หัวหน้า อ้ายจ่าฝูงนั่นแหละ เค้าเรียกว่า มหาสัตว์ มันจะทำหน้าที่ปกครอง หลวงปู่ไปดูวัวที่

เค้ามาถวาย เราก็ยืนดูมัน เช้าๆ เย็นๆ ยืนดูมันกินดีไม๊ อยู่ดีไม๊ มีความสุขมากมายแค่ไหน

ระดับไปตามเหตุตามปัจจัย
(เสียงเด็กเล่น/ร้อง)
ผีหลอกมึงเหรอวะ
เออ มันก็มีอ้ายวัวจ่าฝูงนะ อ้ายวัวจ่าฝูงนี่ มันทำหน้าที่คอยต้อนฝูงมัน มันมีนำ ถึงเวลาเปิด

คอก อ้ายจ่าฝูงมันก็จะออกก่อน ออกแล้วก็มายืนรีรอ หันไปมองลูกน้อง ออกหมดไม๊  แล้ว

มันก็จะนำเดิน พอถึงเวลากลับ หลวงปู่สังเกตุดู พอถึงเวลากลับ อ้ายจ่าฝูงมันก็จะพากลับ

กลับของมันเอง เออ ทั้งๆ ที่มันมาคนละคอก ไม่รู้จักกัน แต่มันเชื่อฟังกัน เรายังนึกเลย เออ

อ้ายหนุ่ม เรียกมัน อ้ายหนุ่ม นี่มันเป็นมหาสัตว์ รู้จักที่จะนำ และก็มีวัวที่เชื่อฟังมันและทำ

ตาม
เนี่ย อ้ายพวกนี้จะพัฒนา มนุษย์เนี่ยจะพัฒนาจากสิ่งเหล่านี้ล่ะ ลูก จะพัฒนาไปเรื่อยๆ แล้ว

ทีนี้สัตว์ที่มันอยู่ใกล้มนุษย์ ก็จะติดตาตรึงใจจดจำพฤติกรรมของมนุษย์ มันติดตาตรึงใจจด

จำพฤติกรรมมนุษย์ จิตสุดท้ายของมัน ถ้านึกถึงมนุษย์ มันก็จะออกเป็นลูกมนุษย์นั่นแหละ

เพราะงั้น อ้ายที่เลี้ยงหมา เลี้ยงหมู เลี้ยงวัว เลี้ยงควายไว้ ลูกเมียกำลังท้องน่ะ ดีไม่ดีมึงได้ลูก

ควายมาเกิดนะ
แต่กูเชื่อแล้วว่า มา กูเชื่อ เพราะมันสอนยากเหลือเกิน สอนยาก สีจนซอขาด สีซอให้ควาย

ฟัง สีจนซอพังยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย ขนาดเห็นพระพุทธรูปบนกะบาลได้ เออ จากพุทธิ

ภาวะกลายเป็นพระพุทธรูปครึ่งองค์ก็เอาวะ กูเชื่อแล้ว ว่ามาจากควาย
งั้น อ้ายหมูหมากาไก่ที่เลี้ยงๆ ไว้เนี่ย ถ้ามันสมัครใจ ชอบใจ พอใจ ติดตาตรึงใจ พึงใจกับ

สันดานมนุษย์ พฤติกรรมมนุษย์เนี่ย มันจะข้ามมา ดูอย่างเศรษฐีขี้เหนียวคนหนึ่ง ชื่ออะไร

ก็จำไม่ค่อยได้ จำเนื้อเรื่องได้ (โตเทยยพราหมณ์) แกเป็นคนที่พระพุทธเจ้ามาบิณฑ

บาตรหน้าบ้าน แกจะปล่อยหมาไล่เห่า ไล่กัด พระองค์ไหนมา แกก็จะปล่อยหมาไล่เห่าไล่กัด

เพราะสมบัติมีเยอะ ขี้เหนียว ไม่อยากให้ใคร แล้วก็ดูถูกดูแคลนพวกนี้เป็นขอทาน ไม่ทำกิน

เอาเปรียบชาวบ้าน เออ เอาแต่ขอเค้ากิน มีอาชีพมีปัญญา ขาแขนแข็งแรงไม่ยอมทำกิน

เอะอะก็มาขอข้าว ขอข้าวก็ด่าไปด้วย ขับไล่ ปล่อยหมาไล่กัด ด้วย วันหนึ่งแกป่วยหนัก

แล้วแกก็รู้ว่า ป่วยหนักใกล้จะตาย กลางคืนแกก็แอบเอาของเครื่องใช้ไม้สอยที่เป็นทองคำ

เงิน นาก เพชรนิลจินดาไปฝังไว้ตามจุดต่างๆ ฝังไว้ทิศทั้ง 4 พอถึงคราวจะตาย ก็นึก

เสียดายทรัพย์ เอ ทำยังไงหว่า ทรัพย์กูนี่ ฝังไว้แล้วไม่มีใครรู้ แล้วถ้าเกิดกูตายไปแล้ว ใคร

จะมาเฝ้าทรัพย์ เกิดขโมยขโจร หรือว่า พวกคนนอกรีต นอกคอก พวกคนใช้ ไพร่ทั้งหลาย

มาขโมยลักไป จะทำยังไง
ไม่ได้ๆ ต้องเฝ้า หาวิธี หันไปมองสุนัข ฝากสุนัข เฮ้ย สั่งสุนัขว่า อย่าลืมเฝ้าทรัพย์สมบัติ

ของข้าด้วยนะ เพราะเวลาไปฝัง อ้ายหมาตัวนี้ก็ตามไป แต่หมาตัวนี้มันเป็นตัวเมีย พอนึก

ถึงว่า เออ ฝากรับกับสุนัข จิตสุดท้ายตัวเองดับไป ดันไปเข้าท้องอ้ายหมาตัวนั้น เกิดมาก็

กลายเป็นลูกหมา พระผู้มีพระภาคเจ้าก็เดินบิณฑบาตร อ้ายหมาตัวนี้ก็ไล่เห่าอยู่เหมือนเดิม

ไล่เห่า พระองค์ก็ไม่ว่าอะไร ก็เดินเฉยๆ
แล้วมีอยู่วันหนึ่ง ลูกชายของเศรษฐีก็มาใส่บาตร ใส่บาตรด้วยความรู้สึกว่า จะดูแคลนพระ

ศาสดาว่า เป็นขอทาน พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงตรัสว่า เราไม่ใช่ขอทาน เราเป็นเนื้อนาบุญ

ของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า เราเป็นผู้ที่ควรทำทักขิเณยยะบุคคล เป็นบุคคลที่ควรรับ

ทักษิณาทานอันยิ่งยวด เพราะเป็นผู้พ้นแล้วซึ่งบ่วงแห่งกรรมทั้งปวง ลูกชายเศรษฐีก็ไม่เชื่อ

ไม่เชื่อ พระศาสดาก็ทรงชี้ให้เห็นกฎแห่งกรรม ถ้าไม่เชื่อไปดูในท้องหมา เดี๋ยววันนี้ ลูก

หมามันจะออก แล้วก็ลองดู มันมีลูกหมาตัวหนึ่งสีนี้ๆ หน้าตาเป็นอย่างนี้ มีไม๊ ลองไปดู เอ้า

มี อ้ายตัวนั้นแหละ พ่อเธอ
พราหมณ์หนุ่มผู้นี้ก็อยากจะจับผิด จับโกหกพระศาสดา ก็ประกาศไปทั่วมณฑลว่า บัดนี้

สมณโคดม พยากรณ์ว่า บิดาข้าผู้เป็นพราหมณ์ เกิดโดยท้าวพระพรหมผู้มีเพศอันศักดิ์สิทธิ์

ภาวะอันวิเศษ มาเกิดเป็นหมา มันจะเป็นไปหรื๊อ
สุดท้าย พระศาสดาก็มาที่ประชุมชน แล้วบอกให้พราหมณ์หนุ่มกลับไปบ้าน จับหมาอาบน้ำ

ปะแป้งแต่งตัวอย่างดี เสร็จแล้วให้กินข้าวปลาให้อิ่มหน่ำสำราญ เอาข้าวอาหารที่บิดาชอบ

มาให้เลี้ยงหมา ลูกหมาตัวนี้ พอเสร็จแล้วก็อุ้มขึ้นเตียงนอนของบิดา ขณะที่หมากำลังใกล้

จะหลับ ก็สอนคาถาให้กับลูกหมา คือ ลูกเศรษฐีไปกระซิบข้างหูพ่อด้วยคาถาบทนี้ คาถาบท

นั้นว่าเป็นภาษาบาลี หลวงปู่จำไม่ได้ แต่ภาษาไทยก็คือ ทรัพย์ที่ฝังไว้อยู่ที่ไหนจ๊ะ เออ

ทรัพย์ที่ฝังไว้อยู่ที่ไหนจ๊ะ
เท่านั้นแหละ หมาทะลึ่งตื่นขึ้นมา นึก เออ ทรัพย์กูอยู่ไหนหว่า กระโดดลงจากเตียง วิ่งไป

หาทรัพย์ พระศาสดาก็สั่งให้พราหมณ์ตามไป เอาจอบตามไปด้วย อ้าว หมาไปถึงที่ฝัง มัน

ก็คุ้ยๆๆ ไปอีกที่หนึ่งก็คุ้ยๆๆ ไปคุ้ยๆๆ ขุดขึ้นมา อ้าวนี่ทรัพย์ทั้งหมดเลย พ่อกูเอาฝังไว้ พอ

หมาเห็นลูกชายมาขุดเอาทรัพย์ไป เสียดาย แล้วอ้ายความเหนื่อย วิ่งไป 4 ทิศน่ะ 4 มุม

เมืองน่ะ หัวใจ เค้าเรียก ตับแตกตาย ตายแล้วไปไหน อุ๊ย ไปไม่ดีหรอก เพราะว่ามัน

เสียดายทรัพย์
มีอุปาทานไม๊ล่ะ
(มี)
เออ มีอุปาทาน มันมีอุปาทาน ก็มีชาติภพขึ้นมาทันที แล้วภพชาติไม่ดีด้วย เป็นภพชาติที่

เป็นทุกขคติภพ เพราะว่า ตระหนี่ เหนียว หวงทรัพย์ ไปตกอยู่ในอเวจีเสียเนิ่นนาน พระ

ศาสดาพยากรณ์ต่อมาว่า ก็จะได้กลับมาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน แล้วเป็นประเภทไหน
จุ๊ๆๆๆ
(จิ้งจก)
เออ คอยหวง ใครจะเข้าบ้าน จุ๊ๆๆๆ อะไรประมาณนี้น่ะ
เออ เดี๋ยวนี้เค้ามีแปลกๆ นะ มีหางโผล่มา ที่พิเศษ นี่ต้องมีแขวนคอไว้ วันนั้นกูเห็นมาวัด

คนหนึ่ง
มึงแขวนอะไรวะ
จิ้งจก จิ้งจก 2 หาง
กูหยิบมาดู กูนึกว่า เหี้ย นะเนี่ย
มันร้อง ฮะ
อ้าว กูไม่เคยเห็นนี่หว่า เหี้ย 2 หาง นี่ไม่เคย
ไม่ใช๊ จิ้งจกครับ
อ้าวเหรอ เออ จิ้งจกก็จิ้งจก แต่กูดูยังไงก็เป็นเหี้ย เราก็ว่า
เฮอะ คนแขวนมันก็เหี้ย อ้ายตัวแขวนก็เหี้ย
มนุษย์มันดีกว่าเหี้ย ดีกว่าสัตว์ ดันเอาสัตว์มาแขวนคอ ไม่รู้จักสำนึก ไม่รู้ถึงเพศภาวะอัน

บริสุทธิ์บริบูรณ์ของตน ขนาดเทวดาเค้าตายแล้ว เค้ายังอยากจะเกิดเป็นมนุษย์ อ้ายนี่ดัน

อยากจะเป็นเหี้ย ดันไปเอาสัตว์เดรัจฉานมาแขวนคอ ไม่รู้จักภาวะของตน แล้วอ้ายพวกนี้

ตายไป ไม่ได้ไปไหนนะ เอ้า มันแขวนจิ้งจก 2 หาง มึงว่ามันจะเกิดเป็นอะไร
(เดรัจฉาน)
เอ๊อ แขวนกูยังดีกว่าเลย อ้าว จริงๆ อย่างน้อยก็เป็นอาโน ล่ะวะ
งั้น มันมีจิตผูกพันยังไง
ห่วง แล้วเอามาใช้อะไร
ทุกวันน่ะ ผม
อาจารย์อะไรที่สักเก่งๆ เค้านั่นแหละ ทุกวันมันก็จะต้องท่อง ปลุกเสกจิ้งจกให้หากิน
แล้วมึงหาได้บ้างหรือเปล่า
ก็หากินไปเรื่อยล่ะ
รวยกับเค้าหรือยัง
ก็กำลังๆ เค้าว่า
ไหน มึงหันหลังมาดูซิ
มันก็หันก้น
อืม กูก็ว่า จวนแล้วนะเนี่ย มันเริ่มงอกแล้วนะ
อะไรครับ
หางไง
เออ น่าสงสาร อ้ายพวกนี้ ตายไปไม่มีสิทธิ์เกิดเป็นมนุษย์หรอก เพราะอุปาทานในขันธ์ทั้ง 5

ไง มันมีอุปาทานในเครื่องปรุงของมัน อุปาทานในสิ่งที่มันปรุงแต่งไว้ ปรุงแต่งว่า จิ้งจก

เป็นของศักดิ์สิทธิ์ เป็นของวิเศษ ชาติภพสุดท้าย จิตสุดท้ายมันจะไปไหนล่ะ ถ้ามันได้ฟลุ๊ค

หน่อย อาจจะดี ได้เป็นพ่อจิ้งจก
งั้น ให้ระวังไว้ ลูก เรื่องชาติภพเนี่ย ใครสร้างให้เรา
(เราเอง)
ไม่มีใครหรอก ลูก ตัวเราเอง ตัวเราสร้างเอง เพราะงั้น เวลาเราตาย ให้มองรูปเศรษฐีเข้าไว้

เออ ถ้าอยากรวยนะ แต่อย่าไปเอาอ้ายหน้าเหลี่ยมมาแขวนไว้นะ มึงอดตายนะมึง เอา

เศรษฐีหน้ากลมๆ บานๆ ถ้าหน้าเหลี่ยมนี่มันขี้เหนียว อย่าไปเอา เออ เวลาตาย กูว่า แขวน

รูปเศรษฐียังมีวาสนาดีกว่า
เอ้า เรื่องจริง เพราะมันมีอะไร
อุปาทานในขันธ์ทั้ง 5 ไง
จำไว้เลย เทคนิค ลูก เหมือนอย่างที่กูบอกเมื่อกลางวัน ถ้ากูจะตาย มึงเอาไมค์จ่อปากกู ไมค์

จ่อปาก แล้วพัดลมเป่าตูด เดี๋ยวกูก็ผลุดขึ้นมา กลับมาเกิดใหม่ เออ มันอุปาทานในขันธ์ทั้ง 5

เรื่องพวกนี้มันหนีไม่พ้นหรอก ลูก
ที่พูดเนี่ย เป็นอธิษฐานธรรม พระพุทธเจ้านี่เป็นพระพุทธเจ้าได้ เป็นพระมหาโพธิสัตว์ได้

ทุกภพทุกชาติ ก็เพราะมีอธิษฐาน อธิษฐานในที่นี้ ถ้าว่ากันโดยปฏิจจสมุปันธรรม ก็คือ

ตัณหา ความทะยานอยาก อุปาทาน ความยึดถือ ยึดถือในส่วนที่เป็นบุญหรือเป็นบาป
เป็นบุญเป็นกุศล กำหนดจิตให้นึกระลึกถึง เวลาใกล้จะตาย เออ จะไปไหน จะไปวัดไหน 

จะไปอาชีพอะไร จะไปอยู่แห่งหนตำบลใด หรือจะเปลี่ยนใหม่ เปลี่ยนรสชาติ ไปดูแถว

เอธิโอเปียบ้างอะไร หรือจะไปอยู่ลาว เขมร พม่า เค้าก็พัฒนากันแล้ว แล้วแต่ พวกนี้ไปได้

หมด ลูก
งั้น พระพรหมไม่ได้เนรมิตรบันดาล พระพรหม ชะตา ราศี ไม่มีอำนาจเหนือกฏแห่งกรรม

และอำนาจจิต เรียกว่า จิตตานุภาพของผู้ที่ฝึกดีแล้ว แล้วก็ไม่มีอำนาจเหนืออุปาทานใน

ขันธ์ทั้ง 5
งั้น อุปาทานนี่ มันมีทั้งส่วนดี กับส่วนไม่ดีนะ แต่ยังไงมันก็ยังเป็นโลกียชน โลกียธรรม เช่น

คนทำบุญแล้วปรารถนาจะเป็นเทวดา มีอุปาทานไม๊
(มี)
ในขันธ์ 5 เทวดาก็มีขันธ์ 5 นะ เออ ไม่ใช่ไม่มี
อุปาทานในขันธ์ทั้ง 5 เจ้าประคุ๊ณ เกิดชาติหน้า ขอให้ได้เป็นเทวดาชั้นนั้นชั้นนี้ ทำอย่างนี้

บ่อยๆๆ จิตสุดท้าย ไปไม๊
ไป๊ ได้ไป ถ้ามึงไม่เข้าใจผิดว่า รูปปั้นมันเป็นเทวดา แล้วมึงแว๊บใส่รูปปั้น มึงได้เกิดใน

สวรรค์ชั้นนั้นๆ แน่
แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า เราจะซื่อตรง มั่นคง อยู่ในอุปาทานในขันธ์ทั้ง 5 ที่เป็นส่วนกุศลไม๊

ส่วนใหญ่แล้วมันไม่ค่อยซื่อตรง มั่นคง ต่อส่วนที่เป็นกุศล เพราะอกุศลมันเข้ามาชักจูงอยู่

ตลอดเวลา เพราะธรรมชาติของจิตนี่ มันมีอยู่ 3 อย่าง
โลกียจิต โลกุตตระจิต และอัพยากฤตจิต เค้าเรียกว่า กุศลจิต อกุศลจิต และ อัพยากฤตจิต

อย่างนี้เป็นต้น อ้ายอัพยากฤตจิตนี่ก็คือ ต้องมีการชักชวน แล้วจึงไป อ้ายตัวชักชวนนี่แหละ

คือ ตัวที่สามารถจะสร้างคุณวิเศษก็ได้ คุณที่เสื่อมโทรมก็ได้ เพราะมันมีกระบวนการชักชวน

เช่น เราตั้งความหวัง ตั้งความปรารถนา ตั้งปณิธาน ก็ชักชวนไปในส่วนที่เรื่องดีงาม พอถึง

คราว ถึงเวลาที่ต้องสิ้นอายุขัย อ้ายจิตนี้ก็จะแสดงตนออกมา มึงเคยชักชวนกูไว้น้า เนี่ย มึง

ชักชวนกูมาตั้งกี่ดวงๆ กี่ปีๆ กี่วันๆ พอกำลังแห่งการชักชวนมันเยอะ สะสมเข้ามาก ก็นำเอา

จิตนี้ไปปฏิสนธิ ไปเกิดในภพภูมิที่ต้องการไป
แต่ถ้านานๆ ที วันดีคืนดี อืม เป็นพระราชาซะหน่อย ทำไปทำมา ใส่สตางค์ขอทาน โยนไป

1 อีแปะ หนึ่งบาท ขอทานด่า เอาคืนไปเถอะ คุ๊ณ ขี้เกียจเก็บ มันหนักกระเป๋า กลับมา อื๊ม

กูว่ากูจะเป็นราชาซะหน่อย อ้ายห่านี่ขัดลาภเลย ไม่ได้เป็น หวังว่าจะได้บุญจากมึง
เพราะงั้น เนื้อนาบุญที่ดี ที่สมหวังเสมอ คืออะไร
เนื้อนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า
อย่าไปตั้งความหวังกับขอทาน อย่าไปตั้งความหวังกับคนพิการหรือคนอนาถา นั่นคือ การ

สละ เรียกว่า จาคะ คือ การบริจาคโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน แต่ทำที่หวังกับสิ่งตอบแทนได้นั้น

คือ ใคร
เนื้อนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า
อ้ายบางคน พอใส่กะลาขอทานไป 10 บาท เจ้าประคุ๊ณ เกิดชาติหน้าฉันใด อย่าให้กูเป็น

ขอทานเลย
พ้นที่ไหน
ขอทานมันมีคุณอะไรที่จะให้คุณสมหวัง สมปรารถนา
ไม่พ้น เกิดชาติหน้าฉันใด ดีไม่ดี เกิดเป็นลูกอ้ายนั่นด้วยซ้ำ เพราะมันไม่มีคุณอะไรที่จะให้

ผลบุญเท่า ยกเว้นเป็นมหาสัตว์กลับชาติมาเกิด คำว่า มหาสัตว์กลับชาติมาเกิด หรือว่า วันดี

คืนดี พระโพธิสัตว์ ท่าน เออ อาจจะอยากเล่นสนุกๆ ตลกๆ ก็มาเป็นขอทานเข้าสักวันสอง

วันอะไรประมาณนั้น อ้ายอย่างนี้น่ะ พอได้ เพราะท่านเป็นผู้มีคุณอันสมบูรณ์ด้วยการที่จะ

ให้ เพราะเป็นผู้ให้อยู่เสมอต้นเสมอปลาย
แต่ถ้าเป็นสามัญสัตว์ เป็นสรรพสัตว์ ไม่เข้าถึงอริยสัจ ให้ทำให้ตายก็ไม่ได้ นั่นมันเป็นการ

สละ เป็นจาคะ  เป็นเครื่องสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างเรากับสังคมคนรอบข้างและมนุษย์รอบ

ตัว และสัตว์รอบกายเท่านั้น จะหวังบุญกุศลอะไรคงจะยาก มันได้มาก็ใช้เวลาทำนาน

สั่งสมนาน แล้วก็ คนไม่ชอบการรอคอยนานๆ ก็ไม่อยากทำ และละเลิกไปในที่สุด ซึ่งตรง

กันข้ามกับการบริจาค แล้วมีจาคะ คือ ทำบุญกับเนื้อนาบุญของโลก มันจะมีสภาวะที่ ทำ

ครั้งหนึ่ง ก็ได้ครั้งหนึ่ง มันจะแตกต่าง
ทีนี้ ปัญหามันอยู่ที่ว่า เนื้อนาบุญอย่างที่เมื่อเช้าบอก นาดี นาอุดม นาดอน นาแย่ นาเน่า

นาน้ำท่วม นาเป็นพิษหรือเปล่า ก็ต้องใช้ปัญญาวิจารณ์ พินิจพิจารณา ใคร่ครวญให้ดี สมัยนี้

มันประกาศโฆษณายี่ห้อนาเยอะมาก โฆษณาความรู้ ความสามารถ ซึ่งว่ากันไปตามหลัก

พระวินัยแล้ว เค้าเรียกว่า เป็นพันธะภัย  ยังลาภให้เกิดในตน มันเป็นอาบัติทุกคำกลืน ลาภ

นั้น ถ้าจะพึงเกิดต่อการยังและโฆษณา ในพระวินัยท่านกำหนดไว้ชัด ถ้าลาภนั้นมันจะพึง

บังเกิดต่อการเชิญชวนและโฆษณา ผู้ที่ได้ลาภนั้น ลาภนั้นเป็นมิกสักฆี(?) ผู้ใช้เป็น

ปาจิตตีย์ เพราะยังลาภนั้นให้เกิดตามคำเชิญชวน และโฆษณา
เช่น “ท่านองค์นั้นน่ะ วิเศษเลย” หมายถึง พระกับพระชวนกันอย่างนี้นะ แล้วก็พระไป

ชวนชาวบ้าน “องค์นั้นน่ะวิเศษ”  “ครูของชั้นน่ะวิเศษ”  “อาจารย์ของชั้นวิเศษ”

ถ้าลาภนั้นสำเร็จได้ แล้วมีเจตนาจะต้องการลาภ ไม่ใช่ชวนกันเพราะว่า เพื่อหวังว่าจะให้เกิด

ความเจริญ เช่น พระสารีบุตรมาชวนสัญชัยปริพาชกให้ไปฟังธรรมพระอริยเจ้า พระ

อรหันตเจ้า พระผู้มีพระภาคเจ้า ชวนอย่างนี้ไม่ได้ยังลาภ แต่ยังอริยทรัพย์ให้ปรากฏ ให้

ประจักษ์ ก็คือ ปัญญา แต่ถ้าชวนเพื่อหวังศรัทธาปสาทะ หวังให้เกิดลาภสักการะ ถ้าสำเร็จ

ประโยชน์ตามนั้นเนี่ย  ถ้าลาภนั้นไม่มีจริง คือ คุณวิเศษของท่านผู้นั้นไม่ได้มีจริง ปรับ

อาบัติปาราชิกตามความเชื่อของคนที่มา ถ้าเชื่อสูงสุดว่า ท่านผู้นั้นเป็นผู้หลุดพ้น ก็เป็น

ปาราชิก ถ้าเชื่อต่ำลงมา เอาแค่สงสัย เผื่อว่า อาจจะ ใช้มั๊ง แต่ได้ลาภมา ก็ปรับตามค่ามาสก
พระพุทธเจ้าท่านวางหลักเอาไว้ ไม่ใช่ท่านเป็นคนปรับ แต่ท่านชี้ว่า นรกเนี่ย มันมีทุกขคติ

และสัตว์ที่ตกนรกแต่ละประเภทเนี่ย มันมีกรรมอย่างนี้ๆๆมา ท่านก็ยกเอากรรมของสัตว์

นรกที่มีมา มาตั้งเอาไว้เป็นวินัยบัญญัติ เป็นหลักศีล หลักธรรม หลักทาน
งั้น อย่าคิดว่า พระพุทธเจ้าทรงไม่มีแล้ว แล้วก็ไม่จำเป็นต้องมีวินัย แม้พระพุทธเจ้าไม่มี

มาก่อนเลย ไม่มีวินัยเลย ถ้าทำผิดข้อนี้ ก็ต้องตกนรกแบบนี้ 
ที่จริง คำว่า วินัย ไม่ใช่ข้อห้าม วินัย เป็นคำข้อสมาทานที่จะทำ ไม่ใช่ข้อห้าม มันเป็นข้อ

สมาทานที่จะทำด้วยความสมัครใจ ไม่ใช่มาห้าม อย่าทำนั่น อย่าทำนี่ แม้ศีล 5 ก็เหมือน

กัน ลูก
ศีล 5 ไม่ใช่ข้อห้าม ศีล 5 ไม่ใช่ข้อห้าม มันเป็นเหมือนกับบทบัญญัติที่เราจะอยู่ร่วมกัน

ในสังคมมนุษย์อย่างผ่อนคลาย ปลอดภัย และร่มเย็นเป็นสุข ไม่ใช่ข้อห้าม แล้วถ้าผิดจากศีล

5 นี่มันจะไปไหน พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้บัญญัติโทษว่า จะเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ แต่โทษน่ะ

มันมีอยู่ก่อนแล้ว
คนผิดศีล 5 ข้อนี้ ก็จะตกนรกขุมนี้ คนผิดศีล 5 ข้อโน้น ก็จะตกนรกขุมโน้น ซึ่งมันมีมา

ก่อนพระพุทธเจ้าอุบัติหรือบังเกิด แต่พระองค์ทรงมีทิพย์จักษุ มีปัญญาญาณหยั่งรู้

พระองค์ก็ทรงเอาความผิดในขุมนรกเหล่านั้น มาบัญญัติเป็นข้อปฏิบัติเอาไว้ว่า ถ้าไม่อยาก

ตกนรกขุมนี้ ก็อย่าทำอย่างนี้ แล้วถ้าอยากตก ก็จงทำไปเถอะ อย่างนี้เป็นต้น
งั้น หลายคนก็สมัครใจเป็นสมาชิกถาวรของนรกแต่ละขุมๆ ไปตามเหตุตามปัจจัยของความ

โง่มาก โง่น้อย อ้ายบางคนก็เป็นสมาชิกแบบสมัครเล่น ผีๆ เผลอๆ เออ เอาซักบ้างวะ

อาทิตย์หนึ่ง เอาซักที เออ งวดนี้ เอาซักงวดหนึ่งวะ เออ เลขดี กูว่าน่าจะได้ หวังไว้ว่าจะรวย

แน่ๆ เอาซักหน่อยวะ เดือนหนึ่งเอาซักที อย่างนี้ เค้าเรียกว่า อะไร พวกอะไร อาสาสมัคร

อาสาสมัครสมาชิกนรก
เออ ทุกชนิดน่ะ มีโทษตามเหตุตามปัจจัยในกรรมของตน ไม่ใช่พระศาสดาทรงทำให้เป็น

สั่งให้เป็น กำหนดให้เป็น หรือ บอกให้เป็น บังคับให้เป็น ไม่ใช่ ลูก อย่าเข้าใจผิด เราพอ

เจอคำว่า ศีลนี่ เราจะ อู้หู ตายล่ะ กูอยู่ไม่ได้ละ กูรับไม่ได้ อย่างนั้นไม่รับเลย จะได้ไม่ต้องผิด

ไม่รู้เลย ก็ไม่ต้องผิด
แม้ไม่รับ ไม่รู้ ก็ตกนรก เพราะเค้ากันมาก่อนที่พระพุทธเจ้าจะอุบัติ ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะ

เกิด แล้วพระองค์ก็ทรงเอาโทษทัณฑ์มาบัญญัติเป็นกฏ เป็นปริญญา เรียกว่า บทบัญญัติ

หรือว่าข้อตกลงในการที่เราจะอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสันติสุข ร่มเย็นและไม่ทำโทษ ทำผิด

ทำภัยแก่กันและกัน นี่คือ ความหมายของคำว่า ศีล
เพราะฉะนั้น ศีลจึงแปลเป็นใจความว่า ปกติ มีชื่อว่า ปกติ ปกติของผู้ที่อยู่ในทำนองคลอง

ธรรม อ้ายผิดทำนองคลองธรรม นี่ปกติไม๊
ไม่ปกติ
เอาล่ะ ที่จริงว่าจะไล่เรื่อง ศีล สมาธิ ปัญญา แต่เวลามันจะไม่ได้ปฏิบัติธรรม ก็เอาเป็นว่า

ถามปัญหาซัก 10 ข้อ แล้วปฏิบัติธรรม
4 มิ ย 2555    15.05 น. ถอดซีดี ปุจฉา – วิสัชนา ธรรมะวันวิสาขบูชา

โดยองค์หลวงปู่พุทธะอิสระ
• การบริจาคทานนี้ ที่สุดก็คือ ไปสวรรค์
• รักษาศีล ดีที่สุด ก็ไปพรหม แต่ปฏิบัติธรรม ดีที่สุด คือ พ้นจากวัฏฏะ
• ให้รู้ตามสภาพธรรมตามความเป็นจริงที่ปรากฎเถอะ นั่นแหละเป็นสุดยอด

วิชา
ปุจฉา    ทำผิดศีลข้อ 3 และ ข้อ 4  ทำดีมีผลดีอย่างไร ทำผิดมีผลสียอย่างไร และจะ

แก้ไขอย่างไร
วิสัชนา    เค้ามีอานิสงส์นะ สีเลนะ สุคติง ยันติ  สีเลนะโภคะสัมปทา สีเลนะ นิพุติง ยันติ

ตัสมา สีเลนะ วิโสทะเย แปลเป็นใจความว่า ศีลรักษาดีแล้วเนี่ย ยังสุขคติภพมาให้ นั่นคือ

ไม่ต้องตกนรก
สรุปแล้ว ถ้าหากผิดข้อไหน ไม่ว่าจะข้อใดข้อหนึ่ง มันก็คือ เป็นทุกขคติ ก็ตกนรก
สีเลนะโภคะสัมปทา ผู้ใดรักษาศีลอันบริสุทธิ์บริบูรณ์ ก็มีโภคะ โภคะก็คือ ลาภสักการะอัน

รุ่งเรืองเจริญ สีเลนะ นิพุติงยันติ ศีลย่อมยังให้สู่พระนิพพาน เป็นกำลังผลักดันให้สู่พระ

นิพพานได้ อย่างนี้เป็นต้น งั้น อานิสงส์ของศีล สรุปแล้วก็แปลให้ฟัง
มีวัดนี้วัดเดียวในแผ่นดินไทยที่เค้าแปลศีลให้ฟัง สรุปศีลให้ฟัง แต่ไม่สำเหนียก
รับไม๊
รับ เมื่อเช้า กูก็แปลให้ฟัง ก็ยังหน้าด้านมาถามอีก จบ เนี่ย กูถึงได้บอกว่า มึงมาจากไหน สี

จนซอเปื่อยหมดแล้วยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย ทำซอหักหมดแล้ว
เอ๊ย ทำไมไม่เปิดพัดลมวะ
(เบรคเกอร์เสีย เดี๋ยวรอเปลี่ยนอยู่ครับ หลวงปู่)
อ๋อ ประหยัดไฟหรือ ลูก
(เบรคเกอร์เสีย กำลังเอาเครื่องมืออยู่ครับ)
อ้าว เออ ก็ช่วยกันเป่า
ปุจฉา   ทำไมจึงบอกว่า การเจริญกรรมฐานได้กุศลสูงกว่าการให้ทาน และการรักษาศีล
วิสัชนา   ให้ทาน มันต้องประกอบไปด้วยวัตถุทาน
รักษาศีล แม้ไม่มีวัตถุเข้ามาควบกล้ำก็ตามที แต่มันต้องอาศัยความสมัครใจ และความ

ศรัทธาตั้งมั่นอย่างยิ่งยวด และศีลมันก็มีอานิสงส์แค่ผลส่งให้แค่ สวรรค์ พรหม สูงสุด
ส่วนการปฏิบัติธรรม เจริญกรรมฐาน สมถะกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน มันสามารถนำ

พาเราข้ามภพข้ามชาติไปสู่โคตภูฌาน โคตภูญาณ ก็คือ ญาณข้ามภพข้ามชาติได้ มันไปถึง

พระอริยเจ้า พระอริยเจ้าก็เป็นได้ ไม่ว่าจะขั้นใดขั้นหนึ่ง โสดา ก็ปฏิบัติได้  ก็ไม่เกิน 7

ชาติก็จะบรรลุธรรม แล้วกรรมฐานในข้อว่าด้วย มหาสติปัฏฐาน 4 นี่ อานิสงส์ของ

กรรมฐานเค้าบ่งไว้ชัด ผู้ปฏิบัติก็ได้ผลจริงตามนั้นด้วย ก็คือ 7 วันบรรลุ อ้าว 7 วันไม่

บรรลุก็ 7 เดือนบรรลุ  7 เดือนไม่บรรลุก็ 7 ปีบรรลุ  ถ้า 7 ปีไม่บรรลุ ก็รอไปอีหนู

เอ๊ย 7 ชาติบรรลุ ไม่เกิน 7 ชาติ ถ้าปฏิบัติไม่หยุด
อ้าว จริ๊ง จริง ถ้าต่ำสุดนะ แบบว่าเพชรมันอยู่ต่ำเหลือเกิน ก็ 7 ชาติแหละ แต่ถ้าเพชรอยู่

สูงขึ้นมาหน่อยก็ 7 ปี พุทธิภาวะ เพชร คือ พุทธิภาวะ เดี๋ยวจะแปลผิดอีก โอ๊ย พวกนี้

ขนาดพระพุทธรูปตั้งบนกะบาลได้ ก็ใช้ได้ล่ะ เอาเป็นว่า พุทธิภาวะน่ะ พุทธิภาวะ คือ ธาตุ

แห่งการตรัสรู ของแต่ละคนมันสูงต่ำไม่เท่ากัน อ้ายธาตุแห่งการตรัสรู้ หรือพุทธิภาวะนี่

หลวงปู่เรียกสั้นๆ ว่า เพชร มันแต่ละคน มันอยู่ลึก อยู่ตื้น อยู่บาง อยู่สั้น อยู่ยาว ไม่เท่ากัน

บางคนนี่อยู่ตื้นๆ ฟังธรรมนิดหน่อยก็บรรลุ 7 วัน บางคนอยู่ลึกเข้าไปหน่อย ก็ต้อง 7

เดือน หรือไม่ก็ 7 ปี อ้ายที่ลึกมากๆ แต่ไม่หยุดความเพียร ก็ไป 7 ชาติ
แต่รักษาศีลให้ตายยังไงมันก็ไม่พ้นวัฏฏะ ไม่พ้นวัฏฏะ บริจาคทาน บริจาคไปมากเท่าไหร่

ก็เป็นกระบวนการสร้างวัฏฏะ ยิ่งบริจาค ยิ่งสร้างวัฏฏะ แล้วยิ่งบริจาคแล้วยึดในทานนั้นๆ

ด้วย ยิ่งไม่ต้องไปไหนเลย ได้เกิดเป็นเศรษฐีหน้าเหลี่ยม หน้ามน หน้าสารพัดหน้าไปเรื่อยล่ะ

หน้าหอย หน้าอะไรต่ออะไรไปเรื่อยล่ะ
เอ้า เรื่องจริ๊ง เราบริจาคทาน ก็หวังว่า เกิดชาติหน้าแล้วกูได้ทรัพย์มากกว่า 10 เท่า ร้อย

เท่าพันทวี ก็กลับมาเสพทรัพย์กันต่อ แล้วก็บริจาคอีก ก็ขอให้ทรัพย์กูเพิ่มพูนมากอีก ก็

กลับมาเสพทรัพย์ต่อ
งั้น การบริจาคทานนี้ ที่สุดก็คือ ไปสวรรค์
รักษาศีล ดีที่สุด ก็ไปพรหม แต่ปฏิบัติธรรม ดีที่สุด คือ พ้นจากวัฏฏะ
งั้น อานิสงส์ของการปฏิบัติธรรม มันจึงมาก บุญมาก คุณสมบัติ คุณธรรมมาก แล้วก็ต้อง

ใช้สติปัญญามากๆ จบ
ปุจฉา    มีวิชาหรือความสามารถใด ฝึกแล้วอยู่ติดตัวข้ามภพข้ามชาติได้ และอภิญญาจะ

อยู่ข้ามภพข้ามชาติได้หรือไม่
วิสัชนา    ทุกวิชา ลูก ทุกวิชาของพระพุทธศาสนา อย่าว่าแต่วิชาเลย แค่มีจิตสำเหนียก รู้

เห็นตามความเป็นจริง ธรรมชาติ สภาวะธรรมที่ปรากฎขึ้นตามความเป็นจริง รู้ชัดตามความ

เป็นจริงในสภาวะธรรมนั้นๆ ก็สามารถข้ามภพข้ามชาติ และได้คุณอนันต์มโหฬาร มหาศาล
ดูอย่างท่าน จุลบัณฑก อดีตชาติ ท่านเกิดเป็นพระราชานั่งคอหลังช้างลียบพระนคร ขณะที่

ปราบดาภิเษกเป็นพระราชา ก็ร้อนๆอย่างนี้ ฝุ่นมันก็ตลบ นั่งไปหลังช้าง ฝุ่นมันลอยไปทาง

ไหนล่ะ เออ เดินอยู่ใต้ท้องช้างนี่ไม่ได้ฝุ่นนะ แต่อ้ายนั่งข้างบนน่ะ ฝุ่นเต็มๆ นะ พระราชานี่

ตัวขาววอกเชียวนะ หน้านวลเชียวล่ะ เออ จุลบัณฑกราชาทำไง ร้อนด้วย เหนื่อยด้วย ฝุ่นก็

เข้าตา เข้าปาก หยิบผ้าซับพระเสโทเช็ด เสโท รู้ไม๊ อะไร เสโท (เหงื่อ)
เออ ขออภัย เจ้าเก่า เจ้าลิเก อย่าเข้าใจผิด เออ ลิเกเก่า
พอซับพระเสโท เหงื่อไหลอาบพระพักตร์ ก็ทรงงัดผ้ามาซับ มาดู โอ้หนอ ร่างกายกูมีความ

สกปรกเป็นธรรมดา เมื่อกี้ก่อนจะขึ้นหลังช้างนี่สะอาดเอี่ยม พอมาอยู่บนหลังช้างพักเดียว

เหงื่อไหลไคลย้อยผสมกับธุลีดินที่ปลิวมาในอากาศ เห็นความสกปรก จิตสลดสังเวช นึกไป

ถึงว่า โอ กูจะขวนขวายไปเป็นพระราชาเพื่อทำเวรกรรมทำไม เมื่อทุกคนสกปรก กูก็สกปรก

แล้วกูจะต้องนั่งเฝ้ารักษากองสกปรกไปอีกนานเท่าไหร่ แค่นี้น่ะ ไม่มีใครสอนเลยตอนนั้น

พระพุทธเจ้ายังไม่อุบัติเลย เป็นวิชาไม๊
(เป็น)
เรียนรู้ชีวิต ศึกษาวิชชา ลุถึงปัญญา นำพาชีวิต
แล้วนำพาชีวิตจุลบัณฑกไปเกิดในชั้นดุสิต แล้วก็พ้นจากชั้นดุสิต ก็มาเกิดเป็นมนุษย์ เกิด

เป็นนักบวช เป็นสามเณร อยู่ในศาสนาพระมหากัสสป จนกระทั่งได้มาเกิดเป็นจุลบัณฑก

พระอรหันตเจ้า จากแค่รู้ชีวิตเฉยๆ เท่านั้นแหละ
เพราะฉะนั้น ให้รู้ตามสภาพธรรมตามความเป็นจริงที่ปรากฎเถอะ นั่นแหละเป็นสุดยอดวิชา

ไม่ต้องเรียนจากใคร ไม่ต้องมีครูคนใด แค่รู้ตามความเป็นจริง สภาพธรรมที่เป็นไปตามจริง

รู้ชัดตามนั้น แล้วไม่ใช่รู้ด้วยสัญญา ต้องรู้ด้วยปัญญา มันตามไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ จบ
ปุจฉา    ธาตุรู้ ต่างกับ ผู้รู้อย่างไร
วิสัชนา    ธาตุรู้ เค้าหมายเอาสภาวะธรรม ลูก สภาวะธรรมของอารมณ์หนึ่งๆ ที่ปรากฎ เค้า

เรียกว่า ธาตุรู้ ถ้าจะเปรียบ ก็คือ เจตสิก เครื่องปรุงจิตชนิดหนึ่ง แต่เครื่องปรุงจิตชนิดหนึ่งๆ

นั้น ก็ยังมีเหตุปัจจัยทั้งภายนอกอาศัย เหตุปัจจัยภายนอกเป็นเครื่องปรุง
แต่ธาตุรู้ที่ว่าเนี่ย เป็นสภาวะธรรมที่เป็นเหตุปัจจัยแต่ภายใน ถามว่าเพราะอะไร
ก็เพราะว่า จิตมีหน้าที่อะไร รับอารมณ์ จำอารมณ์ คิดอารมณ์ และรู้อารมณ์
เห็นไม๊ ธาตุรู้ เป็นสภาวะธรรมหนึ่งๆ เป็นธรรมชาติแท้ของจิตชนิดหนึ่งๆ
ส่วนท่านผู้รู้นั้น คือ ตัวรู้นี้ มีธาตุรู้นี้ไปรับรู้สรรพวิทยา วิชาการมามากมายมโหฬารพันลึก

จนสุขุมลุ่มลึกคัมภีรภาพใช้ นิสัมมะ กะระณัง เสยโย ใคร่ครวญ ละเอียดถี่ถ้วน ย่อยสลาย

จนกลายเป็น อณูธาตุ อินทรีย์ธาตุ นี่แหละ คือ ท่านผู้รู้
เข้าใจความหมายนี้ไม๊
งั้น ท่านผู้รู้ ต้องผ่านกระบวนการอะไรมาก่อน
ศึกษา สั่งสม อบรม เรียนรู้ จนทำให้ธาตุรู้กลายเป็นท่านผู้รู้ จบ
ปุจฉา   ขณะที่ว่างและมีตัวรู้ จะเข้ามาพิจารณา อนิจจัง ทุกขัง อนัตตาได้อย่างไร
วิสัชนา    อย่าเพิ่งๆ อย่าเพิ่งแรด อย่าเพิ่งกะล่อน อยู่ที่เดิมนั่นแหละ ให้มันรู้จริงๆ เฮอะ กู

กลัวจะลงรูเสียมากกว่า อย่าแรดๆ ไม่ต้อง อยู่กับที่ๆๆ อย่าไปตลบตะแลง ปลิ้นปล่อน กะล่อน

รักษาตัวรู้ ธาตุรู้ให้คงที่  ให้อยู่กับมึงทุกลมหายใจได้เป็นเรื่องดี เนี่ย เริ่มแรดล่ะ พอเริ่มรู้

นิดๆ หน่อยเอง เห็นพระพุทธรูปแว๊บๆ ล่ะ ไปแล้ว กูจะไปแล้ว เอาอะไรไป เอาอะไรไป

ยังพิการอยู่เลย ตาเพิ่งจะลืม อยากไปแล้วเหร๊อ
อย่าเพิ่ง เพราะอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นวิถี เป็นหนทาง เป็นมรรคาปฏิปทา
อย่าเพิ่งไป ตัวรู้ยังไม่มี เอาอะไรไปรู้อนิจจัง รู้แว๊บๆ แค่เห็นพระพุทธรูปครึ่งองค์ ก็เฟื่องฟู

แล้ว จะไปแล้วอย่างนี้ โอ๊ย ยัง พอสงบนิดหน่อย กูจะตายแล้ว อยู่ไม่ได้แล้ว ขืนอยู่เดี๋ยวก็

ต้องไม่สงบ เลยตายเสียดีกว่า อ้าว ตายจริงๆ เลย ไปเกิดเป็นฟองอากาศอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ อ้าว

สงบนี่ ไม่มีอะไร
ยัง อย่าเพิ่งแรด อย่าเพิ่งกะล่อน อยู่กับที่ก่อน พวกนี้ รู้นิดรู้หน่อย ก็เป็นเรื่องล่ะ จบ
ปุจฉา    ตัวรู้ที่หลวงปู่ให้พวกเราฝึกเมื่อวาน มีความหมายเหมือน หรือแตกต่างกับความ

ว่างในสุญญตสมาธิอย่างไร
วิสัชนา    ตัวรู้มันต่างกับตัวว่าง
ว่าง มันไม่มีสภาวะธรรมใดๆ ปรากฎ
แต่ตัวรู้นี่ มันมีธรรมชาติรู้ ธาตุรู้ แล้วต่อไปก็จะพัฒนาเป็นท่านผู้รู้
ว่างนี่ มันไม่มีกระบวนการพัฒนาใดๆ มันมีแต่ว่างบวกว่าง ซ้อนว่าง เข้าใจในความว่าง จน

ถึงคำว่า ดับแล้วเย็น
ความว่างนี่มันเป็นสมาธิ 1 ใน 3 อย่าง
สมาธิ 1 ใน 3 อย่าง ก็คือ อยู่ในลำดับขั้นที่เรียกว่า สุญญตสมาธิ อัปปะณิหิสมาธิ คือ

การมองเหตุปัจจัย เดี๋ยวเย็นนี้ จะนำสวดเรื่อง พระสะหัสสะนัย ที่หลวงปู่ชอบให้พวกเรา

สวดพระสะหัสสะนัย เพราะเป็นอารมณ์กรรมฐาน อารมณ์ฌาน อารมณ์สมาบัติ การ

สาธยายบทสวดนี้ ก็เท่ากับว่า เราเรียนรู้ศึกษาอารมณ์แห่งกรรมฐาน ฌาน สมาบัติ และ

วิปัสสนา
งั้นก็ นอกจากมีสุญญตสมาธิ อุปปะณิหิสมาธิแล้ว ก็ยังมีอนิจจะสมาธิ ก็คือ พิจารณาความ

ไม่เที่ยง
ยังไม่ได้สอนอีก 2 วิชา กูเพิ่งสอนมึงแค่สุญญตสมาธิเอง จะไปแล้วเหรอ
ยั๊ง กูว่าจะไปแล้ว มึงน่ะยัง ไม่ไหวแล้ว จบ
ปุจฉา    สำหรับผู้ยังมีอินทรีย์อันอ่อน ควรเริ่มต้นตัดโซ่ข้อไหนในปฏิจจสมุปบาทเป็น

อันดับแรก
วิสัชนา    เริ่มต้นโซ่ข้อไหนก่อน เริ่มหาอินทรีย์ให้เจอก่อน อย่าเพิ่งไปเริ่มตัดโซ่ หาอินทรีย์

ให้เจอก่อน กูกลัวจะเจอแต่อีแร้ง ไม่เจออินทรีย์ หาอินทรีย์ก่อน เจออินทรีย์แล้วค่อยพา

อินทรีย์ไป เออ ที่อยู่นี่ ส่วนใหญ่จะอีแร้งทั้งนั้น จบ
ปุจฉา    เจตสิกทำหน้าที่อย่างไร ต่างจากสังจารที่ปรุงแต่งจิตอย่างไร
วิสัชนา    เจตสิก คือเครื่องปรุงจิต เป็นสภาวะอารมณ์ ที่เรียกว่า เป็นอารมณ์
แต่สังขารการปรุงแต่ง มันปรุงโดยเหตุปัจจัย เหตุปัจจัยของกุศล เหตุปัจจัยของอกุศล เหตุ

ปัจจัยของตัณหา เหตุปัจจัยของอวิชชา เหตุปัจจัยของอุปาทาน เหตุปัจจัยของนามรูป มันมี

เหตุปัจจัย สุดท้าย ก็เป็นเหตุปัจจัยของกรรม งั้น มันเลยกลายเป็นสังขารเครื่องปรุง
แต่เจตสิก นี่มันเป็นสภาวะธรรมที่เป็นอารมณ์เฉยๆ นั่งๆ อยู่ ไม่มีใครทำอะไรให้โกรธเลย

เรารู้สึกโกรธขึ้นมาเนี่ย เป็นเจตสิก นั่งๆ อยู่นึกอยากได้นู่น นึกอยากได้นี่ ทั้งๆ ที่ไม่เห็นใน

สิ่งที่อยาก แต่มันนึกอยาก อย่างนี้เป็นอะไร
เจตสิก เครื่องปรุงแต่งจิต
มีไม๊ ทุกคนมีไม๊
(มี)
เออ นั่งๆ อยู่ นึกอยากได้ผัว นึกอยากได้ผัวไปทำประกัน เออ วันต่อมาก็นึกอยากให้ผัวตาย

พอทำประกันเสร็จแล้ว เมื่อไหร่ผัวกูจะตาย อะไรประมาณนี้
อย่างนี้ เป็นเจตสิกไม๊
(เป็น)
เออ เป็นตัณหาเจตสิก เป็นความอยาก เป็นโลภะเจตสิก เป็นโมหะเจตสิก
เป็นกุศล หรือ อกุศล
(อกุศล)
นั่งๆ อยู่นึกอยากปฏิบัติธรรม เป็นเจตสิกไม๊
(เป็น)
เออ เครื่องปรุงจิตในส่วนที่เป็นกุศล เรียกว่า กุศลเจตสิก จบ
ปุจฉา    ขณะปฏิบัติธรรม หลวงปู่ให้เอาจิตจับที่กลางกระหม่อม แล้วกลางกระหม่อมจะ

เต้นตุ๊บๆ อยากทราบว่า เป็นเพราะอะไร
วิสัชนา    ถามกระหม่อมสิ มาถามอะไรกระหม่อมกู นี่ไม่เคยเห็นเด็กอ่อน มันเกิดชาติไหน

วะ คนโลกไหนวะ ไม่รู้จักว่า ชีพจรมันก็อยู่ที่กลางกระหม่อมก็มี นี่ มึงไม่เคยออกจากท้อง

แม่เลยเหรอ หรือไม่เคยกำกะบาลมึงดูบ้าง มันมีอ้ายหนังอ่อนๆ ที่เต้นตุ๊บๆๆ อยู่บน

กลางกระหม่อม นั่นมันของจริงไม๊
(จริง)
เอ๊อ แต่ที่ไม่รู้ เพราะจิตเรามันหยาบไง มันไม่ละมุนละไม ละเอียดอ่อน พอฝึกแล้ว มันเริ่ม

ละมุนละไม ละเอียดอ่อน มันไม่กระด้าง ก็เลยรู้เห็นตามความเป็นจริง นั่นแหละ เค้าเรียกว่า

รู้เห็นตามความเป็นจริง เป็นวิปัสสนาญาณนะ เพราะเรารู้ตามความเป็นจริง ยังเป็น

วิปัสสนาญาณได้นะ นั่นน่ะ เพราะธรรมชาติของเราเวลานี้ มันเต้นตุ๊บๆ เฉพาะเด็กหรือเปล่า

ผู้ใหญ่ก็เต้น ถ้าไม่เต้น อยู่ไม่โตหรอก ป่านนี้เป็นตัวอะไรไปแล้ว แต่ที่ไม่รู้มันเต้น เพราะ

หนังมันหนาขึ้นไง กระโหลกมันหนาขึ้น ใช่หรือเปล่า
เออ แต่ทั้งๆ ที่มันหนา เรายังรู้ นี่แสดงว่าจิตเราละเอียดขึ้นบ้างไม๊
ละเอียดขึ้น ชำแรกไปถึงใต้กระโหลกได้ ใต้หนังได้ ให้รู้ชัดตามสภาพธรรมที่ปรากฎตาม

ความเป็นจริง นั่นแหละเป็นวิปัสสนา เป็นปัญญา ลูก
อย่าไปคิด อุ๊ย ทำไมมันเต้นวะ กูผิดปกติหรือเปล่า ก็ลองตัดหัวดูสิ มันผิดปกติไม๊ จบ
ปุจฉา    เหตุใดเวลาปฏิบัติกรรมฐาน เหตุใดมีอาการปวดตามร่างกาย มึนงง หน้ามืด ปวด

หัวมาก ต้องทานยา ทั้งๆ ที่ปกติสุขภาพดี จะเป็นเฉพาะตอนเข้าวัดและปฏิบัติธรรม
วิสัชนา      อืม พวกหยั่งลึกไง หยั่งรากลงลึก ใต้มหาสมุทร ผุดมาที มาเจอเข้า อาศัยตามกก

เสา พวกนี้ พอดูคอนเสิร์ตล่ะ หูผึ่ง ตาสว่าง พอฟังพระล่ะ ง่วง หาว เมื่อย ปวด เปลี้ย เพลีย

ให้รู้ไว้เถอะ มันเป็นอาการต่อต้านธรรมะและสภาพธรรมที่ปรากฎ นั่นมันเป็นความจริง

ของสันดานดิบเดิมตน ซึ่งเราต้องกำจัดมันทิ้ง
แสดงว่า เรามีพัฒนาการที่ต่ำมาก แต่เรามาถึงวันนี้ได้ มึงมาถึงวัดนี้ได้ และนั่งฟังกูได้ ก็ถือ

ว่า มึงเก่งมาก ปกติเค้ามาแป๊บเดียว เค้าไปแล้วนะ เจอกูโวยวาย อุ๊ย พระห่าอะไร คุยกัน

ไม่รู้เรื่อง โวยวาย ไปดีกว่า มันมาแล้วมันจอด เปิดกระจก พอได้ยินเสียงกูโวยวาย ขับรถ

ไปเลยก็มี
เออ แสดงว่า มึงกล้ามากนะเนี่ย กูต้องยอมรับความกล้าของมึง อย่างหนาเลยล่ะ เออ มันอยู่

ได้เหมือนกันนะ เออ ปกติ ถ้าเจออย่างนี้ มันไปหมดแล้ว ก็แสดงว่า กล้า มีอุปนิสัยตามส่ง

เก่า ส่งเสริมมา เออ กล้าที่จะฟัง กล้าที่จะทดสอบ กล้าที่จะเรียน กล้าที่จะศึกษา กล้าที่จะรู้
อ้ายพวกที่มาแล้วไม่ค่อยกล้า มันก็ไปตามเหตุตามปัจจัย ตามบุญทำกรรมแต่ง ก็อีกเรื่อง

เพราะคนเรา มันไม่ได้เสมอไป แม้พระพุทธเจ้ายังสอนไม่ได้ทุกคน พระพุทธเจ้าสอนก็ไม่

ได้ทุกคน แม้เป็นพระพุทธเจ้าก็ไม่ได้สอนได้ทุกคน ก็คนที่จะสอนได้ คือ คนที่ต้องสั่งสม

บารมีมา
เหมือนกับมดง่ามน่ะ ชุมชนกลุ่มมดง่าม ไม่ได้ใส่บาตรให้พระทุกองค์ เพราะอย่างองค์อื่นๆ

ไม่เคยมาเลี้ยงมดง่าม มดง่ามก็เลยไม่ได้กิน พอถึงองค์นี้ เคยเลี้ยงมดง่ามมา พอบิณฯทีไร

ได้กินทุกที จนคนเค้าลือว่า เอ๊ ท่านมีดีอะไร เข้าตรอกนี้ทีไร ทำไมเต็มบาตรทุกที และอ้าย

คนอื่นๆ เข้าตรอกนี้ บาตรเปล่ามาทุกที จนเลื่องลือไปถึงหูพระพุทธเจ้า ก็เลยเล่าอดีตชาติ

ให้ฟัง เอ๊ย อย่าไปว่าเค้าเลย เค้าเคยเลี้ยงกันมาเก่าก่อน สมัยก่อน ชนกลุ่มนี้เป็นมดง่ามฝูง

หนึ่ง พระองค์นี้ก็เป็นเณรองค์หนึ่ง แล้วก็เลี้ยงเศษอาหาร
เดี๋ยวกลับไป มดบ้านมึงท่วม ไบก้นไบกอนโยนทิ้งหมด แมลงสบแมลงสาบเลี้ยงหมด ไม่

ทำอะไรเลย แมงมงแมงมุมปล่อยให้ชักใย นี่เหมือนกับวัดกู ดูสิ สมภารวัดกู กลัวแมงมุม

ตาย เดี๋ยวจะไม่มีโอกาสให้ใส่บาตรไง เลยปล่อยให้ชักใย
อ้าว พอกลับไป ผัวถาม ทำไมไม่กวาดมดทำความสะอาด ดูสิแมงสาบเต็มไปหมด เออ เอา

ไว้ทำบุญ เดี๋ยวเกิดชาติหน้า มันจะได้มาเลี้ยงข้า
มึงรับรอง ได้อยู่กับมดกับปลวกตลอดชาติ เออ ก็แปลกนะ ลูก คนเรา นี่มันหนีบ่วงแห่ง

กรรมไม่ได้ เพราะเหตุปัจจัยของสังคม ใช่ไม๊ ถ้าขืนเรานอนแล้วมีแมงสาบไต่ยั้วเยี้ย แล้ว

มีมดมีแมลงวันตอม ยุงบินหึ่งหั่ง แมลงบิน ไม่แตะไม่ตบ ไม่แต้ม ไม่รักษาความสะอาด

ใครเค้าคบมึง มีไม๊
อ้าว อยู่แล้วไม่กล้าสระผม
ถามว่า ทำไม
สระแล้ว เดี๋ยวเหาตาย
มีคนจะคบมึงไม๊
เออ ถาม ทำไมอีหนู ทำไมมึงไม่สระผมวะ
เดี๋ยวเหาตาย เป็นบาป
นี่มันเป็นเรื่องที่ฝืนกระแสโลก เนี่ย เป็นธรรมที่ฝืนกระแสโลก เพราะกระแสโลกเค้านิยม

ยกย่องกันอย่างนี้ไง ว่า ตัวเนื้อต้องสะอาดสะอ้าน จะมีผัวได้ก็ต้องแต่งตัวให้สวย จะมีเมียได้

ก็ต้องแต่งตัวให้หล่อ คือปล่อยให้เหาเต็มหัว จะหาผัวได้ไม๊
(ไม่ได้)
อ๋อ นี่มึงไม่มีเหา เพราะอยากได้ผัวเหร๊อ
พูดเห็นภาพเลยเว้ย เออ เอ้า พอแล้ว ลูก จบ
(กราบ)
ไป เตรียมตัวเข้าห้องน้ำห้องท่า แล้วมาปฏิบัติธรรม วันนี้เลิกเอาตอน 5 โมงครึ่ง 6 โมง
เคลียร์พื้นที่ เตรียมปฏิบัติธรรม
4  มิ ย  2555  15.45 น. ระหว่างปฏิบัติธรรม โดยองค์หลวงปู่พุทธะอิสระ
ขั้นที่ 1, ขั้นที่ 1 ภาคที่ 3, ขั้นที่ 3, ท่านั่ง ท่ายืน ท่าเดิน ท่านอน สำรอกจิต
• วิชาปราณโอสถ จะเป็นเทพโอสถได้ก็ต่อเมื่อเราสามารถบังคับจิตและทำ

ตัวรู้และท่านผู้รู้ให้นำปราณไปสู่จุดต่างๆ ได้อย่างแม่นยำ เที่ยงตรง ชัดเจน แหลมคม ฉับไว
ใครไม่เคยเลย ปฏิบัติเลย ยกมือซิ ลูก
เดี๋ยวรุ่นพี่เข้าไปแนะนำหน่อย ไปสร้างกัลยาณมิตร สร้างความงดงามให้กับตัวเอง
ขั้นที่ 1
..........
เดินหาอะไร ต้องเดินอย่างไม่หาอะไร
...........
อืม เดินธรรมดา หนู ปฏิบัติธรรม มันสูงส่งยิ่งใหญ่
หูฟังเสียง เท้าก้าวเดิน ใจรับรู้ รวม 3 ให้เป็น 1 กลายเป็นเอกัคคตาจิต เอกัคคตารมณ์
...........
เค้าเดินไม่ถูกน่ะ สงเคราะห์เค้าหน่อย
.............
ขยับขึ้นขั้นที่ 1 ภาคที่ 3
ใครไม่เคย ยกมือขึ้น รุ่นพี่เข้าไปแนะนำ
............
สิ่งสำคัญที่สุด คือ ต้องรวมจิตกับการก้าวและจังหวะที่ฟัง ทำให้ 3 อย่างรวมเป็นหนึ่ง นั่น

หมายถึงไม่ส่งใจออกไปนอกกาย ทุกครั้งที่เราส่งใจออกไปนอกกาย นั่นก็เป็นการสร้างชาติ

ภพ เรามีตัณหาความทะยานอยาก ทำให้ฟุ้งไปเรื่อย ความฟุ้งซ่าน ควมหงุดหงิดรำคาญ

ความเบื่อ ความง่วง ความเหนื่อย ความเมื่อย ความเพลีย ความเซ็ง เป็นประโยค เป็น

เงื่อนไขของวัฏฏะ
ตาเห็นสักแต่ว่าเห็น หูฟังสักแต่ว่าฟัง จมูกดมสักแต่ว่าดม ลิ้นรับสักแต่ว่ารับ
แต่อย่าปรุงเป็นอารมณ์ เพราะที่อยู่ไม่ปรุง มีแต่ตัวรู้ชัดเจน ทำตัวรู้ให้กลายเป็นท่านผู้รู้
ทุกคนมีพุทธิภาวะ มีพระพุทธะอยู่กับตัวเอง แต่เราจะค้นหาเจอะหรือไม่ จะเข้าถึงท่าน

หรือไม่ ขึ้นอยู่กับความพยายามของเรา
ก้าวให้ทันทุกจังหวะ อย่าให้ขาด
เดินเพื่อขาดจากชาติภพ ไม่ใช่สร้างชาติสร้างภพ
...............
อย่าเดินเป็นสัมภเวสี เพื่อแสวงหาภพเกิด
...............
ขยับขึ้นขั้นที่ 3
ใครไม่เคย ยกมือขึ้น รุ่นพี่ถือโอกาสเข้าไปแนะนำ
................
ถอยกลับลงไปอยู่ขั้นที่ 1 ภาคที่ 3
ใครไม่เคย ยกมือขึ้น รุ่นพี่เข้าไปแนะนำ
เก็บให้หมดทุกจังหวะ อย่าให้พลาด
...............
หลายคนยังก้าวไม่ทันจังหวะนะ แสดงว่า สัมปชัญญะเฉื่อยชา ปัญญาไม่ว่องไว อย่างนั้นจะ

รู้เท่าทันสภาพธรรมที่ปรากฏยังไง
ฝึกให้ปัญญาฉับไว ท่านี้เพื่อฝึกปัญญา
เดี๋ยวช้าเดี๋ยวเร็ว เดี๋ยวสั้น เดี๋ยวยาว ต้องก้าวให้ทันให้หมด
.............
สิ่งที่ปรากฏกับจิต มันไม่เคยบอกล่วงหน้า ถ้าเรามีปัญญาอันไม่เฉียบคม ไม่ฉับไว เราอาจ

จะเผลอ ไปเกิดเป็นรูปอะไรๆ ก็ได้
................
งั้นต้องระวังอย่างยิ่ง งั้น ต้องมีปัญญาอย่างมาก
.................
สิ่งที่ทำนี่ คือการฝึก ฝึกตัวเองให้พร้อมที่จะเดินในวิถีแห่งมรรคา เพื่อจะไม่เป็นคนพิการ

อ่อนแอ แล้วเดินไป ก้าวไม่ไกล ก็หยุด จบ หรือหนี
...............
แน๊ ไม่ก้าว ทำไมไม่ก้าว
.............
ก้าวให้ทัน ไม่ก้าว
...............
ไม่ได้เดินหาภพชาตินะ อย่าเดินเยี่ยงสัมภเวสี คือ ผู้แสวงหาภพชาติเกิด เดินต้องไม่มีสังขาร

คือ ไม่การปรุง มีแต่ ตัวรู้ จิตรู้ ท่านผู้รู้ ธรรมชาติรู้
หยุดอยู่กับที่ หลับตา
สูดลมหายใจเข้า กว้าง ลึก เต็ม
หายใจออก เบา ยาว หมด
..................
สำรวจดูซิ ว่าในร่างกายเราตรงไหนบ้าง ที่มันตึง ขมึงทึง ตึงเครียด เปลี้ย เพลีย ปวดเมื่อย
สูดลมหายใจเข้า ให้ลมผ่านจุดนั้น กว้าง ลึก เต็ม เวลาหายใจออก ก็เบาๆ ยาวๆ ผ่อนคลาย

หมดจด
อีกที หายใจเข้าไปใหม่ 
................
หายใจออก เบา ยาว หมด
ทิ้งลมหายใจ ลืมตา
ดูสภาวะธรรมที่อยู่บนกลางกระหม่อม
ธาตุรู้ ท่านผู้รู้ พุทธิภาวะ รู้อยู่ที่กลางกระหม่อม ตั้งอยู่ที่กลางกระหม่อม สัมผัสได้ที่

กลางกระหม่อม
.................
อย่าหลับตา ไม่ได้สอนให้พิการ ต้องรู้แม้กระทั่งลืมตา หลับก็รู้ ลืมก็รู้ ยืนรู้ นั่งรู้ เดินรู้ นอนรู้
ถ้าไม่รู้  ไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน ชาติภพเกิดขึ้นตลอดเวลาทุกขณะจิต
จิตที่เป็นกุศล ก็เป็นสุขคติภพ จิตที่เป็นอกุศล ก็เป็นทุกขคติภพ
แล้วแต่เราจะปรุงแต่งให้เป็นทุกขคติภพแบบวิจิตรพิสดารพันลึกแบบไหน จะเป็นเดรัจฉาน

เปรต อสุรกาย หรือ สัตว์นรก แล้วแต่จะปรุงแต่งกัน
เพราะงั้น เวลานี้ ไม่มีสังขาร ไม่มีการปรุงแต่ง มีแต่ตัวรู้ แล้วรู้เฉยๆ อยู่กับท่านผู้รู้

ธรรมชาติรู้ พุทธิภาวะ คือ ตัวรู้  ไม่ใช่พระพุทธรูป รู้อยู่ที่กลางกระหม่อม สัมผัสได้ที่

กลางกระหม่อม
................
ไม่มีเรื่องอื่นต้องรับรู้ อยู่ที่กลางกระหม่อมเฉยๆ ไม่ใช่รู้ได้ด้วยตา แต่รู้ได้ด้วยจิต เพราะ

ฉะนั้น อย่าเพ่งตา
...............
อย่าถ่างตา อย่าเบิ่งตา
................
ไม่มีอะไรต้องดูที่ตา ใช้จิตรับรู้  สัมผัสได้ที่กลางกระหม่อม
อย่า อย่าหลับตา หลวงปู่ไม่ได้สอนให้พวกเราพิการ ไม่ให้รู้ได้เฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่ง

อิริยาบทใดอิริยาบทหนึ่ง ตัองรู้ให้ได้ทุกอิริยาบท
................
คนที่มีธรรมชาติรู้ ธาตุรู้ และท่านผู้รู้ พุทธิภาวะตั้งมั่นอยู่กลางกระหม่อมแล้ว ให้ค่อยๆ นั่ง

ลงช้าๆ
ส่วนผู้ที่ยังไม่รู้ ให้ยืนอยู่กับที่
ประคองท่านผู้รู้นั่งลงช้าๆ อย่าให้ผู้รู้เคลื่อน
..............
รู้อยู่เฉยๆ ที่กลางกระหม่อม ประคองท่านผู้รู้ ให้ตั้งมั่นอยู่ที่กลางกระหม่อมเอาไว้
ไม่ต้องสนใจคนอื่น ดูตัวเองว่า รู้ไม๊
รู้ที่ไหน ก็ที่กลางกระหม่อม
.................
เมื่อนั่งลงไปแล้ว ทีนี้ค่อยๆ หรี่เปลือกตาลง
สำรวจท่านผู้รู้ว่า ชัดเจนไม๊
.................
หลับตาลงอย่างช้าๆ อย่างเป็นผู้รู้ ตื่น และเบิกบาน
ทำให้ท่านผู้รู้แกล้วกล้า แข็งแรง มั่นคงให้มากขึ้น โดยอยู่กับท่าน สัมผัสจับต้องท่าน
นั่นคือ พระพุทธะของเรา นั่นคือ พุทธิภาวะ
สัตว์ทุกประเภทในโลกหล้า ใน 3 โลก มีพุทธิภาวะทั้งหมด สำคัญว่า จะมาก จะน้อย จะลึก

จะตื้น อยู่ที่บุญพาวาสนามี หรือบาปมาก
ทีนี้ ค่อยๆ ลืมตาขึ้น
...................
อยู่กับท่านผู้รู้อย่างลืมตา
................
รู้เฉยๆ ไม่มีเรื่องอื่น ไม่มีวิจารณ์ ไม่วิตก
ทำความรับรู้ให้ชัดแจ้ง เพื่อจะได้เดินเข้าไปสู่มรรควิถี
ในมรรควิถี มีวิชา มีคลังสมบัติมากมาย ซึ่งพร้อมที่จะให้ท่านผู้รู้ หรือว่าธรรมชาติรู้ ไป

เรียนรู้ พัฒนาตัวเองจนกลายเป็นท่านผู้รู้ หรือ พุทธิภาวะอันยิ่งใหญ่
แต่ถ้ายังพิการอยู่ เข้าไปมรรควิถี ก็เหมือนกับคนตาบอดเข้าไปในห้องสมุด ไม่มีสิทธิ์จะ

เรียนรู้อะไร ได้แต่คลำไปเฉยๆ แกะไปทีละตัว
ต้องไม่ใช่เป็นคนตาบอดเข้าไปในห้องหนังสือ
เพราะฉะนั้น เราต้องแข็งแรง ต้องฝึกตัวรู้ ธรรมชาติรู้ ท่านผู้รู้ และพุทธิภาวะให้ตั้งมั่น
..................
เมื่อเราจะเข้าไปในห้องแห่งมรรคาปฏิปทา ห้องแห่งปฏิจจสมุปันธรรม หรือ ห้อง

แห่งอริยสัจ 4 หรือ วิถีแห่ง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็จะเรียนรู้ได้จบ
...............
อีหนู อยู่กับท่านผู้รู้ อย่าอยู่กับอารมณ์ที่ปรากฏ
...................
ไม่ต้องสนใจใคร ยังรู้อยู่ไม๊ ถ้าไม่รู้ ลุกขึ้นยืน
.................
ไปเกิดเป็นอะไรเสียแล้ว
.................
พุทธิภาวะ คือ พระพุทธะผู้ยิ่งใหญ่ของเราเอง เราไม่ต้องค้นหาพระพุทธะที่อื่น เรามีพระ

พุทธะอยู่ทุกคน แต่ละองค์ก็จะมีสีหน้า กิริยา ท่าทาง อากัปกิริยา คุณสมบัติ สติปัญญา

แตกต่างกัน
แต่ที่แน่ๆ ทุกคนมีพุทธิภาวะ หรือ พระพุทธะของตนๆ
พุทธิภาวะ หรือ พระพุทธะ ไม่ใช่พระพุทธรูป ไม่ใช่องค์ปฏิมา แต่เป็นธรรมชาติรู้ ที่มีอยู่

ในตน ในสัตว์ทุกประเภท แม้แต่เดรัจฉาน และสัตว์นรก ถ้ามันได้รับการพัฒนา มันก็จะรู้

เท่าๆ เรา หรือ รู้มากกว่าเราด้วยซ้ำในบางคน
งั้น อย่าอายมัน ต้องทำให้ตัวรู้ตั้งมั่น ให้แข็งแรง
รู้อยู่บนกลางกระหม่อม
พวกที่ไม่รู้ แล้วตัวรู้หายไป ให้ลุกขึ้นยืน
ที่รู้แล้ว ให้นั่งลง
ประคองตัวรู้เอาไว้ในขณะที่ลงนั่ง ก็ยังอยู่ที่กลางกระหม่อม ไม่มีเรื่องอื่นต้องรับรู้
.................
รู้เฉยๆ ที่กลางกระหม่อม
นั่นคือ หน้าตาของพระพุทธะที่แท้จริงของเรา พระพุทธะที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งเรา ซึ่งท่านยังไม่

ได้นิพพาน ท่านยังคงอยู่กับเราอยู่สม่ำเสมอ เว้นแต่ว่า เราจะลืมท่าน ไม่ใส่ใจท่าน ไม่

สนใจท่าน ไม่คบหาสมาคมกับท่าน แล้วเราก็ไปแสวงหาพระพุทธะที่อื่นนอกกายเรา
................
ทั้งๆ ที่พระพุทธะทุกคนมีอยู่
...............
ทั้งหมด ลุกขึ้นยืนพร้อมผู้รู้ อย่าให้ตัวรู้เคลื่อน
ยืนก็ต้องรู้ นั่งก็ต้องรู้
.................
ลองเคลื่อนท่านผู้รู้ และธรรมชาติรู้ ให้มาอยู่ที่ฝ่ามือ 2 ข้าง จากกลางกระหม่อม รู้อยู่ที่ฝ่า

มือ
.................
ลืมตา รู้อย่างเป็นผู้ตื่น ไม่ใช่หลับใหล
...........
อยู่ที่ฝ่ามือซ้ายและขวาให้รู้ชัดแจ้ง มันจะเป็นไออุ่น ไอร้อน ไอเย็น เป็นลูกไฟ เป็นลูกแก้ว

เป็นอะไร ก็ช่างมัน เรามีตัวรู้ชัดเท่านั้นพอ เพราะไออุ่น ไอร้อน ไอเย็น เป็นแค่นิมิต คือ

เครื่องหมาย แต่ตัวรู้จริงๆ ไม่ใช่อุ่น ไม่ใช่ร้อน ไม่ใช่เย็น ธรรมชาติรู้ ไม่อุ่น ไม่ร้อน ไม่เย็น
งั้น อย่าให้ความสำคัญต่อไอร้อน หรือปราณที่ปรากฎ ตอนนี้เราต้องจับตัวรู้ให้ชัด สร้างปฏิ

สัมพันธ์กับท่านผู้รู้ให้สนิทสนม ให้เป็นหนึ่งเดียวกับเราให้ได้
แล้วมันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร  สติต้องมาก สัมปชัญญะต้องเยอะ จึงต้องฝึกมาก
คนที่ผ่านการฝึกมาอย่างมากมาย จึงจะเห็นท่านผู้รู้ แยกออกจากไออุ่น ไอร้อน ชัดเจน
ถ้าเป็นปราณ ก็จะกลายเป็นปราณทิพย์
แต่ฝึกมาน้อย ก็ได้แต่สัมผัสไอร้อนกับไอเย็นเฉยๆ ก็ยังติดอยู่ที่เปลือก เหมือนกับกิน

ทุเรียนทั้งเปลือก กินเงาะทั้งเปลือก ยังไม่ได้ปอกเปลือก หารู้ไม่ว่า ผลไม้เหล่านั้น มันมี

เปลือกอยู่ ฉันใดก็ฉันนั้น ปราณที่ปรากฎ ไอร้อนที่ปรากฎบนฝ่ามือ มันก็มีไส้ในด้วย เรา

ยังไม่ถึงแก่นแท้ของความจริง ที่เป็นความรู้ชัด
ต้องอยู่ ค้นหาต่อไป อยู่กับท่านผู้รู้ ธรรมชาติรู้
พาท่านผู้รู้ออกเดิน อย่าให้ท่านผู้รู้ล่วงหล่น
รู้อยู่ที่ฝ่ามือ อย่างเคลื่อนไหว
................
ต้องรู้ให้ชัด
.................
ดูที่ฝ่ามือ 2 ข้าง สัมผัสที่ฝ่ามือ 2 ข้าง รับรู้อยู่ที่ฝ่ามือ 2 ข้าง ถ้ายังไม่ชำนาญ ก็ให้รู้

สำเหนียกถึงนิมิต คือ เครื่องหมาย นั่นคือ ไออุ่น แต่ถ้าชำนาญแล้ว เค้าจะทิ้งไออุ่น ให้

เหลือแต่ตัวรู้
................
ธรรมะของพระผู้มีพระภาคเจ้า มีราก มีปลือก มีกะพี้ มีแก่น ไม่ใช่อยู่ดีๆ มีแก่นเลย ไม่มี

ราก ไม่มีเปลือก ไม่มีกะพี้
ถามว่า รู้ไออุ่น ยังเป็นแค่อะไร
ยังเป็นแค่เปลือก แค่กะพี้
...............
แต่ก็ให้นิ่งอยู่กับสิ่งที่รู้ไว้ อย่าเคลื่อนไหว อย่าให้ตัวรู้เคลื่อนไหว แม้ร่างกายจะเคลื่อนไหว

วิ่งก็ตาม เดินก็ตาม ยืนก็ตาม นอนก็ตาม ก็ยังรู้ชัด เพราะรู้อย่างนี้แหละ เราจึงรู้สภาพธรรม

ที่ปรากฎตามความเป็นจริงที่เกิดกับจิต แล้วจะไม่ทำให้จิตนี้ไปปรุงแต่ง สร้างชาติภพ แต่ถ้า

ไม่รู้เช่นนี้ เราจะเผลอไปปรุงแต่งจนเกิดชาติ เกิดภพไม่จบสิ้น
แต่เราจะกลายเป็นคนที่สร้างสุขคติภพ หรือว่าทุกขคติภพด้วยตัวเราเอง ในวัฏฏะวกวนไม่

จบ เราจะเวียนเกิดเวียนตายไม่จบสิ้น  นั่นเป็นเพราะไม่รู้ มีอวิชชา
เวลานี้ เรากำลังทำวิชชา เพราะมีวิชชา จึงไม่เกิดสังขาร สังขารการปรุงเมื่อไม่เกิด ก็ไม่เกิด

วิญญาณการรับรู้อย่างบิดเบี้ยว  เมื่อวิญญาณไม่เกิด สภาวะที่เป็นกาย ที่เรียกว่า รูปกับ

นามก็จะไม่เกิด
เมื่อรูปนามไม่เกิด อายตนะที่จะต่อจากรูปนาม ตา หู จมูก ลิ้น กาย และจิตใจ ที่จะบิดเบี้ยว

ก็ไม่ปรากฎตามมาด้วย ผัสสะ เวทนา ที่ผิดเพี้ยนก็ไม่เกิด
ทั้งหมดมันมาจากกำจัดตัวไม่รู้ ให้กลายเป็นตัวรู้ คือ ทำให้เกิดท่านผู้รู้ แล้วรู้ให้ชัด รู้อย่าง

แข็งแรง แล้วรักษาตัวรู้ให้อยู่กับเรานานเท่านาน ต่อเนื่องทุกลมหายใจ
ทุกลมหายใจยังน้อยไป เพราะทุกขณะจิตหนึ่งมันมากกว่าหนึ่งลมหายใจ นั่นหมายถึงว่า

ลมหายใจหนึ่ง มีตั้ง 7 ขณะจิต ต้องบอกว่า ทุกขณะจิต  ต้องรู้ให้ได้ทุกขณะจิต จึงจะไม่

สร้างชาติภพ
.................
ในขณะจิตหนึ่งๆ ใน 7 ขณะ ก็มีขณะจิตหนึ่งที่เป็นจิตนิพพาน แต่เราไม่เข้าถึงจิตนั้น เรา

ก็คิดว่า มีแค่ 6 ขณะ รูปจิต คันธารมณ์ รสารมณ์ ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้น

รับรส กายถูกต้องสัมผัส ใจรู้อารมณ์ เราคิดว่ามีแค่นี้ จริงๆ แล้ว มันไม่ใช่
มันยังมีจิตที่ดับแล้วเย็นอยู่ แต่เราเข้าไม่ถึงจิตนั้น และจิตดับ จิตเย็น คือ จิตท่านผู้รู้
..............
หยุดอยู่กับที่
ดูซิว่า ท่านผู้รู้ยังอยู่ที่กลางฝ่ามือ ชัดแจ้งไม๊
.................
หลับตา สำรวจท่านผู้รู้ให้แจ่มชัด
................
ยังรู้อย่างสมบูรณ์ คงที่ มั่นคงไม๊
.............
เคลื่อนท่านผู้รู้ มาอยู่ที่หน้าอก อยู่ที่จิต เราเชื่อกันว่า หน้าอกเป็นที่อยู่แห่งจิต จริงๆ แล้วมัน

ไม่ใช่ แต่อาศัยความเชื่อเก่าเป็นหลักการ หลักเกณฑ์ก็แล้วกัน สรุปแล้ว เคลื่อนท่านผู้รู้มา

อยู่ที่หน้าอก 
..................
จากฝ่ามือ 2 ข้าง มาอยู่ที่กลางหน้าอก
...............
รู้อยู่ที่กลางหน้าอก
...............
แล้วค่อยๆ นั่งลง เมื่อท่านผู้รู้ตั้งมั่นที่กลางหน้าอกแล้ว
.............
ต่อไป จะเป็นการปอกเปลือกผลไม้ เราจะกินเนื้อในผลไม้ สำรวจดูในตัวรู้ว่า มีราคะไม๊
..............
นั่นคือ ปอกเปลือกออกชั้นแรก
มีโทสะไม๊ เวลานี้เรามีโสทะอยู่หรือเปล่า มีโมหะอยู่ไม๊ มีโลภะอยู่ไม๊ มีความไม่รู้อยู่ไม๊ มี

ตัณหาความทะยานอยากอยู่ไม๊
ถ้ามี กำจัดมันเสีย คือ อย่างสนใจมัน
ถ้าไม่มี ก็อยู่กับตัวรู้ให้แจ่มชัด ให้แน่นแฟ้น แนบแน่นมากขึ้น เรียกว่า ชำระจิต สำรอกจิต

ทำจิตนี้ให้ผ่องแผ้ว และผ่องใส ไม่มีสิ่งอื่นที่จะรับรู้ นอกจากตัวรู้และท่านผู้รู้
...................
ไม่มีรูปปรากฎในจิต ไม่มีรส ไม่มีกลิ่น ไม่มีเสียง ไม่มีสัมผัส ไม่มีโลภะ ไม่มีโทสะ ไม่มี

โมหะ
ลืมตา
...............
หลับตาเห็น ก็ต้องลืมตาเห็นด้วย เห็นท่านผู้รู้ ใสมากขึ้น บริสุทธิ์มากขึ้น
.................
จิตนี้ ผ่องแผ้วมากขึ้น สำรอกจิต ให้ผ่องแผ้วแล้วก็แจ่มใส ชัดเจน
.............
จิตพระพุทธะจึงมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า จิตประภัสสระ หรือ ความงดงาม หรือ ประภัสสร

เป็นจิตที่ปราศจากเครื่องปรุงเครื่องร้อยรัดทั้งปวง
.................
ทีนี้ เอนตัวลงไปนอนอย่างงดงาม แบบท่านผู้รู้ ไม่ต้องเตรียมที่ นอนลงไปได้ทันที เพราะนี่

คือ ดิน น้ำ ลม และไฟ ไม่มีเหตุปัจจัยต้องระวัง เราประคองจิตผู้รู้ ระวังให้มาก
..................
ยังรู้อยู่ไม๊ จิตท่านผู้รู้ ยังผ่องแผ้วอยู่หรือเปล่า
..................
ทีนี้ พลิกตัวนอนตะแคงไปทางขวา อย่างเป็นผู้รู้และผ่องแผ้ว
.................
สำรวจดูไม๊ว่า เวลาพลิกตัวน่ะ ท่านผู้รู้หายไป
กลับมาที่เดิมใหม่ ต้องพลิกตัวในขณะที่ท่านผู้รู้ยังอยู่และรู้ชัด ไม่ใช่พลิกตัวด้วยสัญญา ไม่

ใช้ปัญญา
...............
พลิกตัวใหม่ อย่างชนิดที่อยู่กับท่านผู้รู้อย่างแน่นแฟ้น แนบแน่น ชัดเจน
.................
จิตยังผ่องแผ้วอยู่ไม๊ ยังมีตัวรู้ชัดไม๊ หรือไปเกิดเป็นอะไรเสียแล้ว
...................
ถ้ารู้อย่างนี้ เราจะเห็นสภาพธรรมที่ปรากฎตามความเป็นจริง ทุกอย่างเป็นดิน เป็นน้ำ เป็น

ลม เป็นไฟ เป็นมหาภูตรูป เป็นหลายสิ่งรวมเป็นหนึ่งสิ่ง แล้วตั้งชื่อหนึ่งสิ่งนี้ว่า ชื่อนี้ๆ เมื่อ

ถึงคราวหมดอายุขัย หนึ่งสิ่งนี้ก็แตกออกเป็นหลายสิ่ง แล้วไม่เหลือสักสรรพสิ่ง
แค่นี้ อุปาทานในขันธ์ทั้ง 5 ก็จะไม่เกิดขึ้น
ชาติภพก็จะดับสูญในขณะหนึ่งๆ เมื่อขณะจิตหนึ่งมีชาติภพ ชาติภพมันดับสูญ ขณะจิตต่อๆ

ไปก็จะดับสูญไปด้วย ถ้าสามารถดับสูญได้ 7 ขณะจิต ก็ถือว่า เราเข้าสู่คำว่า นิพพานใน

ขณะจิตนั้นๆ
แล้วถ้าทำตลอดชีวิต มีหรือจะไม่ถึงคำว่า หลุดพ้น หรือดับแล้วเย็น
.........................
ค่อยๆ พยุงตัวขึ้นนั่ง อย่างรู้ ตื่น และแจ่มใส อย่าให้ตัวรู้หาย
หลวงปู่ไม่ได้สอนคนพิการ คนง่อยเปลี้ยเสียขา
การเดินเข้าไปสู่มรรควิถี จะพิการไม่ได้ ต้องแข็งแรงอย่างยิ่ง
แล้วลุกขึ้นยืน อย่างเป็นผู้รู้
..................
ยังรู้อยู่ที่หน้าอก หรือ จิตของตนที่ได้รับการสำรอกและปอกเปลือกแล้ว
..............
หลับตา สำรวจดูซิว่า จิตได้รับการสำรอกอย่างหมดจดหรือยัง
................
ดูอยู่ ที่จิต
....................
เมื่อหมดจด แจ่มใส รู้อย่างสงบนิ่ง แล้วลืมตาขึ้นช้าๆ
...................
เคลื่อนตัวรู้ ไปอยู่ที่ปลายนิ้วชี้ทั้ง 2 ข้างของฝ่ามือ
................
วิชาปราณโอสถ จะเป็นเทพโอสถได้ ก็ต่อเมื่อเราสามารถบังคับจิตและทำตัวรู้และท่านผู้รู้

ให้นำปราณไปสู่จุดต่างๆ ได้อย่างแม่นยำ เที่ยงตรง ชัดเจน แหลมคม ฉับไว
..............
รู้อยู่ที่ปลายนิ้วชี้ของฝ่ามือ 2 ข้าง
..................
หลับตา สำรวจดูว่า ยังรู้อยู่ไม๊ ที่ปลายนิ้วชี้
...............
ไม่ต้องสนใจปราณที่พวยพุ่งออกมาจากปลายนิ้ว เพราะนั่นเป็นกะพี้ เป็นเปลือก ไม่ใช่แก่น
แก่น คือ ตัวรู้ ธรรมชาติรู้ และท่านผู้รู้
ถ้าขืนไปยุ่งกับเปลือก กะพี้ เดี๋ยวท่านผู้รู้ ก็จะดับสูญ
...............
ลืมตาขึ้น แล้วพาท่านผู้รู้ ออกเดิน
...............
เดินอย่าง ผู้รู้
.................
ต้องรู้เป็นปกติ ทั้งยืน เดิน นั่ง นอน จึงจะสามารถระงับวัฏฏะได้
ทำลายวงจรอุบาทของวัฏฏะสงสารให้หมดสิ้นได้
.................
รู้ อยู่ที่ปลายนิ้วมือ
...............
เดินแบบไม่รู้ ก็แสดงว่า กำลังเดินแบบสัมภเวสี นั่นคือ แสวงหาภพชาติเกิด ส่วนจะเกิด

เป็นอะไร ก็ขึ้นอยู่กับจิตตรึกและตรองอะไร คิดเรื่องอะไร บุญหรือบาป กุศลหรืออกุศล ถ้า

คิดเรื่องบาป เรื่องอกุศล ก็ไปสู่ทุกขคติ สะสมบ่อยๆ เข้า หลายๆ จิตเข้าก็กลายเป็นชาติ ก็

เรียกว่า มหาชาติ สุดท้ายก็ไม่พ้น ต้องไปอยู่ในที่ๆ ตัวเองสร้างและสะสมไว้เมื่อถึงวันตาย
งั้น คนฉลาด ต้องไม่สะสมอกุศล
ฉลาดสูงสุด แม้บุญก็ไม่สะสม
มีแต่ตัวรู้ ท่านผู้รู้ เฉยๆ
เพราะบุญก็ยังเป็นแค่กะพี้ แค่เปลือกอยู่
...............
ถึงแม้ ตัวบุญจะเป็นพลัง เป็นที่ตั้งของความฉลาดเฉลียว สติปัญญาก็ตามที แต่ทั้งหมดนี่

มันขึ้นอยู่กับขณะจิตหนึ่งๆ ที่เข้มแข็ง เด็ดเดี่ยว และมั่นคง
จิตนั้นๆ ถ้ามากไปด้วยปัญญา เหมือนดั่งวัชระ หรือ พระโพธิสัตว์ที่มีนามว่า วัชรปัญญา ที่

คมกริบตัดเพชรได้
..............
ยังรู้อยู่ที่ปลายนิ้วชี้ 2 ข้างไม๊
.............
หยุดอยู่กับที่
 เคลื่อนตัวรู้ มาอยู่ที่กลางกระหม่อม
..................
พุทธิภาวะ ตั้งอยู่ที่กลางกระหม่อม
..............
พระพุทธะผู้ยิ่งใหญ่ สถิตย์อยู่ที่กลางกระหม่อม
..............
หลับตา สำรวจดูพุทธิภาวะที่กลางกระหม่อมว่า แจ่มใส ชัดเจนไม๊
แล้วมั่นคงหรือเปล่า
................
เมื่อท่านตั้งมั่นอยู่ที่กลางกระหม่อมอย่างมั่นคง ชัดเจน ยกมือขึ้นวันทาพระพุทธะพระองค์

นั้น
................
เพราะท่านคือ ครูผู้วิเศษของเรา เป็นผู้ที่นำพาเราไปสู่ ห้วงนิพพาน แล้วพาเราไปพ้นจาก

เภทภัยวัฏฏะสงสาร
............
เสร็จแล้วอยู่กับท่าน ให้นานเท่านาน
...............
ผู้ที่สัมพันธ์สัมผัสพระพุทธะได้ พุทธิภาวะ คือธรรมชาติแห่งการตรัสรู้ เมื่อจับต้องเจอะเจอ

สัมพันธ์สัมผัสได้ จึงจะเป็นผู้ที่ควรต่อการเฉลิมฉลองและประกาศชัยชนะต่อวัฏฏะและ

พญามาร
ถ้านอกนั้น ไม่มีสิทธิ์
ไม่มีสิทธิ์ที่จะประกาศชัยชนะ หรือฉลอง เพราะยังเป็นทาสของวัฏฏะและอยู่ในอำนาจของ

พญามาร
..................
กลับมาดูลมหายใจอย่างเป็นผู้รู้ ดูซิว่า ลมตอนนี้กำลังเข้าหรือออก
จากกลางกระหม่อม ไปอยู่ที่ลมหายใจ
..................
หายใจเข้า ภาวนาว่า สัตว์ทั้งปวงจงเป็นสุข
หายใจออก ภาวนาว่า สัตว์ทั้งปวงจงพ้นทุกข์
...............
อย่าภาวนามั่วๆ ให้คำภาวนานั้น แจ่มชัด ชัดเจน
................
สูดลมหายใจเข้า กว้าง ลึก เต็ม
หายใจออก เบา ยาว หมด
..............
เอาใหม่ หายใจเข้าใหม่ อีกที
ออก เบา ยาว หมด ผ่อนคลาย
ยกมือไหว้พระกรรมฐาน ลืมตา แล้วเข้าที่
(กราบ)
4 มิ ย  2555  17.10 น. หลังปฏิบัติธรรม โดยองค์หลวงปู่พุทธะ

อิสระ
• หลวงปู่จึงต้องพูด ต้องสอน ต้องเตือน ถือว่าเป็นคำสอนสุดท้ายที่ต้องบอก

กันอย่างตรงๆ และจริงๆ จังๆ ว่า  อย่าเอาจิตตัวเองไปสร้างภพสร้างชาติ เรียกว่า อย่าสร้าง

ภพชาติไม่จบสิ้นกับการที่ไม่รู้ตามสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง ต้องมีปัญญารู้

ทันตามสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริงให้ได้ทุกขณะจิต
อย่างที่บอกไปเมื่อวานนี้ว่า อริยสัจ 4 มรรคมีองค์ 8 ปฏิจจสมุปันธรรม โพธิปักขิยธรรม

37 ประการ อิทธิบาท 4 แม้ที่สุด กรรมฐาน 40 มหาสติปัฏฐาน 4 ทั้งหมดนี่ เป็น

หนทาง
คำถามมันอยู่ที่ว่า ใครเป็นผู้เดินทาง
แล้วเราเดินทาง แล้วเราพิการหรือไม่ ถ้าเราเป็นคนพิการ มันเดินทางได้ไกลไม๊
(ไม่)
หรือเดินไม่ได้เลย
สิ่งที่สอนนี่ คือ สอนให้เราไม่พิการ และกลายเป็นบุรุษและสตรีที่แข็งแรง ไม่ต้องกลัวว่า

เมื่อแข็งแรงแล้ว เดินแล้วจะไม่ถึงฝั่ง
ขอให้แข็งแรงจริงๆ เดินเข้าไปแค่ไหน ก็จะได้ผลตามนั้น แค่นั้น
แต่ถ้าไม่แข็งแรง มันก็ไม่ต่างอะไรกับคนพิการ ตาบอด หูหนวก แล้วลากกันไป พอไปถึง

แล้วก็ไม่รู้อะไร แล้วก็บอกว่า ไม่มีอะไร ไม่ได้อะไร
สิ่งสำคัญที่สุด พระธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นทั้งผล เป็นทั้งเหตุอยู่ในตัว
สำคัญอยู่ว่า ใครจะเป็นผู้รับเหตุและผลนั้น
เราสนใจแต่ผลและเหตุ หรือเหตุและผล แต่เราไม่สนใจตัวตนบุคคลที่จะไปรับเหตุผลเลย

มันก็เลยไม่มีใครจะเข้าถึงวิโมกศักดิ์ซักที สิ่งที่หลวงปู่สอนพวกมึง ก็คือ สอนให้เป็นคนที่

แข็งแรง ไม่ได้สอนให้ไปเรียนรู้เหตุผล เพราะเหตุผล พระพุทธเจ้าสอนไว้หมดแล้ว เมื่อ

แข็งแรงแล้ว เราไปเรียนรู้เหตุและผลของพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ง่ายมาก ง่ายดั่งพลิกฝ่ามือ
เหมือนกับเข้าไปในสวนผลไม้ที่รอคนเก็บกินเฉยๆ แต่คนที่เข้าสวนแล้วไม่เจอผลไม้ ถึง

เจอก็เก็บกินไม่ได้ ถึงกินก็ฝาด ก็เพราะคนๆ นั้น พิการ มันเดินไม่ไหว หรือมันลิ้นขาด มัน

ประสาทบิดเบี้ยว มันก็เลยไม่ได้ผลไม้ ทั้งที่นอนกลิ้งอยู่ในสวน
เพรางั้น สิ่งสำคัญที่สุด ต้องเรียนรู้ชีวิตตนเอง เพราะชีวิตตัวเอง เมื่อรู้จัก เราก็จะรู้ว่า เราจะ

ตัดเสื้อเบอร์อะไร ใส่รองเท้าคู่ไหน กางเกงหรือว่าผ้าถุงชนิดใด แต่ถ้าไม่รู้จัก เราก็จะไม่รู้ว่า

ชุดไหนมันเหมาะสมสำหรับตัวเรา
ฉันใดก็ฉันนั้น พระธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นเหมือนดั่งอาภรณ์ ถ้าเราไม่รู้จักตัวเอง

เราก็จะหยิบมาสวมใส่ไม่ถูก
งั้นปัญหาของพวกเราก็คือ ที่มีอยู่ทุกวันนี้ เพราะไม่รู้จักตัวเอง
สมัยก่อน หลวงปู่มักจะชอบสอนเรื่องการทำความรู้จักตัวเองเป็นเบื้องต้น เขียนบทโศลกเอา

ไว้บทหนึ่งที่สมัยอยู่ถ้ำไก่หล่นว่า
ลูกรัก กิจของของพระผู้มีพระภาคเจ้า หรือกิจพระศาสนานี้ มีอยู่แค่ 3 สิ่ง ไม่เพิ่มขยะใหม่

ทำลายขยะเก่า ทำของดีที่มีอยู่แล้วให้ผ่องใส จบกิจพระศาสนา
ทุกวันนี้ แต่ละคนก็ต่างคนก็ต่างเพิ่มขยะใหม่ ไม่ใส่ใจจะกำจัดแม้ขยะเก่า แล้วก็ขวนขวาย

หาขยะใหม่อยู่เนืองนิจ ของดีที่มีอยู่ ก็โดนขยะทับจนหมดสิ้น มันจะไปเห็นกิจพระพุทธเจ้า

กิจของพระศาสนาได้อย่างไร
งั้น ส่วนที่สำคัญที่สุด เราต้องกำจัดขยะในตัวเรา แล้ววิธีกำจัดได้สอนไปแล้ว
ขณะจิตหนึ่งๆ ต้องไม่ให้ไประคนปนเปื้อนในการสร้างภพชาติ เราจะทำให้จิตแต่ละขณะ

ไม่ปนเปื่อนในการสร้างภพชาติ ไม่มั่ววนอยู่กับการสร้างภพชาติ เรียกว่า ไม่มีสังขารการ

ปรุง ไม่มีอุปาทาน ความยึดถือ ไม่มีตัณหา ความทะยานอยาก มันก็จะไม่เกิดชาติภพ
แล้วจะทำอย่างไร
ก็ต้องมีปัญญา ต้องฝึก สั่งสม อบรมสติปัญญาให้มาก เพราะสติปัญญาเมื่อมันมีมากแล้ว

เราก็จะรู้ทันตามสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง ที่ปรากฏกับจิตทุกขณะๆ ถึงแม้

มันจะหลงลืมไปบ้าง ขาดเหลือเฟือฟายไปบ้าง มันก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย
นึกขี้นมาได้ ก็ อุ๊บ ระวังจิตเว้ย เดี๋ยวกูจะต้องไปเกิดเป็นอ้ายนั่นอ้ายนี่ งั้น อย่าไปคิด ถ้าคิด

แล้วมันจะเกิด ดีกว่า ที่วันทั้งวัน ไม่คิดไม่ระวังเลย แล้วก็ไปเป็นหมูบ้าง เป็นวัว เป็นควาย

เป็นหมา เป็นเดรัจฉาน เป็นเปรต เป็นอสุรกาย
ถ้าโลภ เป็นอะไร
ก็เป็นเปรต เพราะเปรตนี่มันกินไม่อิ่ม กินวัวกินควาย กินบ้าน กินเมือง กินรถ เรือกสวนไร่

นา กินหมด แผ่นดิน หิน กรวดทราย กินไม่อิ่ม นั่นแหละ สันดานเปรต
เดรัจฉานก็ กูไม่ละอาย โง่ ไม่สำนึกหน้าที่ เรามีสิทธิ์จะเป็นเดรัจฉาน ก็ฝึกจิตให้เป็นคนโง่

ไม่ละอาย ไม่สำนึกรับผิดชอบหน้าที่
เรามีสิทธิ์จะเป็นเปรต เรามีสิทธิ์จะเป็นอสุรกาย ผู้มีกายอันไม่กล้า คือ หวาดสะดุ้งไปหมด

ทุกอย่าง เกรงกลัววิตกกังวล นั่นคือ จิตอสุรกาย
เรามีสิทธิ์จะเป็นสัตว์นรก ผู้ที่จมปลักอยู่ในอเวจี คือ เห็นโลกนี้เป็นผิดหมด ถูกไม่มีแล้ว

เลยทำผิดจนเป็นนิสัย เพราะสัตว์นรกที่จมปลักอยู่ในอเวจี ไม่เห็นแสงสว่าง ก็เข้าใจว่า โลก

ที่ตัวเองอยู่นั้น เป็นโลกที่ตัวเองอาศัยเดิมและแท้จริง เลยไม่ขวนขวายจะแสวงหาแสงสว่าง

ทั้งที่มีแสงสว่างในโลกอื่น
เค้าจึงเรียกโบราณว่า  เหมือนกบอยู่ในกะลา
งั้น เราก็ต้องขวนขวาย อย่าพึงพอใจในความดีที่มีอยู่ เพราะมันยังเลี้ยงตัวเองไม่ได้ เรียกว่า

ดียังเอาตัวไม่รอด ก็ต้องแสวงหาดีเพิ่มพูน
ทรัพย์มีอยู่ พึงพอใจได้ แต่ดีมีอยู่ ยังพึงพอใจไม่ได้
จงแสวงหาดีเรื่อยๆ ดีตลอด ดียาวนาน ดีถี่ๆ ดีจนกลายเป็นสันดานดี นิสัยดี จิตใจดี แล้วมัน

ก็จะทำให้วาสนาดี ชาติภพดี
แล้วเมื่อใดที่เราขวนขวายแสวงหาบุญ คุณงามความดี ก็แสดงว่า เรากำหนดชาติภพของ

เราแล้วว่า เราจะกลายเป็นมนุษย์ผู้ประเสริฐ เทวดาผู้เจริญ หรือ พรหมผู้ทรงอำนาจ
งั้น ทุกคนสร้างภพชาติได้ด้วยตัวเอง ลูก ไม่ต้องให้คนอื่นมาบันดาล ขณะจิตหนึ่งๆ สร้างไป

เรื่อยๆ จนกระทั่งกลายเป็นมหาชาติ
วันนี้โลภเข้า พรุ่งนี้โลภหน่อย มะรืนโลภนิด มะเรื่องโลภน้อย โลภบ่อยๆ เข้า มันก็กลายเป็น

เปรต เป็นเปรต เป็นผู้แสวงหาไม่จบ
พวกที่ขวนขวาย ทุรนทุราย สัดส่าย กระเสือกกระสน ไม่นิ่งอยู่ได้ เค้าเรียกว่า ฟุ้งซ่าน

พวกนี้ ก็เป็นผู้แสวงหาชาติของสัมภเวสี สัมเวสี คือ ผู้แสวงหาภพเกิดไม่หยุดหย่อน ไม่พึง

พอใจกับภพภูมิของตน เป็นมนุษย์ก็ไม่อยากอยู่ ฆ่าตัวตายซะ เป็นเดรัจฉานก็ไม่เหมาะ

เป็นหมาก็ไม่เอา
สุดท้าย เป็นหนอนขี้
ตั้งแต่สัตว์ใหญ่จนกลายเป็นสัตว์เล็ก เนี่ย พวกสัมภเวสี แม้ที่สุด มีวาสนาชะตาส่งให้เป็น

มนุษย์ ก็เห็นอัตภาพมนุษย์ไม่เหมาะสมกับตน ไม่พึงพอใจ ผิดหวัง เสียใจ ฆ่าตัวตาย ทั้ง

หมดนี่ มันมาจากการสัดส่าย ทุรนทุราย จิตใจไม่สงบนิ่ง เค้าเรียกว่า ฟุ้งซ่าน เวลาปฏิบัติ

ธรรมฟุ้งซ่าน คิดล่องลอยเรื่อยเปื่อยไปเรื่อย เค้าเดินกันสงบ ก็เดินฟุ้งไปเรื่อย เนี่ย พวก

สัมภเวสี ไม่พึงพอใจต่อสภาพที่ตนมีในปัจจุบัน
เห็นไม๊ เราเป็นคนสร้างเอง ภพชาติ จะเป็นชนิดไหน เราสร้างเองหมด คนอื่นไม่ได้สร้างให้

เรา
งั้น หลวงปู่จึงต้องพูด ต้องสอน ต้องเตือน ถือว่า เป็นคำสอนสุดท้ายที่ต้องบอกกันอย่างตรงๆ

และจริงๆ จังๆ ว่า
อย่าเอาจิตตัวเองไปสร้างภพสร้างชาติ เรียกว่า อย่าสร้างภพชาติไม่จบสิ้น กับการที่ไม่รู้

ตามสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง ต้องมีปัญญารู้ทันตามสภาพธรรมที่ปรากฏ

ตามความเป็นจริงให้ได้ทุกขณะจิต
ก็อย่างที่บอกเมื่อวานว่า ที่นั่งอยู่นี่ เราไปติดในยี่ห้อ หลวงปู่เขียนบทโศลกสอนลูกหลานไว้

เมื่อ 30 กว่าปีที่แล้ว จำได้ว่า อยู่ในพรรษแรกด้วยซ้ำ ร่วม 40 กว่าปี
ลูกรัก คนดีไม่ต้องมียี่ห้อ คนมียี่ห้อ อาจไม่ดีก็ได้ ถ้างั้น อย่าติดในยี่ห้อ เพราะยี่ห้อของแต่

ละคนจริงๆ มันมีไม๊
มันก็ อีดินน่ะ อ้ายน้ำ นางลม อีไฟ มีห่าอะไร ก็มี ดิน น้ำ ลม ไฟ เท่านั้นเอง ทะลึ่งมาตั้งกัน

ขึ้นว่า คุณขจรศักดิ์ เขียวขจี นารีพร้อม อะไรของมันก็ไม่รู้ ตั้งกันเอง ที่จริง มันก็อ้ายดิน

อีน้ำ นางลม อีไฟ ก็ตั้งแต่หัวจรดปลายตีน ดินน้ำลมไฟทั้งนั้น พระพุทธเจ้าเรียกมันว่า

มหาภูตรูป คือ ภูตรูปทั้ง 4 มาประชุมด้วยเหตุปัจจัย
แล้วเหตุปัจจัยอันนั้น คืออะไร
กรรม
กรรมมันทำให้ภูต หรือว่าธาตุทั้ง 4 มาประชุมกัน แล้วพันธนาการด้วยอะไร
พันธนาการด้วย อวิชชา ตัณหา อุปาทาน รูปนาม สฬายตนะ สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกัน

ในปฏิจจสมุปันธรรม ถ้าไล่ครบอาการ 12 มันก็ซ้อน ทำหน้าที่เหมือนกับเข็มร้อยด้าย ที่

ผูกพวงลูกปัดให้มันอยู่รวมกันให้ได้
ทีนี้ นิสัยล่ะ ใจคอ จิตวิญญาณ สันดานดิบ สันดานเดิม ทั้งหมดก็มาจากกรรม เป็นตัวเติม

แต้ม กลิ่น สี เสียง ใส่เข้าไป
สรุปแล้ว ก็คือ ดินสีอะไร น้ำสีอะไร ลมเหม็นลมหอม ไฟ หน้าตาเป็นยังไง
ไม่มีอะไรมากกว่า ดิน น้ำ ลม ไฟ
อันนี้ คือ สภาพธรรมที่ปรากฏ ตามความเป็นจริง
ถ้าเข้าใจให้ได้ตามนี้ แม้ขณะจิตหนึ่งๆ มันข้ามภพข้ามชาติไป เหมือนกับจุลบัณฑก เราจะ

มีอุปการะในจิตอยู่ตลอด คือ ผู้มีอุปการะจิต เหมือนกับเรามีท่านผู้รู้ พุทธิภาวะคอยเตือน

คอยสอนคอยบอกเราอยู่เนืองๆ
แต่ถ้าไม่เข้าใจตามนี้ วันทั้งวัน มัวแต่มั่ว เมาอยู่กับรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ที่อีดินสร้างให้

อ้ายไฟแสดงให้เห็น อีลม อ้ายน้ำทำให้ดู เราก็มีความรู้สึกเพลิดเพลินเจริญใจ อ้นนี้ เค้าเรียก

เมา มั่ว โมหะ อวิชชา เกิดสังขารการปรุง เกิดวิญญาณบิดเบี้ยว รับรู้แบบผิดเพี้ยน
 แล้วก็เกิดรูปนามในทางที่บิดเบี้ยว กลายเป็นสฬายตนะ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็รับมา

เบี้ยวๆ ผิดๆ ผิดเพี้ยนจากความเป็นจริง เกิดผัสสะ คือ สัมผัสแบบผิดเพี้ยน บิดเบี้ยว แล้ว

ชอบใจในความผิดเพี้ยนบิดเบี้ยวว่า เป็นความถูกต้องชอบธรรม
แล้วเกิดเวทนา ก็แบบผิดเพี้ยน บิดเบี้ยว ยึดถือเวทนาเป็นตัวเป็นตน เป็นของเรา ของเขา
เกิดตัณหา ความอยาก ไม่จบสิ้น จนอุปาทานยึดถือกลายเป็นชาติภพ ปรุงแต่ง
ตัวเองเป็นคนสร้างเอง ชาติ ชรา มรณะ พยาธิ ตามมา เป็นวนรอบอยู่อย่างนั้น
ท่านจึงกล่าวไว้ในพระคัมภีร์ว่า ปฏิจจสมุปันธรรม ไม่มีอะไรเริ่มต้น และไม่มีอะไรเป็นที่สุด
คนที่เข้าไปอยู่ในมันแล้ว มันไม่มีอะไรเป็นเริ่มต้น ไม่มีอะไรเป็นที่สุด เรียกว่า เหมือนกับ

อยู่ในกงล้อหนูถีบจักร ถีบไปเรื่อย จนกระทั่งมันเหนื่อยตาย เหนื่อยตายแล้วมันไปเกิดนอก

จักรไม๊
ไม่ มันก็เกิดอยู่ในจักร แล้วมันก็ตื่นขึ้นมาถีบใหม่อีก ไม่มีอะไรเริ่มต้น ไม่มีซี่ไหนเป็นที่สุด
นั่นคือ ปฏิจจสมุปบาท
งั้น เราต้องทำลายกงล้อนี้ โดยเริ่มต้นจากการสร้างปัญญา เมื่อมีปัญญา มันก็จะทำลาย

อวิชชาได้
พออวิชชาไม่มี สังขารการปรุง ก็ไม่ปรากฏ วิญญาณการรับรู้ ก็จะไม่บิดเบี้ยว
รูปนามเราก็จะเด่นชัดในความงดงามแห่งกุศล ด้วยกุศลหล่อเลี้ยง
งั้น สิ่งที่จะตามมา ไม่ว่าจะ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ผัสสะ เวทนา ถ้าจะมีตัณหา ก็มีความ

ฉลาดครอบงำตัณหาอีกทีหนึ่ง เค้าเรียกว่า คนฉลาดใช้กิเลส คนโง่โดนกิเลสใช้
อุปาทานยึดถือ ก็จะยึดถือในสิ่งที่เป็นบุญ กุศล อะไรที่ไม่ใช่บุญ ไม่ใช่กุศล ก็อย่าไปยึดถือ
งั้น จึงอยากจะบอกลูกหลานว่า อย่าไปคำนึง พะว้าพะวง กังวลวิตกว่า เราเดินอยู่ในมรรควิถี

ได้หรือยัง จะเข้าสู่อริยสัจ 4 ไม๊ จะเรียนรู้ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ได้หรือเปล่า จะรู้ว่า

อะไรเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หรือไม่
ถามว่า ใครเป็นผู้รู้
คนพิการรู้อะไร คนหูหนวก ตาบอด รู้อะไร คนปัญญาชั่ว สมองฝ่อรู้อะไรได้
งั้น ต้องทำยังไงให้เป็นผู้พร้อมรู้ จึงจะต้องกลับมาดูตัวเองไง
กรรมฐานที่หลวงปู่สอนให้ คือ อะไร
เรียนรู้ชีวิต ศึกษาวิชา ลุถึงปัญญา นำพาชีวิต
นั่นแหละ หัวใจพระกรรมฐาน
พอแล้ว ลูก เหนื่อยแล้ว ไปพัก เดี๋ยวทุ่มหนึ่ง มาพร้อมกัน เจริญพระพุทธมนต์
(กราบ)
เค้ามีอาหารเลี้ยงนะ ลูก คนที่มาใหม่ๆ เค้ามีข้าวต้ม ไปกินข้าวต้มแล้ว เดี๋ยวมาเจริญพระ

พุทธมนต์ 1 ทุ่ม
อะระหัง สัมมา
ไปพัก อาบน้ำอาบท่า 1 ทุ่มตรงมาพร้อมกัน