27 พ ค 2555    13.20 น. ถอดซีดี ธรรมะอาทิตย์สุดท้าย ของเดือน โดยองค์หลวงปู่พุทธะอิสระ

• ใครที่ไม่จงรักภักดี ไม่ซื่อสัตย์ ไม่ซื่อตรง หรือ เป็นบุคคลที่อคติ หรือว่ามีมิจฉาทิฏฐิ ก็ให้มีอันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย
• ตอนนี้ ทำได้อย่างเดียว ก็เฝ้าดูความเสื่อม เว้นเสียแต่ว่า ปล่อยให้กรรมมัน

กลืนกินสรรพสิ่ง และกัดกินชีวิตสัตว์ไปเอง
• ในขณะที่เสวยบุญ บาปมันก็ไม่ให้ผล ในขณะที่เสวยบาป บุญมันก็ไม่ให้ผล
• จิตพระพุทธะ คือ จิตผู้รู้ เป็นสภาพธรรมที่ปรากฏชัดแจ้งในจิต
• มันก็จะเหลือแต่กรรมอย่างเดียวแล้ว
• ลูกหลานที่ป่วยไข้ ไม่สบาย เจ็บ ทุรนทุราย ให้รู้จิตไว้ สำคัญจิต ระวัง

รักษาจิต ดูแลจิต
• เรื่องจิตดวงที่ 7 นั้น มีเหมือนดั่งไม่มี ไม่มีเหมือนดั่งมี
• ด้วยเหตุปัจจัยของผู้ที่เข้าถึง จึงจะรู้ว่า มันไม่มี แต่ผู้ที่เข้าไม่ถึง ยังต้องค้นหา

เพื่อให้มันมี
• พระธรรม หรือว่า คุณลักษณะ ลักษณะอันเป็นคุณที่มีอยู่ในองค์พระธรรม

เนี่ย มันต้องพยายามให้เข้าถึง เข้าใจ เข้าใกล้ แล้วก็ทำได้ให้ถึงผล นั่นแหละ ควรจะเป็น

เรื่องที่ถูกต้องมากกว่า
เจริญธรรม ท่านสาธุชนพุทธบริษัท ผู้รับชมรายการปุจฉา วิสัชนา ญาติโยมชาวบ้านที่มา

ฟังธรรมในศาลา วัดอ้อน้อยในวันอาทิตย์สุดท้ายของเดือน แล้วก็คุณสืบสกุล พันธุ์ดี ชื่อก็ดี

นามสกุลก็ดี สืบสกุล แล้วแถมพันธุ์ดีอีกต่างหาก ผู้ดำเนินรายการปุจฉา วิสัชนา
วันนี้ เค้าจะมีกิจกรรมในการอัดเทป ก็คงจะเริ่มรายการเพราะว่า เวลาล่วงเลยมามากพอ

สมควรแล้ว
พิธีกร   กราบนมัสการหลวงปู่พุทธะอิสระครับ แล้วก็สวัสดีพุทธศาสนิกชนทุกท่านนะครับ

ที่มาที่วัดอ้อน้อยแห่งนี้ และสวัสดีคุณผู้ชมที่รับชมรายการของเรานะครับ......
มีพุทธศาสนิกชน ฝากคำถามมามากมาย แต่ก่อนอื่นจะต้องขอเริ่มจากการที่คนไทยทุกคน

ได้ชื่นชมพระบารมีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ

และสมเด็จพระเทพรัตนสุดา สยามบรมราชกุมารี ที่เสด็จยังทุ่งมะขามหย่อง สร้างความ

ปลื้มปิติแก่พสกนิกรยิ่ง อยากจะเรียนถามหลวงปู่พุทธะอิสระนะครับ จากการที่พสกนิกร

อยู่ใต้ร่มพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีความสุขและความซาบซึ้งอย่างใด

บ้างครับ
หลวงปู่    อืม ชั้นก็ไม่สามารถจะไปรู้หัวจิตหัวใจของคนอื่นได้ แต่ชั้นรู้หัวใจของชั้นว่า ทุก

ครั้งที่เราได้เห็นพระรูป พระโฉมของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้า

พระบรมราชินีนาถ เราจะมีความรู้สึกตื้นตัน เต็มอิ่ม ผ่อนคลาย แล้วก็สบายอกสบายใจ ถือ

ว่าเป็นสัญลักษณ์ของความปลื้มปิติสุข เป็นสัญลักษณ์ของความหวัง เป็นสัญลักษณ์ของ

ความสุข เป็นสัญลักษณ์ของความสมบูรณ์ เป็นสัญลักษณ์ของความปลอดภัยแล้วก็ผ่อน

คลาย เป็นสัญลักษณ์ของความร่มเย็น
งั้น คนอื่น ชั้นไม่สามารถไปรู้ แต่ชั้นรู้ว่า ทุกครั้งที่ชั้นได้เห็น เจอะเจอ พบพาน จะรู้สึก

ปลาบปลื้ม น้ำหูน้ำตาไหล ก็รู้สึกสบายอกสบายใจ คนอื่น ชั้นไม่แน่ใจว่า จะรู้สึกอย่างชั้น

หรือเปล่า แต่เท่าที่ถามๆ ที่พูดคุย เวลามีกิจกรรมไปเจริญพระพุทธมนต์ ถวายพระราช

กุศลพระองค์ท่าน ที่โรงพยาบาล ศิริราช เป็นประจำบ่อยๆ เราก็จะเห็นว่า จำนวนผู้คนมันก็

เพิ่มขึ้นๆ จนเต็มที่ได้ เพราะทุกคนก็ปรารถนาที่จะไปแสดงความจงรักภักดี ชั้นว่า ก็เป็น

เรื่องดี อย่างน้อยก็เป็นการปรามคนที่คิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดี ปรารถนาไม่ดีต่อสถาบัน

ต่อพระองค์ท่าน หรือ ต่อราชวงค์ให้ได้รู้สึก ให้ได้คิด ให้ได้สำนึก ให้ได้รู้จักแยกแยะดีชั่ว

ถูกผิดว่า  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ราชวงศ์จักรี ทำคุณูปการ คุณูประโยชน์ อุปการะ

คุณ ตั้งแต่เริ่มก่อตั้งราชวงศ์ สร้างบ้านแปลงเมือง สร้างกรุงรัตนโกสินทร์ศกร่วม 200

กว่าปีมาเนี่ย แต่ละพระองค์สร้างคุณูปการมหาศาลแก่แผ่นดินสยาม
งั้น ถ้าคนไทยทุกคนได้มีหัวใจระลึกรู้และมีความกตัญญู รู้คุณ กตเวทิตา ตอบแทนคุณ ใน

หัวใจเต็มที่เนี่ย คงจะไม่คิดที่จะจ้วงจาบ หรือล่วงเกิน หรือก้าวก่ายทำร้ายทำลายราชวงศ์

หรือทำร้ายทำลายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เว้นเสียแต่ว่า เป็นผีห่าซาตานมาเกิด ลูก

ไม่มีพ่อไม่มีแม่ โคตรพ่อโคตรแม่มันไม่ใช่คนไทย ไม่เคยอยู่ในบ้านเมืองนี้แต่เก่าก่อนใน

แผ่นดินนี้ ไม่มีสำนึกดีๆ ไม่เคยเลย คนพันธุ์นี้ ก็ถือว่า เป็นเดรัจฉานมาเกิด เป็นสัมภเวสีมา

เกิด เป็นอเวจีมหานรกมาเกิด ไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับบุญคุณคน ไม่สำนึกคุณแผ่นดิน
ถ้าเราเรียนรู้ประวัติศาสตร์ชนชาติไทย เริ่มต้นมาตั้งแต่สุโขทัยมา เราถือว่า กรุงสุโขทัยเป็น

ราชธานีแรกของคนไทย ที่จริง แล้วมันไม่ใช่ มันมาเก่าก่อนกว่านั้นเยอะ ประวัติศาสตร์เค้า

ก็จะย้อนรอยได้ประมาณนี้ ร่วม 700-800 ปี ก็ถือว่า พระมหากษัตริย์ พระราชา

ผู้ทรงธรรม ทรงพระคุณอันประเสริฐ ก็ได้สร้าง สั่งสมอบรมบารมี แล้วก็ทำเรื่องดีงามแก่

แผ่นดินไว้เยอะแยะ เราจะเห็นว่า แต่ละพระองค์ก็ได้เสียสละชีพยิ่ง เพื่อทำนุบำรุง เพื่อ

ป้องกันภัยพิบัติที่ข้าศึกมาทะลุทะลวง มุ่งร้าย ทำร้าย ทำลายแผ่นดิน แม้กระทั่งผู้หญิง ผู้ซึ่ง

ถือว่าเป็นวีรสตรี ก็คือ สมเด็จพระศรีสุริโยทัย
งั้น เราก็ต้องเข้าใจ ต้องคิด แล้วท่านเหล่านี้ก็สืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์เก่าแก่ ไม่ใช่เพิ่งจะมี

ไม่ใช่เพิ่งจะมาเกิด งั้น เวลาจะสืบเชื้อสาย ถ้าไล่กันจริงๆ ตามสายเลือด ตามเซลล์ ตามสปีชี่

ก็จะเห็นได้ว่า ราชวงศ์จักรีก็ไม่ใช่ว่า อยู่ดีๆ ขึ้นมาหรือเกิดขึ้นมา เพราะว่า ผู้ก่อตั้งราชวงศ์

ก็ได้ทำคุณูปการมหาศาลต่อแผ่นดินสยาม สมัยก่อนตอนที่พม่ายึดเมือง แม้เจ้าพระยาตาก

สิน ท่านเป็นผู้กอบกู้อิสรภาพ แต่ขุนศึกคู่ใจของพระยาตากก็คือ สมเด็จพระยามหากษัตริย์

ศึก หรือ ที่เรียกกันว่า นายทองด้วง ต่อมาท่านก็ได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นพระราชา เป็นเจ้า

ผู้ครองแผ่นดิน ก่อตั้งราชวงศ์จักรีเป็นต้นราชวงศ์
งั้น ก็ถือว่า พระองค์มีคุณูปการมหาศาลต่อแผ่นดิน ถ้าไม่อย่างนั้น ไม่ได้ท่าน ป่านนี้ บ้าน

เราไม่รู้เป็นอะไร จะเป็นทาสของใครก็ไม่รู้ พอทำความเข้าใจความหมายนี้แล้ว ก็ต้องรู้ว่า

มีผู้มีคุณ เราก็ต้องรักษาผู้มีคุณ
งั้น ก็อยากฝากบอกคนที่คิดจะทำร้าย ทำลายแผ่นดิน จะจ้องล้างผลาญราชวงศ์ ที่คิดไม่ดีต่อ

สถาบันพระมหากษัตริย์ ก็ให้คิดใหม่ ให้คิดเสียใหม่ คิดผิดคิดใหม่ได้ แต่ถ้าคิดใหม่ยังไม่ได้

ก็ไม่รู้จะไปทำอะไร ก็ย้ายบ้านไปอยู่ที่แผ่นดินอื่นซะ เพราะแผ่นดินนี้ เค้ามีให้คนจงรัก

ภักดีอยู่ ใครที่ไม่จงรักภักดี ไม่ซื่อสัตย์ ไม่ซื่อตรง เป็นบุคคลที่อคติ หรือว่า มีมิจฉาทิฏฐิ ก็

ให้มีอันเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย
นี่ ไม่ได้แช่ง แต่ว่าพูดตรงๆ จริงๆ เพราะว่า เหตุผลว่า มันได้ยินเข้าหู คือ ได้ยินข่าวคราว

เยอะมาก มีผู้จ้องจะล้มล้างสถาบัน มีผู้จ้องจะตั้งรัฐไทยใหม่ มีผู้จ้องจะทำให้เกิด

ประธานาธิบดี มีผู้จ้องที่จะทำให้เกิดแผ่นดินนี้ปราศจากพระมหากษัตริย์ ก็อ้าง ตัวอย่างว่า

เขมร พม่า ลาว เค้าก็อยู่ได้ เวียดนามเค้าก็อยู่ได้ ก็เจริญรุ่งเรือง ซึ่งจริงๆ เอาตัวอย่างคนอื่น

เค้ามาไม่ได้ เพราะบ้านเมืองเรามีวัฒนธรรมเฉพาะถิ่น มีความคิดเห็น มีความรู้สึก มีจิต

วิญญาณที่แตกต่างกัน
งั้น อย่าไปยกคนอื่นมาเหยียบตัวเอง อย่าดูถูกตัวเอง อย่าทำร้ายตัวเอง เป็นความคิดผิดๆ จบ
พิธีกร    ขออนุญาตเรียนถามต่อเนื่องนะครับ สำหรับคำถามจากญาติโยม
ปุจฉา   ต่อเนื่อง ในการที่เราได้ชื่นชมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แต่ในขณะเดียวกัน

รัฐบาลก็นำกฏหมายปรองดองเข้าสภา และพันธมิตรกำลังจะชุมนุมวันที่ 30 พฤษภาคมนี้

กราบเรียนถามท่านว่า ประเทศไทยจะเป็นเช่นไร
วิสัชนา   ก็เป็นประเทศไทย ประเทศไทยผ่านสถานการณ์ ผ่านร้อน ผ่านหนาวมาเยอะ

แยะแล้ว ก็ผ่านไปได้ด้วยดี ไม่ต้องกังวลวิตก ก็อย่างน้อย มันทำให้เห็นถึงความหลากหลาย

ในความคิดของคนไทย แต่เราก็สามารถอยู่รวมกันได้ ไม่ได้เสียหายอะไร ถ้าหากว่าเราไม่

อคติจนเกินไป
ที่จริง ถ้าทุกคนเรียนรู้ศึกษาพระธรรม มีพระธรรมเป็นเครื่องอยู่เนี่ย มีศาสนาเพียงศาสนา

เดียวแล้วเข้าไปถึงแก่นแท้ของพระธรรม เรื่องพวกนี้ มันเป็นเรื่องกระพี้ ปลีกย่อย มันไม่

ใช่เรื่องยิ่งใหญ่ในหัวใจคน ถ้าหากว่าเราเข้าใจถึงพระธรรม เรารู้ถึงพุทธิภาวะ ทุกคนไม่ว่า

โจร ไม่ว่าเจ้า จะมีสิทธิ์ตรัสรู้ มีสิทธิ์บรรลุธรรม มีสิทธิ์เป็นพระอริยเจ้า พระอรหันต์ มีสิทธิ์

ไปสู่นิพพาน
แต่ทีนี้ว่า บางทีโจร วิถีตรัสรู้มันอยู่ลึก เจ้าอาจจะมีวิถีตรัสรู้ที่อยู่ตื้น งั้น ก็ต้องใช้เวลารอ

คอยนานหน่อยสำหรับโจร แต่เจ้าก็ไม่ต้องรอคอย ถ้าเข้าใจความหมายเหล่านี้ เข้าถึงแก่น

แท้ของพระธรรมว่า ทุกอย่างมันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป มันไม่มีเหตุปัจจัยอะไรมาก

มายนักหนา ทะเลาะกันไป ทะเลาะกันมา สุดท้ายคนไทยตายหมด อ้ายคนที่สบายๆ ก็คือ

คนที่ใช้ตังค์เป็น คนที่ต้องการให้เกิดเรื่องพวกนี้ขึ้น คือคนใช้ตังค์ รู้จักใช้ตังค์ ใช้ตังค์สร้าง

ศัตรู ใช้ตังค์สร้างอำนาจให้กู ใช้ตังค์ทำให้กูมีอำนาจยิ่งใหญ่ ขึ้นอยู่กับคนรู้จักใช้ตังค์เป็น
ที่จริงบ้านเมืองเรา ก็มีคนมีตังค์เยอะ ถ้ารวมตัวกันที่จะใช้ ตังค์ป้องกันศัตรู มันก็ไม่ได้เสีย

หาย แต่ปัญหามันอยู่ที่ว่า เรามีใจสาธารณะ มีจิตสาธารณะ มีความปรารถนาที่จะทดแทน

บุญคุณแผ่นดินมากน้อยแค่ไหนอย่างไร
ก็ปล่อยมัน มันไม่มีอะไรมาก เดี๋ยวเหนื่อย ก็กลับบ้าน แล้วก็รัฐบาลก็จ่ายตังค์ไปแล้วนี่ ใช่ไม๊

คนละ 7 ล้าน เค้าก็คงอยากได้ตังค์บ้าง มันก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร คนจะเรียนหนังสือ

ไม่มีตังค์จ่าย แต่คนรับจ้างตาย มีตังค์ให้ ก็ถือว่า ใช้ได้ ตอนนี้เศรษฐกิจมันไม่ค่อยดี ของ

มันแพง ก็เลยไปหาวิธีรับตังค์ เผื่อรัฐบาลจะใจดีจ่ายให้ คนละ 7 ล้านๆ ไม่แน่ วัดอ้อน้อย

เดี๋ยวชั้นจะเกณฑ์พระไปบ้าง จบ
พิธีกร    มาถึงตอนนี้ ถ้าอยากจะให้คนไทยทุกคนรวมใจกันโดยยึดมั่นในสถาบัน ชาติ

ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ควรจะต้องทำเช่นไรครับ ปุจฉา
หลวงปู่    มันยากแล้วนะคุณ เพราะว่าสถานภาพของสังคมไทย เดิมที เราโดนสอนกันมา

ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์เนิ่นนานว่า สถาบันหลักของชาติซึ่งเป็นศูนย์รวมดวงใจของคนทั้งชาติ ก็มี

ชาติ มีศาสนา มีพระมหากษัตริย์ 
อ้ายชาตินี่ มันแปลความหมาย คือ ประชาชนคนกลุ่มก้อน มารวมกันเป็นคำว่า ชาติ ซึ่งมัน

ไม่ใช่คนใดคนหนึ่ง แล้วความหมายของคำว่าชาติ ก็มีศูนย์รวมจิตใจ คือ ศาสนา และพระ

มหากษัตริย์
เวลานี้ ความหมายของคำว่า ศาสนา มันก็มีคำสอนที่แปลก แตกต่างกันไป ตามลัทธิ หรือ

ตามความเชื่อในครูบาอาจารย์ ตามบรรดาสำนัก มันก็ยากที่จะทำให้เกิดความรวมกลุ่ม

รวมก้อนกันได้โดยเฉพาะองค์กรผู้ปกครองศาสนาที่ทำหน้าที่ดูแลศาสนา ก็ไม่ได้ทำหน้าที่

เป็นหัวหอก ขุนหมู่ทะลวงฟัน หรือ ผู้รวบรวมพระสัจธรรมอันบริสุทธิ์บริบูรณ์ที่จะให้เผย

แผ่ไปทั่วได้
ก็ต่างคนต่างเผยแผ่ไปตามกำลัง ตามแรง ตามความอยาก ตามความสามารถของตน ใคร

มีกำลังมาก ก็เผยแผ่ได้มาก ใครมีกำลังน้อย ก็เผยแผ่ได้น้อย อ้ายกำลังมากแล้วดี ก็ไม่มี

ปัญหา อ้ายกำลังมากแล้วอัปรีย์ ไม่ดี นี่มันก็แย่ มันทำให้มีความคิดเห็นที่จะแตกต่างไป

จากกลุ่มอื่น สิ่งอื่น พวกอื่นไปเรื่อยๆ
อันนี้คือ ความอ่อนแอของคนนับถือศาสนา เพราะว่า พอมีความคิดเห็น เดี๋ยวนี้ก็มีพวก มี

แบ่งเป็นพวกธรรมกาย พวกสายวัดป่า พวกธรรมยุต พวกมหานิกาย พวกอ้อน้อย พวก เออ

มันมีหลายพวกไง พอมันมีหลายพวก นี่คือ วิถีแห่งความแตกแยก
อ้ายคำว่า ศูนย์รวมดวงใจนี่ มันจะต้องไม่แตก ทีนี้มันรวมไม่ได้ มันแยกออกเป็นกลุ่ม เป็น

ก๊ก พอแยกนานเข้าๆ มันก็มีทิฏฐิ ทิฏฐิที่เป็นความเห็นผิด ทีนี้ เรื่องศาสนาเนี่ย มันเป็นเรื่อง

ละเอียดอ่อน ซึ่งมันก็มีวิธีจ้องทำลายมาเนิ่นนานแล้ว จนกระทั่งเวลานี้ มันสำเร็จรูปล่ะ ก็

ยอมรับกันว่า เดี๋ยวนี้ เรามีลัทธิอะไร ลัทธิธรรมกาย ลัทธิโพธิรักษ์ ลัทธิมหานิกาย ลัทธิ

มหายาน ลัทธิธรรมยุต ลัทธิวัดป่า ลัทธิวัดในเมือง ลัทธิอรัญวาสี ลัทธิคามวาสี แล้วลัทธิ

เหล่านี้ ก็มีบริษัทบริวาร
ทีนี้ อ้ายหัวหน้าลัทธิ เจ้าของลัทธิ ผู้บริหารลัทธิ ผู้ปกครองลัทธิ เหล่านี้ ก็แตกต่างความเห็น

แม้จะคุยอวดอ้างตัวเองว่า เป็นผู้เผยแผ่สัจธรรมและคำสอนของพุทธศาสนาก็ตามที
มองกันคนละมุม แล้วก็เอามุมของตนเป็นใหญ่ แล้วนำมาเผยแพร่ นำมาประกาศ เอามุม

ของตนเป็นใหญ่แล้วก็เหยียบมุมของคนอื่น มันก็เลยสร้างเครือข่าย สร้างคนที่ชอบ อ้ายคน

ที่ชังก็ปฏิเสธไป อ้ายคนที่ชอบก็ไปอยู่พวก แล้วอ้ายคนที่ไม่ชอบก็ไปรวมกลุ่มกัน แล้วก็

แยก แบ่งแยกย่อยออกไปเรื่อยๆ
งั้น นี่คือ ความละเอียดอ่อนที่ศาสนาโดนทำลายมาเนิ่นนาน มันก็เลยไม่เป็นแก่นในการที่

ยึดผูกหัวใจของคน ก็เหลืออยู่แค่สถาบันเดียว ก็คือ สถาบันพระมหากษัตริย์ เมื่อ 50 ปี

ย้อนถอยหลังไป นับรวมไป 50 ปี เราก็มีศูนย์รวมอยู่ดวงเดียว แล้วทุกคนก็จะเชื่อ ทุก

คนก็จะศรัทธา ทุกคนก็จะเคารพ เพราะภาพของพระมหากษัตริย์ ผู้ทรงธรรม เป็นผู้ให้

ประโยชน์ เป็นผู้มีคุณูปการ เป็นผู้ทำคุณต่อแผ่นดิน เป็นผู้ให้คุณต่อประชาชน เพื่อ

ประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม เราจะปกครองแผ่นดินโดยธรรม
ด้วยความหมายและภาพแบบนี้ มันเป็นความหมายที่ดึงหัวจิตหัวใจของคนให้ยึดเกาะ ยึด

โยงกัน ตอนหลังมา มันก็มีกระบวนการ หลังจาก 50 ปีถอยหลังมา 50 ปีนับล่วงหน้าไป

มันก็มีกระบวนการที่จะเกาะกินทำลายภาพเหล่านี้ให้หมดไป ทำร้ายภาพเหล่านี้ แล้วก็

สร้างภาพในมุมลบขึ้นมาอยู่เรื่อย แรกๆ ก็นิดๆ หน่อยๆ ตรงนู้นบ้าง ตรงนี้บ้าง ข่าวนู่น

ข่าวนี่ ข่าวนั่น จิ้มนิด จิ้มหน่อย ไปเรื่อย จนกระทั่ง ผ้าสีขาวมันกลายเป็นสีขุ่น แล้วสุดท้าย

ก็กลายเป็นขมุกขมัว
พอเห็นว่า สถาบันเริ่มอ่อนแอทั้ง 3 สถาบัน ก็เริ่มแตกกันเป็นกลุ่ม มันก็เป็นผลดีต่อคนที่

คิดจะยึดครองถ้ามองกันง่ายๆ เพราะว่า มันไม่มีศูนย์รวมของจิตใจ ก็ไม่มีพลังเหมือนกับ

ไผ่ที่มันต้นเดียว หักเมื่อไหร่ก็หักได้ ถ้ากอไผ่ทั้งกอ มันก็หักยังไง ก็หักยาก
งั้น กอไผ่นี่ต่างคนต่างแย่ง มึงไปซ้าย กูไปขวา มึงเดินหน้า กูถอยหลัง ไม่มี โดดเดี่ยว โด่เด่

อยู่ตัวคนเดียว ก็อะไรมันจะมาพัด อะไรมันจะหัก ลมกระหน่ำ น้ำท่วมก็ล้ม ต้นมันหักได้ง่าย
นี่แหละคือ ความแตกแยก แตกสลายของความเป็นชาติ แล้วเราก็กำลังโดนอย่างนี้ แล้วก็

คนปกครองอยุติธรรม หรือผู้ปกครองเถื่อนๆ โดยไม่ชอบธรรม เค้าก็อยากให้เป็นอย่างนี้

เค้าอยากให้บ้านเมืองเราอ่อนแอ เพราะถ้ายิ่งอ่อนแอได้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งจิกหัวใช้ ยิ่ง

ครอบงำได้มากเท่านั้น ยิ่งชี้ซ้ายชี้ขวา ยิ่งโกงกิน ยิ่งหาวิธีการ ยิ่งสร้างกระบวนการยึดได้

เยอะขึ้น ได้ง่ายขึ้น ได้สบายขึ้น เพราะเรามัวกัดกันเอง มัวแต่มาแบ่งคนละพรรค คนละฝ่าย

คนละพวก คนละสี คนละศาสนา คนละสำนัก คนละอาจารย์ คนละลัทธิ แล้วก็ คนมีเจ้า อีก

คนบอกไม่มีเจ้า  คนหนึ่งบอกเจ้าไม่จำเป็น อีกคนบอกเจ้าจำเป็น
มันก็เลยกลายเป็นกระบวนการที่ทำลายตัวเองโดยปริยาย
นี่มันเป็นเรื่องของ ย้อนกลับไปสมัยพระเจ้าลิจฉวี วัสสการพราหมณ์ นักศึกษา สะสมไม่ดี

ก็จะเป็นอย่างนี้ วัสสการพราหมณ์โดนสั่งมาให้บ่อนทำลายแยกแยะ จนกระทั่งความ

สามัคคีของชนกลุ่มลิจฉวีหมดความสามัคคี แล้วทีนี้ ก็จะก็ได้ จะกระหนาบก็ได้ จะยึดก็ได้

จะผูก จะโยง จะพันธนาการได้สบายมาก เพราะต่างคนต่างไป งั้น เรื่องนี้มีอยู่ในพระสูตร

ในพระชาดก แล้วไทยกำลังจะเป็นแบบนี้ มันเป็นกันมา ไม่ใช่ ก็บอกแล้วว่า 50 ปี เดิน

หน้า ไม่นับอ้าย 50 ปีย้อนหลัง มันเป็นสภาพแบบนี้มาเนิ่นนาน
อ้ายรัฐบุรุษ หรือ คนที่เค้ามีภูมิความรู้ เค้ามองเห็นภาพอย่างนี้ เราก็ไปตำหนิเค้าว่า เป็น

ทรราช เป็นโจร เป็นคนไม่ดี เป็นคนทำร้ายทำลาย สมัยก่อนหลวงปู่จำได้ ตั้งแต่ 2500,

2502, 2506 จอมพลป. พิบูลสงคราม เอ้ย จอมพลสฤษดิ์ ก่อนจอมพลถนอม 1

นายก เค้าก็พยายามจะปราบคนพวกนี้ คนที่คิดจะทำร้ายทำลาย เอะอะอะไรก็ใช้มาตรา 17

มาตรา 17 เดี๋ยวนี้มาตรา 17 ไม่มีแล้วนะ ถนอมก็ยังใช้มาตรา 17 สัญญา ธรรมศักดิ์

ก็ใช้ มาตรา 17
อยู่มาหลายนายกแล้ว ทำให้เห็นภาพว่า บ้านเมืองเรามันไม่มีคนรักษาประเทศ รักบ้านรัก

เมืองจริง นายกฯ แต่ละคนก็รักแต่กระเป๋าตัวเอง ถ้ารักบ้านรักเมือง ก็จะปราบคนที่ฉ้อรา

ษฏร์บังหลวง กบฏ ทำร้ายทำลายบ้านเมือง ทำร้ายทำลายสถาบันได้ เพราะอำนาจอยู่ในมือ

แต่ทีนี้ ก็ปล่อยให้คนที่มีความคิดทำร้ายทำลายบ้านเมือง ทำร้ายทำลายสถาบันนั่งอยู่ในสภา

เราจะมีปัญญา มีแรงอะไรไปทำ ก็ดูความเสื่อม
ตอนนี้ ทำได้อย่างเดียว ก็เฝ้าดูความเสื่อม เว้นเสียแต่ว่า ปล่อยให้กรรมมันกลืนกินสรรพสิ่ง

และกัดกินชีวิตสัตว์ไปเอง
คนชั่วมันก็คงอยู่ได้ไม่นาน เหมือนกับขยะที่โยนลงทะเล แล้วก็ คลื่นมันก็ซัดขึ้นฝั่งในที่สุด

แต่ส่วนจะนาน จะเร็ว จะช้า ก็ขึ้นอยู่กับคลื่นลูกใหญ่ลูกเล็ก ก็ต้องปล่อยไปตามเหตุตามปัจจัย
ไว้มีโอกาส เมื่อคลื่นสงบ เราอาจจะนั่งเรือไปเก็บขยะด้วยตัวเอง หรือไม่ก็ว่ากันไปอีกเรื่อง

หนึ่ง แต่ตอนนี้ ก็ให้เป็นไปตามกฏของกรรม หรือ กฏของคลื่นกันเองก็แล้วกัน จบ
พิธีกร    หลวงปู่บอกว่า เป็นไปตามกฏแห่งกรรม
หลวงปู่   เอ ทำไมวันนี้ มันมีแต่เรื่องพวกนี้ เรื่องอื่นๆ ไม่มีเหรอ
พิธีกร    ขอในช่วงแรกครับ ยังมีหลายๆ คำถามอยู่ แต่หลวงปู่บอกว่า เป็นไปตามกฏแห่ง

กรรม กรรมนี้จะมาเร็วได้แค่ไหนครับ หลวงปู่ครับ ปุจฉา
หลวงปู่    เดี๋ยวชั้นเจอมัน จะถามมันให้ ทำไมมาเร็วมาช้า เดี๋ยวไว้เจอแล้วจะถาม
พิธีกร   อันนี้ หมายถึงเรื่องอื่นๆ ด้วยก็ได้นะครับ ถ้าคนทำบาปทำกรรม
หลวงปู่    มันขึ้นอยู่กับสถานภาพของคน คนๆ นั้น จะมีบุญมาเกิดเยอะ หรือมีบาปมาเกิด

เยอะ  คนมีบุญมาเกิดเยอะ กว่าจะใช้บุญที่มีหมด มันก็ต้องนานพอสมควร อ้ายคนที่มีบาป

มาเกิดเยอะ กว่าจะได้บุญ ก็นานพอสมควร
งั้น ในขณะที่เสวยบุญ บาปมันก็ไม่ให้ผล ในขณะที่เสวยบาป บุญมันก็ไม่ให้ผล
ทีนี้ บางคนก็เสวยทั้งบุญ เสวยทั้งบาป ก็ขึ้นอยู่กับโง่กับฉลาด
ถ้าโง่ ก็เสวยบาป ถ้าฉลาด ก็เสวยบุญ
งั้น อ้ายตัวที่นำกระบวนการเสวยหรือเสพนี่ มันอยู่ที่ปัญญา
คนมีปัญญามาก ก็จะเลือกเสวยแต่บุญ แล้วก็ปฏิเสธบาป
แต่คนมีปัญญาน้อย ปัญญาผลุบๆ โผล่ๆ ปัญญานิดหน่อย ก็บาปบ้าง บุญบ้าง ผสมปนเปกัน

ไป
แต่จะถามว่า คนที่มีอำนาจวาสนา แล้วไม่ใช้อำนาจในการสร้างบุญ กลับใช้อำนาจในการ

ทำบาปเนี่ย มันน่าสงสาร เพราะภพภูมิต่อๆ ไป หรือวันข้างหน้า ภพชาติต่อๆ ไป มันก็จะมี

แต่บาปกับบาป แล้วบุญที่จะให้ผล ส่งผลตัวเองให้สูงส่ง มีวาสนาถึงปัจจุบัน ก็คงจะน้อยลง

หรือไม่ก็ไม่มีเลย
พวกนี้มันหนีกรรมไม่พ้น แต่กฏแห่งกรรมมันจะให้ผลได้แสบร้อนตามเห็บหรือว่า เอาแค่

มันๆ เกาคะเยอเฉยๆ มันก็ขึ้นอยู่กับผลแห่งกรรมที่ทำไว้ แล้วก็ตามให้ผลยาวสั้น ใหญ่เล็ก

ดีชั่ว ในอดีตและปัจจุบันสะสมด้วยเหมือนกัน
เรื่องนี้ มันอยู่ที่อำนาจของกรรม เรียกว่า มีอุปฆาตกรรมมาตัดรอน อุปรียกรรมสนับสนุน

อุปถัมพกกรรม เลี้ยงดูส่งเสริม งั้น เราไม่หนีกรรมไม่ได้ ไม่ว่าใครคนใดก็ปฏิเสธผลแห่ง

กรรมไม่ได้ จบ
พิธีกร   ทีนี้มาถึงเรื่องบุญบ้างครับ
ปุจฉา   ทำไมทุกวัดต้องมีการปิดทองฝังลูกนิมิตร และอานิสงส์ในการปิดทองฝังลูกนิมิตร

จะได้บุญเช่นไรครับ
วิสัชนา   ทำไมทุกวัดต้องมีปิดทองฝังลูกนิมิตร ที่จริงน่ะ ลูกนิมิตรต้องปิด ต้องฝัง ถ้าไม่ฝัง

มันก็ไม่สำเร็จประโยชน์ เพราะนิมิตรแปลว่า เครื่องหมาย เหมือนๆ กับบ้านเราทำไมต้องมี

รั้ว เพราะถ้าไม่มีรั้ว เดี๋ยวหมาก็เข้า โจรก็ขโมย ขนาดมีรั้ว หมาก็ยังเข้า โจรยังปืนได้เลย
งั้น นิมิตรมันเปรียบเหมือนกับหลักเขต เขตหลักเครื่องหมายที่ แสดงว่านี่คือ เขต เขต

พุทธาวาส เขยสังฆาวาส เขตที่พระสงฆ์ทำสังฆกรรม เค้าเรียกว่า เขตสีมา
นิมิตรน่ะ จำเป็นต้องมีฝัง แต่อ้ายคำว่า ปิดทองน่ะ หาตังค์ หาตังค์ วัดต้องการตังค์ วัดอยาก

ได้ตังค์ ก็หาเหตุมา แล้วก็ชวนชาวบ้านมา ชาวบ้านเชื่อก็ทำตามวัด มันก็ไม่ได้เสียหาย มัน

ก็มีอานิสงส์ ถ้าเราเชื่อเรื่องกฏของกรรม ทำ ก็ได้ผล ไม่ได้เสียหายอะไร เพราะเมื่อวัดได้

ตังค์มา ก็เอาตังค์ไปใช้ประโยชน์ เสียค่าน้ำค่าไฟ ค่าอาหาร หยูกยา รักษาโรค บริหาร

จัดการบำรุงดูแลพุทธศาสนา สถานที่ให้ร่มรื่นรมยณีสถาน
ทุกอย่างมันต้องใช้ตังค์ทั้งนั้นแหละ ถ้าไม่ใช้ตังค์ เดี๋ยวนี้ จะไปขอแรงเค้า อ้าว คนเกิดวัน

จันทร์มาช่วยกวาดลานวัด มีไม๊
โอ๊ย ไม่มีหรอก มันไม่เหมือนพม่า พม่าเค้ารวย จน เค้าทำบุญตลอด เค้าถือว่า เกิดมาแล้ว

ต้องทำบุญ จนก็ทำบุญ รวยก็ทำบุญ ยิ่งจนมากก็ยิ่งทำบุญให้ได้มาก เพราะถือว่า อ้ายที่จน

ทุกวันนี้ เพราะบุญที่ทำไว้ในอดีตมันน้อย ก็เลยยิ่งทำมากขึ้นๆ แล้วเค้าก็เชื่อกันอย่างนี้ เค้า

โดนสอนให้เชื่อแบบนี้
งั้น ถ้าเราไปพม่า ใครที่ไปพม่า ก็จะรู้ว่า ลานเจดีย์วิหารนี่ เค้าสะอาดเอี่ยมเลี่ยมโล่ง 7 วัน

ครบ
เพราะอะไร
เพราะพอถึงวันจันทร์ คนเกิดวันจันทร์ก็อยากมาทำบุญ เค้าจะสอนกันแบบนี้ ใครอยากทำ

บุญ มีตังค์ก็มาทำได้ ไม่มีตังค์ก็มาทำได้ แล้ววิธีทำๆ ง่ายๆ หาไม้กวาด หาผ้าขี้ริ้ว หาผ้ามา

เช็ดศาลา กวาดกุฏิ เช็ดพระ เช็ดหน้าต่าง ประตู
นี่คือ วิธีทำบุญของเค้า แล้ววัดเค้าสะอาด
ไทยมีอย่างนี้เหรอ
ไม่มี๊
โอ๊ย มันไม่งัดเอาไปกินก็บุญเท่าไหร่แล้ว ก๊อก เดี๋ยวนี้ จากทองเหลืองเปลี่ยนเป็นพลาสติก

พอวันจันทร์มันมาติด วันพฤหัสมันมาถอด มันเป็นอย่างนี้ โจรมันเต็มบ้านเต็มเมือง
พม่าเค้ามีโจรไม๊
มี๊ แต่เค้าไม่ทำร้ายศาสนา เค้ากลัวบาปกลัวกรรม แต่ไทยเราเนี่ย อุ๊ย อย่าว่าแต่ก๊อกเลย

เศียรพระมันยังตัดเอาไปกินเลย เนี่ย คนใจบาป จิตใจหยาบกระด้าง มันทำยากพูดยาก

ขนาดทำๆ อยู่ คนยังว่าเลย คนเค้ามาทำ อุ๊ย อยากได้หน้า อยากได้อะไรก็ว่าไปเรื่อย เค้า

เรียกว่า มือไม่พาย ยังเอาปากแกว่งหาตีนชาวบ้านอีก เออ คนกำลังทำดี ดันไปว่าเค้าอีก
เนี่ยคือ นิสัยคนไทย พวกพม่าเค้าไม่ใช่นะ เอ้า ไม่เชื่อ มึงลองไปดู วันจันทร์ อังคาร พุธ

พฤหัส ศุกร์ เสาร์ เค้าเต็มหมด 7 วัน มีคนมาทำให้ พระไม่ต้องทำอะไร สวดมนต์ ภาวนา

บิณฑบาตร ฉัน ไม่ต้องมานั่งล้างส้วม กวาดขยะ ไม่ต้อง หญ้าหยูกไม่ต้องมานั่งเช็ด นั่งตัด

ไม่ต้องมานั่งล้าง นั่งถู ทำแต่ตัวเองพอ พระมีหน้าที่
ถ้าพระไทยเป็นอย่างนี้ มีไม๊
อุ๊ย ไม่มี แล้วแถมยังด่าอีก เข้ามา วัดสกปรก ไม่ด่าชาวบ้าน ด่าใคร ด่าพระ ขี้หมารก  ด่า

ใคร ด่าพระ ทั้งๆ ที่หมาก็หมาชาวบ้านเอามาปล่อย ชาวบ้านเอาหมามาปล่อย วัดก็เลี้ยง

เลี้ยงก็ขี้ ขี้แล้วก็ไปเหยียบระเบิด ก็มาหาว่า พระไม่ดูแล งั้น มันพูดยาก สังคมไทยเรา นับ

วันยิ่งหยาบ ยิ่งกระด้าง
งั้น การหาตังค์ ก็เลยกลายเป็นความจำเป็น พูดกันตรงๆ เป็นความจำเป็นสำหรับวัด ถ้าวัด

ไม่มีตังค์ก็ไม่ไหวเหมือนกัน อยู่ไม่ได้ จะเอาที่ไหนมาทำ เออ ชาวบ้านก็ไม่ได้ให้มากมาย

นักหนา  งั้น วัดก็ต้องหาวิธีตุนเอาไว้ก่อน ประมาณนั้นแหละ จัดงาน ทำกิจกรรมบ้าง เออ

อะไรล่ะ ปิดทองลูกนิมิตร ปิดแล้วก็ฝัง ฝังแล้วก็ขุดขึ้นมาปิดใหม่ เออ ปีนี้ขาดทุน เออ ปิด

ใหม่เว้ยปีหน้า อะไรอย่างนี้ มันก็ประมาณนี้แหละ ทำไงได้ แล้วรัฐบาลเค้าไม่ได้อุปถัมภ์

ทำนุบำรุงพระศาสนาอย่างที่เค้าคุย คุยกันนักหนา แต่ไม่ได้เป็นจริงเป็นจัง จะว่าอุปถัมภ์ทั้ง

หมดก็คงไม่ไหวเหมือนกัน แต่พม่าเนี่ย ถ้าไปศึกษาประวัติศาสตร์ รัฐบาลไม่ได้ให้อะไรกับ

วัด มีแต่ชาวบ้านเค้าทำวัด ไปดูเมืองพุกามเค้า วัดเป็นหมื่นๆ วัด เมืองเดียว เจดีย์นับได้ตั้ง

กี่หมื่นองค์ ชาวบ้านทำทั้งนั้นนะ เค้าทำแข่งกัน มีพระราชามาเป็นต้นแบบอยู่หน่อยหนึ่ง

แล้วชาวบ้านก็ทำกันเป็นเรื่องเป็นราว เป็นเมือง แล้วเค้าไม่ปล่อยให้เป็นมรดกโลกนะ เค้า

ไม่อยากให้ใครมาแทรกแซงเค้า ไทยเรามีจอมปลวกอยู่หน่อยเดียว ก็ไปขึ้นทะเบียนมรดก

โลก ทุเร๊ศ ทุเรศ อยากเป็นมรดกโลก
เอ้า ไปดูพม่า เค้าทั้งเมืองเลย ดูซิ เคยไปหรือเปล่า ที่เมืองพุกามน่ะ อู้หู เจดีย์เค้ามีเป็นหมื่นๆ

องค์ แล้วเค้าสูงยิ่งกว่านครปฐมอีก ไทยเราน่ะ จริงๆ บอกอย่างที่ว่า มีจอมปลวกอยู่หน่อย

เดียว อู้หู หน้าระเริงไปขอเป็นมรดกโลก ของเค้าน่ะ เค้าไม่ให้เลย อย่า อย่ามาแตะ เค้าบอก

เค้าไม่อยากให้ใครมาก้าวก่ายเค้า ไม่อยากให้ใครมาล่วงเกิน แล้วเค้าก็อยู่ได้ ไม่เห็นเค้า

ลำบากลำบนอะไร คนก็ยังแห่ ไปเที่ยวไปชมไปดูเค้าเลย ยังไปศึกษา
อ้ายมรดกโลก มันก็ไม่ต่างอะไรกับ เค้าเรียกอะไร กะหรี่สาธารณะ อ้าว จริ๊งจริง พูดเห็น

ภาพเลยไม๊ ก็มันอยู่สาธารณะไง เค้าเรียก กะหรี่อยู่สี่แยกน่ะ มาแยกไหนก็เจอหมดล่ะทีนี้

ประมาณนี้มรดกโลก แต่อ้ายพม่าเนี่ย เค้าสาวงามอยู่ในป่า เห็นภาพไม๊ เค้าเป็นสาวงามอยู่

ในป่า เค้าไม่ใช่กะหรี่สาธารณะมาเสนอหน้ารับแขก ถามพูดเห็นภาพเลย
เอ้า จริ๊งจริง เดี๋ยวนี้มันเป็นอย่างนี้ มันเป็นภาพแบบนี้ สาวงามอยู่ในป่า อ้าว เป็นเรา เรา

อยากจะไปชมกะหรี่สาธารณะหรืออยากไปชมสาวงามในป่า
อ้าว สืบสกุล พันธุ์ดี
พิธีกร    ยอมไปป่า เพราะได้ชมสาวงาม
หลวงปู่   เออ นึกว่าจะชมกะหรี่สาธารณะ
พิธีกร   อันนั้นมันเห็นง่ายเกินไปครับ พบเจอง่ายเกินไป
หลวงปู่   เออ เพราะฉะนั้นก็เลยอยากบอกว่า ไทยมันก็ต้องอย่างนี้ ต้องหากุสโลบาย หา

กรรมวิธี แล้วแต่ใครจะคิดแบบฉลาดคิด คิดแบบโง่คิด คิดแบบโง่คิด ก็ทำไปเรื่อย ตั้งแต่

สากกะเบือยันเรือรบ
คิดแบบฉลาดคิด ก็ทำในเรื่องที่ควรจะทำ รักษารูป รักษาธรรม รักษาสมณะวิสัย เค้าเรียกว่า

คิดแบบฉลาดคิด ถ้าคิดแบบโง่ๆ คิด ก็ปลุกเสกเลขยันเป่าน้ำมนต์พ่นน้ำหมาก ดูดวงต่อชะตา

เสริมมงคล แก้กรรม เปลี่ยนกรรม อะไรก็ว่าไป เค้าเรียก คิดแบบคนโง่คิด
แต่สรุปแล้ว ไม่ว่าคิดฉลาด คิดโง่ ก็คิดหาตังค์ เท่านั้นเอง คำตอบสุดท้าย ตังค์ ตังค์ จบ
ปุจฉา   ขอหวยจากพระ
วิสัชนา   เอ้า นี่ไง พอจะคิดแบบโง่คิด ก็ให้ ให้ ไม่ยาก คนแรกมา ก็เอาไปหนึ่ง คนที่ 2 มา

ก็เอาไป 2 คนที่ 3 มา ก็เอาไป 3, 4, 5 เดี๋ยวมันก็โดนซักตัวล่ะ อ้ายที่โดนกินน่ะ

ทำเงียบไว้โยม แต่ไหนโดนถูกล่ะพอออกหน้า 1 ให้เยอะเข้า เดี๋ยวมันมีคนว่า เพราะคน

ในโลกใบนี้ โง่มากหรือฉลาดมาก
เออ โง่มากกว่าฉลาด งั้น คนโง่ย่อมเชื่อ มีคนเค้าถามหลวงปู่ อยากขายหอมจังได้ ขายพระ

ได้ ทำไมไม่ไปลงหนังสือพิมพ์ เออ ไม่ต้อง เพราะลงแล้ว มันทำให้คนโง่มากขึ้น เอาเป็นว่า

ใช้แล้วได้ผล ก็บอกต่อๆ กัน ไม่ต้องเสียตังค์ด้วย ไม่ต้องสิ้นเปลืองมาก สำคัญข้อนี้ ไม่ต้อง

เสียตังค์ ไม่ต้องสิ้นเปลือง แล้วก็ประหยัด อีกทั้งก็ไม่ได้ไปหลอกลวง ไม่ได้ไปมอมเมาชาว

บ้านเค้าว่า อ้ายใช้ถูก ใช้ถี่ ใช้ดี ใช้ทน ไม่มีอยู่ในกระบวนการ
เพราะว่า สอนให้คนเค้าไปเอาเปรียบคน แล้วไปครอบงำคน นี่มันเป็นกรรม อกุศลกรรมนะ

มันเป็นความชั่วอย่างหนึ่ง มันทำร้ายตัวเองในภพชาติต่อๆ ไป  งั้น ก็ให้เค้าเชื่อด้วยเหตุ

ปัจจัยของเค้า อย่ามาเชื่อเพราะเหตุปัจจัยเราชักชวน เราชวนนี่แสดงว่า เราไปครอบงำเค้า

แม้แต่สิ่งที่ชวนจะเป็นเรื่องดีงามก็ตามทีเถอะ แต่ถ้ามันไม่ถูกจริต หรือไม่ถูกวิสัย ไม่ถูกกา

ละเทศะ ไม่ถูกสมัย ไม่ถูกชุมชน ไม่ถูกบุคคล มันอาจจะเป็นความชั่วผิดบาปได้ จบ
พิธีกร    ต่อเนื่องของการเชิญชวน ซึ่งเป็นการเชิญชวนที่ดี ซึ่งเป็นโครงการของทางวัดเอง

นะครับ กับโครงการทอดผ้าป่าสามัคคีช่วยโรงเรียนที่ถูกน้ำท่วมที่โรงเรียนวัดหนองปรง

กาญจนา ซึ่งจะเริ่มวันที่ 2-9 พฤษภาคม ครับหลวงปู่
หลวงปู่    อุ๊ย ชั้นเตรียมตังค์ไว้แล้ว ไม่ต้องหรอก ไปขุดมัน เป็นไข้ เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว

เดี๋ยวแล้ง เดี๋ยวฝน อะไร ได้ตังค์มาแล้ว ไม่ต้อง เตรียมตังค์ไว้แล้ว ประมาณสักแสนห้า เอ้า

แบ่งบุญให้ด้วยแล้วกัน (สาธุ)
เตรียมไว้แล้ว ไม่ต้อง เดี๋ยววันอังคาร แล้วก็ทำอาหารไปเลี้ยงเด็กนักเรียน ก็น้ำท่วมมิด

หลังคา รัฐบาลเค้าให้มาแสนนึง ครูเค้าบอกว่า ได้มาทั้งหมดแสนนึง ก็ห้องคอมพิวเตอร์

ห้องสมุด ห้องอะไร ไปหมด ได้เงินมาแสนนึง ทำอะไรไม่ได้ แล้วตอนนี้ชาวบ้านเค้าเพิ่งจะ

ปลูกข้าวได้ไม่กี่เดือน เพราะน้ำมันแห้ง มันลดไม่นาน ก็ยังไม่สามารถจะหาเงินได้ เค้าก็

เลยขอมา โรงเรียนเปิดเทอม เค้าเดือดร้อน ก็เดี๋ยวเอาไปให้เค้า วันอังคารนัดเค้าไว้ อังคาร

นี้จะไป แล้ววันพุธก็จะไปปลูกป่า ปลูกป่าถวายในหลวง ให้ชื่อโครงการว่า ปลูกต้นไม้ให้พ่อ

ช่วยพ่อปลูกต้นไม้ เอาต้นประดู่ มะค่า ยางนา เจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังเอาต้นยางนามา

ถวายไว้ให้หลายร้อยต้น และหนังสือคู่มือยางนา เดี๋ยวก็ไปแจกชาวบ้านได้ไปปลูก ถือว่า

เป็นต้นไม้พระราชทาน ปลูกตามโครงการ ช่วยพ่อปลูกต้นไม้
ไม่เป็นไร ไม่ต้องรบกวน พวกคุณก็กำลังลำบาก เทอมก็กำลังเปิด ค่าใช้จ่ายก็มีมาก ในบ้าน

ในครัวทุกอย่างมันก็แพงขึ้น งั้น ไม่อยากรบกวน ทำอะไรได้ ก็ทำตามกำลัง ตามเหตุตาม

ปัจจัย จบ
พิธีกร   แต่ที่หลวงปู่บอกว่า สำหรับโครงการลูกช่วยพ่อปลูกป่าและดูแล ที่เราจะรวมตัวกัน

วันที่ 30 พฤษภาคมที่ตำบลห้วยเขย่ง อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ก็มีญาติโยม

ถามมา อยากจะร่วมโครงการ จะร่วมทำบุญได้ด้วยวิธีใดบ้าง จะโอนผ่านบัญชีอย่างไรบ้าง
หลวงปู่   เค้าก็มีกระบวนการ หลวงปู่ให้มูลนิธิฯ กับบริษัทบุญกุศลเค้าไปทำ ก็คือ เอาต้นไม้

ที่ชาวบ้านเค้าให้มาคราวที่แล้วที่มีการทอดผ้าป่า แล้วก็มีการรวบรวมจากการไฟฟ้าฝ่าย

ผลิตบ้าง กรมป่าไม้บ้าง กรมป่าไม้เอาไปไม่ได้ เพราะต้นมันแค่คืบเดียว เดี๋ยวจะตาย ก็ต้อง

เพาะไว้จนกว่ามันจะโตขึ้นมาอีกซักหน่อย ให้มันปลอดภัยแล้วจึงจะไปให้ ก็ไปซื้อมาบ้าง

คราวที่แล้วที่ทอดผ้าป่า ก็ได้มาหลายพันต้น ก็เอาไปแจกๆ ตามครัวเรือนแล้วแต่ว่า ใครมี

พื้นที่หัวไร่ปลายนาที่ว่างๆ ก็เอาไป บ้านหนึ่ง ร้อยต้น สองร้อยต้น เราก็จะให้ปุ๋ยกระสอบ

หนึ่ง เพื่อเอาไปใส่และบำรุงรักษาพืชพันธุ์ของตัวเอง แล้วเราก็จะมีการติดตามผลงานตลอด

3 ปี เมื่อเห็นว่า ต้นไม้เจริญเติบโตดีแล้ว ก็จะมีการประกวดประชันกัน มีการแข่งขัน

แล้วก็มอบรางวัล
ก็อยากจะปลูกฝังให้คนในพื้นที่ต้นน้ำลำธาร รักสิ่งแวดล้อม เพราะเราปลูกต้นไม้เนื้อแข็งไว้

เป็นมรดกให้ลูกหลาน เดี๋ยวนี้ คนพวกเรา ชั้นเรานี่ ไล่ตัดกันหมด เหลือแต่ไม้เนื้ออ่อน คือ

ไม้ยาง ยางพารา ตัดไม้เนื้อแข็งทิ้ง ก็ปลูกแต่ยางพาราเข้าไปแทน งั้น ในหลวงท่านก็ทรง

ตรัสว่า บ้านเราเมืองเรานี่ พอฝนตกหน่อย ยางพารานี่มันไม่มีรากแก้วยึดหน้าดิน มันก็ชะ

เอาน้ำตื้นเขินในท้องร่อง ในแม่น้ำ น้ำก็บ่าท่วมไปทั่ว แล้วราชการก็ไม่มีงบจะลอก หรือว่ามี

ก็ไม่สนใจจะลอก อะไรก็แล้วแต่ แต่สุดท้ายก็ทำร้ายสิ่งแวดล้อม แล้วก็ทำลายระบบนิเวศน์

ไม้ดีๆ หลายอย่าง เค้าเรียกไม้เฉพาะถิ่น มันมีเฉพาะเขตประเทศไทยกับประเทศใกล้เคียง

เช่นไม้พยุง ซึ่งมีค่ามาก กิโลหนึ่งหลายตังค์นะ โลเป็นหมื่น เค้าก็ซื้อกันเป็นนิ้ว นิ้วหนึ่งกี่

พันบาท ไม่รู้ล่ะ เพราะงั้น มันจะสูญพันธุ์ไปหมดแล้ว เพราะโดนลักลอบตัด ก็เอาพันธุ์กล้า

ไม้นี้ไปไล่แจก ให้คนมาปลูกไว้เป็นปี 10 ปี 20 ปี คนปลูกตายแล้วหรือยังไม่ตาย ก็ได้

เห็นประโยชน์
งั้น ก็ไปทำ ทำตามที่พ่อเราดำริว่า อยากให้พวกเราช่วยกันปลูกต้นไม้เนื้อแข็งเยอะๆ ตาม

หัวไร่ปลายนา ตามที่ว่าง ที่รกชัฏที่มันพอจะปลูกได้ เพราะมีรากแก้วเข้าไปยึดหน้าดิน ยึด

ดินไว้ได้ลึก มันก็จะช่วยรักษาระบบนิเวศน์ อินทรีย์วัตถุในดินก็จะอุดมสมบูรณ์ พืชพันธุ์

ธัญชาติ ปลูกแล้วก็ไม่ต้องใส่ปุ๋ยมาก แล้วอีกอย่างก็ป้องกันน้ำท่วมให้ผ่านพ้นได้ ก็ทำเท่า

ที่ทำได้
เรื่องปลูกป่านี่ หลวงปู่ปลูกมาชั่วชีวิตอยู่แล้ว ผลงานไปดูได้ถ้ำไก่หล่น สมัยก่อนเขาหัวโล้น

เดี๋ยวนี้เขียวชอุ่ม เนื้อที่เป็นพันๆ ไร่ ขอที่จากชาวบ้านที่เค้ารุกเข้าไปปลูกสับปะรด ขอเค้า

ได้คืนมา 800 กว่าไร่ รักษาที่เดิมไว้อีกพันกว่าไร่ แล้วก็ไล่ปลูกไปเรื่อย ใช้เวลาปลูก 5

ปี ปลูกพอมันโตเขียวสมบูรณ์ดี ก็ออกมา ยกพื้นที่ให้ป่าไม้ ยกพื้นที่ให้ตำรวจตระเวนชาย

แดนดูแล ทำมาแล้ว ลูก ทำ เราเห็นผลว่า ถ้าเราดูแลมันจริงๆ จังๆ เนี่ย มันจะได้ประโยชน์

จบ
พิธีกร    คำถามจากเด็กหญิง อายุ 10 ขวบ
ปุจฉา    ถ้าพระพุทธเจ้าดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว ท่านจะอยู่ที่ไหน
วิสัชนา    พระพุทธเจ้านิพพาน แล้วก็คือนิพพานแล้ว เพราะนิพพานเป็นสภาวะธรรม
นิพพานไม่ใช่ที่ ไม่ใช่ถิ่น มันเป็นสภาวะธรรมที่มันเป็นความว่าง ท่านนิพพานโดย

นิรมาณกาย ก็คือกายบริสุทธิ์ของพระองค์ แต่โดยลักษณะของธรรมกาย คือ กายอันเป็น

พระธรรม หรือกายอันเป็นธรรมะ หรือพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงไว้ดีแล้ว ไม่ดับสูญ

ยังดำรงคงอยู่ได้
อย่าไปตีความหมายให้เป็นธรรมกายที่มีตัวตน มีสำนักอะไร มันคนละเรื่องกันนะ อันนั้น

เค้าพยายามพูดเป็นเรื่องเป็นราวเพื่อให้เป็นตัวเป็นตน เป็นอัตตาขึ้นมา นิพพานนี้ไม่ใช่อัตตา
นิพพานมันเป็นสุญญตา สุญญตาก็คือ ความว่าง เป็นอนัตตา ความไม่มีตัวตน งั้น ไม่ใช่

นิพพานที่มีตัวตน มีตัวมีตนไม่ใช่
งั้น เมื่อพระพุทธเจ้าทรงนิพพานแล้ว ก็คือ มีสภาพธรรมที่ดำรงอยู่เท่านั้น เหลือไว้แต่

สภาพธรรมที่ดำรงอยู่ แต่รูปร่างหรือร่างกาย พูดเป็นภาษาชาวบ้าน ก็คือ คำสอนของ

พระองค์ไม่ได้ดับสูญ แต่ชีวิตของพระองค์ ร่างกาย เนื้อของพระองค์ได้ดับสูญไปหมดแล้ว

เหลือไว้แต่ธรรมกาย หรือว่า คำสอนของพระองค์ แล้วก็เหลือเอาไว้ซึ่งพุทธานุภาพ

อานุภาพของพระองค์ยังดำรงอยู่ชั่วกัปชั่วกัลป์
คำว่า พุทธานุภาพ คือ อานุภาพ หรือไม่ก็ เรียกว่า พลังก็ได้ รัศมีก็ได้ ฤทธิ์ก็ได้ เดชก็ได้

อำนาจก็ได้ หรืออภินิหารก็ได้ ยังดำรงอยู่ รวมอยู่ในคำว่า พุทธานุภาพ อันนี้ยังไม่ดับสูญ

ชั่วกัปชั่วกัลป์จนกว่าตัวธรรมะจะหายไป ตัวธรรมะจะอันตรธาน
เค้ามีอัตรธาน 3 อย่างก็คือ
ปริยัติอันตรธาน
ปฏิบัติอันตรธาน
ปฏิเวธอัตรธาน
แต่อันตรธานที่ 1 อันตรธานแรกคือ ปฏิเวธอัตรธาน คือ ความสงบระงับในอุปกิเลส ยุค

นี้มันเป็นยุคปฏิเวธอัตรธาน เป็นยุคที่ปฏิเวธอันตรธานเพราะไม่มีผู้ใดได้เข้าถึงปฏิเวธะอัน

แจ่มชัดได้จริง แล้วคนที่เข้าถึงได้จริงก็จะไม่มาประกาศโฆษณา งั้น จึงถือว่า เป็นความ

เสื่อมในปฏิเวธะ เรียก ปฏิเวธอัตรธาน
ปฏิเวธ คือ ความสงบกาย สงบจากิเลส อุปกิเลสทั้งปวง ถือว่าปฏิเวธอัตรธาน เพราะปฏิเวธ

แล้วก็ปฏิบัติก็จะตามมา ไม่ค่อยมีใครสนใจปฏิบัติ
แต่ตอนนี้ ยังมีคนปฏิบัติอยู่ไม๊
มี ยังมีอยู่
แต่ปฏิเวธนี่ เห็นชัดเจนเลยว่า ปฏิบัติได้บ้าง ไม่ได้บ้าง บางคนก็ปฏิบัติไม่จริงบ้าง เพราะงั้น

ผลที่ได้ คือ ปฏิเวธะ ความสงบระงับจากอุปกิเลสก็จะไม่ค่อยได้ แล้วสุดท้าย ก็เลิกปฏิบัติไป

พอปฏิเวธอัตรธาน ปฏิบัติอันตรธาน สุดท้าย อันตรธานสุดท้าย คือ ปริยัติอันตรธาน ก็คือ

มันจะหายไปจากการศึกษาพระธรรม เมื่อถึงคำว่า ปริยัติอันตรธาน นั่นแหละ พุทธานุภาพ

จึงเสื่อม
จำไว้ เมื่อถึงคราวปริยัติอันตรธาน คำว่า พุทธานุภาพ หรือ เราจะไม่รู้จักว่าพระพุทธเจ้ามี

อยู่ในโลก นั่นแหละ จึงจะเกิดขึ้น
แต่เวลานี้ ยังมีปฏิบัติไม๊
มี
มีปริยัติไม๊ คือการเรียนการศึกษาท่องบ่น ยังมีอยู่ ก็แสดงว่า ยังมีอานุภาพของพระ

พุทธเจ้าอยู่ พุทธานุภาพยังปรากฏอยู่ จนถึงอันตรธาน 3 ครบหมด นั่นแหละเราจึงจะไม่

เห็นพุทธานุภาพ หรือไม่เห็นอานุภาพ ไม่เห็นฤทธิ์ ไม่เห็นเดช ไม่เห็นศักดา ไม่เห็น

ฉัพพรรณรังสี หรือไม่รู้จัก แม้กระทั่งมีพระพุทธะอยู่ เมื่อถึงคราวนั้น เราไม่รู้ไปอยู่ที่ไหน

แล้ว อย่าไปคิดมันเลย จบ
ปุจฉา   กำลังปฏิบัติเพ่งจิตอยู่ ปุจฉานะครับ จิตมีรูปร่างอย่างไร จะได้เพ่งถูก และจะได้

ปฏิบัติอย่างถูกต้อง
วิสัชนา   ชั้นกำลังนึกอยู่ทีเดียวว่า จะมีใครถามเรื่องนี้ เมื่อหลายวันมานี้ ป่วยแล้วก็ มีเวลา

ได้วิจารณ์ วิจัย เรื่องจิต เคยเขียนหนังสือเรื่องอภิธรรม จิตดวงที่ 7 จำได้ไม๊
ค้นหาเจอหรือยังว่า ดวงที่ 7 อยู่ที่ไหน
ลักษณะของจิต อาการของจิต วิถีจิต กระบวนการจิต จิตมีสภาพธรรมที่ปรากฏ เค้าว่าไว้ใน

หลักอภิธรรม มี 6 ลักษณะ คือ ตาเห็นรูป หูฟังเสียง จมูกได้กลิ่น ลิ้นรับรส กายถูกต้อง

สัมผัส ใจรู้อารมณ์ ทั้งหมดมีเท่าไหร่
6 แล้วดวงที่ 7 คือ อะไร ยังหาคำตอบไม่ได้ใช่ไม๊  ไปค้นหา
แต่ในที่นี้ อยากจะบอกว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ท่านทรงมีปัญญาอันสุดยอด ท่านทรงสั่ง

สอนอบรมสภาวะจิต เรื่องจิต เจตสิก รูปและนิพพานไว้อย่างแจ่มชัดในเรื่องของหลัก

อภิธรรม
หลายวันมานี่ ป่วย ก็เลยพิจารณาในหลักอภิธรรม ได้เห็นสภาพธรรมที่ปรากฏกับจิต ว่า

จิตนี้มันมีสภาพธรรมที่ปรากฏอยู่ ก็คือ รู้อารมณ์ แล้วการรู้อารมณ์ ต้องรู้ชัดให้ทัน ไม่ใช่รู้

แค่ รู้เฉยๆ
คำว่า รู้ชัดให้ทัน ก็คือ รู้ว่า สิ่งที่รู้เป็นอย่างนี้ๆ แล้วมีเครื่องตั้งอยู่ แปรปรวน แตกสลายใน

ฉับพลันทันที อย่างนี้เค้าเรียกว่า รู้อารมณ์ในสิ่งนั้นๆ อย่างชัด ทันต่อสถานกาณ์ของ

อารมณ์ที่รู้
แต่ถ้ารู้แล้ว เฉยๆ รู้แล้ว ยังยึดติดในสมมุติ อย่างนี้ยังไม่เรียกว่า รู้ ไม่ถึงคำว่า ตัวรู้ และ

ท่านผู้รู้ก็จะไม่เกิด
แต่ถ้ารู้ว่า เออ นี่เป็นคน เอ้า คนนี่มีสภาพธรรมเป็นอย่างไร เกิดขึ้นในสภาพธรรมอย่างไร

อิงอาศัยอะไรเป็นเครื่องอยู่ อยู่แล้วคงที่แค่ไหน สุดท้ายเมื่อไม่คงที่ ย่อมเสื่อมสลายลงอย่าง

ไร แล้วเสื่อมแล้วจะแตกสลายดับไปเป็นอะไร
ถ้ารู้ได้อย่างนี้ในขณะจิตหนึ่งเนี่ย เค้าเรียก รู้ชัดตามสภาพธรรมที่ปรากฏตามความเป็นจริง
นี่ เรียกว่า รู้ที่สุด รู้หมด รู้สิ้น
แต่ถ้ารู้เพียงแค่ว่า เออ นี่คือ คน คนเป็นผู้หญิง หรือ คนเป็นผู้ชาย ถ้ารู้อย่างนี้ เค้าเรียกว่า รู้

โดยสัญญาขจิต เหมือนกับจิตเกิดมา ไม่มีตัวรู้อะไรเลย คือมันไม่มีสภาพธรรมของการ

ปรุงแต่งแห่งจิต เพราะรู้ตามสี ตามสัณฐาน ตามธาตุ ตามสภาพธรรมที่ปรากฏ แต่ถ้ารู้ว่า

นี่คือ ผู้หญิง ผู้หญิงสวย กับผู้หญิงไม่สวย นี่เป็นการรู้ตามสัญญาขจิต
ถามว่า เพราะอะไร
ก็คนเค้าบอกเรามาว่า ลักษณะอย่างนี้ มันสวย แล้วก็จำเอาไว้ คนเค้าบอกเรามาว่า ลักษณะ

อย่างนี้ มันซวย ก็จำเอาไว้ แล้วก็เอาลักษณะที่จำ เรียกว่า สัญญานั้นมาเป็นบรรทัดฐานใน

การมองคน อย่างนี้เค้าเรียกว่า รู้โดยการปรุงแต่งอารมณ์ ไม่ใช่รู้ชัด รู้แจ้ง รู้จริง แต่ถ้ารู้

โดยการไม่ปรุงแต่งอารมณ์ รู้ชัด รู้แจ้ง รู้จริง ไม่ว่าจะรู้คนผู้หญิงหรือไม่ว่าจะรู้คนผู้ชาย

คนผู้หญิงก็มีสภาพธรรมไม่ต่างจากคนผู้ชาย คนผู้ชายก็มีสภาพธรรมไม่ต่างจากคนผู้หญิง

เพราะคนผู้หญิง คนผู้ชาย เกิดจากเหตุปัจจัย เมื่อดับเหตุปัจจัย สิ่งที่เกิดก็ไม่ดำรงอยู่ ไม่ตั้ง

อยู่ แม้ตั้งอยู่ ก็ตั้งอยู่ไม่ได้นาน เพราะคนผู้หญิงหรือคนผู้ชาย ก็มีอายุขัย ความสวยมีอายุ

ขัยไม๊ ลูก
(มี)
ความซวยมีอายุขัยไม๊
(มี)
ความเสื่อมมีอายุขัยไม๊
(มี)
ทุกอย่างมีอายุขัย เมื่อเข้าใจความหมายของอายุขัยและเข้าใจความหมายของการดำรงอยู่

เข้าใจความหมายของการเกิด เข้าใจความหมายของการดับ แล้วสุดท้าย ทั้งคนผู้หญิงผู้ชาย

ดับในทันทีในจิตหนึ่ง นั่นแหละ เค้าเรียกว่า จิตพระพุทธะ คือ จิตผู้รู้ เป็นสภาพธรรมที่

ปรากฏชัดแจ้งในจิต
งั้น กระบวนการตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ท่านรู้ชัดทุกจิต ท่านรู้ชัดทุกจิตว่า เด็กผู้หญิง

ก็ไม่ใช่ติดในหญิง เพราะถ้าเห็นผู้หญิงสวยเนี่ย มันต้องเห็นแล้วมีบวก เค้าเรียกว่า สัมปยุต

ไปด้วยอารมณ์อะไร ถ้าสวย ก็ต้องบวกไปด้วยราคะปรุงแต่งจิต ราคะปรุงแต่งจิต โลภะ

ปรุงแต่งจิต โทสะปรุงแต่งจิต หรือโมหะปรุงแต่งจิต
เห็นแล้ว คือ มันขัด ไม่ชอบใจ อะไรปรุงแต่งจิต
โทสะปรุงแต่งจิต
เห็นแล้วชอบ มีโลภะ หรือ ตัณหาปรุงแต่งจิต อย่างนี้เป็นต้น
เห็นแล้วอยากได้ เอ้า เห็นแล้วอยากได้ เห็นแล้วต้องการ อย่างนี้ เค้าเรียกว่า รู้ เห็น

แล้วอยากได้ ก็เกิดกระบวนปรุงแต่งจิตของโลภะ ตัณหา ถูกไม๊
รู้ เห็น แล้วอยากได้ ก็เกิดการปรุงแต่งจิตของโลภะ 1 ตัว กับ ตัณหาอีก 1 ตัว แล้วถ้าวิ่ง

เข้าไปแย่งเค้ามา ก็มีโมหะเข้าไปปรุงอีก 1 ตัว ถ้าแย่งแล้วไม่ได้ ก็เกิดความโกรธ ก็มี

โทสะเข้าไปปรุงอีก 1 ตัว
นี่คือ สภาพธรรมของจิตดวงเดียวที่มีสี แสง เสียง เข้ามาปรุงเยอะแยะมากมายตาม

กระบวนการ
ถ้ารู้ชัดอย่างนี้ เราก็จะเห็นว่า สัตว์เป็นธรรมดา โลกเป็นธรรมดา สรรพสิ่งก็เป็นธรรมดา เกิด

แก่ เจ็บ ตายเป็นธรรมดา ป่วยไข้ไม่สบายก็ธรรมดา เพราะไม่มีอะไรที่จะป่วย ไม่มีอะไร

จะตาย ไม่มีอะไรจะเป็นไข้ ไม่มีอะไรจะไม่สบาย ไม่มีอะไรจะสบาย
พูดอย่างนี้ เข้าใจไม๊
นี่คือ สภาวะธรรมของจิตที่ผู้รู้ชัดตามความเป็นจริง ต้องรู้ให้ได้ขณะจิตหนึ่ง
ขณะจิตเดียวเท่านั้นนะ ลูก
ที่พูดมาทั้งหมดเนี่ย คือ กระบวนการของขณะจิตหนึ่งของผู้รู้ เรียกว่า จิตพระพุทธะ
แล้วจิตนี้ มีอยู่ทุกคนไม๊
มีอยู่ทุกคน ลูก แต่มันบางคนลึก บางคนตื้น บางคนลึกมาก ลึกจนกระทั่งมันต้องค้นไปถึง สี่

อสงไขย แสนมหากัป บางคนมันตื้นมาก แค่เห็นพยับแดด ก็บรรลุธรรม บางคนมัน อู้หู

อย่างกับภูเขา ค้นไม่เจอ จนกระทั่งมาอยู่ตีนเขา ใต้เขา พอลงมา ทั้งลูกก็ยังไม่เจอมัน มันลึก

ลงไปยันใต้บาดาลนู่น ไปอยู่อเวจีมหานรก จิตพุทธะยังอยู่ในอเวจีมหานรก
จิตพุทธะตกนรกได้ไม๊
ได้
จิตพุทธะอยู่กับสัตว์ผู้ยังไม่รู้แจ้ง ก็ย่อมตกนรกได้ เหมือนกับคนโบราณ เค้าเรียก ลิงได้แก้ว

ได้แหวนนั่นแหละ ไม่รู้จักคุณค่าของแหวนและแก้ว
ไก่ได้
(พลอย)
พลอย เพราะไม่รู้จักคุณค่าของพลอย
เค้าเทียบกันอย่างนี้นะ แต่เรามาพูดพล่อยๆ เฉยๆ โบราณเค้าเปรียบเรื่องนี้เป็น เรื่องจิตเนี่ย

ดั่งลิงได้แก้ว ไก่ได้พลอย เพื่อให้เรารู้ชัด แต่เราเข้าใจไปว่า เออ คนไม่รู้คุณค่าของสิ่งของ

อันนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับสิ่งของเลยนะ มันเกี่ยวกับเรื่องจิตล้วนๆ น่ะ เพราะงั้น การรู้ทางขณะ

จิตหนึ่งๆ จนครบขณะ 7
7 ขณะสุดท้าย ก็จะถึงคำว่า ดับแล้วเย็นที่เรียกว่า อะไร ดับและเย็น คือ จิตอะไร
นิพพาน
งั้น จิตดวงที่ 7 มีไม๊
มีก็ได้ ไม่มีก็ได้
ทีนี้เข้าใจความหมายของคำว่า จิตดวงที่ 7 แล้วยัง
กลับไปอ่านใหม่ หนังสือเค้าแจกแล้วใช่ไม๊ หนังสืออยู่ในงานศพอ้ายจิโรจน์ เค้าพิมพ์แจก

เออ ไปศึกษาใหม่
ใครยังไม่ได้ ยกมือ
อ้าว เฮ้ย ไปเอามาแจกสิ มีอยู่ในมูลนิธิหรือในห้อง
เออ ไปศึกษาดู หลวงปู่เขียนไว้ว่า จิต 7 ขณะ คนเค้าเถียงว่า มีแค่ 6 ขณะ ตามตำรา
ก็เอ๊อ คนมันอ่านตามตำรา แต่กูไม่ได้อ่านตามตำรา งั้น เมื่อกูไม่ได้อ่านตามตำรา กูก็รู้ว่า

มันมีขณะที่ซ่อนอยู่ในไม่มีขณะ ขณะจิตหนึ่งๆ
งั้น ที่พูดมาทั้งหมดนี่ มันแค่จิตเดียวนะ ลูก
เพราะงั้น พระพุทธเจ้าทรงบรรลุได้ทุกขณะจิต
พระพุทธะรู้ได้ทุกขณะจิต
รู้ว่า มองแว๊บ ต้องรู้ชัดว่า นี่มองด้วยการปรุง หรือมองด้วยไม่ปรุง
เริ่มต้นก่อน มองด้วยปัญญา หรือมองด้วยสัญญา
ถ้ามองด้วยสัญญา ก็ต้อง ปรุงไม๊
ปรุ๊ง
แต่ถ้ามองด้วยปัญญา ต้องปรุงไม๊
ไม่ต้อง เพราะมองด้วยปัญญา มันจะมองทะลุทะลวงเหมือนกับแสง ถ่าย x-ray เข้า

ไปอยู่ข้างในเลยว่า อ้ายนี่มันทะลุทะลวงหนังแล้ว เนื้อแล้ว ไปถึงตับ ไต ใส้ ปอด พุง เหลือ

แต่แกนแก่นกระดูก แล้วก็ไม่มีกระดูกเลยให้ดู ให้เหลือให้มอง อย่างนี้เป็นต้น
นั่น เค้าเรียกว่า มองด้วยปัญญา
แต่ถ้ามองด้วยสัญญา เราก็จะเอาความจำเก่าๆ เกิดมาจากท้องแม่ รู้จักไม้เลยไม๊
(ไม่)
รู้จักเนื้อไม๊
(ไม่)
รู้จักเงินไม๊
(ไม่)
รู้จักทองไม๊
(ไม่)
รู้จักดีไม๊
(ไม่)
รู้จักชั่วไม๊
ไม่รู้อะไร ก็ต้องรู้ 2 อย่าง ดีกับชั่ว เพราะสัญญาขจิตในอดีตสั่งสมไว้
แต่อ้ายเรื่องเงิน ทอง ไม้ หญิง ชาย สวย หรือไม่สวย มันมาสั่งสมในปัจจุบันไม๊
มาสั่งสมในปัจจุบัน
อ้ายตัณหา อุปาทาน กิเลส อวิชชา ปัจจุบัน หรือ อดีต
มีมาแล้วแต่อดีตสั่งสมเอาไว้ งั้น ถ้าเราไม่มีปัญญาในจิต เราก็จะปล่อยให้อดีตจิตบ้าง

ปัจจุบันจิตบ้าง แม้ที่สุดยังไม่ถึงวันพรุ่งนี้ ก็เพ้อฝันไปเรื่อยๆ ว่า กูจะได้เงินเท่านั้น เท่านี้

เงินเดือนกูจะขึ้น 300 แต่ค่าครองชีพกูหมดไปแล้ว 450 อะไรอย่างนี้ ก็ฝันเรื่อย

เปื่อยไป ตอนนี้ 300 ไม่พออีกแล้ว เดี๋ยวปีหน้าขอ 500
เออ เจ๊ง จน หมด ไม่เหลือ ประเทศชาติก็ไม่เหลือแก่นสารอะไร ก็ปล่อยให้คนชั่วมาครอบ

งำได้ง่ายขึ้น เพราะประเทศก็อ่อนแอ ตามอะไร เค้าเรียกว่า ตามแผนการอันแยบยลของ

คนจะครองบ้านเมือง ทำให้แผ่นดินนี้มันอ่อนแอลง อันนี้ หลักอภิธรรมนะจ๊ะ ที่ว่ามานี่ ชัดๆ

เลย ไม่ได้เกี่ยวไปไหนเลย
แต่พูดให้เห็นชัดว่า เวลากูป่วยเนี่ย กูจะไม่ค่อย หลวงปู่จะไม่ห่างจากกาย คือ จิตจะไม่ห่างจิต

กายกับจิตต้องรวมกัน เพราะประมาทไม่ได้ งั้น เมื่อประมาทไม่ได้ ก็ต้องตั้งอยู่ในความไม่

ประมาท ก็ต้องใคร่ครวญ ต้องวิเคราะห์ ตาที่เห็นภาพ สิ่งที่เห็น เห็นด้วยสัญญาหรือปัญญา
ถ้าเห็นด้วยปัญญา ก็ต้องเห็นแจ้ง
เห็นแจ้ง เห็นอย่างไร
เห็นว่า สิ่งที่เห็นนั้น จริงๆ มันเกิดอย่างไร มันตั้งอยู่อย่างไร มันแปรปรวนหรือไม่ แล้วมัน

จะแตกสลายในเวลาใด แล้วเมื่อถึงคราวแตกสลาย เรายึดถือไม๊ ถ้ายึดถือ ก็จะเป็นอะไร แต่

ถ้าไม่ยึดถือ ก็ไม่มีอะไร แต่ถ้ายึดถือ มันก็จะเป็นอาลัยๆๆ เรียกว่า มีอาลัยในอารมณ์นั้นๆ

ไม่จบสิ้น
พอยึดถือปุ๊บ มันก็จะเป็นชาติ เป็นชรา เป็นมรณะ เป็นพยาธิ เวียนว่ายตายเกิด เป็นชาติ

เป็นภพ เพราะความยึดถือนั้น เรียกว่า อุปาทานในขันธ์ทั้ง 5
แต่ถ้าไม่ยึดถือ อ้ายสิ่งที่เห็น ก็สักแต่ว่าเห็น เมื่อเห็น แล้วมันก็เป็นไง หายไป
สิ่งที่ได้ยิน ก็สักแต่ว่าได้ยิน ได้ยินแล้วมันก็ หายไป
สิ่งที่ดม ก็สักแต่ว่าดม เมื่อดมแล้วมันก็ หายไป
แต่ถ้าไม่ได้เห็นด้วยปัญญา ไม่ได้ดูด้วยปัญญา ไม่ได้ดมด้วยปัญญา แต่ด้วยสัญญา ก็ต้อง

ดมแล้ว อืม นี่ เหม็นนี่ อื๊อ นี่ หอมนี่ ก็ต้องค้นหาความชอบไม๊ เอ้า ของชอบนี่ ติดของที่ชอบ

ชอบก็ต้องตามหาล่ะ ความทะยานอยาก อย่างนี้เป็นชาติภพไม๊
เป็นชาติภพ มีอุปาทานก่อนเลย อุปาทานในกลิ่น ความยึดถือในกลิ่น ก็แสวงหา เป็นตัณหา

ถ้าแสวงหาเป็นตัณหา ความไม่รู้ก็หาวิธีหาให้รู้ หาให้ได้ หาให้เจอ หาให้ได้ในสิ่งที่ตัวเอง

ตั้งไว้ ว่ากูชอบสิ่งนี้ ทีนี้ วิธีได้มา ก็ได้มาง่ายบ้าง ได้มายากบ้าง ต้องฆ่าเค้าบ้าง ต้องแย่งเค้า

บ้าง หรือไม่ก็ ต้องทำลายทำร้าย หรือไม่ก็ ต้องหากรรมวิธีเพื่อให้ได้มาด้วยกระบวนการ

ยอมเอาตัวเองไปแลกบ้าง ไปทำงานบ้าง ไปอาบเหงื่อต่างน้ำบ้าง
เห็นชาติภพไม๊ เห็นวัฏฏะไม๊ นี่แหละคือ เห็นด้วยปัญญา
เอาล่ะ มันหลวมตัวไปแล้ว มันต้องหาแล้ว ก็ต้องหาด้วยปัญญา พอด้วยปัญญา ระลึกได้

แล้วกูจะมาทำไม เพราะกลิ่นนี้มันคงอยู่ไม๊
ได้กลิ่นมาแล้ว ยังคงอยู่กับเรานานไม๊
ไม่นาน
ไม่นานแล้ว กูจะให้ชีวิตทั้งชีวิตกูกับการหากลิ่นนี้ไปเพื่ออะไร
สุดท้าย ก็หยุดหา
พอหยุดหา มันก็รู้ชัดแจ้งตามความเป็นจริง
จิตขณะที่ 7 มันก็ไม่มีที่จะปรากฏ
อย่างนี้ เข้าใจไม๊ ลูก
สภาพธรรมที่ปรากฏกับจิต ต้องเห็นให้ชัดตามความเป็นจริงอย่างนี้ เค้าเรียกว่า เห็นโดย

ปัญญา ไม่ใช่เห็นโดยสัญญา
ทุกวันนี้ เราใช้สัญญา หรือปัญญา เห็น
(สัญญา)
สัญญา หรือปัญญา ดม
(สัญญา)
สัญญา หรือปัญญา ทำ
(สัญญา)
สัญญาทั้งนั้น เราไม่ได้ใช้ปัญญาเลย แล้วปัญญาจริงๆ มันต้องเป็นปัญญารู้ชัด ทั้งก่อนเห็น

ขณะเห็น กำลังเห็น แล้วเห็นแล้วหมด
ถ้าเราบอกว่า เรามีปัญญา ก่อนเห็น อู้ สวยดีนี่ อย่างนี้มีปัญญาไม๊
ไม่มีนะ
อือ สวยดีนี่ อือ ได้มายังไงน่ะ
อ้าว แพงไม๊ ซื้อที่ไหน
อะไรตามมาแล้ว ชาติ ภพ
อ้าว ถ้าไล่ตามอารมณ์ของจิต เห็นแล้วสวย เป็นความปรุงแต่งไม๊
(เป็น)
ปรุงแต่ง
เมื่อปรุงแต่งแล้ว เป็นวิชาหรืออวิชชา
อวิชชา
ชอบ เออ ดีนี่
ตัณหาใช่ไม๊
เออ อุปาทาน คือ ความยึดถือ ตามมาไม๊
ตามมา แล้วตามมาด้วยอะไรอีก
แสวงหา ตามมาด้วยกระบวนการแสวงหา
แล้วการแสวงหา มีโมหะไม๊
มีความหลงสิ เดินไปหยิบ เทคนิคอันเดียวเนี่ย ทำให้เราเห็นอะไร มีอะไรเข้ามาแทรก
มีความหลงเข้ามาอีก เมื่อหลงแล้ว ต่อไปทำอะไร
ขวนขวายๆ ให้ได้มาในสิ่งที่ตัวเองหลง
แล้วความขวนขวายนั้น ไม่ว่าจะถูกก็ตาม ผิดก็ตาม ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม ก็ต้องขวนขวาย

เพราะกูหลงเสียแล้วล่ะ เหมือนกับสุนัขเดือนสิบสองที่ติดสัตว์ ไม่ว่าจะเอาน้ำร้อนรด เอาไม้ตี

เอาน้ำสาด ไล่มัน หนังกะติ๊กยิง มันหนีไม๊
ไม่หนี กูทนได้หมด
นั่นแหละ ชาติภพเกิดตามมาล่ะ
เกิดจากความไม่มีปัญญาในการเห็นชัดตามความเป็นจริง แค่กลิ่นอย่างเดียว
เอาล่ะ ขวนขวายเพื่อให้ได้กลิ่นนั้นมา พอได้กลิ่นนั้นมาแล้ว เรานึกว่า โอ้โห ได้สิ่งที่มีค่าที่สุด

สูงสุด เยี่ยมสุด ถูกใจสุด ชอบที่สุด เหมาะกับกูมากที่สุด อยู่ได้นานไม๊
ไม่น๊าน
หมดไปแล้ว หมดไปแล้ว ไม่พอ โมหะมันมีอยู่ ยังคลุกกรุ่น ตัณหา ยังอยากไม่เลิก ความ

ไม่รู้ก็ยังเพิ่มพูนทวี แทนที่จะรู้ตัวว่า โอ นี่มันไม่ใช่ของจริง ของหลอก ของโกหก ของตลบ

แตลง ของมายา ก็กลายเป็นโมหะ คือ หลงหนักกว่าเก่า ไม่ได้ อันเดียวไม่พอ เดี๋ยวมันหมด

เอามา 2 อันเลย 3 อันเลย ขวนขวายมา 5 อันเลย 3 โหลเลย หนักเข้าๆ ชรา มรณะ

พยาธิ ถามหา ก็ยังไม่เลิกหา อย่างนี้ เป็นชาติเป็นภพไม๊
เป็นทั้งชาติภพ
ใครทำให้เรา
เราเอง
เพราะฉะนั้น ทั้งหมดนี่อยู่ในขณะจิตหนึ่งเท่านั้นนะ ลูก
ขณะจิตหนึ่ง ต้องรู้ให้ได้ชัดตามอย่างนี้ เค้าเรียกว่า หลักปฏิจจสมุปันธรรม ต้องรู้ให้ได้

ขณะหนึ่งเท่านั้น จึงจะสำเร็จประโยชน์
ปฏิจจสมุปบาท หรือ กระบวนปฏิกิริยาลูกโซ่นี่ ต้องรู้ให้ได้ขณะจิตเดียวขณะจิตหนึ่ง แล้ว

ขณะจิตที่ 2  ก็รู้ตามไปชัด ตามไปเรื่อยๆๆๆ จนชาติภพไม่เหลือ
ปฏิจจสมุปบาท เริ่มต้นจากอะไร
จากมีอะไร
อวิชชา ความไม่รู้ เมื่อกี้ยกให้เห็นแล้ว
ตามมาด้วย อวิชชา ทำให้เกิด เกิดอะไร
อ้าว มั่วแล้ว เอ้า ไม่ต้องไปสนใจมัน สนใจแต่ว่า อวิชชา ตัณหา และอุปาทาน ชาติภพเท่า

นั้นพอ เพราะหลายคนไม่ได้เรียน ไม่ศึกษามา ก็จะปวดหัว เครียด
โอ้โห ตั้ง 13 อย่าง กูจะรู้ได้ขณะจิตหนึ่ง ไหวเหร๊อ ก็เอาเป็นเพียงแค่ว่า ลดลงมาเหลือ 3

อย่าง อวิชชา ตัณหา อุปาทาน แล้วมันทำให้เกิดชาติ ภพ พอแล้ว เท่านี้แหละ หนึ่งขณะจิต

รู้ชัดตามอย่างนี้ เราก็จะกลายเป็นผู้รู้แจ้งตามความเป็นจริงในขณะจิตหนึ่งๆ
เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว พระพุทธะก็ย่อมอุบัติขึ้นกับเรา ครูผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ก็จะเกิดและ

เจริญอยู่ในตัวเรา ทีนี้ เราก็จะรุ่มรวย มั่นคง รุ่งเรือง แล้วก็เจริญในวิญญาณของเรา
ความรุ่มรวย มั่นคง รุ่งเรืองและเจริญในวิญญาณเนี่ย อย่าไปเปรียบกับโลหะวัตถุธาตุใดๆ

ใช้ไม่ได้ เพราะสิ่งนั้นมันตามเราไปในภพชาติต่อๆ ไปไม๊
สิ่งนั้น มันตัวสร้างชาติภพ
สร้างไม๊
สร้างสิ
มีทองสักเส้นหนึ่งเนี่ย แขวนคอ จะตายยังกำคอ ใครอย่าเอาของกูไปนะเว้ย นี่เค้าเรียก มี

ทองเท่าหนวดกุ้ง นอนสะดุ้งจนเรือนไหวนะ ใครอย่าเอาของกูไปนะ เขียนพินัยกรรมไว้เลย

ทองเส้นนี้ จะต้องไปถึงนั่นถึงนี่ ให้คนนั้นคนนี้
นี่ เป็นชาติภพไม๊
เป็นชาติเป็นภพกับเรา ไม่แน่ อ้ายจิตสุดท้ายที่จะตาย อือ กูให้มึงถูกหรือเปล่าวะ อือ ไม่ถูก

น้า มันเป็นของกูหามายาก เกิดป๊อก ตายขึ้นมา ตายห่าละ ต้องมานั่งเฝ้าทอง ตามทองเส้นนี้

ไปไหนหว่า
เกิดชาติภพไม๊
เกิดทันที
แล้วถ้ามีทอง ตาย ก็ชั่งแม่มัน ใครจะเอาอะไรไป ก็เรื่องของมึง กูตายแล้ว เรื่องของกู กูไม่

เอามึงล่ะ เออ วางหมดทุกอย่าง มีทรัพย์สมบัติก็ชั่ง เรื่องของมึง มึงจะเอาอะไรก็ ใครจะเอา

ไม่เอา กูก็ไม่สนใจ แล้ว กูมีจิตอัน รู้ ตื่น เบิกบาน พอแล้ว
อย่างนี้ มีชาติมีภพไม๊
ไม่มีแล้วนะ ชาติภพมันไม่มีโดยความรู้สึกและอารมณ์ที่ไม่ปรุงแต่งจิต
ทีนี้ มันก็จะเหลือแต่กรรมอย่างเดียวแล้ว
เหลือแต่กรรมจะนำพาล่ะ ซึ่งมีอดีตกรรม ปัจจุบันกรรมจะนำจิตนี้ไปเกิดที่ไหน ซึ่งเราไม่

ปรุงแต่งจิตในปัจจุบัน ก็ไม่ได้ชี้นำ กรรมให้นำพาไป
เหลือแต่กำลังว่า กรรมอะไรมันจะพากูไป ก็เรื่อง แต่ถ้าเราไม่ปรุงแต่งจิตจนมีตัวรู้ชัดแจ้ง

เราก็สามารถจะนำเอากุศลกรรมที่มีมาแต่อดีตมารวมเป็น หลวงปู่เขียนหนังสือไว้เรื่องหนึ่ง

เมื่ออดีต พลังบุญ พลังจิต พลังอนันต์เนี่ย ใช้พลังแห่งปัญญา ความไม่ปรุงแต่งจิต ดึงเอา

บุญทั้งหมด กุศลทั้งหลายที่อยู่ในอดีต กลายเป็นเหมือนกับอะไร เครื่องยนต์ หรือ เครื่องเผา

ไหม้ไอพ่นที่มันจะพุ่งพาเราพ้นจากโลกใบนี้ เอามารวมตัวกัน แล้วทำให้เราพ้นจากภัยแห่ง

วัฏฏะได้ เหมือนกับจรวดที่มันพาตัวมันเองไปได้ด้วยเครื่องอะไร
ไอพ่นใช่ไม๊ เออ ประมาณนั้นแหละ
เฮอ เหนื่อยไม๊
มึงน่ะ ไม่เหนื่อย
แต่อยากจะบอกลูกหลานว่า นี่คือ ขณะจิตหนึ่งเท่านั้น สภาพจิตที่รู้ชัดตามสภาพธรรมที่

ปรากฏตามความเป็นจริง ต้องรู้ให้ชัดได้ขนาดนี้ในหนึ่งขณะจิตๆ จึงจะถือว่า เป็นผู้ตรัสรู้

ชอบได้ด้วยตัวเอง ชอบได้ด้วยตัวเอง แล้วก็จะเป็นผู้รู้ชัดตามความเป็นจริงทุกขณะจิตๆ ไป
แต่ถ้าเมื่อใดที่เรายังเห็น แล้วเห็นด้วยสัญญา ฟัง ฟังด้วยสัญญา ดู ดม สัมผัส คลำ ด้วย

สัญญา คือความทรงจำ มีสิทธิ์ไม๊
มีสิทธิ์ที่จะเกิดชาติภพไม๊
(มี)
มีสิทธิ์ที่จะเกิดวัฏฏะไม๊
(มี)
เวียนว่ายตายเกิดไม่จบสิ้น
แล้วคนพวกนี้ อย่ามาคุยอวด อย่ามาอ้าง ว่าบรรลุธรรมชั้นนั้นชั้นนี้ ถ้าคนบรรลุธรรมชั้น

นั้นชั้นนี้ เค้ามองอะไรไม่สวย มองอะไรไม่ดี มองอะไรไม่เลว มองอะไรไม่หล่อ มองอะไร

ไม่รวย
ไม่ดี ไม่เลว ไม่หล่อ ไม่รวย ไม่สวย ไม่มีอยู่ในธรรมชั้นใดๆ เพราะมันเป็นแต่ สักแต่ว่า

เหตุปัจจัยปรุงแต่งขึ้นเอง
งั้น พระอรหอยทั้งหลาย ถ้ารู้จักสอนแบบนี้ คนจะเชื่อ นี่อาตมาไม่ใช่อรหอย ก็เลยอยากจะ

บอกว่า เผอิญมันเป็นครูของอรหอย ก็เลยอยากจะบอกว่า สอนให้เป็นอย่างนี้ แล้วมันก็จะ

กลายเป็นเหมือนกับเครื่องผูกใจ เค้าเรียกว่า ศูนย์รวมจิตใจได้
แต่ถ้าเอาอ้ายวัตถุ คือ เอากรรม เอาเหตุปัจจัย เอากิเลสมาสอน มันจะทำให้แบ่งแยกไปทั่ว
แต่วิถีทางแห่งการตรัสรู้เนี่ย มันเป็นทางเดียว คือ ทางนี้ ถ้าทุกคนในธรรมะ ศาสนาธรรมนี้

สอนแบบนี้ ใจมันไม่แยกกัน ใจมันไม่แตกออกจากกัน
แต่ทุกวันนี้ที่เราไม่เรียนรู้ ศึกษาคำสอน มันเอาวัตถุมาสอน เอาอารมณ์มาสอน เอากิเลสมา

สอน เอาโลหะ เอาธาตุมาสอน เอาเหตุปัจจัยมาสอน มันไม่ถึงแก่นของต้น สอน มันก็เลย

แตกออกเป็นกิ่งแขนง เป็นรากฝอย เป็นรากแขนง เป็นอะไรเยอะแยะ
ทีนี้อ้ายใครอยู่ด้านมุมขวา ก็จะทะเลาะกับมุมซ้าย ใครอยู่รากแขนงก็ทะเลาะกับรากฝอย

อ้ายใครอยู่รากฝอย ก็จะตีกับรากแก้ว ถ้าทุกคนเข้าไปสู่รากแก้ว สอนเหมือนกับเข้าไปถึง

รากแก้วได้ แล้วจับต้องรากแก้วได้ มันไม่มีใครทะเลาะกัน ไม่มีใครตีกัน มันเป็นเหตุปัจจัย

รู้ได้ชัดตามความเป็นจริงหมด
งั้น ลูกหลานที่ป่วยไข้ ไม่สบาย เจ็บ ทุรนทุราย ให้รู้จิตไว้ สำคัญจิต ระวังรักษาจิต ดูแลจิต

แล้วเราจะรู้ว่า ความป่วยไข้น่ะมันไม่ได้ตั้งอยู่โดยที่ไม่มีเหตุปัจจัย มันตั้งอยู่เพราะมีเหตุ

ปัจจัย
ถ้าจะดับผล ก็ต้องดับที่เหตุที่ปัจจัย
ป่วยไข้ ดับตรงไหน
ดับการปรุงแต่ง ดับอุปาทาน ความยึดถือ
คน เมื่อไม่มีความยึดถือในตัวกู ของกู ความเจ็บป่วยก็จะอันตรธานไป ถ้ามันจะเกิด ก็เกิด

เฉพาะแค่ขันธ์ 5 คือ ภายในกาย แต่จิตเราไม่มีพันธนาการในขันธ์ 5 ได้ ขันธ์ 5 กับ

จิตก็จะแยกกันเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เหมือนบุรุษผู้แข็งแรงชักดาบออกจากฝัก ฝักมันจะเปื่อย

มันจะเน่า มันจะผุ มันจะกร่อน ก็โยนมันทิ้งไป หาฝักใหม่ใส่ได้
ฉันใดก็ฉันนั้น ผู้มีปัญญาย่อมแยกจิตได้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดจากอุปาทาน อวิชชา ตัณหา และ

ขันธ์ทั้ง 5เข้าใจความหมายนี้ไม๊
เออ ถามคำเดียว ตอบเสียเยอะแยะ
ที่จริงแล้วก็อยากจะพูดด้วย นึกว่า จะต้องมีคนถามหรือไม่ เผื่อจะมีคนถาม ก็เลยเล่าให้ฟัง

ประสบการณ์ทางจิตว่า เรื่องจิตดวงที่ 7 นั้น มีเหมือนดั่งไม่มี ไม่มีเหมือนดั่งมี
ด้วยเหตุปัจจัยของผู้ที่เข้าถึง จึงจะรู้ว่า มันไม่มี แต่ผู้ที่เข้าไม่ถึง ยังต้องค้นหา เพื่อให้มันมี
งงอีกสิ อืม พอ จบ
คุณสืบสกุล พันธุ์ดี ฟังรู้เรื่องไม๊
รู้เรื่องครับ ซึมซับอยู่ในสมอง และจิตครับ
อ๊อ
พิธีกร   มีญาติโยมถามมา เรื่องของสังขารร่างกาย แม้ว่าจะป่วย อย่างที่หลวงปู่บอกไว้

เรื่องของจิต จิตจะไม่ป่วย แต่ร่างกายสังขารตอนนี้ คุณพ่ออายุ กว่า 80 ปีแล้ว เป็นโรค

สมองฝ่อ ยาบำรุงเซลล์สมองของหลวงปู่จะช่วยบรรเทาอาการป่วยของคุณพ่อได้หรือไม่

และควรรับประทานอย่างไร เพราะว่าแคปซูลเม็ดใหญ่ ผู้สูงอายุอาจจะทานลำบากครับ
หลวงปู่    แกะออก ถอดออกจากเม็ด แล้วผสมน้ำผึ้ง แล้วก็ตักเป็นช้อนเล็กๆ กินทีละน้อยๆ

กินครั้งละ 2 เม็ด เช้า เย็น  3 เวลาก็ได้ จะช่วยได้ในระดับหนึ่ง แต่คนแก่ คนป่วย อย่า

ให้นั่งเฝ้าหน้าจอโทรทัศน์ ให้เดิน ให้พัฒนา ให้พูดคุยเสียบ้าง รู้ไม๊ นั่งหน้าจอ ทำให้สมอง

เสื่อมและฝ่อเร็ว เพราะมันไม่ได้พัฒนาสมอง มันพัฒนาแต่อารมณ์ พัฒนาแต่กิเลส ตัณหา

อุปาทาน สมองไม่ได้ทำงาน สมองทำงานเพราะอะไร
เพราะร่างกายเคลื่อนไหว
ถูกไม๊
ต้องร่างกายเคลื่อนไหว ต้องยืน ต้องเดิน ต้องทำงาน ต้องออกกำลังกาย ต้องทำกิจกรรม

ระหว่างดูโทรทัศน์กับนั่งเล่นไพ่ตองนี่ ให้เล่นไพ่ตองดีกว่า
อ้าว จริงๆ เอ้า นี่ไม่ได้มายุให้เล่นการพนัน แต่จริ๊งจริง มันพัฒนาสมองน่ะ พวกนี้รู้จักไพ่

ตองไม๊
ไม่รู้ รู้แต่ไฮโลเหรอ เออ ระหว่างดูโทรทัศน์กับเล่นเกมกดนี่ กูว่า เล่นเกมกดดีกว่า แต่ไม่ใช่

เล่นแบบเด็กนะ เด็กนั้นมาเล่นเกมกดดีกว่า อย่างนั้นก็ไม่ถูก อย่างนั้นก็ไม่พัฒนาอวัยวะ

แต่คนแก่นี่ ต้องพัฒนาสมอง อย่าให้ไปนั่ง วันทั้งวันก็นั่งดูแต่หน้าจอทีวี สมองไม่ได้พัฒนา

ไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกาย สมองไม่ได้สั่งร่างกาย
ใจคุมสมอง สมองคุมกาย
ตอนดูทีวี มีแต่ ตาดู ใจรู้ ตาดู ใจรู้ ตาดู ใจรู้ นั่งแข็งทื่ออย่างนี้ บางทีก็เกร็งปากเบี้ยวปากบิด

ไปเลย อืม อยากจะตบอีตัวอิจฉา ไม่ได้ ไม่มีอะไรเลย
เพราะงั้น ก็มีแต่อารมณ์อย่างเดียว งั้น ให้ออกเดิน ดูต้นไม้ต้นไร่ ออกเที่ยว ออกเสวนา

สังสรรค์กับเพื่อนฝูง อย่าให้ไปนั่งเศร้า เฝ้าอยู่หน้าโทรทัศน์ ไม่ดี จบ
ปุจฉา   ป่วยเป็นโรคเหน็บชา กลางคืนจะชามากกว่ากลางวัน หมอบอกว่า ไม่เป็นอะไร ตัว

เองมีความเชื่อ คือ เคยไปตัดต้นสะเดาอายุ 90 ปี เรื่องนี้ เกี่ยวกับที่ไปตัดต้นไม้หรือเปล่า
วิสัชนา   ทำไมไม่ไปถามต้นสะเดา ที่จริงฟัง แล้วน่าจะมาจากอาการโรคเลือด เลือดไม่ไป

เลี้ยงปลายประสาท มี 2 อย่าง ก็คือ เส้นเลือดขอด เส้นเลือดตีบ หรือไม่ก็ เลือดจาง งั้น

ลองกินยาบำรุงเลือด กับยาละลายไขมันในหลอดเลือดดู หรือละลายลิ่มเลือดดู ก็น่าจะดี ยา

บำรุงเลือด หรือไม่ก็ ยาแก้ปลายประสาทอักเสบ ยากลุ่มนี้ เป็นยาช่วยให้เลือดเดินได้สะดวก

แก้อาการเหน็บชาได้ จบ
พิธีกร   ถามแทนนะครับ แล้วจะลืมเรื่องต้นสะเดาได้อย่างไร
หลวงปู่    ก็ไม่เห็นจะต้องไปสนใจ เป็นฟืนไปแล้ว
ปุจฉา    อายุ 58 ปี ไม่เคยมีความดัน แต่อาทิตย์ที่แล้ว เวียนศีรษะ หาหมอ วัดความดัน

3 ครั้ง มีความดันขึ้น ได้เดินลมอักษรสวรรค์ ไม่ทราบว่าถูกต้องหรือไม่ หรือว่าต้องทาน

อะไรเพิ่มครับ
วิสัชนา   ไม่มีคำถามอะไร เป็นโรคความดัน เดินลมอักษรสวรรค์ ถูกต้องไม๊ ถ้าถามอย่างนี้

ก็ไม่ได้เสียหายอะไร ส่วนไปโรงพยาบาล ก็ไม่ได้บอก ไปวัดความดัน มันขึ้นหรือลง มาก

หรือน้อย ก็ไม่ได้แจ้ง ก็ถือว่า การเดินลมก็ทำให้เลือดลมเดินสะดวก
พิธีกร    ในนี้แจ้งว่า ความดัน 200
หลวงปู่   อืมก็ถือว่า สูง ที่จริงความดันสูงๆ เนี่ย ลำดับต้นให้ดื่มน้ำเย็นก่อน เพื่อจะลดความ

ดันภายในตัว แล้วหายใจเข้าลึกๆ ผ่อนลมออกยาวๆ อยู่กับลมหายใจ ก็จะช่วยลดความดัน

ได้ในระดับหนึ่ง จบ
พอไม๊ กี่โมงแล้ว นี่ 3 โมงแล้ว
พิธีกร    ขออนุญาตอีกคำถามหนึ่งนะครับ วันสำคัญทางพุทธศาสนาที่จะมาถึง คือ วัน

วิสาขบูชา อยากให้คนไทยร่วมนึกถึงพระพุทธศาสนาอย่างไรบ้าง ในยุคที่สังคมเป็นแบบนี้

ครับ
หลวงปู่     ชั้นไม่ค่อยเห็นด้วยกับการเฉลิมฉลองในวิถีพุทธของชาวโลกที่เค้าทำกันทุกวันนี้

นักซักเท่าไหร่ แต่ถ้ามองในมุมของสัญลักษณ์ ก็โอเคล่ะ ถ้าทำดีในเชิงสัญลักษณ์และรักษา

สัญลักษณ์เอาไว้ กลัวสัญลักษณ์จะเสื่อม ก็ไม่เป็นไร แต่สิ่งที่น่ากลัวและกลัวมันจะเสื่อม ก็คือ

พระธรรมคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า จะเสื่อมจากหัวใจของมนุษย์ผู้มีสัญลักษณ์ นี่

มันน่าเสื่อม
สัญลักษณ์ คุณลักษณะ และเอกลักษณ์ น่าจะพยายามรักษาคุณลักษณะแล้วเอกลักษณ์

ส่วนสัญลักษณ์ อย่าพยายามรักษาให้มันมากนัก เพราะเดี๋ยวเมื่อไหร่ๆ มันก็ต้องรักษาไม่เลิก

พอรักษา มันก็หาย รักษา มันก็หาย แต่พระธรรม หรือว่า คุณลักษณะ ลักษณะอันเป็นคุณ

ที่มีอยู่ในองค์พระธรรมเนี่ย มันต้องพยายามให้เข้าถึง เข้าใจ เข้าใกล้ แล้วก็ทำได้ให้ถึงผล

นั่นแหละ ควรจะเป็นเรื่องที่ถูกต้องมากกว่า
ถ้าเป็นชั้น ชั้นก็จะรณรงค์ หรือว่า เรียกขานให้ปฏิบัติธรรม วันโกน วันพระในตลอดทั้งปี

ให้พยายามเข้าวัด สวดมนต์ ฟังธรรม รักษาศีล แผ่เมตตา เจริญภาวนา อบายมุขทั้งหลาย

ในบ้านเมืองนี้ ก็ช่วงเวลานี้ วันนี้ ขณะนี้ ปีนี้ ทำทั้งปีก็ลดน้อยบรรเทาเบาบางลง อะไรอย่างนี้

มันกลับจะเป็นเรื่องดีด้วยซ้ำ ลดอาชญากรรม ลดความรุนแรง ลดความก้าวร้าวในอารมณ์

ของมนุษย์ให้บั่นทอนลง จะพูดอะไร มันก็จะง่ายขึ้น จะมีสัมมาทิฏฐิได้มากขึ้น
 ทุกวันนี้ เรามัวแต่มารณรงค์ให้รักษาสัญลักษณ์ ทำสัญลักษณ์ สร้างสัญลักษณ์ แต่จิตใจ

ทุรนทุราย กระเสือกกระสน ดิ้นรนไม่รู้จบ มันก็เหมือนกับเอาหนอนมาใส่ขี้เถ้า มันก็จะดิ้น

ของมันไปเรื่อย ไม่สงบจนกว่ามันจะตาย
แค่ก็ดี ถือว่า เป็นความดีในเชิงสัญลักษณ์ ทำได้ ส่วนวันวิสาขฯ ซึ่งเป็นวันที่พระผู้มีพระ

ภาคเจ้า ปีนี้ตรงกับ 2600 ปีของการตรัสรู้ครบรอบ 2600 ปีของพระผู้มีพระภาคเจ้า

พวกเราจะทำดีอะไรถวายพระองค์ได้บ้าง
ก็เอาเป็นดีที่ตัวเองพึ่งได้
ดียังไงก็ได้ ขอเป็นดีที่ตัวเองพึ่งมันได้ แล้วเราก็จะถึงพระธรรม ถึงพระพุทธเจ้า ถึงพระสงฆ์

ถึงพระรัตนตรัย ถึงพุทธานุภาพ แต่ถ้าเราบอกว่า เราทำดีแล้ว แต่เราพึ่งไม่ได้เลย ทุกนาที

พึ่งไม่ได้ซักทีเลย อย่างนั้นไม่ดีหรอก จบ
พิธีกร    ........และวันนี้ต้องกราบขอบพระคุณหลวงปู่พุทธะอิสระครับ
หลวงปู่    ให้ทุกท่านที่รับชมรายการนี้ จงรุ่งเรืองเจริญในพุทธจิต พุทธธรรม และพุทธิ

ปัญญา ขอท่านจงเป็นผู้เข้าถึงซึ่งพุทธรรม พุทธจิต และพุทธิปัญญาได้ทุกท่านทุกคนเทอญ
(สาธุ)
ตลบมือให้เกียรติ์
ถวายทาน ลูก ว่า นะโม 3 จบ
หลวงปู่ให้พร
โชคดี ลูก ธรรมะรักษา ให้รุ่งเรือง เจริญ เดินทางโดยสวัสดิภาพปลอดภัย ลูก
(สาธุ)
ยังจำสภาพจิตที่เมื่อกี้สอนได้ไม๊
(ได้)
เออ กลับไปทบทวน ใครยังไม่ได้หนังสือ ยกมือซิ
เอ้า เจ้าภาพ คนพิมพ์ ไปไล่แจกซิ หนังสือน่ะ เมื่อกี้อยู่ไหนล่ะ
เอาไปศึกษาพิจารณาเรื่อง จิต เจตสิก สภาพธรรมที่ปรากฏกับจิต
วันนี้แค่นี้นะ เอาไว้อาทิตย์หน้า ค่อยมาปฏิบัติธรรมให้เข้มข้น
ไป กราบลาพระ อะระหัง สัมมา......
สัปดาห์หน้า จะมาบวชเนกขัมมะ ไปเตรียมเครื่องไม้เครื่องมือมารับฝนให้ดีนะเว้ย ตัวใคร

ตัวมัน
(กราบ)